ชมดอกซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีแสนงดงามที่ “เมืองโอสึ” แหล่งท่องเที่ยวใกล้เกียวโตที่เราอยากแนะนำ
ม.ค. 27, 2023
ชมดอกซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีแสนงดงามที่ “เมืองโอสึ” แหล่งท่องเที่ยวใกล้เกียวโตที่เราอยากแนะนำ
เมืองโอสึ เป็นเมืองแบบไหนกันนะ?
เมืองโอสึ (Otsu/大津) เป็นเมืองหลักของจังหวัดชิกะ แต่พื้นที่ส่วนหนึ่งของเมืองนี้ก็อยู่ในจังหวัดเกียวโตด้วยเช่นกัน เมืองโอสึเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,350 ปี แต่นับได้ว่าเป็นเมืองที่มีภัยพิบัติเกิดขึ้นน้อยมาก ภายในเมืองแห่งนี้จึงหลงเหลือมรดกโลกอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นวัดเอ็นเรียคุจิ ศาลเจ้าฮิโยชิไทฉะ เป็นต้น
นอกจากนี้เมืองโอสึยังเป็นที่ตั้งของ ‘ทะเลสาบบิวะ’ ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น รวมถึง ‘ภูเขาฮิเอ’ หรือ ‘ฮิเอซัง’ (Mt. Hiei / Hieizan) ภูเขาที่มีความสำคัญต่อศาสนาพุทธในประเทศญี่ปุ่น
เราจะมาแนะนำเมืองเก่าที่แสนมีเสน่ห์อย่าง “เมืองโอสึ” ให้ทุกคนได้รู้จักกันในบทความนี้ค่ะ
สารบัญ (Index) : เมืองโอสึ
- สถานที่ท่องเที่ยวประจำเมืองโอสึในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
- แนะนำร้านอาหารในเมืองโอสึ
- วิธีการเดินทางไปยังภูเขาฮิเอ เมืองโอสึ
สถานที่ท่องเที่ยวประจำ “เมืองโอสึ” ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
1. สวน Garden Museum Hiei
สวน Garden Museum Hiei เป็นสวนดอกไม้ที่ตั้งอยู่บนยอดภูเขาฮิเอซึ่งมีความสูงถึง 840 เมตร กิมมิคของสวนดอกไม้แห่งนี้คือการสอดแทรกงานศิลปะของ ‘โคลด์ โมเนต์’ (Claude Monet) เอาไว้อย่างงดงาม ผ่านการรังสรรค์ตกแต่งสวนให้เหมือนกับภาพวาดของโมเนต์
ภายในสวนแห่งนี้เต็มไปด้วยดอกไม้นานาสายพันธุ์ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเหมาะมากสำหรับเดินเล่นชมดอกไม้พร้อมทั้งสัมผัสผลงานศิลปะ และที่ยิ่งไปกว่านั้น จากสวนดอกไม้เรายังสามารถมองเห็นวิวทะเลสาบบิวะได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
นอกจากนี้ แต่ละโซนของสวนดอกไม้จะมีการนำดอกไม้ประจำฤดูกาลหลากหลายสายพันธุ์มาประดับตกแต่งให้ดูงดงามราวกับภาพวาด รวมถึงนำงานศิลปะมาสอดแทรกไว้ในการตกแต่งของแต่ละโซน หากใครเป็นแฟนผลงานศิลปะของโคลด์ โมเนต์หรือชื่นชอบการชมงานศิลปะในมิวเซียมจะต้องถูกใจที่นี่อย่างแน่นอน
รายละเอียดเกี่ยวกับสวน Garden Museum Hiei
ที่อยู่
- 4 Shugakuin Shakuragatani Shimegadake, Sakyo Ward, Kyoto, 606-0000
วันเปิดทำการ
- เดือนที่เปิดให้บริการ : ปลายเดือนเมษายน – ต้นเดือนธันวาคม
- เดือนที่ปิดให้บริการ : วันที่ 5 เดือนธันวาคม – กลางเดือนเมษายน
เวลาทำการ
- เดือนเมษายน – เดือนตุลาคม : เวลา 10:00 – 17:30 น. (รอบสุดท้าย เวลา 17:00 น.)
- เดือนพฤศจิกายน – เดือนธันวาคม : เวลา 10:00 – 17:00 น. (รอบสุดท้าย เวลา 16:30 น.)
