เที่ยว Shizuoka สถานีรถไฟเหนือทะเลสาบกับสะพานแขวนแห่งความฝัน (จุดขอพรความรักเน้นๆ)
มิ.ย. 05, 2020
บทความที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 จากแคมเปญ After covid-19
โดย นรีกานต์ เล้า
เที่ยว Shizuoka สถานีรถไฟเหนือทะเลสาบกับสะพานแขวนแห่งความฝัน (จุดขอพรความรักเน้นๆ)
สวัสดีค่ะ ช่วงหลังโควิดหลายๆคนก็คงอยากไปเที่ยวสถานที่ธรรมชาติอันแสนผ่อนคลายกันใช่ไหมคะ วันนี้อยากจะมาแนะนำสถานที่เที่ยวธรรมชาติสวยงาม อากาศดีบริสุทธิ์ในเมืองชิซูโอกะให้ทุกคนค่ะ
Shizuoka นอกจากจะดังเรื่องสวนสตรอว์เบอรี่ที่เก็บกินสตรอว์เบอรี่ลูกโตๆ ฟูจิซัง กับไร่ชาเขียวแล้ว จริงๆยังมีสถานที่น่าสนใจอยู่หลายที่ค่ะ อย่างซัมเมอร์ปีที่แล้ว ตอนนั้นเราได้มีโอกาสไปทำอาสาสมัครแคมป์เด็กญี่ปุ่นที่เมืองชิมาดะ จังหวัดชิซูโอกะ ช่วงวันหยุด หัวหน้าคนญี่ปุ่นใจดีก็เลยพาไปเที่ยวสถานีรถไฟเหนือทะเลสาบ โดยพวกเรานั่งรถไปกับเพื่อนร่วมงานด้วยกันค่ะ
ระหว่างทางนอกจากจะได้ชมวิวสวยๆแล้ว ยังลือกันว่าที่ๆจะไปนั้นเป็นจุดขอพรความรักที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ ซึ่งก็คือสะพาน Oku-Oi Rainbow Bridge และสะพานแขวนยูเมะ โนะ สึริบาชิ (Yume no Tsuribashi) นั่นเอง เริ่มจากพื้นที่แถบโอคุโออิที่เป็นเหมือนแดนสวรรค์ล้อมรอบด้วยหุบเขา แม่น้ำใส และทะเลสาบสีเขียวมรกตกันเลยค่ะ
ตามหุบเขาจริงๆแล้วเราสามารถปีนเขาขึ้นไปเพื่อชมวิวได้ โดยสังเกตจากป้ายบอกทาง ซึ่งตอนนั้นพวกเราก็พากันปีนขึ้นไปได้สักระยะทางหนึ่ง แต่ก็ไม่ไหวจริงๆ แพลนการปีนเขาจึงถูกยกเลิกไปเพราะตอนนั้นพวกเราเหนื่อยและร้อนกันมาก อย่างไรก็ตาม ถ้าให้แนะนำเช่ารถขับลุยมาจะดีมากค่ะ เราจะสามารถเดินทางไปไหนมาเองได้สะดวก เส้นทางอาจจะข้ามเขาเลี้ยวลดคดเคี้ยวสักหน่อย ผ่านอุโมงค์หลายครั้ง และต้องคอยหลบระวังเวลารถสวนมา แต่วิวข้างทางอลังการสุดๆค่ะ สีเขียวและสีฟ้าดูแล้วสบายตา ดีต่อใจให้ความรื่นรมย์มากค่ะ
หลังจากล้มเลิกแพลนการปีนเขาแล้ว เราก็ขับรถไปต่อกันที่สถานี Okuoikojo (奥大井湖上駅) สถานที่ไฮไลต์ของเรากัน
จากที่ศึกษาข้อมูลมานะคะ หากใครที่อยากลองนั่งรถไฟโบราณญี่ปุ่นดูละก็ ต้องขอแนะนำรถจักรไอน้ำที่ยังเปิดให้บริการอยู่ ซึ่งให้บริการมากกว่า 300 วันในหนึ่งปีเลยทีเดียว ในญี่ปุ่นมีเพียง ‘รถไฟโออิกาวะ’ ของบริษัทโออิกาวะเท็ตสึโด (Oigawa Railway) ที่จะวิ่งเลียบไปตามแม่น้ำโออิกาวะ โดยรถไฟจะแบ่งการเดินรถทั้งหมดเป็น 2 สายคือ สายโออิกาวะ (Oigawa) และสายอิกาวะ (Igawa) โดยจะเริ่มเดินรถตั้งแต่สถานีชินคานายะ (Shinkanaya) ซึ่งอยู่ที่จังหวัดชิซูโอกะ เมืองชิมาดะ ไปจนถึงสถานีเซ็นสุ (Senzu) ค่ะ
