fbpx

“เมืองคาวากุจิ” ถูกจัดให้เป็นเมืองที่คนไม่อยากอาศัยอยู่ที่สุดในไซตามะ เนื่องจากมีชาวเคิร์ดและชาวจีน

ต.ค. 10, 2024

เมืองคาวากุจิ” ถูกจัดให้เป็นเมืองที่คนไม่อยากอาศัยอยู่ที่สุดในไซตามะ เนื่องจากมีชาวเคิร์ดและชาวจีน

หลังจากโลกเผชิญหน้ากับการระบาดของไวรัสโควิด-19 มานานหลายปี มีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ครั้งนี้เราจะมาเล่าถึงมุมมองของชาวญี่ปุ่นที่มีต่อชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นหลังจากเกิดวิกฤตินี้

ตามข้อมูลของสำนักงานกำกับดูแลคนเข้าเมือง (Immigration Services Agency ) ประเทศญี่ปุ่น ณ เดือนมิถุนายน 2023 พบว่ามีชาวต่างชาติอยู่ในญี่ปุ่นจำนวน 3,223,858 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 148,645 คน คิดเป็น 4.8% ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์

เมื่อไม่นานมานี้เกิดประเด็นร้อนขึ้นในโลกโซเซียลฯญี่ปุ่น เนื่องจากมีบทความเปิดประเด็นว่า ‘เมืองคาวากุจิ’ ถูกจัดให้เป็นเมืองที่คนไม่อยากอาศัยอยู่ที่สุดในไซตามะ เนื่องจากมีชาวเคิร์ดและชาวจีน!

ที่มารูปภาพ : https://news.tv-asahi.co.jp/news_society/articles/000374593.html

โดยในบทความได้เล่าว่า เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นในเมืองคาวากุจิ จังหวัดไซตามะ มีชายชาวตุรกีอายุ 18 ปี ทำงานพาร์ทไทม์ ขับรถชนกับจักรยานยนต์แล้วหลบหนี ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย คือ เด็กชายอายุ 17 ปี ส่วนอีกรายเป็นเด็กชายอายุ 16 ปี ที่นั่งซ้อนท้ายมาด้วยกันบาดเจ็บสาหัส ภายหลังผู้ก่อเหตุได้เข้ามามอบตัวที่สถานีตำรวจและถูกจับกุมในข้อหาชนแล้วหนีและขับรถประมาทโดยไม่มีใบอนุญาตส่งผลให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย

ที่มารูปภาพ : https://www.fnn.jp/articles/-/765618 

นอกจากนี้ ในช่วงเช้าของวันที่ 29 กันยายน 2024 เกิดเหตุรถยนต์ขับมาด้วยความเร็วสูงก่อนที่จะประสานงาเข้ากับรถอีกคันที่กำลังขับตรงมาบริเวณกลางสี่แยก ทำให้รถเสียหลักสะบัดไปไกลกว่า 40 เมตร ส่งผลให้ชายชาวญี่ปุ่นอายุ 51 ปี ที่นั่งอยู่ในรถที่ถูกชนเสียชีวิต

หลังจากเกิดเหตุ พบว่าผู้ก่อเหตุที่เป็นคนขับยังอยู่ในที่เกิดเหตุแต่อีก 2 คน ที่มาด้วยกันวิ่งหลบหนีไป ซึ่งผู้ก่อเหตุรายนี้คือ ชายชาวจีนอายุ 18 ปี ว่างงาน โดยทางตำรวจพบระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายของเขาเกินขีดจำกัดที่กฎหมายกำหนด จึงมีการตั้งข้อหาเมาแล้วขับจนผู้อื่นเสียชีวิต

นอกเหนือจากเหตุการณ์ข้างต้นแล้ว จวบจนปัจจุบันก็ยังคงมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยชาวต่างชาติที่ละเลยกฎหมายให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ เมืองคาวากุจิ เป็นหนึ่งในเมืองที่มีชาวต่างชาติอยู่มากที่สุดในญี่ปุ่น โดยส่วนใหญ่จะเป็นชาวตุรกีและชาวจีน ซึ่งการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงเช่นนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่ผิดปกติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังพบว่าจำนวนประชากรของเมืองคาวากุจิยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง 1,000 คนทุกเดือนอีกด้วย

ที่มารูปภาพ : yu_photo / Shutterstock.com

เมืองคาวากุจิ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดไซตามะติดกับโตเกียว เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกต่อการเดินทางไปทำงานหรือโรงเรียนมาก เพราะจากสถานีโตเกียวและสถานีชินจูกุใช้เวลาเดินทางเพียง 25 นาทีเท่านั้น รวมถึงยังมีรถไฟใต้ดินวิ่งตรงไปยังใจกลางเมืองอีกด้วย

แม้ว่าเมืองแห่งนี้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต แต่จากผลสำรวจของบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งในญี่ปุ่นพบว่า ‘เมืองคาวากุจิ ติดอันดับ 1 เมืองที่คนไม่อยากอาศัยอยู่ที่สุดในไซตามะ’ และพบว่าเป็นเมืองที่มีจำนวนเหตุการณ์เกิดขึ้นในแต่ละปีเกินกว่า 3,800 เหตุการณ์ ทำให้ผู้คนมองว่าเป็นเมืองที่แย่ที่สุดในจังหวัด เนื่องจากความปลอดภัยในชีวิตมันย่ำแย่ลง หลายครัวเรือนจึงเลือกที่จะย้ายหนีออกจากเมืองนี้

นอกจากนี้ อันดับ 2 เมืองที่คนไม่อยากอาศัยอยู่ที่สุดในไซตามะคือ เมืองโคชิกายะ เนื่องจากมีชาวเวียดนามอพยพมาอยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงยังมีการสร้างวัดเวียดนามขึ้นด้วย และอันดับ 3 คือ เมืองวาราบิ ซึ่งอยู่ติดกับเมืองคาวากุจิก็มีชาวต่างชาติอยู่ถึง 9.0% ของชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่น

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในปัจจัยที่ทั้งสามเมืองนี้มีเหมือนกันก็คือ มีบริษัทหลายแห่งรับสมัครแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงาน ส่งผลให้มีจำนวนชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น และจำนวนประชากรชาวญี่ปุ่นก็เริ่มลดลงนั่นเอง

ก่อนจากลา เรามาฟังความคิดเห็นของชาวญี่ปุ่นที่ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้สำหรับประเด็นนี้

“เหล่าสมาชิกสภาของจังหวัดไซตามะทั้งหลาย จำนวนตัวเลขของชาวต่างชาติที่กำลังตั้งใจทำงานอาจจะมีล้นหลาม แต่พวกคุณมองเห็นสถานการณ์ของชาวญี่ปุ่นที่ปฏิบัติตามกฎจราจรกำลังถูกชาวต่างชาติบางคนที่ไม่สนใจกฎจราจร “พรากชีวิตไป” หรือเปล่า หรือแค่กำลังมองดูประชาชนเหมือนเด็กที่ยืนอมนิ้วอยู่ในปาก?”

ที่มา

https://www.asagei.com/excerpt/322515

https://www.moj.go.jp/isa/publications/press/13_00036.html

อ่านบทความสนุกๆจาก fromJapan 🥰

มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ! 😉

รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!

ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ

Back To Top