เว็บไซต์
แผนที่
2. วัดเอ็นเรียคุจิ ภูเขาฮิเอ (Hieizan Enryaku-ji Temple)
วัดเอ็นเรียคุจิ (Hieizan Enryaku-ji Temple) ตั้งอยู่บนภูเขาฮิเอในพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดชิกะและจังหวัดเกียวโต วัดเอ็นเรียคุจิเป็นวัดสำนักงานใหญ่ของนิกายเทนไดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยองค์การยูเนสโก นอกจากนี้อาคารหลายๆแห่งของวัดยังถูกยกย่องให้เป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นอีกด้วย
หากทุกคนเดินทางมาถึงบริเวณวัดเอ็นเรียคุจิแล้วก็จะพบอาคารต่างๆมากมาย หลายคนจึงอาจจะสงสัยว่า “แล้ววัดไหนคือวัดเอ็นเรียคุจิล่ะ?” ที่จริงแล้ววัดเอ็นเรียคุจิเป็นวัดที่ประกอบไปด้วยวัดย่อยๆหลายพันแห่ง โดยตั้งกระจายอยู่ทั่วภูเขาฮิเอในพื้นที่ราวๆ 5,000 เอเคอร์เลยทีเดียว
พื้นที่ของวัดเอ็นเรียคุจิแบ่งออกได้ทั้งหมด 3 ฝั่งใหญ่ๆ ได้แก่ ฝั่งเจดีย์ตะวันออก (To-do/東塔) ฝั่งเจดีย์ตะวันตก (Sai-to/西塔) และฝั่งโยคาวะ (Yokawa/横川) ค่าเข้าชมแบบเหมาทั้ง 3 โซนนี้จะอยู่ที่ 1,000 เยน
สำหรับฝั่งที่เรามาชมกันในครั้งนี้เป็นฝั่งเจดีย์ตะวันออก ซึ่งเป็นฝั่งต้นกำเนิดของวัดเอ็นเรียคุจิและเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของวัดที่เรียกว่า “คงปงจูโด” (Great Central Hall/Konpon Chudo) นอกจากนี้ฝั่งเจดีย์ตะวันออกยังเปรียบเสมือนประตูทางเข้าของวัดอีกด้วย เนื่องจากมีศูนย์รถบัสให้บริการที่ฝั่งนี้ค่ะ
รายละเอียดเกี่ยวกับวัดเอ็นเรียคุจิฝั่งเจดีย์ตะวันออก
ที่อยู่
- 4220 Sakamotohonmachi, Otsu, Shiga 520-0116
วิธีการเดินทาง
- นั่งรถไฟจากสถานี Demachiyanagi Station มาลงที่สถานี Cable Yase Station จากนั้นให้นั่งกระเช้าโรปเวย์ฮิเอ (Hiei Ropeway) ต่อไปจนถึงวัดเอ็นเรียคุจิ
ค่าเข้าชม
- ราคา 1,000 เยน (ค่าเข้ารวมทั้ง 3 ฝั่ง)
เว็บไซต์
แผนที่
หลังจากเล่าถึงวัดเอ็นเรียคุจิโดยรวมๆไปแล้ว คราวนี้เราจะมาเจาะลึกถึงส่วนที่เรียกว่า คงปงจูโด (Great Central Hall/Konpon Chudo) ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานใหญ่ของวัดเอ็นเรียคุจินั่นเอง ด้านหน้าทางเข้าอาคารแห่งนี้มีความกว้าง 37 เมตร ส่วนด้านข้างกว้าง 24 เมตร อาคารสำนักงานที่สร้างขึ้นในสมัยก่อนนั้นได้รับการบูรณะใหม่เมื่อปี 1642 ปัจจุบันที่นี่ก็ยังคงมีการบูรณะเหมือนเช่นเคย โดยคาดว่าจะบูรณะเสร็จภายในปี 2032
นอกจากนี้ภายในคงปงจูโดยังมี “เตาเทียนที่ไม่วันดับสูญ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับการอนุรักษ์สืบต่อกันมานานกว่า 1,200 ปี ตั้งแต่เริ่มเปิดภูเขาฮิเอเป็นครั้งแรก ปัจจุบันผู้ศรัทธาในศาสนายังคงแวะเวียนมาสักการะเตาเทียนดังกล่าวกันอย่างไม่ขาดสาย
ในช่วงที่เราไปเที่ยวนั้น แม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นส่วนด้านนอกอาคารได้เนื่องจากปิดปรับปรุงอยู่ แต่เรายังสามารถเข้าไปชมด้านในอาคารได้ตามปกติค่ะ
ช่วงที่กำลังปรับปรุงอาคารคงปงจูโดนี้ เราสามารถขึ้นไปชมบรรยากาศการปรับปรุงจากด้านบนได้ด้วยค่ะ แม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นตัวอาคารได้ แต่ข้อดีของการมาเที่ยวช่วงที่มีการบูรณะอาคารก็คือ เราสามารถชมภาพหายากของบรรยากาศการซ่อมแซมที่สามารถชมได้เฉพาะในช่วงนี้เท่านั้นค่ะ
รายละเอียดเกี่ยวกับอาคารคงปงจูโด
เวลาทำการ
- เวลา 8:30 – 16:30 น.
