fbpx

โบกมือลาอีกรุ่น NISSAN ยุติการผลิต R35 GT-R รถสปอร์ตในตำนานของญี่ปุ่น

ส.ค. 29, 2025

  • Clip

โบกมือลาอีกรุ่น NISSAN ยุติการผลิต R35 GT-R รถสปอร์ตในตำนานของญี่ปุ่น

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา นิสสัน มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ได้จัดพิธีส่งท้ายการผลิต R35 GT-R คันสุดท้าย ณ โรงงานโทชิงิ (ต่อไปจะเรียกว่า GT-R)

ย้อนประวัติกลับไป GT-R เปิดตัวครั้งแรกในปี 2007 และได้วางจำหน่ายมาอย่างต่อเนื่องในฐานะรถยนต์แถวหน้าของ NISSAN จนกระทั่งวันที่ 14 มีนาคม 2024 ได้มีการประกาศเปิดตัวรุ่นปี 2025 และต่อมาเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2025 ที่ผ่านมา ก็มีการประกาศปิดรับคำสั่งซื้อใหม่อย่างเป็นทางการ 

จากนั้นประมาณ 5 เดือนต่อมา ในวันที่ 26 สิงหาคม 2025 ณ โรงงานโทชิงิ ซึ่งเป็นสถานที่ผลิต GT-R ได้ผลิตรถคันสุดท้ายอันเป็นที่เสร็จสิ้น และเป็นการปิดฉากสายการผลิต GT-R ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2007 อย่างสมบูรณ์

ภาพบรรยากาศพิธีส่งรถคันสุดท้ายของ R35 GT-R จัดขึ้นที่โรงงานโทชิงิของ NISSAN โดยมี คุณฮิโรชิ ทามุระ ผู้ให้กำเนิด R35 GT-R และแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ NISSAN เข้าร่วมด้วย

ด้านหน้าฮอลล์รับรองแขกของโรงงาน มีการจัดแสดงรถ GT-R เรียงรายไว้ต้อนรับ

ภายในฮอลล์รับรองแขก มีการจัดแสดงรถรุ่นสำคัญที่น่าประทับใจในประวัติศาสตร์ของ GT-R

รถคันสุดท้ายที่ถูกนำมาวางที่สายการผลิต

เมื่อถึงเวลา เครื่องยนต์ได้ถูกสตาร์ทขึ้น และไฟหน้าของ GT-R ส่องสว่างออกมาจากปลายสายการผลิตที่มืดสลัว

รถได้เคลื่อนผ่านข้างๆ คุณทามุระ ซึ่งยิ้มและมอง GT-R ด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ

รถคันสุดท้ายนี้เป็นรุ่น Premium Edition T-Spec มาพร้อมสีตัวถัง Midnight Purple

ก่อนจะส่งมอบไปยังเจ้าของ ได้มีการถ่ายภาพที่ระลึกเอาไว้

เล่าต่อความทรงจำที่มีต่อ GT-R โดยบุคคลสำคัญของ GT-R

ในพิธีครั้งนี้มีคุณ ฮิโรชิ ทามุระ แบรนด์แอมบาสเดอร์ของ NISSAN และคุณ มิตสึทากะ มัตสึโมโตะ หัวหน้ากลุ่มพัฒนาแชสซี จากฝ่ายวางแผนและวิศวกรรมยานยนต์ของ NISSAN ซึ่งมีส่วนร่วมในโครงการ GT-R ตั้งแต่ช่วงแรกๆ มาขึ้นเวทีเพื่อแบ่งปันความทรงจำที่มีต่อ GT-R

คุณทามุระ ปรากฏตัวพร้อมกับแค็ตตาล็อกปกแข็งของ GT-R ที่เขาเคยทำขึ้นสมัยทำงานอยู่ใน NISSAN โดยเขาเปิดหน้าแรก พร้อมกับพูดว่า “แค็ตตาล็อกเล่มนี้เต็มไปด้วยความฝันของคนรักรถ ตัวหนังสือค่อนข้างเล็กและอ่านยาก แต่เพราะผมอยากใส่ข้อมูลให้มากที่สุด และอยากส่งต่อเรื่องราวมากที่สุด มันเลยกลายเป็นแค็ตตาล็อกที่มีรายละเอียดแน่นแบบนี้ครับ”