การเดินทางไปยังสถานีลับแห่งนี้จะต้องนั่งรถไฟสายอิคาวะ (Ikawa Line) ที่ถูกกำหนดเป็นเส้นทางใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงน้ำขึ้นของทะเลสาบที่มาจากเขื่อน Nagashima ถ้าใครได้นั่งรถไฟก็จะสามารถเพลิดเพลินกับธรรมชาติอันสวยงามพร้อมสัมผัสกับบรรยากาศเก่าๆของรถไฟโบราณได้อย่างเต็มที่ค่ะ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างเราก็จะเห็นหุบเขาใหญ่สวยงามค่ะ
เรามาทำความรู้จักกับตัวสถานี Okuoikojo (奥大井湖上駅) กันต่อเลยค่ะ ที่นี่เป็นสถานีรถไฟลับสุดสวยในญี่ปุ่นที่หลายคนยังไม่รู้จักและต้องหาโอกาสไปให้ได้ สถานีนี้เป็นสถานีกลางแม่น้ำโออิกาวะในพื้นที่แถบโอคุโออิที่เชื่อมต่อกับเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นตอนใต้ ตั้งอยู่ในเขตไฮบาราซึ่งเป็นพื้นที่ชนบทซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่เพียง 40,000 คน
สถานีนี้เป็นสถานีที่มีชานชาลาด้านเดียวที่เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2533 ส่วนสะพานเหล็กสีแดงที่พาดอยู่สองฝั่งของสถานี มีชื่อว่า “Okuoi Rainbow Bridge” (奥大井レインボーブリッジ) หรือจุดขอพรความรักนั่นเอง ที่นี่เป็นสถานีไร้ผู้คนตั้งอยู่ที่ปลายสุดของคาบสมุทรบนฝั่งซ้ายของเขื่อนทะเลสาบ Nagashima ถ้ามองจากไกลๆจะเห็นเหมือนกับว่าสถานีลอยอยู่กลางอากาศ เหนือทะเลสาบสีเขียวมรกตสวยงาม และด้วยตัวสะพานเหล็กสีแดงจึงทำให้สถานีนี้ดูโดดเด่นมากขึ้น
ไม่ว่าจะมาในฤดูไหน ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง หรือฤดูใบไม้ผลิ สีของทะเลสาบและสีเขียวต้นไม้ธรรมชาติก็ยังคงความสวยงามเป็นพิเศษค่ะ ดังนั้นใครที่อยากจะมาสัมผัสความงามของธรรมชาติ ขอพรความรัก และเปิดประสบการณ์ใหม่ๆแล้วละก็ มาสนุกกับการเที่ยวที่สถานีรถไฟนี้กันได้เลยค่ะ
พวกเรานั่งรอถ่ายรูปรถจักรไอน้ำสีแดงที่จะข้ามสะพาน Okuoi Rainbow Bridge ค่ะ
หลังจากถ่ายรูปวิวสวยๆที่สถานี Okuoikojo พร้อมกับเพื่อนร่วมงานทุกคนได้หลายใบแล้ว พวกเราก็มาที่สะพานแขวนยูเมะ โนะ สึริบาชิ (Yume no Tsuribashi) โดยพวกเรานั่งรถมากันและเดินทางตามป้ายเลยค่ะ
สำหรับการเดินทางโดยรถไฟมาที่นี่ จากการเสิร์ชข้อมูลเราสามารถนั่งชินคันเซ็นไปลงสถานีคาเคกาวะ (掛川駅) แล้วต่อรถไฟสาย local ไปลงที่สถานีคานะยะ (金谷駅) แล้วต่อรถไฟหัวจักรไอน้ำ C11 227 ไปลงที่สถานีเซนซึ (千頭駅) หลังจากนั้นต่อรถบัสไปอีก ประมาณ 20 – 30นาที จะถึงทางเข้า Sumatakyo Onsen จากตรงนี้ก็เดินขึ้นเขาอีก 30 นาทีจะถึงที่หมายค่ะ ค่อนข้างยาวไกลเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ตามที่แนะนำข้างต้นเช่ารถขับลุยจะสะดวกที่สุดค่ะ เพราะสถานที่เที่ยวอยู่ในบริเวณเดียวกัน ระหว่างทางเดินมีธรรมชาติมากมาย ต้นไม้หลายต้นและทะเลสาบจนไปถึงสะพานแขวนยูเมะ โนะ สึริบาชิ