เว็บไซต์
แผนที่
3. เมืองซากาโมโตะ (Sakamoto)
หลังจากเราขึ้นไปเที่ยววัดเอ็นเรียคุจิบนภูเขาฮิเอเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่นั่งกระเช้ากลับลงมา เราสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของ เมืองซากาโมโตะ (Sakamoto) ซึ่งเป็นเขตเมืองเล็กๆของเมืองโอสึที่ตั้งอยู่บนภูเขาฮิเอได้ค่ะ
ภายในเมืองซากาโมโตะมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้าฮิโยชิไทฉะ (Hiyoshi Taisha Shrine) ศาลเจ้าที่มีต้นเมเปิลมากถึง 3,000 ต้น รวมถึงวัดเอ็นเรียคุจิส่วนแยกย่อยอีกกว่า 50 แห่งที่ยังคงหลงเหลือให้ชม
นอกจากนี้เมืองซากาโมโตะยังเป็นเมืองที่สงบร่มรื่นมากๆ อีกทั้งยังเป็นจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่ห้ามพลาดอีกแห่งหนึ่งด้วยนะ
ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน เมืองซากาโมโตะจะมีใบไม้เปลี่ยนสีให้เราเดินชมความสวยงามกันค่ะ ทั่วทั้งเมืองจะถูกย้อมไปด้วยสีส้ม แดง น้ำตาล รวมถึงมีงานเทศกาลเมเปิลตามจุดท่องเที่ยวต่างๆของเมือง นอกจากนี้ในช่วงกลางคืนยังมีไฟไลท์อัพประดับตามต้นเมเปิลให้ชมกันอีกด้วย
นอกจากความสวยงามของธรรมชาติแล้ว เมืองซากาโมโตะยังเต็มไปด้วยร้านขนม ของฝาก และร้านอาหารโบราณที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคสมัยก่อนอยู่หลายแห่งเลยค่ะ
ส่วนถนนทางเดินของเมืองซากาโมโตะนั้นเป็นถนนหินที่หาชมได้ยากในญี่ปุ่น เพราะถนนหินของที่นี่ใช้วิธีการสร้างที่เรียกว่า อาโนชู (穴太積) ซึ่งเป็นวิธีสร้างแบบเดียวกับการก่อสร้างปราสาทญี่ปุ่นในสมัยก่อน นอกจากนี้เมืองซากาโมโตะยังเป็นต้นกำเนิดของวิธีการก่อสร้างแบบอาโนชูที่ว่านี้อีกด้วย และเมื่อถึงช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ถนนหินสายนี้จะกลายเป็นอุโมงค์ต้นเมเปิลอันสวยงาม
ในขณะที่เมื่อถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ ถนนในเมืองนี้จะกลายเป็นอุโมงค์ดอกซากุระที่งดงาม ส่วนช่วงฤดูหนาวเราจะได้ชมทิวทัศน์ของหิมะสีขาวที่ปกคลุมถนนตลอดสาย เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่เราสามารถชมทัศนียภาพอันงดงามได้ตลอดทั้งปี
ต่อไปเราจะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเมืองซากาโมโตะให้ทุกคนได้ไปตามรอยกัน!
4. ศาลเจ้าฮิโยชิไทฉะ (Hiyoshi Taisha Shrine)
ศาลเจ้าฮิโยชิไทฉะ (Hiyoshi Taisha Shrine) เป็นศาลเจ้าหลักของศาลเจ้าสาย ‘ฮิโยชิ’, ‘ฮิเอะ’ และ ‘ซันโน’ ที่มีจำนวนมากกว่า 3,800 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันศาลเจ้าฮิโยชิไทฉะได้รับการยกย่องในบันทึกประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีอายุยาวนานของประเทศญี่ปุ่นด้วยค่ะ
นอกจากนี้ภายในศาลเจ้าฮิโยชิไทฉะยังมีต้นเมเปิลจำนวนมากถึง 3,000 ต้น ที่นี่จึงเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
หากเดินทางมาถึงด้านหน้าศาลเจ้าแล้ว ทุกคนจะได้พบกับสะพานที่เชื่อมไปยังบริเวณด้านในศาลเจ้า สะพานแห่งนี้เป็นสะพานหินเก่าแก่ที่ให้บรรยากาศแบบญี่ปุ่นสมัยโบราณ ด้วยเหตุนี้สะพานหินดังกล่าวจึงถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง “เคนชิน ซามูไร เอ็กซ์”
เมื่อเดินข้ามสะพานหินเข้ามายังด้านในศาลเจ้าแล้ว เราจะพบกับ “ศาลเทพม้า” ซึ่งมีความเป็นมาจากความเชื่อของคนท้องถิ่นที่ว่า “ม้า” เป็นยานพาหนะคู่ใจของเหล่าเทพเจ้า
ถัดไปด้านข้างจะมี “ศาลเทพลิง” ความเป็นมาคือเมื่อนานมาแล้วคนท้องถิ่นเชื่อกันว่าลิงเป็นเทพสัตว์ที่ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้พ้นไป ด้วยเหตุนี้จึงมีการตั้งศาลเทพลิงที่เปรียบดั่งเทพเจ้าไว้ ณ ประตูฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือของศาลเจ้าฮิโยชิไทฉะ
นอกจากนี้ หากทุกคนมีโอกาสได้ไปเที่ยวศาลเจ้าในเครือเดียวกัน (ศาลเจ้าในจังหวัดอื่นที่มีคำว่า ‘ฮิเอะ’ และ ‘ฮิโยชิ’ อยู่ในชื่อ) เราจะพบว่าเครื่องรางของศาลเจ้าในเครือเหล่านี้ล้วนเป็นรูปลิงแบบเดียวกัน
หากลองสังเกตดีๆเราจะเห็นรูปแกะสลักลิงตามบริเวณต่างๆของศาลเจ้า อีกทั้งเครื่องรางที่นี่ยังเป็นรูปลิงทั้งหมดด้วย
จากรูปด้านบนทุกคนพอจะสังเกตเห็นไหมคะว่ามีลิงแบกหลังคาอยู่ด้วย
รายละเอียดเกี่ยวกับศาลเจ้าฮิโยชิไทฉะ
ที่อยู่
- 5 Chome-1-1 Sakamoto, Otsu, Shiga 520-0113
เวลาทำการ
- เวลา 9:00 – 16:30 น.
