ตะลุยโตเกียว เที่ยว ‘วัดทาคาฮาตะ ฟุโดซัง’ ตามรอยหน่วยซามูไรชินเซ็นกุมิ
ต.ค. 16, 2025
ตะลุยโตเกียว เที่ยว ‘วัดทาคาฮาตะ ฟุโดซัง’ ตามรอยหน่วยซามูไรชินเซ็นกุมิ
หากใครได้มีโอกาสไปเที่ยว เมืองฮิโนะ กรุงโตเกียว ต้องห้ามพลาด ‘วัดทาคาฮาตะ ฟุโดซัง’ ไปตามรอยของหน่วยซามูไรชินเซ็นกุมิกันเถอะ
สำหรับวิธีการไป วัดทาคาฮาตะ ฟุโดซัง (Takahata fudoson temple) ที่เร็วที่สุดจะเป็นการเริ่มต้นเดินทางที่สถานี Takahatafudo จาก Shinjuku โดยรถไฟ Keio Line Limited Express ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 32 นาที ค่าโดยสาร 360 เยน
แต่รอบนี้เราเริ่มเดินทางจากสถานี JR Mitaka เลยต้องนั่งรถไฟอีกเส้นทาง โดยเริ่มเดินทางด้วยรถไฟสาย JR Chuo Line มุ่งหน้าไปยังทาง Takao ไปลงที่สถานี JR Tachikawa
หากโดยสารรถไฟด่วน Special Rapid จะใช้เวลาประมาณ 12 นาที ค่าโดยสาร 230 เยน แตะบัตรออกจากสถานีของ JR และเดินต่ออีกประมาณ 7 นาทีไปต่อรถไฟโมโนเรล Tama Monorail สถานี Tachikawa-Minami (TT-11)
ส่วนสถานี Takahatafudo (TT-07) ใช้เวลาประมาณ 9 นาที ค่าโดยสาร 270 เยน ซึ่งรถไฟจากสถานีนี้จะออกที่ชานชาลาหมายเลข 2 เมื่อเข้าไปในสถานีให้เดินไปทางซ้าย ก็จะเห็นป้ายนำทางแบบนี้ก็เดินขึ้นบันไดไปได้เลย
รถไฟ Tama Monorail ขึ้นไม่ยากและมีความเป็น Local หน่อย เพราะว่ารถไฟมีแค่ 3 ขบวน คนส่วนใหญ่ที่ใช้บริการจะเป็นคนในท้องที่ เช่น นักเรียน คนทำงาน หรือคนที่ไปเที่ยวสวนสัตว์ Tama Zoological Park บอกเลยว่าเป็นรถไฟที่ขึ้นง่ายมากเพราะว่ามีแค่ 2 ชานชาลา ถ้านั่งผิดก็แค่ลงมาเปลี่ยนฝั่งเท่านั้นเอง
รถไฟมาแล้วก็ขึ้นกันเลย นั่งชิลล์ๆ ประมาณ 9 นาทีก็จะถึงสถานี Takahatafudo ลงที่สถานีนี้ได้เลย
พอลงมาชั้น Gate สถานี จะเห็นว่าบรรยากาศเงียบสงบ สบายๆ มีตู้จัดแสดงและแจกเอกสารเพื่อการท่องเที่ยวให้ตรงนี้ด้วยนะ (ไม่แน่ใจว่าเอกสารและการตกแต่งจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลเรื่อยๆ ไหมนะ)
ตุ๊กตาน้องแมวดำในตู้เป็นมาสคอตของ Tama Monorail โดยปกติน้องจะใส่ชุดแบบนี้
แต่ด้วยความที่สถานีนี้มีเรื่องราวของชินเซ็นกุมิ (Shinsengum) กลุ่มตำรวจซามูไรในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นอันโด่งดัง เลยมีสแตนดี้น้องแมวที่ใส่ชุดของชินเซ็นกุมิด้วย (ได้บรรยากาศสุดๆ)
รอบนี้ตั้งใจมาวัดทาคาฮาตะ ฟุโดซัง เพื่อตามรอยของฮิจิคาตะ โทชิโซ แห่งหน่วยชินเซ็นกุมิ ก่อนอื่นก็หยิบเอกสารแผนที่แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเขตฮิโนะ (Hino) ซึ่งจะมีสถานที่ให้ตามรอยมากกว่าวัดทาคาฮาตะ ฟุโดซัง แต่ขอเก็บเอาไว้โอกาสหน้านะ
เมื่อหยิบเอกสารและชมภายในสถานีกันจนอิ่มใจแล้ว ก็ออกจากสถานีแล้วเดินทางไปยังวัดทาคาฮาตะ ฟุโดซัง กันเลย!