จากนั้นเขาเปิดไปยังหน้าสุดท้ายของแค็ตตาล็อก ซึ่งใช้ภาพเด็กคนหนึ่งที่กำลังเล่นกับรถยนต์โมเดล GT-R เต็มหน้า ปรากฏว่าภาพนั้นคือ คุณทามุระในวัยเด็ก โดยเขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งตอนยังเด็กเขาเคยไปชมการแข่ง Skyline GT-R ที่ Fuji Speedway แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะชอบ Fairlady Z แต่ Skyline กลับทำให้เขาตรึงตาตรึงใจมากกว่า และเมื่อเดือนมีนาคม ปี 1973 เขาได้เห็น Skyline GT-R พุ่งทะยานบนทางโค้งของ Fuji Speedway ซึ่งความรู้สึกตื่นเต้นในครั้งนั้นทำให้เขาตั้งใจว่า “สักวันหนึ่งอยากเข้ามาทำงานที่ NISSAN และสร้าง GT-R ด้วยตัวเอง” ซึ่งภาพบนแค็ตตาล็อกนั้นสะท้อนความตั้งใจนี้

การออกแบบโดยเลือกใช้ภาพนั้นมีพื้นฐานมาจากความใฝ่ฝันของคุณทามุระที่มีต่อ GT-R ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นข้อความที่สะท้อนว่า อยากให้รถคันนี้เป็นรถที่เชื่อมโยงไปสู่อนาคตเพื่อที่เด็กยุคปัจจุบันจะได้สร้างมันขึ้นด้วยเช่นกัน

Skyline GT-R รุ่นแรก ที่ทำให้เด็กชายทามุระในปี 1973 หลงใหลครั้งแรกก็คือรุ่นในยุคนั้น

Skyline GT-R รุ่นที่สอง ได้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกหลังจากการปรากฏตัวในเกมและภาพยนตร์ จากนั้นก็ค่อยๆเติบโตขึ้นเป็นรถยอดนิยมระดับโลก

R33 Skyline GT-R ภายใต้การดูแลโดยคุณโกโซ วาตานาเบะ ผู้รับผิดชอบหลักได้ตั้งคอนเซปต์ว่า “ที่สุดแห่งความเพลิดเพลินในการขับขี่” ซึ่งแนวคิดนี้ก็ได้ถูกสืบทอดมายัง GT-R ที่คุณทามุระดูแลเช่นกัน

จากนั้นจึงได้มีการเพิ่มเป้าหมายใหม่ให้กับ GT-R เพื่อให้สอดคล้องกับการเป็นรถสปอร์ตที่ควรมีในศตวรรษที่ 21 นั่นก็คือ “รถที่ใครก็สามารถสัมผัสได้ทุกที่ทุกเวลา มอบทั้งความสุขและประสบการณ์สูงสุด พร้อมสมรรถนะระดับซูเปอร์สปอร์ตที่เหนือชั้น” อีกทั้งยังเป็นรถยนต์ผลิตจำนวนมากที่ทำสถิติเร็วที่สุดในสนามนูร์เบอร์กริง (Nurburgring) อีกด้วย ถึงแม้จะวิ่งด้วยความเร็ว 300 กม./ชม. ก็ยังมีความเสถียรจนผู้โดยสารสามารถสนทนากันได้

เวลามีการพัฒนารถรุ่นใหม่ที่ NISSAN จะไม่เรียกชื่อจริงของรถในระหว่างการพัฒนา เพราะอาจเกิดปัญหาภายในได้ จึงมีธรรมเนียมตั้งชื่อรหัส โดยใช้ตัวอักษร 2 ตัวมาประกอบกัน ซึ่ง GT-R ก็ได้รับชื่อรหัสว่า “TM”

ที่มาของ “TM” แบ่งเป็น 2 ด้านที่ GT-R มุ่งหวังไว้ คือด้านซอฟต์และด้านฮาร์ท 

  • ด้านซอฟต์ : เป็นรถที่สร้างเทรนด์และนำสมัย จึงได้ชื่อว่า Trend Maker
  • ด้านฮาร์ด : เป็นรถที่มีแรงยึดเกาะสูง มอบแรงขับมหาศาลราวกับฉีกพื้นถนนออกมา จึงถูกเรียกว่า Traction Master

เมื่อรวมตัวอักษรแรกของคำทั้งสองเข้าด้วยกัน ก็จะกลายเป็นรหัส “TM”

นอกจากนี้ ยังมีรุ่น GT-R T-Spec ที่หลายคนเข้าใจว่าตัวอักษร T มาจากชื่อ Tamura แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เดิมทีมีแผนจะใช้ชื่อ TM-Spec (ตามชื่อรหัส TM ในการพัฒนา) แต่มีเสียงคัดค้านว่า TM ดูเหมือน Trade Mark ไปหน่อย อีกทั้งมีธรรมเนียมการตั้งชื่อรุ่นพิเศษก่อนหน้า เช่น V-Spec หรือ M-Spec ที่ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษเพียงหนึ่งตัว สุดท้ายจึงตัดสินใจใช้ตัวอักษร T ตัวเดียวแทน

ในการพัฒนาช่วงแรกถูกเรียกด้วยชื่อ “TM” ส่วน Z33 Fairlady Z ใช้ชื่อว่า “GI” ซึ่งย่อมาจาก Global Identity

มีเอกสารล้ำค่ามากมายถูกเปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่องในงานครั้งนี้ โดยภาพทางซ้ายคือ สมุดคอนเซ็ปต์ที่จัดทำขึ้นตั้งแต่ปี 2000 โดย GT-R ถูกออกแบบโดยมีเป้าหมายให้เป็นรถที่ผู้ขับขี่ในหลายๆกลุ่มสามารถทำความเร็วได้อย่างเต็มศักยภาพ

นี่คือภาพของรถคอนเซ็ปต์ที่เปิดตัวในงาน Motor Show ณ ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2001

ในช่วงที่คุณทามุระรับผิดชอบโครงการ รถรุ่นนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะใช้ชื่อ “Skyline” หรือไม่ แต่วันหนึ่งทางบริษัทมีคำสั่งลงมาว่า “เนื่องจากเป็นรถที่มีภาพลักษณ์ใหม่ เราจึงจะไม่ใช้ชื่อ Skyline” ในตอนนั้นคุณทามุระยืนกรานเพราะว่านี่คือรถที่เขาใฝ่ฝันมาตลอด แต่ท้ายที่สุด รถ GT-R ก็แยกตัวออกจาก Skyline แม้ว่าทีมพัฒนาจะยังเป็นทีม Skyline อยู่ แต่หลังจากนั้นทางบริษัทจึงตัดสินใจพัฒนาเป็น GT-R อย่างเต็มตัว

สำหรับ R34 มีการแยกรุ่นสำหรับสนามแข่ง (V-Spec) และรุ่นสำหรับขับขี่ทั่วไปหรือขับทางไกล (M-Spec) โดยวิธีนี้ยังคงสืบทอดมาใน R35 GT-R ในรูปแบบ Premium Edition และ NISMO

GT-R เป็นรถที่มีแฟนคลับทั่วโลก แต่สุดท้ายประเทศที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดกลับเป็นประเทศญี่ปุ่น

R32, R33 และ R34 GT-R เป็นรถที่อัปเกรดตามรุ่น แม้จะมีการเปลี่ยนความยาวฐานล้อ แต่เครื่องยนต์และกลไกพื้นฐานแทบไม่เปลี่ยนแปลง การพัฒนาต่อเนื่องนี้ทำให้รถถูกยอมรับโดยผู้ใช้ ดังนั้น R35 GT-R จึงมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงประสิทธิภาพโดยไม่เปลี่ยนรูปลักษณ์หรือสเปกชั่วคราว

โดยส่วนที่มีการพัฒนาต่อมาก็คือความแข็งแรงของตัวถัง แต่จริงๆแล้วแผนผังตัวถังตั้งแต่ต้นแทบไม่เปลี่ยนแปลง แล้วทำไมความแข็งแรงจึงสูงขึ้น? คำตอบอยู่ที่ความสามารถของพนักงานโรงงานโทชิกิ

เมื่อผลิตรถจะมีค่าความคลาดเคลื่อน (Tolerance) กำหนดไว้ เช่น ค่าต่างระดับนี้ถือว่าอนุญาตได้ และสำหรับ GT-R ค่าดังกล่าวเข้มงวดมาก ทำให้พนักงานที่สามารถทำงานในสายการผลิต GT-R ต้องมีทักษะสูง นอกจากนี้ ภายในโรงงานยังมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมาก ซึ่งแน่นอนว่าความเข้มงวดของค่าความคลาดเคลื่อนทำให้การทำงานยากขึ้นเช่นกัน แต่ก็แลกมาด้วยความสมบูรณ์ของชิ้นงาน และผลลัพธ์ก็คือ ความแข็งแรงของตัวถังสูงกว่าค่าที่ออกแบบไว้ถึง 8% และนี่คือ GT-R ที่พัฒนาขึ้นด้วยความพยายามของทั้งฝ่ายออกแบบและพนักงานโรงงาน คุณทามุระกล่าวด้วยความซาบซึ้งว่า “GT-R เกิดขึ้นได้เพราะที่นี่”

ประวัติความก้าวหน้าของ GT-R ได้สะท้อนให้เห็นเป้าหมายหลักคือ “ทำสิ่งหนึ่งอย่างต่อเนื่องและพัฒนาจนถึงที่สุด” นี่คือคุณสมบัติเด่นที่สุดของซีรีส์ GT-R และเหตุผลที่รุ่นต่างๆไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย

GT-R ยังมุ่งเป้าสู่ตลาดโลก พนักงานโรงงานโทชิกิเองก็มีจิตสำนึกแบบเดียวกัน การได้เป็นผู้รับผิดชอบ GT-R ถือเป็นเรื่องน่าภูมิใจ

ความท้าทายระดับโลกที่สำเร็จในปี 2013 คือการทำเวลารอบสนาม Nürburgring Nordschleife 7 นาที 8.679 วินาที ซึ่งเป็นสถิติรถยนต์สำหรับผลิตจำนวนมากที่เร็วที่สุด

ในปี 2016 GT-R ท้าทายสถิติความเร็วขณะดริฟต์ โดยทำความเร็วได้ 304.96 กม./ชม. และทำลายสถิติโลก การทดสอบจัดขึ้นในสนามบินของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ในปี 2024 รถทำสถิติรอบสนาม Tsukuba Circuit Course 2000 ได้เร็วถึง 59.078 วินาที ซึ่งเป็นสถิติรถยนต์สำหรับผลิตจำนวนมากที่ทำได้เร็วที่สุด

สุดท้ายแล้ว คุณทามุระได้กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ผมบอกเลยนะ รุ่นต่อไปมีการปรับปรุงหลายอย่าง แต่วันนี้ยังไม่ใช่วันประกาศครับ NISSAN มีการวางแผนและคิดเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อถึงเวลาเราจะเปิดเผยเอง”

ย้ายมาจากค่ายรถยนต์อื่น เพราะอยากพัฒนา GT-R

ในต่อมา ไมโครโฟนถูกส่งต่อให้คุณมัตสึโมโตะ โคกิ ผู้รับผิดชอบกลุ่มพัฒนาระบบแชสซีในฝ่ายพัฒนาเทคนิคองค์ประกอบรถยนต์และวางแผนรถยนต์ของ NISSAN คุณมัตสึโมโตะเป็นหนึ่งในทีมที่มีส่วนร่วมในการพัฒนา GT-R ตั้งแต่ช่วงเปิดตัว

คุณมัตสึโมโตะเคยทำงานอยู่ที่ค่ายรถยนต์อื่น แต่หลังจากได้เห็น GT-R Concept ในงาน Tokyo Motor Show ปี 2001 ก็เกิดความรู้สึกว่า “อยากพัฒนารถคันนี้” และด้วยความมุ่งมั่นนั้น เขาจึงย้ายมาทำงานที่ NISSAN ในปี 2002 และในปี 2004 ก็ได้ย้ายไปอยู่ในแผนก GT-R ตามความฝันของเขา หลังจากนั้นเขาได้รับผิดชอบการออกแบบแชสซีของ GT-R ก่อนจะย้ายไปแผนกประชาสัมพันธ์ชั่วคราว และกลับมาทำงานในแผนกปัจจุบัน

คุณมัตสึโมโตะเล่าว่า เขามีความทรงจำมากมายจากการพัฒนา GT-R ตั้งแต่เริ่มต้น และหนึ่งในเรื่องที่น่าจดจำคือการพัฒนารถที่สนามนูร์เบอร์กริง (Nurburgring) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ NISSAN ใช้รถผลิตจำนวนมากพัฒนาบนสนามแข่ง สำหรับรถรุ่นทดลองตัวแรก โดยส่วนหน้าของรถถูกปลอมแปลงให้คล้าย Skyline แต่โครงสร้างข้างในเป็นของ R35 GT-R

ในช่วงของการพัฒนา เมื่อไปที่สนามครั้งหนึ่งต้องอยู่ประมาณ 3–5 สัปดาห์ ทำให้ต้องทำงานหนักจนลดน้ำหนักลดไปประมาณ 6 กิโลกรัม

นี่คือภาพรถรุ่นทดลองแรกของ R35 GT-R  ที่มีการปลอมแปลงหน้าตาให้คล้าย Skyline (Infiniti)

การพัฒนา GT-R ยังดำเนินในญี่ปุ่น โดยใช้สนาม Sendai Highland ในจังหวัดมิยากิเป็นฐาน ในขณะนั้นพวกเขาได้เช่าพิทระยะยาวเพื่อเก็บชิ้นส่วน GT-R อย่างไรก็ตาม ระหว่างการพัฒนาก็เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ขึ้นทางตะวันออกของญี่ปุ่น ทำให้สถานที่ได้รับความเสียหาย แม้ว่าจะฟื้นตัวได้เร็วด้วยความพยายามของสนาม Sendai Highland แต่หลังจากนั้น 1–2 ปี ก็เกิดลมกระโชกแรง ทำให้หลังคาพิทที่ใช้เป็นโกดังปลิวไป ชิ้นส่วนทั้งหมดภายในเปียกน้ำและใช้งานไม่ได้

นี่คือภาพจากการเข้าร่วมการแข่งขัน 24 Hours Nürburgring ครั้งแรก โดยจุดประสงค์หลักไม่ใช่การชนะ แต่เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านเทคนิคและฝึกฝนการทำงานเป็นทีม ในช่วงนั้นต้องขอความร่วมมือจากซัพพลายเออร์หลายราย บางครั้งก็ขอให้ผลิตชิ้นส่วนสำหรับแข่งโดยเฉพาะ แม้ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะสามารถเข้าเส้นชัยได้ แต่เนื่องจากต้องเข้าพิทเป็นเวลานาน ทำให้จบอันดับค่อนข้างต่ำ

GT-R ยังมีการจัดทดสอบขับสำหรับสื่อมวลชนตามสนามแข่งทั่วโลก ในขณะนั้นคุณมัตสึโมโตะได้ย้ายไปอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ จึงเป็นผู้รับผิดชอบการจัดงาน โดยเตรียม GT-R จำนวน 25 คัน และบริหารจัดการด้วยทีมงานเพียงไม่กี่คน

คุณมัตสึโมโตะที่เคยดูแลทั้งการพัฒนารถบนสนามและงาน PR ยังมีส่วนร่วมในโปรเจกต์ Time Attack ที่สนาม Tsukuba Circuit อีกด้วย ครั้งแรกที่ทดสอบในปี 2020 คุณทามุระถามว่า “เราจะทำเวลาได้ต่ำกว่า 1 นาที ที่สนาม Tsukuba Circuit ไหม?” และคุณมัตสึโมโตะได้ตอบว่า “คิดว่าน่าจะทำได้ไม่มีปัญหานะครับ”

ถึงแม้ว่า NISSAN จะไม่มีแผนกเฉพาะสำหรับ Time Attack แต่คุณมัตสึโมโตะเชื่อมั่นจากประสบการณ์ของตัวเองว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คุณทามุระกล่าวไว้ คือทำเวลาได้ในระดับ 59 วินาที โดยมีนักขับเป็นนักแข่งรถมืออาชีพอย่าง ‘สึกิโอะ มัตสึดะ’ (Tsugio Matsuda)

ในปี 2024 เป็นครั้งที่สองของการท้าทายที่สนาม Tsukuba Circuit อีกครั้ง ก่อนหน้านี้ถูกถามว่า “จะทำเวลาให้ดีกว่าเดิมได้ไหม?” เขาตอบว่า MY2024 มีสมรรถนะดีกว่า MY2020 จึงสามารถทำเวลาให้ดีกว่าเดิมได้ แต่ถูกถามต่อว่า “จะต่ำกว่า 59 วินาทีไหม?” เขาตอบว่า “คงไม่ได้ครับ ถึงปรับปรุงแล้วก็ได้เพิ่มจาก 2020 แค่ 0.3 วินาที” ตัวเลขชัดเจน แต่ก็ไม่ได้มีหลักฐานทางเทคนิค เพียงแต่จากความคุ้นเคยกับ GT-R ทำให้เขาประเมินได้อย่างแม่นยำ ผลลัพธ์ที่ออกมาคือทำได้เร็วขึ้น 0.28 วินาที ซึ่งใกล้เคียงกับที่เขาคาดไว้

ในการทดสอบ Time Attack ปี 2024 มีการใช้ GT-R NISMO โดยเปลี่ยนยางเป็นรุ่นใหม่ของ Dunlop โดยนักขับ ‘อากิระ อิอิดะ’ (Akira Iida) ซึ่งสามารถทำเวลาได้ต่ำกว่า 59 วินาที แสดงให้เห็นว่าถ้าเปลี่ยนยางก็สามารถทำเวลาในระดับ 58 วินาทีได้

GT-R ที่เกิดจากเหงื่อและน้ำตาของคุณมัตสึโมโตะ วันนั้นถือเป็นวันสุดท้ายของการทำงานกับรถรุ่นนี้ อย่างไรก็ตาม เขาก็จะเกษียณในเดือนหน้า มีข่าวลือในบริษัทว่า “GT-R ยังคงผลิตต่อเพราะคุณมัตสึโมโตะอยากทำ” แต่เขากล่าวว่า “ไม่ใช่เลย GT-R อยู่ต่อเพราะตัวรถเองยังคงพัฒนาอยู่จนถึงวันนี้” และเขากล่าวเพิ่มเติมว่า “ตอนนี้ NISSAN กำลังอยู่ในช่วงยากลำบาก คุณทามุระพูดเรื่องรุ่นต่อไป แต่คงไม่มีเวลาให้รายละเอียดมากนัก แต่ในอนาคต คนรุ่นใหม่ที่มี DNA แบบเดียวกับเราจะฟื้นฟูรถแบบนี้อีกครั้ง ขอให้ทุกคนช่วยสนับสนุนเมื่อถึงเวลานั้นด้วยนะครับ”

หลังจากคุณทามุระและคุณมัตสึโมโตะได้ลงจากเวทีไปก็มีวิดีโอข้อความจาก CEO NISSAN คุณ Ivan Espinosa กล่าวว่า “เรื่อง GT-R ตอนนี้ยังไม่มีการตัดสินใจ แต่เรารู้ว่าทุกคนรอคอยอยู่ GT-R ยังคงพัฒนา และในอนาคตจะกลับมาอีก ขอให้ทุกคนโปรดอดทนรอจนถึงวันนั้น

ที่มา

https://car.watch.impress.co.jp/docs/news/2042099.html

อ่านบทความอื่นๆ

 

Back To Top


แท็กยอดนิยม


แชร์บทความนี้

Klook.com

Top 5 Articles




อัปเดตเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุก ๆ
เพิ่มเติมได้ที่เพจ fromJapan !


Copyright © 2025 fromJapan.com All Rights Reserved.