ค่าเข้าชม
- ราคา 300 เยน
เว็บไซต์
แผนที่
5. วัดชิคุริน-อิน (Former Chikurin-in Temple)
วัดชิคุริน-อิน (Former Chikurin-in Temple) เป็นอาคารวัดสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมซึ่งในสมัยก่อนเคยใช้เป็นที่พำนักของพระสงฆ์ในวัดเอ็นเรียคุจิ ปัจจุบันที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น
วัดชิคุริน-อินเป็นวัดที่เราสามารถชมสวนสไตล์ญี่ปุ่นอันงดงามได้ตลอดทั้ง 4 ฤดู โดยชมได้จากทั้งภายในและภายนอกของอาคาร ไม่ว่าจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ดอกซากุระผลิบานอย่างสวยงาม หรือในช่วงฤดูร้อนที่ธรรมชาติอันเขียวขจีเปลี่ยนบรรยากาศของสวนแห่งนี้ให้ดูสดใส ยิ่งพอถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วง เราจะได้พบกับทัศนียภาพอันสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีที่เรียงรายไปทั่วทั้งสวน หรือในฤดูหนาวสวนแห่งนี้ก็จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์
เราจึงกล่าวได้ว่าไม่ว่าจะมาเที่ยววัดชิคุริน-อินในฤดูกาลไหน เราก็สามารถชมความงดงามสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมของสวนแห่งนี้ได้ทุกเมื่อ
ภายในวัดชิคุริน-อินมีจุดถ่ายรูปที่สวยงามมากอยู่แห่งหนึ่ง นั่นคือห้องน้ำชาของวัด เราสามารถถ่ายรูปสวนญี่ปุ่นสวยๆได้จากภายในห้องนี้
ส่วนบริเวณด้านนอกที่เป็นสวนญี่ปุ่นนั้นก็ยังมีโซนที่เป็นสนามหญ้าด้วย โซนนี้จะมีการตกแต่งลำธารด้วยหิน รวมถึงมีร่มกับที่นั่งสีแดงโดดเด่นตามสไตล์ญี่ปุ่น นอกจากนี้สวนของวัดชิคุริน-อินยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสวนญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงของประเทศอีกด้วย
ข้อมูลเกี่ยวกับวัดชิคุริน-อิน
ที่อยู่
- 5 Chome-2-13 Sakamoto, Otsu, Shiga 520-0113
เวลาทำการ
- เวลา 9:00 – 17:00 น. (หยุดวันจันทร์)
ค่าเข้าชม
- ผู้ใหญ่ : ราคา 330 เยน
- นักเรียนประถม : ราคา 150 เยน
- ผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) : ราคา 220 เยน
เว็บไซต์
แผนที่
แนะนำร้านอาหารใน “เมืองโอสึ”
1. Enryakuji Kaikan (เอ็นเรียคุจิไคคัง)
หากใครต้องการมาปฏิบัติธรรมหรือพักค้างคืนที่วัดเอ็นเรียคุจิ ทุกคนสามารถเลือกมาพักที่ Enryakuji Kaikan (เอ็นเรียคุจิไคคัง) ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานของวัดเอ็นเรียคุจิได้ โดยสามารถจองห้องพักผ่านบริษัททัวร์หรือเว็บไซต์สำหรับจองโรงแรมทั่วไปได้ค่ะ
อย่างไรก็ตาม ที่ Enryakuji Kaikan ยังมีห้องอาหารสำหรับพระสงฆ์ที่เรียกว่า “โชจิน” (精進料理) รวมถึงร้านขายของฝากอีกด้วย
“อาหารแบบโชจิน” ของวัดเอ็นเรียคุจินั้นเดิมทีเป็นอาหารสำหรับพระสงฆ์ จนกระทั่งในช่วงยุคนารา อาหารแบบโชจินก็ได้กลายเป็นอาหารสำหรับเหล่าผู้แสวงบุญที่นิยมทานกันมาจนถึงปัจจุบัน
อาหารแบบโชจินเป็นอาหารที่ใช้วัตถุดิบทุกอย่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด เมนูนี้จึงช่วยลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรอาหาร อีกทั้งยังทำให้เรารับรู้ถึงความรู้สึกขอบคุณอาหารแต่ละมื้อได้อย่างแท้จริง
ภายในเซ็ตอาหารแบบโชจินจะมี ‘หม้อไฟซุปเต้าหู’ ซึ่งมีรสชาติอร่อยมาก เต้าหู้ก็มีความสดใหม่ ไม่มีกลิ่น เนื้อสัมผัสของเต้าหู้ของที่นี่ก็ไม่เหมือนกับเต้าหู้ทั่วไป
โดยส่วนใหญ่แล้วอาหารของที่นี่จะไม่มีเนื้อสัตว์ แต่เน้นผัก ของดอง และเต้าหู้เป็นหลัก เป็นอาหารที่ทานแล้วได้ทั้งวิตามินและโปรตีนอย่างครบครัน
อีกหนึ่งเมนูยอดฮิตของ Enryakuji Kaikan คือมัทฉะทีรามิสุและลาเต้อาร์ตที่ตกแต่งหน้าด้วยตัวอักษรประจำปีนักษัตร
มัทฉะทีรามิสุของที่นี่รสชาติไม่หวานเลี่ยนและมีความกลมกล่อม หากทานตัวครีมกับเนื้อเค้กด้านล่างคู่กับผงชาเขียวที่โรยอยู่ด้านบน เราจะสัมผัสได้ถึงรสชาติที่ออกหวานเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วมัทฉะทีรามิสุถ้วยนี้คือความหวานที่พอดีและแสนจะลงตัว
อาคาร Enryakuji Kaikan นั้นนอกจากจะเปิดเป็นร้านอาหารกับที่พักแล้ว ที่นี่ยังมีคอร์สปฏิบัติธรรมสำหรับวัดเอ็นเรียคุจิอีกด้วย หากใครสนใจสามารถอ่านรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ทางการของ Enryakuji Kaikan ค่ะ
- หมายเหตุ
- ช่วงเดือนธันวาคม – กลางเดือนมีนาคม ที่นี่จะจำหน่ายแค่ชุดอาหารไคเซกิ หากต้องการทานเมนูอื่นๆกรุณาแจ้งล่วงหน้า
- ตั้งแต่เดือนเมษายน 2022 เป็นต้นไป เปิดรับจองเฉพาะแบบเป็นกลุ่มตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป
รายละเอียดเกี่ยวกับ Enryakuji Kaikan
ที่อยู่
- 520-0116 Shiga, Otsu, Sakamotohonmachi, 4220 Enryakuji Kaikan
เบอร์ติดต่อ
- 0775780047
เว็บไซต์
แผนที่
2. ร้าน Honke Tsuruki Soba (ฮงเกะสึรุกิโซบะ)
ร้าน Honke Tsuruki Soba (ฮงเกะสึรุกิโซบะ) เป็นร้านโซบะที่พนักงานทำเส้นโซบะเองด้วยมือทุกวัน ร้านอาหารแห่งนี้เปิดกิจการมานานกว่า 300 ปี โดยตัวอาคารร้านมีอายุมากถึง 130 ปี ด้วยเหตุนี้ร้าน Honke Tsuruki Soba จึงได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกของจังหวัดชิกะ
เดิมทีภูเขาฮิเอเป็นภูเขาที่มีแต่พระสงฆ์และผู้มาปฏิบัติธรรมอาศัยอยู่ เหล่าผู้ถือศีลนั้นมีกฎว่าห้ามทานธัญพืชหลายชนิด และข้าวก็เป็นหนึ่งในธัญพืชชนิดที่ห้ามทานรวมกัน ดังนั้นโซบะจึงเป็นธัญพืชอาหารหลักชนิดเดียวที่พระสงฆ์หรือผู้ปฏิบัติธรรมสามารถรับประทานได้
ในบรรดาร้านโซบะที่มีอยู่เป็นจำนวนมากบนภูเขาฮิเอนั้น ร้าน Honke Tsuruki Soba ถือเป็นร้านที่ได้รับความนิยมอย่างมากนับตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต และในปัจจุบันร้านแห่งนี้ก็ได้สืบทอดมาจนถึงรุ่นที่ 9 แล้ว
หากทุกคนมาถึงภูเขาฮิเอ ห้ามพลาดการแวะมาทานโซบะและขนมหวานโบราณที่ร้าน Honke Tsuruki Soba กันเลยนะคะ
ข้อมูลเกี่ยวกับร้าน Honke Tsuruki Soba
ที่อยู่
- 4 Chome-11-40 Sakamoto, Otsu, Shiga 520-0113
เวลาทำการ
- เวลา 11:00 – 16:00 น. (Last Order 15:30 น.)
เว็บไซต์
แผนที่
3. คาเฟ่ Nagisa WARMS
คาเฟ่ Nagisa WARMS (なぎさWARMS) เป็นร้านคาเฟ่ในจังหวัดชิกะที่มีบรรยากาศสุดชิลล์ เราสามารถนั่งทานอาหาร ขนม หรือจิบชากาแฟไปพร้อมๆกับรับลมเย็นจากทะเลสาบบิวะได้
ในส่วนของเมนูอาหาร คาเฟ่แห่งนี้ก็ให้ความใส่ใจกับการคัดเลือกวัตถุดิบที่สดใหม่อย่างพิถีพิถัน เมนูอาหารก็มีความหลากหลาย และที่ยิ่งไปกว่านั้น เมนูพาเฟ่ต์ช็อกโกบานาน่าที่เราสั่งมาทานในครั้งนี้ก็อร่อยและเข้ากับบรรยากาศแสนชิลล์ริมทะเลสาบบิวะ
สำหรับบริเวณโซนสนามหญ้าของคาเฟ่ เราสามารถนั่งเล่นหรือทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างอิสระเลยค่ะ
หากทุกคนมีโอกาสได้มาเที่ยวที่ชิกะ ลองแวะมาพักผ่อนที่คาเฟ่ Nagisa WARMS กันนะคะ
รายละเอียดเกี่ยวกับคาเฟ่ Nagisa WARMS
ที่อยู่
- 15-5 Uchidehama, Otsu, Shiga 520-0806
การเดินทาง
- เดินจากสถานี Ishiba Station ของรถไฟสาย Keihan Ishiyama Sakamoto ประมาณ 5 นาทีก็จะถึงคาเฟ่ทันที
เวลาทำการ
- เวลา 11:00 – 17:00 น.
เว็บไซต์
แผนที่
4. ร้าน Nikubar – Modern Meal สาขาโอสึ
ร้าน Nikubar – Modern Meal สาขาโอสึ เป็นร้านอาหารที่มีเมนูเนื้อวัวสำหรับทานคู่กับไวน์โดยเฉพาะ จุดเด่นของร้านนี้คือการใช้ ‘เนื้อวัวโอมิ’ ซึ่งเป็นเนื้อวัวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดชิกะในการทำอาหาร เนื้อวัวโอมิเป็นหนึ่งในเนื้อคุณภาพชั้นนำของญี่ปุ่น เทียบเคียงได้กับเนื้อโกเบและเนื้อมัตสึซากะ นอกจากนี้เนื้อวัวโอมิยังมีรสชาติอร่อยไม่ว่าจะทานแบบดิบหรือแบบสุกอีกด้วยค่ะ
เมนูที่เราเลือกทานกันในครั้งนี้คือ “เนื้อวัวยุกเกะ” เป็นเนื้อวัวดิบกับไข่ดิบราดซอส เนื้อวัวร้านนี้มีรสหวานและอร่อยมาก ไม่คาวเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเมนูเด็ดของร้านนี้เลย
ส่วนเมนูนี้คือ “Ajillo” เป็นลิ้นวัวกับเห็ดที่อบด้วยน้ำมันมะกอก หลายๆคนอาจจะนึกอิมเมจของลิ้นวัวว่าจะต้องมีความกรึบและหนึบ แต่ลิ้นวัวของร้านนี้นั้นนุ่มและมีกลิ่นหอม อร่อยมากๆค่ะ
มาถึงเมนูสุดท้าย “สเต๊กเนื้อโอมิกับไส้กรอกเนื้อ” เนื้อโอมินั้นนุ่มหอมอร่อยไม่แพ้เนื้อชั้นนำแบรนด์อื่นเลยค่ะ
หากเพื่อนๆได้แวะมาที่เมืองโอสึแล้ว อย่าลืมแวะมาทานเนื้อวัวโอมิอร่อยๆที่ร้าน “Nikubar – Modern Meal” กันนะคะ
รายละเอียดเกี่ยวกับร้าน Nikubar – Modern Meal สาขาโอสึ
ที่อยู่
- 1 Chome-4-1 Hamaotsu, Otsu, Shiga 520-0047
เบอร์ติดต่อ
- 0775221630
วิธีการเดินทาง
- จากสถานี Biwako-Hamaotsu Station ของรถไฟสาย Keihan สามารถเดินมาที่ร้าน Nikubar – Modern Meal ได้ โดยใช้เวลาประมาณ 3 นาทีก็จะถึงทันที
เวลาทำการ
- มื้อกลางวัน : 11:00 – 14:00 น. (Last Order 13:30 น.)
- มื้อค่ำ : 17:00 – 23:00 น. (Last Order 22:30 น.)
เว็บไซต์
แผนที่
วิธีการเดินทางไปยังภูเขาฮิเอ เมืองโอสึ
สำหรับการเดินทางมายังภูเขาฮิเอในเมืองโอสึนั้น หากเริ่มต้นที่โอซาก้าและเกียวโต เราสามารถเดินทางได้ทั้งหมด 2 วิธี ดังนี้
วิธีที่ 1
- จากสถานี Kyoto Station ให้นั่งรถไฟ JR สาย Nara Line ไปลงที่สถานี Tofukuji Station จากนั้นเปลี่ยนไปนั่งรถไฟ Keihan แล้วลงที่สถานี Demachiyanagi Station (ใช้เวลาประมาณ 20 นาที) ต่อมาให้เปลี่ยนไปนั่งรถไฟฮิเอ (Hiei Sightseeing Train) ของสายรถไฟ Eizan Railway โดยลงที่สถานี Yase-Hieizanguchi Station
- ต่อไปจะเป็นการเปลี่ยนยานพาหนะในการเดินทาง เราจะต้องเปลี่ยนไปขึ้นรถรางเคเบิลคาร์และกระเช้าโรปเวย์เพื่อขึ้นไปบนภูเขาฮิเอ หลังจากถึงสถานีรถไฟแล้วให้เดินจากสถานีประมาณ 5 นาที เพื่อไปยังจุดขึ้นเคเบิลคาร์ที่สถานี Cable Yase Station จากนั้นให้นั่งเคเบิลคาร์ไปลงที่สถานี Cable Hiei Station แล้วเปลี่ยนไปนั่งกระเช้าโรปเวย์ต่อที่สถานี Rope Hiei Station โดยลงที่สถานี Hiei-Sancho Station เมื่อลงจากโรปเวย์ก็จะถึงสวน Garden Museum Hiei
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้วหลายๆคนอาจจะยังไม่เห็นภาพ เอาเป็นว่ามาชมภาพประกอบเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นกันดีกว่าค่ะ
วิธีการเดินทางนี้เป็นวิธีที่เราเลือกใช้เพื่อเดินทางมาเที่ยวภูเขาฮิเอค่ะ
1.1 แนะนำบัตรสุดคุ้ม Hieizan Free Pass
ก่อนอื่นเราขอแนะนำบัตรเดินทางสุดคุ้มที่เราใช้ในการเดินทางครั้งนี้ นั่นก็คือ “Hieizan Free Pass” หากเราเริ่มเดินทางจากเกียวโตหรือโอซาก้า ให้นั่งรถไฟมาเริ่มต้นที่สถานี Demachiyanagi Station เราขอแนะนำให้ซื้อบัตรสุดคุ้มที่สามารถเดินทางไป-กลับระหว่างเกียวโตจนถึงภูเขาฮิเอได้ตลอดทั้งวัน
Hieizan Free Pass เป็นบัตรที่สามารถใช้ขึ้นรถไฟจากสถานี Demachiyanagi Station ของรถไฟสาย Keihan ได้ อีกทั้งยังใช้นั่งรถเคเบิลคาร์และกระเช้าโรปเวย์สำหรับขึ้นไปยังภูเขาฮิเอได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ค่าเดินทางจะจบในราคาเพียง 3,500 เยนเท่านั้น นอกจากนี้เรายังสามารถใช้บัตรใบนี้ในการเที่ยวชมอาคารต่างๆของวัดเอ็นเรียคุจิได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกด้วย
ส่วนวิธีการซื้อบัตร Hieizan Free Pass เราสามารถซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ของสถานี Demachiyanagi Station หรือซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ก็ได้เช่นกัน
เว็บไซต์สำหรับการจองบัตร Hieizan Free Pass
แผนที่ของสถานี Demachiyanagi Station
1.2 รถไฟฮิเอ (Hiei Railway)
รถไฟฮิเอ (“HIEI” Sightseeing Train) เป็นรถไฟชมวิวของบริษัทรถไฟฟ้า Eizan Electric Railway รถไฟฮิเอจะพาเราเดินทางไปยังสถานี Yase-Hieizanguchi Station ซึ่งเป็นสถานีเคเบิลคาร์ที่เราจะใช้เดินทางขึ้นไปยังภูเขาฮิเอต่อไป
รถไฟฮิเอนั้นมีการดีไซน์หน้าต่างเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้โดยสารได้มองเห็นแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาในรถไฟ เป็นแสงที่เปล่งประกายระยิบระยับสวยงามมากเลยค่ะ
ยิ่งในฤดูใบไม้ร่วง เมื่อรถไฟวิ่งผ่านอุโมงค์ต้นเมเปิล ทัศนียภาพของใบไม้เปลี่ยนสีที่เราเห็นจากบนรถไฟนั้นช่างงดงามยิ่งกว่าที่ไหนๆ และในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เราจะได้พบกับทัศนียภาพของใบไม้สีเขียวอ่อนที่สวยงามค่ะ
ข้อมูลเกี่ยวกับรถไฟฮิเอ
เว็บไซต์ของรถไฟฮิเอ
เว็บไซต์แผนที่เส้นทาง
1.3 เคเบิลคาร์ฮิเอซัง (Hieizan Cable Car)
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟฮิเอแล้ว ให้เดินต่อไปจุดขึ้นรถราง ‘เคเบิลคาร์ฮิเอซัง’ (Hieizan Cable Car) เพื่อนั่งไปยังสถานี Cable Yase Station โดยใช้เวลาเดินเพียง 5 นาทีเท่านั้นค่ะ ระหว่างทางที่เดินไปยังจุดขึ้นเคเบิลคาร์จะมีใบไม้เปลี่ยนสีให้ชมด้วยนะ
เคเบิลคาร์ฮิเอซัง (Hieizan Cable Car) เป็นรถรางที่จะพาเราขึ้นไปยังด้านบนภูเขาฮิเอ หากนั่งเคเบิลคาร์จากสถานี Cable Yase Station ไปยังสถานี Cable Hiei Station จะมีระยะทาง 1.3 กิโลเมตร และใช้เวลาประมาณ 9 นาที โดยมีระดับความชันอยู่ที่ 561 เมตร ซึ่งนับว่าเป็นระดับความชันสูงสุดของญี่ปุ่น
นอกจากนี้ในระหว่างที่นั่งเคเบิลคาร์ขึ้นไปยังภูเขาฮิเอนั้น เราจะพบดอกซากุระได้ในช่วงเดือนเมษายนและพบใบไม้เปลี่ยนสีได้ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน
ค่าบริการ Hieizan Cable Car ในกรณีที่ไม่มีบัตร Hieizan Free Pass
- ผู้ใหญ่
- เที่ยวเดียว : ราคา 550 เยน
- ไป-กลับ : ราคา 1,100 เยน
- เด็ก
- เที่ยวเดียว : ราคา 270 เยน
- ไป-กลับ : ราคา 540 เยน
เว็บไซต์ตารางเวลา Hieizan Cable Car (ภาษาญี่ปุ่น)
1.4 กระเช้าลอยฟ้าฮิเอโรปเวย์ (Hiei Ropeway)
หลังจากเรานั่งเคเบิลคาร์ฮิเอซังมาที่สถานี Cable Hiei Station แล้ว ต่อไปเราจะเปลี่ยนมานั่ง “กระเช้าลอยฟ้าฮิเอโรปเวย์” (Hiei Ropeway) กันต่อที่สถานี Rope Hiei Station เพื่อขึ้นไปยังยอดเขาฮิเอ
ในระหว่างทางที่นั่งกระเช้าโรปเวย์ฮิเอขึ้นไป เราสามารถชมทัศนียภาพของภูเขาแห่งนี้ได้จากความสูง 486 เมตร
ค่าบริการในกรณีที่ไม่มีบัตร Hieizan Free Pass
- ผู้ใหญ่
- ขาเดียว : 350 เยน
- ไป-กลับ : 700 เยน
- เด็ก
- ขาเดียว : 180 เยน
- ไป-กลับ : 360 เยน
เว็บไซต์ตารางเวลาโรปเวย์ฮิเอ (ภาษาญี่ปุ่น)
วิธีที่ 2
- จากสถานี Kyoto Station ให้นั่งรถไฟ JR สาย Kosei Line ไปลงที่สถานี Otsukyo Station โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที จากนั้นให้เดินไปที่สถานี Keihan Otsukyo Station โดยใช้เวลาประมาณ 2 นาที เพื่อเปลี่ยนไปนั่งรถไฟ Keihan สาย Ishiyama Sakamoto Line (ต้องซื้อตั๋วเพิ่ม) แล้วลงรถไฟที่สถานี Sakamoto-hieizanguchi Station โดยใช้เวลานั่งมาประมาณ 15 นาที
- ต่อมาให้นั่งรถบัสประมาณ 3 นาทีเพื่อไปลงที่ป้ายหน้าสถานีเคเบิลคาร์ฮิเอซังซากาโมโตะ (Hieizan Sakamoto Cable Car) จากนั้นให้ขึ้นรถเคเบิลคาร์ไปจนถึงสถานี Cable Enryakuji Station ก็จะถึงด้านบนภูเขาฮิเอ
2.1 เคเบิลคาร์ฮิเอซังซากาโมโตะ (Hieizan Sakamoto Cable Car)
เคเบิลคาร์ฮิเอซังซากาโมโตะ (Hieizan Sakamoto Cable Car) มีชื่อเรียกทางการว่า Hieizan Railway Line รถรางเคเบิลคาร์สายนี้เริ่มเปิดให้บริการเมื่อปี 1927 “ฮิเอซังซากาโมโตะ” นับว่าเป็นเคเบิลคาร์ที่มีระยะทางยาวที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีระยะทางยาวถึง 2,025 เมตร ใช้เวลานั่งประมาณ 10 นาที
เคเบิลคาร์ฮิเอซังซากาโมโตะเปรียบเสมือนสิ่งที่เชื่อมต่อวัดเอ็นเรียคุจิเข้ากับโลกภายนอก เราสามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีและทะเลสาบบิวะได้จากรถรางสายนี้ โดยในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เคเบิลคาร์ฮิเอซังซากาโมโตะจะวิ่งลอดผ่านเข้าไปในอุโมงค์ต้นเมเปิล เคเบิลคาร์สายนี้จึงเป็นหนึ่งในยานพาหนะสำหรับชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น
นอกจากนี้บนชั้นดาดฟ้าของอาคารสถานี Cable Enryakuji Station ยังเป็นจุดชมวิวลับของเคเบิลคาร์ฮิเอซังซากาโมโตะอีกด้วย
เมื่อขึ้นมาถึงชั้น 2 ซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้าของอาคารสถานีแห่งนี้แล้ว เราจะมองเห็นทิวทัศน์ของใบไม้เปลี่ยนสีคู่กับทะเลสาบบิวะได้เช่นนี้
อีกทั้งยังสามารถชมเคเบิลคาร์ฮิเอซังซากาโมโตะที่กำลังวิ่งอยู่ท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีได้อีกด้วย
ค่าบริการในกรณีที่ไม่มีบัตร Hieizan Free Pass
- ผู้ใหญ่
- เที่ยวเดียว : 870 เยน
- ไป – กลับ : 1,660 เยน
- เด็ก
- เที่ยวเดียว : 440 เยน
- ไป – กลับ : 830 เยน
เว็บไซต์ตารางเวลาเดินรถเคเบิลคาร์ (ภาษาอังกฤษ)
ข้อมูลเกี่ยวกับสถานี Cable Sakamoto Station
ที่อยู่
- 4244 Sakamotohoncho, Otsu, Shiga 520-0116
แผนที่
ข้อมูลเกี่ยวกับสถานี Cable Enryakuji Station
ที่อยู่
- Sakamotohonmachi, Otsu, Shiga 520-0116
แผนที่
แนะนำที่เที่ยวอื่นๆในภูมิภาคคันไซ
- พลาดไม่ได้กับการชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ “ภูเขาโยชิโนะ” จุดชมธรรมชาติชื่อดังไม่ไกลจากโอซาก้า (คลิกที่รูปได้เลย)
- โคยะซัง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่รวบรวมประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธไว้มากกว่า 1,200 ปี (คลิกที่รูปได้เลย)
มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!
รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!
ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