รถไฟโมโนเรลมีทางออกเดียว เราสามารถแตะบัตรโดยสารและเดินออกจากเกตได้เลย ออกมาจากสถานี มองไปทางขวาก็จะมีป้ายนำทางอยู่ด้านบนแบบนี้ ให้เดินตามป้ายไปในส่วนที่เป็นมอลล์ได้เลย (หรือจะลงไปเดินด้านล่างริมถนนก็ได้)
เดินตรงมาเรื่อยๆ แล้วลงบันไดเลื่อนตรงนี้ไปชั้นหนึ่ง
จากนั้นก็เดินตรงไปเรื่อยๆ ต่อได้เลย
เมื่อเจอบันไดเลื่อนก็ลงอีกชั้น
พอลงบันไดเลื่อนลงมาแล้วก็จะเห็นบรรยากาศแบบนี้
มองไปทางซ้ายจะเห็นซุ้มทางเข้าสีแดงสะดุดตาอยู่ ตรงนั้นแหละคือเป้าหมายต่อไปของเรา เดินไปที่ซุ้มทางเข้าถนนสู่วัดทาคาฮาตะ ฟุโดซัง กันเลย!
ในถนนก็จะมีร้านขายของและร้านอาหารให้ได้ชอปฯ กันเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าอยากได้ของฝากเดี๋ยวจะแนะนำของเด็ดๆ ให้สำหรับชาวติ่งชินเซ็นกุมิในช่วงท้ายนะ
นอกจากนี้ ตอนที่ไป บนเสาไฟในถนนย่านการค้านี้ก็มีการตบแต่งด้วยธงรูปภาพของ ฮิจิคาตะ โทชิโซ (Hijikata Toshizo) ตลอดเส้นทางเลย
เดินมาเรื่อยๆ ประมาณ 5 นาทีจนสุดทางก็จะเห็นวัดทาคาฮาตะ ฟุโดซัง อยู่ตรงหน้า
วันที่ไปเป็นช่วงปลายเดือนกันยายน จริงๆ แล้วควรจะอากาศร้อนกว่านี้ แต่ว่าวันนี้อากาศกำลังเย็นสบาย ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป แถมฝนก็ไม่มี เหมาะสำหรับแผนการขึ้นภูเขาไปไหว้เทพเจ้าจิโซ 88 องค์จริงๆ!
ตรงนี้เราก็ยืนรอไฟเขียวข้ามทางม้าลายตรงนี้เพื่อเข้าไปยังทางเข้าวัด และเราก็เดินทางมาถึงวัดทาคาฮาตะ ฟุโดซัง แล้ว!