ว่ากันว่าสะพานแห่งนี้จะทำให้สมหวังในเรื่องความรัก วิธีการคือให้ข้ามสะพานไปอย่างใจกล้า ยืนตรงกลางสะพาน และอธิษฐานขอพร แล้วจะทำให้ฝันเป็นจริงค่ะ สะพานนี้เป็นสะพานที่สวยติดอันดับต้นๆของญี่ปุ่น จุดเด่นอยู่ตรงที่มันอยู่ระหว่างแม่น้ำสีฟ้าอมเขียว มีภูเขาล้อมรอบ ท้องฟ้าสวยงาม ธรรมชาติสุดๆ สำหรับคนที่รักธรรมชาติและรักในเรื่องความรัก ห้ามพลาดสะพานนี้เลยค่ะ
โดยส่วนตัว เราเคยข้ามสะพานนี้มาแล้วพอกลับมาไทยก็ได้แฟนภายในปีนั้นเลยค่ะ (ไม่น่าเชื่อเหมือนกันใช่ไหมคะ ฮา) ถ้าอยากลองสัมผัสประสบการณ์แบบนี้ก็ต้องลองมากันดูนะคะ ขอฝากกลอนไว้นิดนึงค่ะ หากเป็นโสดมานานแล้ว คงไม่แคล้วต้องมาสะพานนี้ อยากมีคนที่ใช่ อยากเจอคนที่ดี ต้องมาสะพานนี้แล้วจะได้ไม่แคล้วคู่กันกับเธอ > <
สะพานแขวนยูเมะ โนะ สึริบาชิ (Yume no Tsuribashi) ในภาษาญี่ปุ่นคำว่ายูเมะที่แปลว่าความฝันนั้น นอกจากจะหมายความว่า สะพานมีทัศนียภาพอันงดงามชวนฝันแล้ว สะพานนี้ยังมีความสูงที่น่ากลัวด้วย จึงทำให้ดูเป็นเหมือนความฝันเช่นกันค่ะ
สะพานนี้เป็นสะพานไม้ขึงด้วยเหล็กเส้นเท่านั้น จึงทำให้รองรับน้ำหนักได้ต่อครั้งไม่เกิน 10 คน สะพานแขวนมีความยาว 90 เมตรและมีความสูงจากระดับผิวน้ำทะเลสาบประมาณ 8 เมตร
การเดินข้ามสะพานจะต้องเดินแถวเรียงหนึ่งไปทางเดียวกันทีละคน และระหว่างข้ามจะไม่สามารถเดินย้อนกลับทางเดิมได้ ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวที่สะพานนี้คือช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ดอกไม้เริ่มบานหรือช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี ได้ข่าวว่าช่วงนี้นักท่องเที่ยวจะเยอะมาก จนต้องเข้าคิวรอเพื่อข้ามสะพานกันเลยค่ะ
ดูจากเพื่อนคนญี่ปุ่นที่กำลังข้ามสะพานอยู่ก็ดูน่าหวาดเสียวทีเดียวเลยค่ะ
ไปต่อกันที่สถานที่สุดท้ายที่อยากแนะนำก็คือสถานีชินคานายะ เป็นสถานีที่มีรถไฟให้นั่งไปชมไร่ชาและทะเลสาบค่ะ สถานีนี้โด่งดัง มากๆเพราะมีรถไฟโทมัสที่เป็นขวัญใจเด็กของหลายๆคน ข้างในสถานีจะมีของฝากที่เป็นโทมัสมากมายเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นขนมหน้าโทมัสหรือของเล่น เราลองมาทำความรู้จักประวัติคร่าวๆของโทมัสกันเลย
โทมัสเกิดที่ประเทศอังกฤษ โดย Mr. Reverend Wibert Andrew เป็นรถไฟหัวรถจักรไอน้ำ อาศัยบนเกาะที่ชื่อเกาะโซดอร์ อนิเมะชื่อ ‘โทมัสยอดหัวรถจักร’ จะสอนเด็กๆให้รู้จักมิตรภาพ การรู้แพ้รู้ชนะ และการทำงานเป็นทีม โทมัสมีลักษณะนิสัยดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และมีนิสัยที่เหมือนเด็กทั่วไปอยู่อย่างหนึ่งคือเวลาทำดีแล้วชอบให้คนชม เรื่องนี้เด็กๆจะได้รับแรงบันดาลใจให้เชื่อว่าถึงแม้รถจักรจะตัวเล็ก แต่ก็สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และสำคัญได้ สำหรับครอบครัวคนไหนที่มีเด็กชายตัวน้อย ช่วงหลังโควิดต้องขอแนะนำให้มานั่งรถไฟที่สถานีนี้ค่ะ นอกจากจะได้สัมผัสกับบรรยากาศสถานีรถไฟโบราณแล้ว ยังมีรถไฟคาแรกเตอร์ที่เป็นโทมัสขวัญใจเด็กๆ ให้ชื่นชมด้วยค่ะ
ระหว่างขับรถกลับไปที่แคมป์เด็ก พวกเราก็ได้แวะลงสถานีชินคานายะเพื่อทานข้าวเย็นกันค่ะ ต้องบอกเลยสิ่งที่ห้ามพลาดที่สุดถ้าได้มาจังหวัดชิซูโอกะก็คือไอศกรีมรสชาเขียว ซึ่งราคาไม่น่าเกิน 500 เยนค่ะ ชิซูโอกะถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดชาที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น เป็นจังหวัดในภูมิภาคจูบุที่มีชื่อเสียงเรื่องการปลูกชาเขียว มีพื้นที่ไร่ชามากกว่า 40% ของพื้นที่ไร่ชาทั้งหมดในประเทศญี่ปุ่น และเป็นเพราะที่จังหวัดชิซูโอกะมีแม่น้ำที่สำคัญไหลผ่านหลายสาย ว่ากันว่าที่สำคัญคือต้นน้ำเหล่านั้นมาจากการละลายของน้ำแข็งจากภูเขาไฟฟูจิที่มีแร่ธาตุ ส่งผลให้ดินอุดมสมบูรณ์ ที่นี่จึงผลิตชาที่มีคุณภาพได้มากเป็นอันดับ 1 ในญี่ปุ่นติดต่อกันเป็นเวลามากกว่า 30 ปีเลยทีเดียวค่ะ
สำหรับคนญี่ปุ่นนั้น ทุกบ้านจะไม่สามารถขาดเครื่องดื่มที่เรียกกันว่า “ชา” ได้เลย แม้กระทั่งที่แคมป์เด็กก็จะมีกระติกน้ำขนาดใหญ่ตั้งไว้ แต่ไม่มีน้ำเปล่าเลยค่ะ มีเพียงชาเขียว 録茶 กับมุงิฉะ (ชาข้าวบาร์เลย์) เท่านั้น
จากการค้นข้อมูลว่าทำไมคนญี่ปุ่นจึงนิยมดื่มชา นั่นก็เป็นเพราะว่าชามีประโยชน์และไม่มีคาเฟอีนนั่นเองค่ะ โดยเฉพาะชาเขียวแท้ๆ อย่างชาที่จากไร่ชาในชิซูโอกะ ชาของญี่ปุ่นนั้นอุดมไปด้วยวิตามินที่ร่างกายเราต้องการ เช่น วิตามินอีที่ช่วยชะลอความแก่ วิตามินซีที่ช่วยลดความเครียด หรือวิตามินบีรวม และแร่ธาตุจำเป็นอื่นๆ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส รวมทั้งยังมีฟลูออไรด์ ช่วยเสริมความแข็งแรงให้แก่เคลือบฟัน ป้องกันฟันผุได้
ที่ญี่ปุ่น ทารกอายุประมาณ 1 เดือนขึ้นไปก็เริ่มกินชากันแล้วค่ะ สุดยอดไปเลยใช่ไหมคะ
ของกินอีกอย่างหนึ่งที่อยากแนะนำและห้ามพลาดเลยก็คือข้าวหน้าปลาไวท์เบทดิบค่ะ ปลาไวท์เบทกองสูงท่วมข้าวในเมนูยอดนิยมที่เรียกว่าชิราสึดง (生しらす丼) จะอยู่ในราคาประมาณ 600-1,000 เยน หยดซีอิ๊วลงไปสักหน่อยก่อนกินจะอร่อยมากขึ้นค่ะ แถวบริเวณสถานีชินคานายะจะมีร้านอาหารหลายร้านให้เลือกและมีเมนูนี้แน่นอนค่ะ
พูดถึงประโยชน์ของ ‘ปลาไวท์เบท’ หรือ ‘ชิราสุ’ ในภาษาญี่ปุ่นนั้น เป็นปลามีคุณค่าทางอาหารหลายอย่างเลยค่ะ ปลาชิราสุสามารถกินได้ทั้งตัวรวมถึงกระดูก จึงอุดมไปด้วยสารอาหารเช่นแคลเซียมซึ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของกระดูก เป็นสารอาหารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือดค่ะ การขาดแคลเซียมกล่าวกันว่าเป็นสาเหตุของภาวะหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง หรือเบาหวานได้ อย่างไรก็ตามจากการค้นข้อมูล ชิราสุมีแคลเซียมมากถึงประมาณ 520 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม (ขึ้นอยู่กับระดับการอบแห้ง) นอกจากนี้ก็ยังมีโพแทสเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี วิตามิน D วิตามิน E วิตามิน B1 วิตามิน B2 และสารประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย แบบนี้ต้องลองทานสักครั้งกันดูแล้วใช่ไหมคะ
น่าเสียดายมากที่ตอนนั้นไม่ได้สั่งเมนูนี้ แต่สั่งแกงกะหรี่แทนค่ะ 5555 ซึ่งเป็นรสชาติเฉพาะในชิซูโอกะ แอบมีปลาชิราสึแถมให้นิดๆ ก็อร่อยไม่แพ้กัน จริงๆคนญี่ปุ่นก็แนะนำให้ลองสั่งเมนูนี้แล้ว แต่ก็ไม่ได้สั่ง ยังเสียดายอยู่เลยค่ะ ตอนนั้นคนญี่ปุ่นเองก็พากันสั่งเมนูนี้เหมือนกันหมดเลยค่ะ ฮาา ยังไงถ้าใครได้ลองชิมกันแล้ว แวะมาบอกได้นะคะว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง > <
เป็นอย่างไรบ้างคะสำหรับบทความนี้ที่อยากชวนเพื่อนๆไปเที่ยวจังหวัดชิซึโอกะหลังโควิดกัน เห็นข่าวแว่วๆว่าตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป ประเทศญี่ปุ่นจะเปิดให้เพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่สามารถเข้าไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นได้ นับว่าเป็นข่าวดีมากเลยค่ะ ที่ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้นที่จะได้ไปเร็วๆนี้
ยังไงถ้าอยากมาสัมผัสกับธรรมชาติ ขอพรความรัก และชมรถไฟโทมัสที่เป็นของแถมแล้ว ต้องลองมาเที่ยวที่นี่กันดูเยอะๆนะคะ จะมาแบบกลุ่มเพื่อนโสดหรือแบบครอบครัวก็ยังได้ค่ะ เที่ยวในเมืองที่สงบ ไม่วุ่นวาย และได้มาลองอาหารขึ้นชื่อของเมือง คงฟินไปอีกแบบเลยค่ะ
แถมอีกนิดค่ะ บอกเลยว่าทริปหน้าร้อนปีที่แล้วที่ได้ฝึกงานไปด้วยเที่ยวไปด้วยเป็นหนึ่งในความทรงจำที่น่าประทับใจมาก นอกจากเด็กๆจะน่ารักกันมากแล้ว ตอนไปเล่นที่แม่น้ำตามแนวหุบเขาก็แฮปปี้สุดๆค่ะ ถึงแม้ว่าอากาศร้อน แต่แม่น้ำเย็นและใสมากจนเห็นปลาว่ายได้เลย กลางคืนบนท้องฟ้าก็จะมีดวงดาวให้เราเห็นชัดเจน แพรวพราวมาก เป็นความรู้สึกชนบทดีๆในอีกรูปแบบหนึ่งเลยค่ะ ถ้าได้ลองมาสัมผัสที่นี่ดูแล้ว รับประกันเลยค่ะว่าทุกคนจะต้องตกหลุมรักอย่างแน่นอน