fbpx

ชี้พิกัด! 12 ที่เที่ยวคันไซ สุดฮิตแห่งปี 2023

ม.ค. 30, 2023

ชี้พิกัด! 12 ที่เที่ยวคันไซ สุดฮิตแห่งปี 2023

“คันไซ” (Kansai) เป็นภูมิภาคหนึ่งของญี่ปุ่นที่ถ่ายทอดเสน่ห์ของวัฒนธรรมและธรรมชาติออกมาได้อย่างงดงาม เมื่อนานมาแล้วภูมิภาคคันไซเคยเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงเก่าอย่างจังหวัดเกียวโตและจังหวัดนารา ภูมิภาคคันไซจึงมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของญี่ปุ่นอยู่หลายแห่ง

ปัจจุบันภูมิภาคคันไซได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร สวนสนุก พิพิธภัณฑ์ และสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ซึ่งเราสามารถเดินทางมาเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งปี รวมถึงสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกอีกมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น ทั่วทั้งภูมิภาคคันไซยังเดินทางได้อย่างสะดวกสบายด้วยระบบคมนาคมที่ครบครันและทันสมัย!

ในบทความนี้เราจะมาชี้พิกัด 12 ที่เที่ยวคันไซสุดฮิตแห่งปี 2023 ! ไปชมกันเลยดีกว่าค่ะว่าคันไซจะมีที่เที่ยวไหนน่าสนใจบ้าง!

สารบัญ (Index)

1. วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu-dera Temple) จังหวัดเกียวโต

วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu-dera Temple) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “วัดน้ำใส” เป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่และมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมากของประเทศญี่ปุ่น หากจะให้กล่าวถึงเหตุผลว่าทำไมวัดนี้ถึงโด่งดัง? เราคิดว่าแค่ได้เห็นภาพของวัดหลายๆคนก็คงจะพอเดาออกกันแล้ว ด้วยทัศนียภาพอันงดงามและเลอค่านี้ ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติหรือแม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็คงอยากมาชมความงามของวัดคิโยมิสึกันให้ได้สักครั้งแน่นอนค่ะ

วัดคิโยมิสึมีจุดไฮไลต์สุดตระการตาคืออาคารไม้แบบดั้งเดิม หลายๆคนคงยังไม่ทราบมาก่อนว่าวัดแห่งนี้สร้างด้วยวิธีการล็อกข้อต่อไม้แบบญี่ปุ่นโบราณแทบทั้งหลัง หรือถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายมากขึ้นก็คือ วัดนี้สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปูเลยสักดอกค่ะ

นอกจากอาคารไม้แบบดั้งเดิมที่เป็นกิมมิคของวัดคิโยมิสึแล้ว บริเวณภายในวัดก็ยังมีเจดีย์ญี่ปุ่นสีแดงชาดอันงดงามอยู่อีกหลายองค์ ไม่ว่าจะมองไปในทิศทางใดเราก็จะเจอมุมสวยๆให้ถ่ายรูปเยอะมากค่ะ และที่ยิ่งไปกว่านั้น วัดคิโยมิสึยังติดอันดับจุดชมวิวซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย

สำหรับการเดินทางมาที่วัดคิโยมิสึจะเน้นการเดินเท้าเป็นหลัก นั่นเป็นเพราะว่าวัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขาค่ะ

ก่อนจะเดินขึ้นไปยังด้านบนของวัดนั้น เราจะได้เดินผ่านถนน Kiyomizu-Zaka Street ย่านถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารเรียงรายอยู่เต็มสองข้างทางค่ะ ระหว่างทางเราจะได้สัมผัสกับบรรยากาศของบ้านเมืองสไตล์ญี่ปุ่นย้อนยุคกันอย่างใกล้ชิดเลย

หากใครมาเที่ยววัดคิโยมิสึเป็นครั้งแรกก็คงแปลกใจว่าทำไมผู้คนถึงใส่ชุดกิโมโนมาเดินเล่นที่นี่กัน เหตุผลก็เป็นเพราะว่าการใส่ชุดยูกาตะหรือชุดกิโมโนมาเดินเล่นที่นี่เป็นกิจกรรมยอดฮิตของย่านนี้เลยค่ะ อีกทั้งที่นี่ยังมีร้านเช่าชุดกิโมโนให้เราใส่ถ่ายรูปสวยๆกันอีกด้วยค่ะ

หากทุกคนมาเที่ยวที่วัดคิโยมิสึแล้ว ลองแวะเช่าชุดกิโมโนมาใส่ถ่ายรูปกันดูสักครั้งนะคะ

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดคิโยมิสึ

ที่อยู่
  • 1 Chome-294 Kiyomizu, Higashiyama Ward, Kyoto, 605-0862
การเดินทาง
  • หากเริ่มต้นที่สถานี Kyoto Station ให้ขึ้นรถบัสสาย 205, 206 หรือ 207 ไปลงที่ป้าย Kiyomizumichi (ใช้เวลา 20 นาที) จากนั้นเดินต่อประมาณ 12 นาทีก็จะถึงวัด
วันและเวลาทำการ
  • เปิดทุกวัน เวลา 6:00 – 18:00 น. ยกเว้นเดือนกรกฎาคม –สิงหาคม
  • วัดปิดเวลา 18:30 น.
  • สำหรับการเปิดไฟช่วงกลางคืน ไฟจะเปิดเวลา 18:00 – 21:30 น. (ศูนย์ประชาสัมพันธ์ปิดเวลา 21:00 น.) ในช่วงวันที่ดังต่อไปนี้
    • ฤดูใบไม้ผลิ : เปิดไฟวันที่ 25 มีนาคม – 2 เมษายน
    • ฤดูร้อน : เปิดไฟวันที่ 14 สิงหาคม – 16 สิงหาคม
    • ฤดูใบไม้ร่วง : เปิดไฟวันที่ 18 พฤศจิกายน – 30 พฤศจิกายน

หมายเหตุ : วันและเวลาเปิดไฟจะเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละปี สามารถตรวจสอบวันและเวลาได้ที่เว็บไซต์ทางการของวัดคิโยมิสึ

ค่าเข้าชม
  • ค่าเข้าชมเวลาปกติ : 400 เยน
  • ค่าเข้าชมช่วงเวลาเปิดไฟกลางคืน : 400 เยน (เปิดไฟกลางคืนเป็นบางช่วง)
เว็บไซต์
แผนที่

Back To Index

2. ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine) จังหวัดเกียวโต

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine) เป็นศาลเจ้าสายอินาริเก่าแก่ของญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าศาลเจ้าแห่งนี้เป็นจุดรับพลังพาวเวอร์สปอต (Power Spot) ในการเสริมดวงด้านการเงินและการงาน

นอกจากความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่แล้ว ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอันดับต้นๆของจังหวัดเกียวโตอีกด้วยค่ะ

สำหรับจุดไฮไลต์ยอดฮิตของศาลเจ้าฟูชิมิอินาริก็คงหนีไม่พ้น Senbon Torii” หรือ “เสาโทริอิพันต้น” ความพิเศษของเสาโทริอิที่นี่ก็คือเสาจะเรียงตัวยาวไปจนเกือบทั่วภูเขาทั้งลูก เป็นทัศนียภาพที่งดงามและดูแปลกตามากเลยทีเดียวค่ะ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงนิยมถ่ายรูปกับเสาโทริอิของศาลเจ้าแห่งนี้ เรียกได้ว่าใครที่มาเยือนคันไซแล้วไม่แวะมาถ่ายรูปตรงจุดนี้ถือว่าพลาดแล้วล่ะค่ะ

ที่มา (Reference) : chuck hsu / Shutterstock

ในช่วงเทศกาลศาลเจ้าฟูชิมิอินาริจะเต็มไปด้วยผู้คนมหาศาล หากใครต้องการแชะภาพตรงมุมถ่ายรูปเสาโทริอิพันต้น ขอแนะนำให้วางแผนเรื่องวันและเวลากันให้พร้อมนะคะ จะได้ไม่พลาดมุมถ่ายรูปสวยๆค่ะ

ส่วนเรื่องการเดินทางมายังศาลเจ้าฟูชิมิอินารินั้น ที่นี่สามารถเดินทางมาได้ง่ายและสะดวกสบายมาก เพราะสถานีรถไฟตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้าศาลเจ้าเลยค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ

ที่อยู่
  • 68 Fukakusa Minanouchi-cho, Fushimi-ku, Kyoto 612-0882, Kyoto Prefecture
การเดินทาง
  • เดินทางโดยรถไฟ
    • นั่งรถไฟจากสถานี Kyoto Station ไปลงที่สถานี Fushimi-Inari Station ใช้เวลาประมาณ 5 นาที จากนั้นเดินต่อประมาณ 2 นาทีก็จะถึงศาลเจ้า
  • เดินทางโดยรถบัส
    • จากสถานี Kyoto Station ให้นั่งรถบัสสาย 5 minami ไปลงที่ป้าย Fushimi Inari Taisha-mae ใช้เวลา 10 นาที จากนั้นเดินต่อประมาณ 7 นาทีก็จะถึงศาลเจ้า
วันและเวลาทำการ
  • ศาลเจ้า : เปิดให้ไหว้สักการะทุกวัน
  • สำนักงานศาลเจ้า : เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 7:00 – 18:00 น.
ค่าเข้าชม
  • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
แผนที่

 

Back To Index

3. Universal Studios Japan จังหวัดโอซาก้า

ที่มา (Reference) : Universal Studios Japan / © Nintendo TM & © Universal Studios.

Universal Studios Japan หรือ USJ เป็นสวนสนุกยอดฮิตในจังหวัดโอซาก้าที่จะทำให้ทุกคนเพลิดเพลินไปกับเครื่องเล่นสุดอลังการ รวมถึงโชว์การแสดงสุดพิเศษในธีมของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ระดับฮอลลีวู้ด นอกจากนี้สวนสนุก Universal Studios Japan ยังมีอีเวนต์ประจำฤดูกาลอีกมากมาย ทำให้ไม่ว่าจะมาเที่ยวในช่วงเวลาไหนทุกคนก็สามารถอินไปกับบรรยากาศของอีเวนต์ช่วงนั้นได้ นอกจากนี้ Universal Studios Japan ยังเป็นสวนสนุกที่นักท่องเที่ยวสามารถสนุกสุดเหวี่ยงกันได้ทุกเพศทุกวัยเลยค่ะ

เมื่อเดินทางมาถึงสวนสนุก Universal Studios Japan แล้ว ทุกคนจะตื่นตาตื่นใจไปกับความอลังการของสวนสนุกแห่งนี้อย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่น ตึกอาคาร ร้านอาหาร หรือห้องน้ำ ทุกสิ่งล้วนออกแบบและสร้างขึ้นในธีมภาพยนตร์หรือแอนิเมชั่นประจำโซนต่างๆทั้งหมดเลยค่ะ

ที่มา (Reference) : Kanuman / Shutterstock

โซนธีมพาร์คยอดฮิตที่เราอยากแนะนำก็คือโซน The Wizarding World of  Harry Potter โซนนี้ถูกออกแบบมาในธีมของภาพยนตร์เรื่อง ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์’ ทั้งหมดเลยค่ะ

ภายในโซนนี้มีเครื่องเล่นแสนสนุกที่จะทำให้เราตื่นเต้นสุดๆจนอยากกลับมาซ้ำอีกรอบเลยค่ะ นอกจากนี้ในโซน The Wizarding World of  Harry Potter ยังมีร้านขายของที่ระลึกให้เราได้แวะซื้อของฝากกลับบ้านกันอีกด้วย หากทุกคนมาเที่ยวที่ USJ แล้ว ห้ามพลาดโซนนี้เลยค่ะ

ที่มา (Reference) : Universal Studios Japan/ © Nintendo TM & © Universal Studios.

หลังจากเพลิดเพลินไปกับโซนแฮร์รี่ พอตเตอร์จนเต็มอิ่มแล้ว หากเดินไปอีกประมาณ 10 นาที เราจะพบกับธีมพาร์คโซนใหม่ล่าสุดของสวนสนุกแห่งนี้ ซึ่งก็คือโซน Super Nintendo World ! ธีมพาร์คโซนดังกล่าวนี้เป็นธีม ‘มาริโอ้’ เกมยอดนิยมที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากค่ายนินเทนโด โซนมาริโอ้นี้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2021 ค่ะ

ที่มา (Reference) : Hannari_eli / Shutterstock

ที่มา (Reference) : Usa-Pyon / Shutterstock

นอกจากนี้ฉากของธีมพาร์ค SUPER NINTENDO WORLD ยังถูกออกแบบมาให้เหมือนในเกมเกือบทั้งหมด ราวกับยกฉากในเกมมาริโอ้มาไว้บนพื้นดินให้เราเห็นกันชัดๆเลยค่ะ โดยคอนเซ็ปต์ของฉากในธีมพาร์คที่เราเห็นกันอยู่นี้คือ #WE ARE MARIO!”

ทันทีที่ได้ก้าวเข้ามาในธีมพาร์คโซนนี้แล้ว เราทุกคนจะกลายเป็นตัวมาริโอ้ที่อยู่ในเกมทันทีค่ะ!

ที่มา (Reference) : Usa-Pyon / Shutterstock

นอกจากโซนทางเข้าด้านหน้าที่สร้างขึ้นในธีมปราสาทคุปป้าแล้ว เรายังสามารถสัมผัสประสบการณ์การเล่นเกม Mario Kart ได้แบบสมจริงสุดๆด้วยค่ะ

ที่มา (Reference) : Universal Studios Japan / © Nintendo TM & © Universal Studios.

นอกจากนี้เรายังจะได้พบกับรูปปั้นมาริโอ้ตามจุดต่างๆอีกมากมาย ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านของที่ระลึก แถมยังมีมุมถ่ายรูปน่ารักๆเต็มไปหมดเลยค่ะ

อย่างไรก็ตาม หากใครต้องการมาเที่ยวโซนนี้ แนะนำว่าให้จองล่วงหน้าในเว็บไซต์ไปก่อนก็ดีนะคะ

Universal Studios Japan มีโซนอื่นๆที่น่าสนใจอีกมากมาย ทุกคนสามารถอ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย >> Top 5 เครื่องเล่น & ร้านค้า ใน Universal Studios Japan™ ที่ควรไปโดน !!!

ข้อมูลเกี่ยวกับ Universal Studios Japan

ที่อยู่
  • Universal Studios Japan, 2 Chome-1-33 Sakurajima, Konohana Ward, Osaka, 554-0031
การเดินทาง
  • นั่งรถไฟจากสถานี Osaka-namba Station สาย Hanshin Namba ไปลงที่สถานี Nishikujo Station จากนั้นเปลี่ยนไปนั่งรถไฟ JR สาย Yumesaki แล้วลงที่สถานี Universal City ใช้เวลา 27 นาทีก็จะถึง USJ
  • นั่งรถไฟจากสถานี Umeda Station ไปลงที่สถานี Universal City ใช้เวลาประมาณ 11 นาที ก็จะถึง USJ
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 09:00 – 20:00 น.
  • หมายเหตุ : เวลาให้บริการจะแตกต่างกันไปในแต่ละวัน สามารถตรวจสอบเวลาได้ที่เว็บไซต์ทางการของ Universal Studios Japan
ค่าเข้าชม
  • ตั๋วเข้าชมสวนสนุกแบบ 1 วัน
    • อายุ 12 ปีขึ้นไป : 8,200 เยน (รวมภาษี)
    • อายุ 4-11 ปี : 5,400 เยน (รวมภาษี)
    • อายุ 65 ปีขึ้นไป : 7,400 เยน (รวมภาษี)

หมายเหตุ

– ราคานี้ไม่รวมโซนพิเศษอื่นๆในสวนสนุก

– Universal Express Pass เป็นตั๋วพิเศษที่ช่วยลดเวลาในการต่อคิวเครื่องเล่น อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> https://www.usjticketing.com/expressPass

– ตั๋วเข้าสวนสนุกมีหลากหลายประเภท ราคาตั๋วจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่ สามารถตรวจสอบกิจกรรมอีเวนต์และวันที่เข้าชมได้ที่เว็บไซต์

– แนะนำให้ซื้อตั๋วทางเว็บไซต์ออนไลน์ไปก่อนล่วงหน้า

เว็บไซต์
แผนที่

Back To Index

4. ย่านชินเซไก (Shinsekai) จังหวัดโอซาก้า

ชินเซไก (Shinseikai) เป็นหนึ่งในย่านช้อปปิ้งสุดฮิตของจังหวัดโอซาก้า ชื่อของย่านนี้มีความหมายว่า “โลกใบใหม่” ในช่วงยุคเมจิย่านชินเซไกเคยเป็นดินแดนรกร้างมาก่อน จนกระทั่งในปี 1903 ย่านนี้ได้กลายเป็นที่จัดงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมแห่งชาติและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะมีผู้คนเข้ามาร่วมงานนี้มากกว่าห้าล้านคน

ย่านชินเซไกเคยเป็นที่ตั้งของสวนสนุกที่ชื่อว่า “Luna Park” แต่สวนสนุกแห่งนี้กลับไม่ได้รับความนิยมมากนักและปิดตัวลงในปี 1923 หลังจากย่านชินเซไกถูกทิ้งร้างมาอย่างยาวนาน ในปี 1990-2000 ย่านชินเซไกก็กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ผู้คนเริ่มกลับมาให้ความสนใจย่านนี้ในฐานะของย่านเก่าแก่ที่ยังคงหลงเหลือเศษซากจากช่วงยุคโชวะ

ในปัจจุบันย่านชินเซไกกลายมาเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ดึงดูดผู้คนให้มาท่องเที่ยวกันอย่างไม่ขาดสาย

หมายเหตุ : โคมลอยปลาปักเป้ายักษ์ที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของย่านชินเซไกถูกปลดลงแล้ว เนื่องจากผิดกฎหมาย

ที่มา (Reference) : IamDoctorEgg / Shutterstock

เสน่ห์ของย่านชินเซไกไม่ใช่เพียงแค่เป็นแหล่งช้อปปิ้งในยามค่ำคืนเท่านั้น เพราะในช่วงกลางวันที่นี่ก็สวยงามไม่แพ้กัน บรรยากาศของย่านนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเมืองเก่าญี่ปุ่นในช่วงสมัยสงคราม เรียกได้ว่าเป็นย่านท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์จริงๆค่ะ

ที่มา (Reference) : mokjc / Shutterstock

นอกจากนี้หากทุกคนได้มาเที่ยวที่ย่านชินเซไก สิ่งแรกที่จะเห็นเลยก็คือ หอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku Tower) เป็นหอคอยที่สร้างขึ้นในช่วงที่มีการก่อตั้งสวนสนุก Luna Park หอคอยซึเทนคาคุแห่งนี้นับว่าเป็นจุดไฮไลต์ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของโอซาก้าเลยก็ว่าได้ อีกทั้งในช่วงกลางคืนยังมีการเปิดไฟประดับสลับสีบนคอหอยด้วย สีสันของไฟจากหอคอยแห่งนี้ทำให้ย่านชินเซไกมีทิวทัศน์ยามค่ำคืนสวยงามมากยิ่งขึ้น จนที่นี่กลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดฮิตของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน

ที่มา (Reference) : bluehand / Shutterstock

นอกจากนี้ย่านชินเซไกยังเต็มไปด้วยร้านอาหารมากมาย รวมถึงเป็นแหล่งรวมที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวด้วยค่ะ ส่วนการเดินทางมาที่ย่านชินเซไกนั้นง่ายมาก เพียงเดินจากสถานีรถไฟ JR Shin-Imamiya หรือสถานีรถไฟใต้ดิน Ebisucho มาสักประมาณ 5-10 นาที เราก็จะเจอย่านชินเซไกแล้วค่ะ

หากใครชื่นชอบความครึกครื้นในช่วงกลางคืนของโอซาก้า ย่านชินเซไกเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะทำให้ทริปของทุกคนสนุกมากยิ่งขึ้นค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับย่านชินเซไก

ที่อยู่
  • 2 Chome Ebisuhigashi, Naniwa Ward, Osaka, 556-0002, Japan
การเดินทาง
  • นั่งรถไฟมาลงที่สถานี JR Shin-Imamiya Station ทางออก Tsutenkaku จากนั้นเดินต่ออีก 10 นาทีก็จะถึงย่านชินเซไก
  • นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Sakaisuji Line มาลงที่สถานี Ebisucho Station ทางออก Tsutenkaku จากนั้นเดินต่ออีก 3 นาทีก็จะถึงย่านชินเซไก
เว็บไซต์
แผนที่

Back To Index

5. ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) จังหวัดเฮียวโกะ

ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) เป็นปราสาทเก่าแก่ที่อยู่คู่ชาวเมืองฮิเมจิมานานกว่า 400 ปี ปราสาทแห่งนี้ได้รับขนานนามว่า “ปราสาทนกกระสาขาว” จากรูปลักษณ์ของปราสาทที่เป็นสีขาวสว่างเกือบทั้งหลังนั่นเอง และด้วยเหตุนี้ปราสาทฮิเมจิจึงมีทัศนียภาพที่งดงามและดูสง่าโดดเด่น

นอกจากนี้ปราสาทฮิเมจิยังได้รับการยกย่องให้เป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นอีกด้วย และในปี 1993 ปราสาทฮิเมจิก็เป็นสถานที่แรกของประเทศญี่ปุ่นที่องค์การยูเนสโกยกย่องให้เป็นมรดกโลก

หลังจากปราสาทแห่งนี้ปิดปรับปรุงเพื่อทำการบูรณะมานานกว่า 5 ปี ในฤดูใบไม้ผลิปี 2015 ปราสาทฮิเมจิก็เปิดให้เข้าเยี่ยมชมอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง ในปัจจุบันนักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างหลั่งไหลเข้ามายลโฉมปราสาทแห่งนี้กันอย่างไม่ขาดสาย

ปราสาทฮิเมจิไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ที่นี่ยังเป็นจุดชมดอกซากุระที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคคันไซด้วยค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น หากเราขึ้นไปยังด้านบนสุดของหอคอยปราสาท ทุกคนก็จะได้พบกับวิวทิวทัศน์อันแสนงดงามของเมืองฮิเมจิแบบกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเลยค่ะ

สำหรับกิจกรรมยอดฮิตที่เราอยากจะแนะนำให้ทุกคนได้มาสัมผัสเมื่อมาถึงปราสาทฮิเมจิก็คือ การล่องเรือชมปราสาทท่ามกลางดอกซากุระที่ผลิบานค่ะ หากได้มาเที่ยวในช่วงฤดูกาลที่ซากุระผลิบานเต็มที่ ทุกคนจะได้เห็นภาพของกลีบดอกซากุระที่โปรยปรายอยู่บนพื้นผิวของแม่น้ำตลอดทั้งสาย เป็นทัศนียภาพที่งดงามมากๆเลยค่ะ

นอกจากจะได้สัมผัสกับธรรมชาติอันงดงามของที่นี่แล้ว บริเวณรอบปราสาทฮิเมจิยังมีจุดถ่ายรูปสวยๆอีกมายมาย อีกทั้งยังมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่าง “สวนโคโคเอ็น” (Koko-en Garden) ซึ่งเหมาะแก่การมานั่งปิกนิกเป็นอย่างยิ่งค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทฮิเมจิ

ที่อยู่
  • Himeji Castle, 68 Honcho, Himeji, Hyogo 670-0012, Japan
การเดินทาง
  • จากสถานี Hemeji Station หากเดินไปที่ปราสาทฮิเมจิจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที หรือถ้านั่งรถบัสไปจะใช้เวลาประมาณ 5 นาที
  • หากเดินทางจากโอซาก้าไปยังสถานี Hemeji Station สามารถเดินทางไปได้ 2 วิธี ดังต่อไปนี้
    1. นั่งรถไฟ Sanyo Shinkansen จากสถานี Shin-Osaka Station โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที (เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้บัตร JR Pass)
    2. นั่งรถไฟสาย Hanshin จากสถานี Osaka-Umeda Station โดยใช้เวลาประมาณ 100 นาที (สามารถใช้บัตร Kansai Thru Pass ได้)
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 9:00 – 17:00 น. (เปิดให้เข้ารอบสุดท้ายของวันในเวลา 16:00 น.)
  • ช่วงฤดูร้อน เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม – 28 สิงหาคม เวลา 9.00 – 18.00 น. (เปิดให้เข้ารอบสุดท้ายของวันในเวลา 17:00 น.)
  • ปิดทำการในวันที่ 29 – 30 ธันวาคมของทุกๆปี
ค่าเข้าชม
  • ค่าเข้าชมเฉพาะปราสาท
    • อายุ 18 ปีขึ้นไป : 1,000 เยน
    • นักเรียนประถม มัธยมปลาย : 300 เยน
  • ค่าเข้าชมแบบรวมทั้งปราสาทและสวนโคโคเอ็น
    • อายุ 18 ปีขึ้นไป : 1,050 เยน
    • นักเรียนประถม – มัธยมศึกษาตอนปลาย : 360 เยน
    • เด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี : เข้าชมฟรี
เว็บไซต์
แผนที่

Back To Index

6. สวนนารา (Nara Park) จังหวัดนารา

สวนนารา (Nara Park) เป็นสวนสาธารณะที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติและยังเป็นสวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองจังหวัดนาราอีกด้วย

นอกจากจะเต็มไปด้วยธรรมชาติแล้ว ภายในสวนนารายังมีกวางป่ามากถึง 1,200 ตัวเลยค่ะ ดังนั้นกิมมิคของการมาเที่ยวที่สวนนาราแห่งนี้ก็คือ การให้ขนมเซมเบ้น้องกวางค่ะ

แต่ถึงหลายๆคนจะมองว่านี่เป็นกิจกรรมที่ดูน่าสนุก เราก็ต้องขอเตือนไว้ก่อนเลยว่ากวางที่นี่ค่อนข้างดุเนื่องจากเป็นกวางป่า ดังนั้นหากทุกคนมาเที่ยวที่นี่เราก็ขอแนะนำให้ระวังกันเป็นพิเศษเลยค่ะ พยายามอย่าเข้าไปใกล้น้องกวางมากนะคะ

Sagi-ike Pond

สวนนาราเป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง สวนแห่งนี้จะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะสวนนาราแห่งนี้นับว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีอันงดงามของภูมิภาคคันไซค่ะ อีกทั้งบรรยากาศในช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็เย็นสบาย ไม่ร้อนและไม่หนาวมาก นักท่องเที่ยวชาวไทยอย่างเราจะต้องชอบแน่นอนค่ะ

นอกจากผู้คนจะรู้จักสวนนาราในฐานะที่เป็นสวนสาธารณะใจกลางเมืองนาราแล้ว ที่นี่ยังมีชื่อเสียงเรื่องพระพุทธรูปสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง ‘ไดบุทสึ’ (Daibutsu) อีกด้วย พระพุทธรูปองค์นี้ตั้งอยู่ใน ‘วัดโทไดจิ’ (Todaiji Temple) ซึ่งเป็นวัดพุทธนิกายมหายานแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่นค่ะ

วัดโทไดจิ

นอกจากนี้ในบริเวณรอบๆสวนนารายังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของญี่ปุ่นตั้งอยู่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นวัดโคฟุคุจิ (Kohfukuji Temple), ศาลเจ้าคาสึกะไทฉะ (Kasuga Taisha Shrine) หรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินารา (Nara National Museum) เป็นต้น

ข้อมูลเกี่ยวกับสวนนารา

การเดินทาง
  • นั่งรถไฟคินเท็ตสึไปลงที่สถานี Kintetsu Nara Station จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 5 นาทีก็จะถึงสวนนารา
  • นั่งรถไฟไปลงที่สถานี JR Nara Station จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 20 นาทีก็จะถึงสวนนารา
เว็บไซต์
แผนที่

Back To Index

7. ภูเขาโยชิโนะ (Mount Yoshino) จังหวัดนารา

ภูเขาโยชิโนะ (Mount Yoshino) เป็นภูเขาในจังหวัดนาราที่มีต้นซากุระมากถึง 30,000 ต้น และมีชื่อเสียงเรื่องการเป็นจุดชมวิวดอกซากุระที่งดงามที่สุดในประเทศญี่ปุ่น

ในช่วงเดือนเมษายน ภูเขาโยชิโนะจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกที่ล้วนเดินทางมาเพื่อชมภูเขาซากุระ

ดอกซากุระบนภูเขาโยชิโนะไม่เพียงแค่เบ่งบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น แต่ในฤดูใบไม้ร่วงดอกซากุระบางต้นยังเปลี่ยนสีสันเป็นสีแดงอมส้มอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ทัศนียภาพสวยงามไม่แพ้ฤดูใบไม้ผลิเลยค่ะ

วัดคินปุเซ็นจิ

นอกจากนี้ภูเขาโยชิโนะยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อีกหลายแห่ง เช่น วัดคินปุเซ็นจิ ซะโอโด” (Kinpusenji Zaodo Temple) วัดพุทธที่อยู่คู่ภูเขาโยชิโนะมานานกว่า 1,300 ปี อีกทั้งยังเป็นวัดที่ทำให้ภูเขาโยชิโนะมีชื่อเสียงในฐานะ “ภูเขาแห่งซากุระ” มาจนถึงปัจจุบันค่ะ

ที่มา (Reference) : beibaoke / Shutterstock

และที่ยิ่งไปกว่านั้น ภูเขาโยชิโนะยังเป็นหนึ่งในจุดแลนด์มาร์กสำคัญของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนภูมิภาคคันไซ และเป็นที่ถูกใจสำหรับสายเที่ยวธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง เพราะบรรยากาศที่นี่ล้วนรายล้อมไปด้วยป่าไม้อันเขียวขจี อีกทั้งเรายังสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวที่ภูเขาโยชิโนะได้ตลอดทั้งปีด้วยค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาโยชิโนะ

ที่อยู่
  • Yoshinoyama, Yoshino District, Nara 639-3115, Japan
การเดินทาง

หากเริ่มต้นเดินทางจากโอซาก้า สามารถมาเที่ยวภูเขาโยชิโนะได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • นั่งรถไฟด่วนพิเศษ Blue Symphony หรือรถไฟด่วนพิเศษ Sakura Liner จากสถานี Osaka Abenobashi Station มายังสถานี Yoshino Station โดยใช้เวลาประมาณ 78 นาที

ค่าโดยสารจากสถานี Osaka Abenobashi Station ไปยังสถานี Yoshino Station

  • ผู้ใหญ่ : 1,720 เยน (ค่าโดยสารทั่วไป : 990 เยน / ค่ารถไฟด่วนพิเศษ : 520 เยน / ค่าบริการพิเศษ : 210 เยน)
  • เด็ก : 870 เยน (ค่าโดยสารทั่วไป : 550 เยน / ค่ารถไฟด่วนพิเศษ : 260 เยน / ค่าบริการพิเศษ : 110 เยน)
เว็บไซต์ (ภาษาญี่ปุ่น)
แผนที่

Back To Index

8. สวนดอกไม้นาบานะ โนะ ซาโตะ (Nabana no Sato) จังหวัดมิเอะ

สวนดอกไม้นาบานะ โนะ ซาโตะ (Nabana no Sato) เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ในเมืองคุวานะ จังหวัดมิเอะ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ฮอตฮิตสุดๆ แต่นอกจากดอกไม้สวยๆแล้ว สิ่งที่นับว่าเป็นไฮไลต์สำหรับการท่องเที่ยวสวนแห่งนี้ก็คืองานเทศกาลไฟประดับฤดูหนาว Nabana No Sato Winter Illumination” โดยงานเทศกาลนี้เป็นงานไฟประดับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยค่ะ

ภายในงานจะมีการประดับตกแต่งสวนด้วยไฟแอลอีดีสุดตระการตานับล้านดวง ในหนึ่งปีทางสวนจะจัดเทศกาลไฟประดับเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ระยะเวลาในการจัดงานค่อนข้างนานพอสมควรเลยค่ะ ทุกคนจึงไม่ต้องกังวลไป เพราะบางปีงานประดับไฟก็จัดกันยาวนานถึงครึ่งปีเลยทีเดียวค่ะ

นอกจากนี้ภายในสวนนาบานะ โนะ ซาโตะยังมีโซนย่อยอย่างสวนดอกบีโกเนีย Flower Garden in the Andes: Begonia Garden” สวนเรือนกระจกที่รวบรวมดอกไม้และพืชพันธุ์นานาชนิดเอาไว้ แม้กระทั่งดอกไม้พันธุ์ที่หาชมได้ยากที่นี่ก็มีเช่นกัน ดอกไม้ภายในสวนบีโกเนียแห่งนี้จะถูกจัดตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม ทำให้ที่นี่เหมาะแก่การเป็นจุดถ่ายรูปสวยๆเป็นอย่างมาก

สวนบีโกเนียนั้นเปิดให้เข้าชมตลอดทั้งปี และที่ยิ่งไปกว่านั้น สวนดอกไม้แห่งนี้ยังจัดงานอีเวนต์ดอกไม้สุดพิเศษประจำฤดูกาลต่างๆอีกด้วยค่ะ

นอกจากโซนสวนบีโกเนียแล้ว สวนดอกไม้นาบานะ โนะ ซาโตะยังมีโซนทุ่งดอกไม้กลางแจ้งขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโซนที่ผู้คนนิยมมาถ่ายรูปและนั่งพักผ่อนชิลล์ๆรับลมกันค่ะ

นอกจากนี้ที่สวนนาบานะ โนะ ซาโตะยังมีกิจกรรมให้ทำอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทานบุฟเฟต์ผลไม้สดๆจากสวน นั่งรถทัวร์ชมสวนดอกไม้ ยิ่งไปกว่านั้นร้านอาหารบางแห่งยังสามารถมองออกไปเห็นวิวทุ่งดอกไม้ได้ด้วยนะคะ บรรยากาศดีมากเลยค่ะ

อย่างไรก็ตาม สวนดอกไม้นาบานะ โนะ ซาโตะยังมีการจัดงานเทศกาลสุดพิเศษอีกมากมาย ไม่ว่าเราจะมาเที่ยวกันในช่วงฤดูไหนสวนแห่งนี้ก็มีดอกไม้ให้ชมตลอดเลยค่ะ ยิ่งถ้าเรามาเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ผลิทางสวนจะมีการประดับไฟรอบๆต้นซากุระ ทำให้ในยามกลางคืนสวนดอกไม้นาบานะ โนะ ซาโตะจะยิ่งสวยงามและโรแมนติกเป็นพิเศษเลยค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับสวนดอกไม้นาบานะ โนะ ซาโตะ

ที่อยู่
  • 511-1144 Mie, Kuwana, Nagashimacho Komae, 漆畑270, Japan
การเดินทาง

กรณีเริ่มต้นการเดินทางจากเมืองนาโกย่า จังหวัดไอจิ

  • เดินทางโดยรถบัสจากจุดขึ้นรถบัส Meitetsu Bus Center ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็จะถึงป้าย Nabana No Sato ทันที
  • นั่งรถไฟด่วนคินเท็ตสึจากสถานี Kintetsu Nagoya Station ไปลงที่สถานี Kintetsu Nagashima Station โดยใช้เวลาประมาณ 25 นาที จากนั้นนั่งรถบัสอีกประมาณ 10 นาทีก็จะถึงสวน
  • หมายเหตุ : หากใช้บัตร KINTETSU RAIL PASS PLUS สามารถขึ้นรถบัสได้ฟรี อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> รีวิววิธีเดินทางไปชมไฟประดับและสวนดอกไม้ที่ Nabanaba no Sato
วันและเวลาทำการ
  • สวนดอกไม้เปิดให้เข้าชมตลอดทั้งปี เวลา 9:00 – 21:00 น.
  • ในช่วงงานเทศกาลไฟประดับ โปรดตรวจสอบวันและเวลาเปิดทำการอีกครั้งในเว็บไซต์
เว็บไซต์
แผนที่

Back To Index

9. ภูเขาโคยะ (Mount Koya/Koyasan) จังหวัดวาคายามะ

ภูเขาโคยะ (Mount Koya/Koyasan) เป็นศูนย์รวมวัดสำคัญทางศาสนาพุทธของญี่ปุ่นที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,200 ปี ภูเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดวาคายามะ

สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์บนภูเขาโคยะล้วนถูกล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติอันเขียวขจี

ที่มา (Reference) : cowardlion / Shutterstock

นอกจากภูเขาโคยะจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของภูมิภาคคันไซแล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดชมดอกซากุระที่สวยงามในช่วงฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย

ส่วนช่วงฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงที่ผู้คนนิยมมาชมใบไม้เปลี่ยนสีกันมากที่สุด เพราะบนภูเขาโคยะมีต้นเมเปิลเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ภูเขาโคยะจึงเป็นจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงของภูมิภาคคันไซค่ะ

นอกจากนี้ในช่วงฤดูหนาวหิมะจะโปรยปรายลงมาปกคลุมทั่วทั้งภูเขา ฤดูหนาวจึงเป็นอีกหนึ่งฤดูที่ทัศนียภาพของภูเขาโคยะงดงามไม่แพ้ฤดูอื่นๆเลยค่ะ

นอกจากการมาชมทิวทัศน์ธรรมชาติของที่นี่แล้ว ภูเขาโคยะยังมีไฮไลต์อีกอย่างหนึ่งก็คือสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 800 ปีที่แล้ว

วัดคงโกบุจิ / ที่มา (Reference) : beibaoke / Shutterstock

หากเราเดินทางมาถึงภูเขาโคยะแล้ว วัดแรกที่เราจะเจอคือ “วัดคงโกบุจิ” (Kongobuji Temple) เป็นวัดประจำภูเขาโคยะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาวัดทั้งหมดบนภูเขาลูกนี้ค่ะ

วัดดันโจการัน

ถัดไปจะเป็น “วัดดันโจการัน” (Danjo Garan Temple) เป็นวัดพุทธที่มีโครงสร้างอาคารเป็นเอกลักษณ์ โดยสร้างให้เป็นรูปทรงเจดีย์และทาสีแดงชาดให้ดูโดดเด่นเป็นสง่า ส่วนด้านในของวัดจะมีพระพุทธรูปทองคำประดิษฐานอยู่ และมีภาพวาดทางพุทธศาสนาอีกมากมาย

หมายเหตุ : เนื่องจากตัวอาคารของวัดเดิมเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา จึงมีการสร้างวัดขึ้นใหม่อีกครั้งในปี 1937 โดยยังคงสถาปัตยกรรมรูปแบบเดิมเอาไว้ ยกเว้นสีของอาคาร

Okunoin Cemetery / ที่มา (Reference) : Phuong D. Nguyen / Shutterstock.com

อย่างไรก็ตาม บนภูเขาโคยะยังมีสถานที่ท่องเที่ยวกระจายอยู่อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวัดโอคุโนะอิน พิพิธภัณฑ์โคยะซัง เรโฮคัง ศาลเจ้าเซ็นเนียวริวโอ เป็นต้น

หากใครชื่นชอบการท่องเที่ยวธรรมชาติและสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ภูเขาโคยะเป็นหนึ่งในสถานท่องเที่ยวที่จะทำให้ทริปคันไซของทุกคนสนุกสนานมากขึ้นแน่นอนค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาโคยะ

การเดินทาง

กรณีที่เริ่มต้นการเดินทางจากโอซาก้า

  • นั่งรถไฟด่วนพิเศษ Koya Express No.3 จากสถานี Nankai Namba Station แล้วไปลงที่สถานี Gokurakubashi Station จากนั้นให้นั่งกระเช้าต่อเพื่อขึ้นไปยังภูเขาโคยะ
  • หมายเหตุ
    • ตั๋วรถไฟด่วนพิเศษ Koya (เที่ยวเดียว) + Koyasan-World Heritage บัตรเดินทางที่ใช้โดยสารยานพาหนะภายในพื้นที่ภูเขาโคยะได้แบบไม่จำกัด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> Koyasan-World Heritage Ticket
    • การเดินทางขากลับไปยังโอซาก้าจำเป็นต้องซื้อตั๋วเพิ่ม
ค่าเข้าชม
  • ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
เว็บไซต์
แผนที่

 

Back To Index

10. ศาลเจ้าคุมาโนะนาชิ (Kumano Nachi Taisha) จังหวัดวาคายามะ

หากใครชื่นชอบประเทศญี่ปุ่น เราเชื่อว่าหลายๆคนก็คงเคยเห็นภาพนี้ผ่านตากันมาบ้าง เจดีย์สีแดงที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติโดยมีน้ำตกไหลเป็นแนวยาวอยู่ด้านหลังนั้น เป็นทัศนียภาพอันงดงามที่หาชมได้ ณ จังหวัดวาคายามะค่ะ

เจดีย์สีแดงเป็นส่วนหนึ่งของ วัดเซกันโทจิ (Seiganto-ji Temple) ในสมัยก่อนเจดีย์แห่งนี้เคยเป็นหอคอยที่ใช้จัดการประชุมของเหล่านักพรตศาสนาชินโตและศาสนาพุทธ ด้วยเหตุนี้ตัวอาคารของเจดีย์จึงได้รับการออกแบบให้มีความกลมกลืนกันระหว่างทั้งสองศาสนาค่ะ

ที่มา (Reference) : beeboys / Shutterstock

ต่อไปจะเป็น น้ำตกนาชิ” (Nachi Falls) น้ำตกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งมีความสูงถึง 133 เมตรเลยทีเดียวค่ะ โดยทางวัดจะมีการสร้างระเบียงให้ยื่นออกไปเพื่อให้เราได้ชมความงามของน้ำตกกันแบบใกล้ๆด้วยค่ะ

ที่มา (Reference) : cowardlion / Shutterstock

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเดินเข้าไปชมน้ำตกนาชินั้นเราจะต้องเดินผ่าน “ศาลเจ้าคุมาโนะนาชิ” (Kumano Nachi Taisha) ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ โดยศาลเจ้าคุมาโนะนาชิจะตั้งอยู่เหนือวัดเซกันโทจิ อันเป็นจุดชมวิวของภาพเจดีย์สีแดงที่มีน้ำตกไหลรินเป็นฉากหลังนั่นเองค่ะ

ที่มา (Reference) : cowardlion / Shutterstock.com

นอกจากนี้ศาลเจ้าคุมาโนะนาชิยังรับจัดพิธีสำคัญทางศาสนาอีกมากมาย เช่น พิธีแต่งงานแบบชินโต

หากทุกคนมาเที่ยวที่นี่ก็อาจจะได้ชมพิธีแต่งงานแบบดั้งเดิมของคนญี่ปุ่นก็เป็นได้นะคะ

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าคุมาโนะนาชิ

ที่อยู่
  • 1 Nachisan, Nachikatsuura, Higashimuro District, Wakayama 649-5301, Japan
การเดินทาง
  • นั่งรถไฟ JR สาย Kisei Line ไปลงที่สถานี Kii-Katsuura Station จากนั้นนั่งรถบัส Kumano Gobo Bus ไปลงที่ป้าย Nishiyama (那智山) โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นนั่งแท็กซี่ต่ออีกประมาณ 20 นาทีก็จะถึงศาลเจ้า
  • อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Kumano Gobo Bus >> https://kumanogobobus.nankai-nanki.jp/en/
  • ศาลเจ้ามีลานจอดรถที่สามารถจอดได้ 30 คัน มีค่าบริการ 800 เยน
ค่าเข้าชม
  • ค่าเข้าชมหอสมบัติศาลเจ้าคุมาโนะนาชิ : 300 เยน
  • ค่าขึ้นเจดีย์วัดเซกันโทจิ : ผู้ใหญ่ : 300 เยน / เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี : 200 เยน / เด็กก่อนวัยเรียน : เข้าชมฟรี
เว็บไซต์
แผนที่

Back To Index

11. วัดชิคุริน-อิน (Former Chikurin-in Temple) จังหวัดชิกะ

เมืองโอสึ (Otsu) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดชิกะ ทุกคนสามารถเดินทางได้ด้วยการนั่งรถไฟจากสถานีเกียวโต โดยใช้เวลาเพียง 10 นาทีก็จะถึงโอสึค่ะ

เมืองโอสึนั้นตั้งอยู่ในทำเลที่มีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ดี ที่นี่จึงไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติมากนัก ด้วยเหตุนี้เมืองโอสึจึงมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์หลงเหลือให้ชมอยู่หลายแห่งเลยค่ะ

นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวอย่าง “ทะเลสาบบิวะ” ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นแล้วนั้น จังหวัดชิกะยังมีสถานที่ท่องเที่ยวแห่งอื่นๆที่น่าสนใจอีกมากมายซึ่งหลายๆคนอาจยังไม่เคยรู้จักมาก่อน เช่น วัดชิคุริน-อิน” (Former Chikurin-in Temple) วัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนภูเขาฮิเอ

ในสมัยก่อนวัดชิคุริน-อินถูกใช้เป็นกุฏิสำหรับพระสงฆ์ในวัดเอ็นเรียคุจิ ปัจจุบันวัดแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นด้วยค่ะ

นอกจากตัวอาคารที่งดงามจนได้รับการยกย่องแล้วนั้น บริเวณรอบๆวัดชิคุริน-อินยังมีสวนสไตล์ญี่ปุ่นให้เราได้ชมกันตลอดทั้ง 4 ฤดูอีกด้วย ทั้งนี้ในพื้นที่ใกล้ๆกับวัดชิคุริน-อินยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวัดเอ็นเรียคุจิ (Enryaku-ji Temple) หรือศาลเจ้าฮิโยชิไทฉะ (Hiyoshi Taisha Shrine) เป็นต้น

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดชิคุรินอิน

ที่อยู่
  • 5 Chome-2-13 Sakamoto, Otsu, Shiga 520-0113, Japan
การเดินทาง

กรณีเริ่มต้นการเดินทางจากโอซาก้าหรือเกียวโต

  • นั่งรถไฟ JR สาย Kosei Line ไปลงที่สถานี Keihan-Otsukyo Station โดยใช้เวลาประมาณ 14 นาที จากนั้นเปลี่ยนไปนั่งรถไฟ Keihan สาย Ishiyama Sakamoto Line (ต้องซื้อตั๋วเพิ่ม) แล้วลงที่สถานี Sakamoto-hieizanguchi Station โดยใช้เวลาประมาณ 11 นาที จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 6 นาทีก็จะถึงวัดชิคุริน-อิน
วันและเวลาทำการ
  • เปิดทำการตั้งแต่เวลา 9:00 – 17:00 น.
  • ปิดทุกวันจันทร์
ค่าเข้าชม
  • อายุ 13 ปีขึ้นไป : 330 เยน
  • อายุต่ำว่า 12 ปี : 150 เยน
  • ผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) : 220 เยน
เว็บไซต์
แผนที่

Back To Index

12. วัดอิชิยามะเดระ (Ishiyama-dera Temple) จังหวัดชิกะ

ที่มา (Reference) : AndyLai / Shutterstock

วัดอิชิยามะเดระ (Ishiyama-dera Temple) เป็นวัดหลักของศาสนาพุทธนิกายชินงอนที่สร้างขึ้นในช่วงยุคสมัยนารา วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบบิวะและทางใต้ของเมืองโอสึ จังหวัดชิกะ

ที่มา (Reference) : AndyLai / Shutterstock

ภายในวัดอิชิยามะเดระนั้นมีห้องโถงหลักที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่น นอกจากนี้ในสมัยก่อนวัดแห่งนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นจุดรับพลังศักดิ์สิทธิ์ (Power Spot) เรื่องการขอพรให้คลอดบุตรปลอดภัย เรื่องโชคลาภ และเรื่องการปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ในปัจจุบันจึงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยเดินทางมาที่วัดแห่งนี้เพื่อสักการะขอพรตามความเชื่อค่ะ

นอกจากนี้วัดอิชิยามะเดระยังเป็นจุดที่ชมดอกไม้ตามฤดูกาลได้ตลอดทั้งปี รวมถึงเป็นจุดชมใบเมเปิลเปลี่ยนสีอันงดงาม เนื่องจากบริเวณรอบๆวัดมีต้นเมเปิลจำนวนมากถึง 2,000 ต้น

และในเดือนพฤศจิกายนของทุกปีจะมีการจัดงานเทศกาลไฟประดับ โดยตกแต่งดวงไฟรอบๆต้นเมเปิลและบริเวณจุดต่างๆของวัด ไม่ว่าจะเป็นห้องโถงหลัก เจดีย์สองชั้น หรือตามทางเดิน

แสงสว่างของเทศกาลไฟประดับเหล่านี้ทำให้วัดอิชิยามะเดระในยามกลางคืนสว่างไสวสวยงาม จนที่นี่ได้รับเลือกให้เป็นมรดกทิวทัศน์ยามค่ำคืนของญี่ปุ่นค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดอิชิยามะเดระ

ที่อยู่
  • 1 Chome-1-1 Ishiyamadera, Otsu, Shiga 520-0861, Japan
การเดินทาง

กรณีเริ่มต้นการเดินทางจากโอซาก้าหรือเกียวโต

  • นั่งรถไฟ JR ไปลงที่สถานี Ishiyama Station แล้วเดินไปยังสถานี Keihan-Ishiyama Station เพื่อเปลี่ยนสายรถไฟ (ใช้เวลาเดินระหว่างสถานีทั้งสองแห่งประมาณ 5 นาที) จากนั้นให้นั่งรถไฟ Keihan สาย Ishiyama-Sakamoto Line ไปลงที่สถานี Ishiyamadera Station โดยใช้เวลาประมาณ 4 นาที และเดินต่ออีกประมาณ 10 นาทีก็จะถึงวัดอิชิยามะเดระ
  • หากเลือกนั่งรถบัสของ Keihan Bus จากด้านหน้าสถานี Keihan-Ishiyama Station ไปลงที่ป้าย Ishiyama Dera Sammon-mae โดยใช้เวลาประมาณ 4 นาที ก็จะถึงวัดอิชิยามะเดระทันที
วันและเวลาทำการ
  • เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8:00 – 16:30 น. (รอบเข้าชมวัดรอบสุดท้าย : 16:00 น.)
ค่าเข้าชม
  • อายุ 16 ปีขึ้นไป : 600 เยน
  • อายุ 6 – 15 ปี : 220 เยน
  • อายุต่ำว่า 6 ปี : เข้าชมฟรี
เว็บไซต์
แผนที่

แนะนำที่เที่ยวอื่นๆในภูมิภาคคันไซ

  • พลาดไม่ได้กับการชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ “ภูเขาโยชิโนะ” จุดชมธรรมชาติชื่อดังไม่ไกลจากโอซาก้า (คลิกที่รูปได้เลย)

  • โคยะซัง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่รวบรวมประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธไว้มากกว่า 1,200 ปี (คลิกที่รูปได้เลย)

  • ชมดอกซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีแสนงดงามที่ “เมืองโอสึ” แหล่งท่องเที่ยวใกล้เกียวโตที่เราอยากแนะนำ

มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!

รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!

ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ

Back To Top