ทางด้านขวาของประตูทางเข้า Nio-Mon จะมีป้ายแผนที่แสดงพื้นที่ของวัดและตำแหน่งของอาคารต่างๆ รวมถึงเส้นทางเดินภูเขาด้วย
ก่อนเข้ามีป้ายเตือนจากทางวัด หากได้อ่านแล้วก็เดินไปยังหน้าประตูได้เลย ซึ่งทุกคนอาจสังเกตเห็นคุณลุงท่านหนึ่งกำลังยืนโค้งอยู่ด้านหน้า นั่นก็เพราะตามธรรมเนียมของคนญี่ปุ่นจะต้องโค้งก่อนเข้าประตูวัดหรือโทริอิเพื่อเป็นการขออนุญาตเข้าพื้นที่ และเมื่อเดินออกจากวัดก็ให้ทำเช่นเดียวกัน โดยเดินพ้นเขตวัดออกมาจากประตูแล้วให้หันหน้าไปทางวัดและโค้งเพื่อเป็นการบอกเทพเจ้าและสิ่งศักดิสิทธิ์ว่าเรากลับแล้ว
ประตูนิโอมง (Nio-Mon) จะมียักษ์เฝ้าทางเข้าอยู่ทั้งทางซ้ายและขวา โดยประตูแห่งนี้สร้างจากไม้ และภายในมีการติดแผ่น Senshafuda (千社札) เอาไว้ด้วย ซึ่งเป็นแผ่นสติกเกอร์ที่เขียนชื่อของผู้ที่มาเยือนเอาไว้ แปะไว้เหมือนกับว่าตนเองได้มาที่วัดนี้แล้ว แต่หากจะติดจะต้องไปขออนุญาตเจ้าหน้าที่วัดก่อน ไม่สามารถติดเองได้โดยพละการ เพราะว่าในปัจจุบันบางวัดไม่อนุญาตให้ติดแล้วด้วย
พอผ่านประตูนิโอมงเข้ามาแล้วก็จะพบบรรยากาศวัดสวยๆ แบบนี้เลย
เดินเข้ามาแล้วก็อย่าลืมไปล้างมือ ชำระล้างร่างกายกันตรงนี้ตามธรรมเนียมคนญี่ปุ่นก่อนเข้าวัดนะ
ในช่วงเวลาที่วัดเปิดทำการ จะมีการจุดธูปบูชาตรงกลางลานด้วย ในวันที่เราไปคนไม่เยอะมากจึงไม่ค่อยมีควันฟุ้งมากเท่าไหร่ สำหรับใครที่แพ้ควันก็เดินริมๆ เอานะ
อาคารที่อยู่ด้านในถัดจากที่จุดธูปเป็นอาคารหลัก สามารถเข้าสักการะ โยนเหรียญทำบุญไหว้สักการะได้ ในตอนที่ไปมีการจัดพิธีสวดภายในอาคารด้วย มีพระนำสวดเป็นภาษาญี่ปุ่น ผู้เข้าร่วมพิธีรั่งเรียงกันเป็นแถวอย่างเรียบร้อย และมีการจุดธูปฟุ้งเต็มไปหมดเลย น่าเสียดายที่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป
พอขึ้นไปสักการะเสร็จแล้ว หันกลับมาที่ตรงบันไดทางขวาจะมีพระพุทธรูปตั้งอยู่ จุดนี้มีความเชื่อว่าเราสามารถเข้าไปลูบตามส่วนต่างๆ ของพระพุทธรูป เพื่ออธิษฐานให้ตนเองหายจากอาการเจ็บป่วยได้
หลังจากนั้นเราก็แวะไปที่อาคารสีแดงๆ ทางขวาของอาคารหลัก ที่นี่จะมีการจำหน่ายโอมาโมริด้วย
ตรงทางเข้าก็มีให้ทำบุญกับ โกะมากิ (護摩木, Gomagi) ซึ่งเป็นแท่งไม้อธิษฐาน ที่จะนำไปเผาเพื่อประกอบพิธีทางศาสนา ราคาแท่งละ 300 เยน
เราเลยถือโอกาสร่วมทำบุญในครั้งนี้ด้วยเลย ซึ่งทางวัดจะจัดเตรียมวางปากกาและแท่งไม้เอาไว้ให้เขียนแบบญี่ปุ่นเรียงลงมาจากด้านบน เป็นคำอธิฐานของเรา ซึ่งสามารถดูจากป้ายของทางวัดได้เช่นกัน จากนั้นก็เขียนชื่อของเรา หากต้องการเขียนชื่อหลายคนในครอบครัวในแผ่นเดียวก็ได้ หรือจะเขียนแค่นามสกุลก็ได้เช่นกัน
เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็อย่าลืมคืนปากกาไว้ที่เดิม และนำไม้ไปวางรวมกับของคนอื่นๆ
จากนั้นมาหยอดเงินทำบุญทั้งหมด 300 เยน ใส่ในกล่องที่ตั้งอยู่ด้านหน้าก็เป็นอันเสร็จสิ้น
จากนั้นก็ไปเดินชมภายในวัดกันต่อ พอเดินออกมาจากส่วนเมื่อกี้ก็จะเจอกับทางเดินกลางขนาดใหญ่และมีเจดีย์ 5 ชั้นสีแดงสดอยู่ทางซ้ายของถนน
พอดีเราไปช่วงบ่ายแล้ว อาคารข้างในจะปิดไม่ให้เข้าชม เลยเริ่มจากเดินเลาะทางขวา เดินชมวนทวนเข็มนาฬิกาไปตามนี้เลย
เดินมาเรื่อยๆ ทางด้านหลังของอาคารหลักก็จะเจอกับอาคารหลังนี้ก่อนเลย
ที่นี่จะมีจัดแสดงพระพุทธรูปไม้แกะสลัก ซึ่งเป็นหนึ่งในสมบัติสำคัญทางศาสนาของญี่ปุ่น เราสามารถเดินขึ้นบันไดไปสักการะจากด้านนอกได้ โดยเมื่อเขย่าระฆังก็จะสั่นกังวาลไปถึงภายห้องจัดแสดงพระพุทรูปไม้แกะสลัก
อย่างไรก็ตาม แม้ไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ ก็ยังสามารถมองเห็นภายในห้องได้เนื่องจากด้านนอกเป็นแผ่นกระจก มีพระพุทรูปไม้แกะสลักและรูปปั้นขนาดใหญ่อยู่เคียงข้าง ได้เห็นจากด้านนอกก็เป็นบุญตามากเลย และแน่นอนว่าส่วนนี้ก็ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปเช่นกัน….
หากใครสนใจจะเข้าไปชมก็สามารถเดินเข้าไปทางซ้ายและเข้าไปด้านใน พร้อมชำระค่าเข้าชมที่พี่พนักงานได้
เดินชมอาคารนี้เสร็จแล้วถ้าใครต้องการเข้าห้องน้ำให้เดินไปทางขวาของอาคารนะ เพราะว่าเดินลึกเข้าไปด้านในอีกจะไม่มีห้องน้ำแล้ว มีแค่ตรงนี้เท่านั้น ถ้าพร้อมที่จะเดินทางต่อก็ไปที่ถนนใหญ่ทางซ้ายกันเลย
ตอนไปเป็นช่วงที่ดอกฮิกังบานะ หรือดอกลิโคริส (Lycoris) กำลังบานพอดีเลยมีดูรายทางเรื่อยๆ
พอเดินมาด้านหลังอาคารแดงก็จะมีเหมือนศาลาอะไรเล็กๆ
เดินตรงถนนใหญ่ไปเรื่อยๆ ขึ้นบันไดไปยังโซนต่อไปกันเลย
ทางด้านซ้ายของบันไดทางขึ้นมีรูปปั้นหินขนาดใหญ่ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรอยู่ด้วย โดยรูปปั้นส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกลุ่มต้นไม้ ให้ความรู้สึกสวยเข้ากับธรรมชาติสุดๆ
เมื่อเดินถึงบันไดขั้นบนสุดก็จะเจอกับประตูทางเข้าที่สร้างจากไม้โบราณ บอกเลยว่างานแกะสลักไม้สวยมากจริงๆ
เดินเข้าประตูเข้ามาก็จะเจอกับบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ อาคารในสวนนี้คือไฮไลท์ของวันนี้ที่ตั้งใจมา! เพราะว่าอาคารที่จะไปต่อจากนี้คืออาคาร Osei-dou ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญที่ประดิษฐานแผ่นป้ายวิญญาณ (อิไฮ) ของรองหัวหน้าชินเซ็นกุมิ ฮิจิคาตะ โทชิโซ
นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงภาพ Nari-Ryu (鳴り龍) หรือแปลภาษาไทยคือ ภาพมังกรคำราม บนเพดานของห้องโถงกลาง ซึ่งมีความเชื่อว่าหากได้เข้าไปสักการะและปรบมือด้านล่างของมังกรคำราม หากมีเสียงดังสะท้อนจากเพดานแสดงว่าคำอธิฐานของเราจะเป็นจริง
เมื่อเดินตรงไปทางขวา ก็จะเห็นทางเข้าอาคาร มีพระพุทธบาทหินตั้งอยู่ เราสามารถเอามือสัมผัสเพื่อเป็นสิริมงคลได้นะ
เดินมาถึงทางเข้าอาคาร Osei-dou แล้ว! ก่อนขึ้นอาคารก็ถอดรองเท้าเรียงให้เรียบร้อย แล้วไปชำระค่าเข้าชม คนละ 300 เยน เราก็จะได้ตั๋วมา แล้วก็เดินเข้าไปชมภายในอาคารได้เลย
ภายในอาคารห้ามถ่ายรูปและต้องระมัดระวังสิ่งของบางอย่างที่ไม่อนุญาตให้สัมผัสได้ด้วย ทุกคนต้องระวังกันด้วยนะ น่าเสียดายที่หลังจากนี้เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป เราจึงจะเล่าเหตุการณ์ด้านในเป็นตัวหนังสือแทน
เมื่อชำระค่าเข้าชมแล้วหันหลังไปก็จะเป็นทางเข้า มีบันไดเชื่อมกับอาคารข้างๆ ทางด้านขวามีหน้าต่างเปิดอยู่ มองเข้าไปจะเห็นสวนสไตล์ญี่ปุ่น โดยช่วงที่ไปยังเป็นช่วงที่ต้นไม้เขียวขจี ให้ความรู้สึกสดชื่นมาก เมื่อเดินมายังอาคารข้างๆ จะเริ่มเดินวนจากทางซ้าย วนตามเข้มนาฬิกาไป ตอนที่ไปจะมีโต๊ะแจกเอกสาร (ภาษาญี่ปุ่น) และมีการจัดแสดง วัชระ (金剛杵, Kongousho) ที่ทำจากเหล็กทั้งชิ้น คาดเดาจากสายตาคิดว่ามีความยาวประมาณ 30 ซม. โดยทุกคนสามารถสัมผัสลูบเพื่อเป็นศิริมงคลได้
เดินต่อไปจะถึงส่วนกลางของอาคารซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลท์ เป็นส่วนที่มีพระพระพุทธรูปและภาพ Nari-Ryu (鳴り龍) บนเพดานด้านหน้าห้องเก็บพระพุทธรูป ตรงนี้เราสามารถเดินขี้นไปตรงบริเวณด้านหน้าเพื่อสักการะและอย่าลืมปรบมือ 2 ครั้งหลังอธิฐานตามสไตล์ญี่ปุ่น เพื่อให้มังกรคำรามทำให้คำอธิฐานเราเป็นจริง!
เมื่อสักการะเสร็จแล้วก็เดินชมต่อ ในส่วนต่อไปก่อนเลี้ยวตรงมุมจะมีรูปปั้นของเทพญี่ปุ่น ตรงนี้ทางวัดไม่ได้อนุญาตให้จับได้ ต้องระวังกันด้วยนะ!
เลี้ยวไปแล้วก็จะมีห้องทาทามิจัดแสดงพระพุทธรูปและของสำคัญต่างๆ เราสามารถเดินขึ้นไปชมภายในห้องได้เลยนะ และในส่วนต่อไปจะเป็นส่วนที่ประดิษฐานแผ่นป้ายวิญญาณ (อิไฮ) ของทั้งตระกูลฮิจิคาตะ และรองหัวหน้าชินเซ็นกุมิ ฮิจิคาตะ โทชิโซ เอาไว้ แน่นอนว่าเก็บไว้ทั้งตระกูล ซึ่งหมายความว่าจำนวนไม่ใช่น้อยๆ เลย เล่นเอาขนลุกไปเลยทีเดียว
เมื่อผ่านโซนนี้ไปก็จะวนกลับไปที่ทางเข้าเมื่อตอนแรก หากใครอยากจะชมต่ออีกรอบก็ได้ ทางวัดไม่ได้กำหนดว่าชมได้แค่รอบเดียว แต่ถ้าออกมาแล้วก็จะกลับเข้าไปใหม่ไม่ได้นะ
เคลียร์ Check point ที่ 1 ไปแล้วกับอาคาร Osei-dou เนื่องจากไม่ให้ถ่ายรูปด้านใน ตอนออกมาเลยถ่ายด้านนอกอาคารไว้เป็นที่ระลึกหน่อย ซึ่งนี่คืออาคารหลักที่เชื่อมกับทางเข้า หากหน้าต่างสีขาวเปิด เราก็จะมองเห็นด้านในโถงที่เพดานมีภาพของ Nari-Ryu (鳴り龍) ทั้งนี้ ถ้าใครไม่สะดวกเข้าไปชมด้านในหรือมาไม่ทันเวาทำการก็สามารถสักการะจากด้านนอกได้เช่นกัน
เดินออกมาจากส่วนของอาคาร Osei-dou ก็จะสามารถวนกลับมาที่บริเวณด้านหน้าได้
จะมีอาคารต่างๆ ให้เราได้ชมอยู่ตามทางเรื่อยๆ เลย โชคดีที่ช่วงที่ไปเที่ยวไม่ค่อยมีคนจึงได้บรรยากาศเหมือนมาพักผ่อนสบายๆ ด้วย แต่ถ้าช่วงที่มีจัดงานหรือเทศกาลคิดว่าน่าจะเป็นวัดที่ค่อนข้างคึกคักน่าดู
ตรงทางเชื่อมนี้มีศาลเข้าจิ้งจอกเล็กๆ ตั้งอยู่ ให้อารมณ์เหมือนมีศาลเจ้าเล็กๆ ในวัดอีกที
ตรงทางเข้าก็จะมีรูปปั้นหินปี่เซี๊ยะตั้งอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวาเลย
สามารถชำระล้างร่างกายอีกทีเพื่อเข้าไปไหว้ศาลจ้าจิ้งจอกได้นะ
ด้านบนศาลานี้ก็มีการแกะสลักลวดลายเอาไว้ ไม่ว่าตรงไหนก็มีแต่งานศิลปะที่สวยงาม
พร้อมแล้วก็เดินไปหาเทพเจ้าจิ้งจอกกันเลย!
จะมีโทริกิสีแดงเป็นเอกลักษณ์ต้อนรับเราอยู่ด้านหน้า แม้ที่นี่จะเป็นศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอกขนาดเล็ก แต่ก็มีคนศรัทธาและนำของมาสักการะด้วย
เนื่องจากวัดได้รับอิทธิพลจากทางอินเดียด้วย เลยทำให้มีรูปปั้นสไตล์อินเดียซ่อนอยู่ตามพงไม้ รู้สึกว่าไม่ค่อยเห็นในวัดที่ประเทศญี่ปุ่นเท่าไหร่
พอเราเดินลงจากส่วนของศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอกมาก็จะเจอกับอาคารสีแดงตอนแรก วนกลับมาที่เดิมแล้ว!
ตอนนี้ก็ได้เวลาเดินกลับไปที่บริเวณทางเข้า ไปชมเจดีย์ 5 ชั้นสีแดงสง่าในตอนแรกกันเลย!
ตรงนี้เราสามารถเข้าไปสักการะ และเดินชมรอบๆ ได้ตามปกติ หรือถ้าใครเริ่มเมื่อยก็สามารถนั่งชมเจดีย์นี้ที่ที่นั่งรอบๆ ได้นะ บริเวณใกล้ทางเข้ามีตู้ขายน้ำอัตโนมัติ สามารถเดินไปซื้อแล้วมานั่งดื่มนั่งพักกันได้ที่นี่เลย เพราะหลังจากนี้ เราจะพาไปเข็คพอยต์หนึ่ง ซึ่งจะเป็นทริปเดินขึ้นภูเขาไหว้เทพเจ้าจิโซทั้งหมด 88 องค์!
อย่างไรก็ตาม เรายังไม่จบกันไปเพียงเท่านี้ เพราะในบทความหน้าเราจะพาไปเส้นทางด้านซ้าย ไปขึ้นเขาด้วยกันนะ!
🙏🌸🙏🌸🙏
อ่านบทความที่น่าสนใจจาก fromJapan
- ส่องเทรนด์ฮิต “กิโมโนคิตตี้” สวย น่ารัก ไม่เหมือนใคร จาก 2 ร้านดังในโตเกียว!
- รถลากสไตล์ญี่ปุ่น (Jinrikisha) : ประวัติศาสตร์แห่งการสัญจรที่ยาวนานกว่าร้อยปี
- รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นฉบับติ่งโคนัน ตอนที่ 1 โตเกียวสกายทรี x ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน