fbpx

Must See Place! ชมวัดน้ำใส Kiyomizu และพื้นที่โดยรอบ

ม.ค. 08, 2020

วัดยาซากะโคชินโด (Yasaka Koshindo Temple)

วัดยาซากะโคชินโด หรืออีกชื่อหนึ่งคือวัดไดโกกุซัง คอนโกจิ โคชินโด เป็นวัดเล็กๆที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดน้ำใสคิโยมิสึ เชื่อกันว่าวัดแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 960

จุดเด่นที่สุดของวัดนี้คงหนีไม่พ้นสีสันรอบๆองค์พระ ซึ่งมีความคัลเลอร์ฟูลมากเมื่อเทียบกับวัดญี่ปุ่นโดยทั่วไป ว่าแต่มันคืออะไรกันล่ะไอ้ที่ห้อยอยู่รอบๆองค์พระเนี่ย?

เจ้าพวกนี้คือตุ๊กตาลิงครับ ขาของตุ๊กตาพวกนี้จะผูกเป็นปม ตรงนี้เป็นการเทียบกับความต้องการในชีวิตมนุษย์ คือพอคนเรามีความต้องการอะไรสักอย่างหนึ่ง เราก็จะสร้างปมในใจขึ้นมาผูกจิตของเรา ทำให้เราไม่หลุดพ้นแล้วก็ทุกข์

อันนี้คือปริศนาธรรมครับ แต่อย่างไรก็ตามเราๆท่านๆที่ไม่ได้มีแพลนจะบวชตลอดชีวิต (และเชื่อว่าบางคนไปบวชนานๆก็ไม่ได้แปลว่าจะหลุดพ้นแล้ว มันไม่ได้ง่ายอย่างงั้นหรอกหนา) เมื่อมาไหว้สักการะแล้วสุดท้ายเราก็มีอะไรสักอย่างที่อยากจะขอพรใช่ไหมล่ะครับ

แล้วทำไงดีล่ะทีนี้?

ไม่ต้องกังวลครับ ถึงที่นี่จะมีปริศนาธรรมเรื่องการปล่อยวาง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะมาเขียนขอพรที่นี่ไม่ได้ (ที่ห้อยๆเต็มไปหมดนั่นก็ขอพรกันทั้งนั้นแหละ) แต่สำหรับที่นี่การขอพรจะมีกิมมิคนิดหน่อย

กิมมิคที่ว่านี้คือ ถ้าจะขออะไรที่นี่ต้องสละอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งส่วนมากจะเป็นอะไรที่แย่ๆในชีวิต เช่น ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ติดการพนัน ฯลฯ เราก็ให้สัญญาว่าจะเลิกทำซะ (ไหนๆเราก็ต้องสละอะไรสักอย่าง การเลือกสละสิ่งที่มันเนกาทีฟกับชีวิตก็น่าจะดี) หรือไม่ก็สละเรื่องใดก็ตามที่คิดว่าพร้อมจะสละได้ แล้วสิ่งที่ขอพรไว้ก็อาจจะกลายเป็นความจริงขึ้นมาได้ครับ อ่ะ! ถ้ามาเที่ยวที่นี่ก็อย่าลืมมาลองเขียนขอพรกันดูละกันนะครับ

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดยาซากะโคชินโด (Yasaka Koshindo Temple)

ที่อยู่

Yasaka Koshindo Temple (八坂庚申堂)

90-1, Kinencho, Higashiyama-ku, Kyoto, Kyoto 605-0828

โทร

075-541-2565

วันเวลาทำการ

เปิดทำการทุกวัน เวลา 9:00 น. ถึง 16:00 น.

ค่าเข้าชม

ไม่มีค่าเข้าชม

การเดินทาง

สำหรับใครที่มี Kyoto Bus 1 Day Pass (ราคา 600 เยน) หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 205, 206 หรือ 207 ไปลงที่ป้าย Kiyomizumichi ใช้เวลา 20 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 3 นาที

เว็บไซต์

http://kyototravel.info/kongouji

Kiyomizu-Zaka Street ถนนที่มุ่งตรงสู่วัดน้ำใสคิโยมิสึ

ในระหว่างการเดินทางไปวัดน้ำใส นอกจากเราจะเจอกับวัดยาซากะโคชินโดแล้ว ตามทางก็ยังมีย่านร้านค้าให้แวะชมระหว่างที่เดินบนเนินเขานี้ ซึ่งก็จะมีทั้งร้านค้าและกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น

ร้านแปลงโฉมเป็นไมโกะ สำหรับสาวๆที่สนใจจะแต่งตัวแบบไมโกะ

ร้านอาหารที่มีการแสดงของไมโกะ (เกอิชาฝึกหัด) ระหว่างการรับประทานอาหาร

ร้านเช่าชุดกิโมโนแบบปกติ

คาเฟ่สำหรับลองปั้นถ้วยชาม

Akebono Tei ร้านอาหารซึ่งในอดีต ‘เรียวมะ ซาคาโมโตะ’ ซามูไรชื่อดังมาทานบ่อยๆเพื่อประชุมวางแผนโค่นล้มระบอบโชกุน รายละเอียดของร้านสามารถดูได้จากเว็บไซต์นี้ https://akebonotei.jp/en/

ร้านของฝากที่เน้นขายสินค้า Hello Kitty

สตาร์บัคส์สาขาคิโยมิสึที่ดูแล้วนึกว่าร้านชาเขียวญี่ปุ่น

และเนื่องจากถนนแห่งนี้เป็นเนินบนเขา พอเดินขึ้นมาสูงๆแล้วถ่ายรูปลงไปก็จะได้ภาพวิวสวยๆมาใช้ครับ ยิ่งถ้าเป็นตอนที่พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้วล่ะก็…วิวสวยสวดยอด! (ดูได้จากภาพแรก)

ข้อมูลเกี่ยวกับ Kiyomizu-Zaka Street

ที่อยู่

Kiyomizu-Zaka Street

Kiyomizu, Higashiyama-ku, Kyoto 605-0862, Kyoto Prefecture

วันเวลาทำการ

ร้านค้าส่วนใหญ่เปิดทำการทุกวัน เวลา 10:00 น. ถึง 18:00 น.

ค่าเข้าชม

ไม่มีค่าเข้าชม

การเดินทาง

สำหรับใครที่มี Kyoto Bus 1 Day Pass (ราคา 600 เยน) หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 205, 206 หรือ 207 ไปลงที่ป้าย Kiyomizumichi ใช้เวลา 20 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 3 นาที

วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu-dera Temple)

‘วัดคิโยมิสึ’ หรือที่เรียกติดปากกันว่า ‘วัดน้ำใส’ (ชื่อวัดแปลแบบนี้เลย) เป็นวัดพุทธสายโฮโซที่ได้รับตำแหน่งมรดกโลกจากยูเนสโก และเป็นวัดที่น่าจะดังที่สุดในญี่ปุ่นแล้ว

วัดคิโยมิสึสร้างขึ้นในปี 780 เหตุผลที่วัดได้ชื่อนี้เพราะถูกสร้างขึ้นตรงน้ำตกโอโตวะซึ่งเชื่อกันว่าเป็นน้ำตกศักดิ์สิทธิ์ที่มีน้ำบริสุทธิ์ ว่ากันว่าหากดื่มน้ำนี้แล้วจะประสบความสำเร็จในชีวิต โดยมี 3 เรื่องให้เลือกขอพร คือเรื่องความรัก การเรียน และการมีชีวิตที่ยืนยาว แต่ๆๆ ห้ามดื่มหมดจากทั้งสามจุดนะ เพราะจะเป็นการแสดงถึงความโลภว่าฉันจะเอาหมด แล้วแทนที่จะได้ดั่งใจหวังก็จะกลายเป็นไม่ได้อะไรเลย ให้เลือกเอาสักเรื่องหนึ่งก็พอ

จุดที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคงหนีไม่พ้นอาคารหลักของวัดที่ตั้งอยู่เหนือแนวต้นไม้ ทำให้เห็นเป็นลักษณะคล้ายกับว่าตัวอาคารลอยอยู่ในอากาศ ซึ่งอาคารนี้สร้างแบบญี่ปุ่นโบราณคือ โนตะปู ไม่ใช้ตะปูเลยจ้า เป็นการสร้างโดยอาศัยการล็อกข้อต่อไม้เข้าด้วยกันล้วนๆ เป็นวิธีแบบเดียวกับที่ใช้ในการสร้างศาลเจ้าอิเสะ

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าช่วงนี้ตัวอาคารหลักมีการซ่อมแซมใหญ่ดังที่เห็นในรูป ซึ่งกว่าจะซ่อมเสร็จก็เดือนมีนาคมปี 2020 เลย

มาดูข้างในกันบ้าง จุดแรกเลยคือไดโกกุเตน เทพแห่งความสำเร็จ จะลองไหว้ขอพรดูก็ได้นะ ขอได้ทุกเรื่อง

จากนั้นจะเป็นจุดไหว้พระหลักที่มีคนมาต่อคิวขอพรกันเพียบ

นอกจากจะสวยงามในเวลากลางวันแล้ว ที่นี่ตอนกลางคืนก็สวยงามไม่แพ้ตอนกลางวันเช่นกัน เพราะมีการเปิดไฟตอนกลางคืนด้วย ซึ่งหากเป็นช่วงที่ใบไม้แดงสุดๆน่าจะสวยยิ่งกว่าในรูปอีก (อันนี้เป็นรูปที่ไปถ่ายก่อนการซ่อมวัด)

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดคิโยมิสึ (Kiyomizu-dera Temple)

ที่อยู่

Kiyomizu-dera Temple

1-294, Kiyomizu, Higashiyama-ku, Kyoto-shi, Kyoto, 605-0862, Japan

โทร

075-551-1234

วันเวลาทำการ

เปิดทำการทุกวัน เวลา 6:00 น. – 18:00 น. (หรือถึง 18:30 น. สำหรับวันธรรมดาและวันหยุดนักขัตฤกษ์ในช่วงกลางเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม และทุกวันในเดือนสิงหาคมและกันยายน)

สำหรับการเปิดไฟช่วงกลางคืนจะเปิดเวลา 18:00 น. – 21:00 น. ในช่วงเวลาดังต่อไปนี้

  • ฤดูใบไม้ผลิ วันที่ 3 มีนาคม – 17 มีนาคม และวันที่ 29 มีนาคม – 7 เมษายน
  • ฤดูร้อน วันที่ 14 สิงหาคม – 16 สิงหาคม
  • ฤดูใบไม้ร่วง วันที่ 16 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม
ค่าเข้าชม

ค่าเข้าชม 400 เยนทั้งในช่วงเวลาปกติและช่วงเปิดไฟ

การเดินทาง

สำหรับใครที่มี Kyoto Bus 1 Day Pass (ราคา 600 เยน) หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 205, 206 หรือ 207 ไปลงที่ป้าย Kiyomizumichi ใช้เวลา 20 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 12 นาที

เว็บไซต์

https://www.kiyomizudera.or.jp/en/

ศาลเจ้าจิชู (Jishu Shrine)

‘ศาลเจ้าจิชู’ เป็นศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ในบริเวณวัดคิโยมิสึ ว่ากันว่าเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่สุดในเกียวโต (ไม่มีบันทึกการสร้างที่แน่นอน) โดยอาคารที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1633 โดยโชกุนโทคุกาวะ โยชิมิตสึ

ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโอคุนินูชิ เทพเจ้าแห่งสายสัมพันธ์และความรักของศาสนาชินโต จึงทำให้ศาลเจ้านี้เป็นที่นิยมของผู้ที่มาสักการะเพื่อขอให้มีความรักความสัมพันธ์ที่ดี ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ความสัมพันธ์แบบคู่รักหนุ่มสาวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ในเชิงมิตรสหาย หรือแม้แต่เจ้านายกับลูกน้องก็ได้เช่นกัน

สำหรับกิมมิคของศาลเจ้าแห่งนี้ก็เห็นจะเป็นเจ้านี่แหละครับ ‘หินเสี่ยงทาย’

ว่าแต่เราต้องทำยังไงหว่า?

ก่อนอื่นให้เริ่มจากฝั่งก้อนหินเริ่มต้น (อันที่มีป้ายอธิบาย) แล้วปิดตาลงทั้ง 2 ข้าง ก่อนจะนึกถึงสิ่งที่ขอไว้

จากนั้นเดินไปทางหินอีกก้อนที่ปลายทาง ระหว่างทางจะให้เพื่อนช่วยบอกทางก็ได้นะ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นว่ากันว่าความรักที่เราขอนั้นจะต้องมีเพื่อนช่วยเหลือถึงจะสำเร็จ

ทีนี้ถ้าไปถึงแล้วแตะหินได้ตั้งแต่ครั้งแรก แน่นอนว่าความรักของเราจะบรรลุผลหรือได้อย่างที่ขอในเวลาอันรวดเร็ว แต่ถ้าทำหลายครั้งกว่าจะได้แสดงว่าความรักของเราก็สมหวังแหละ แต่อาจจะช้าหน่อย (ส่วนถ้าใครทำไม่ได้ก็ตัวใครตัวมันเด้อ)

นอกจากนั้นก็จะมีจุดนี้ เป็นท่านไดโกกุสารพัดนึก เอาไว้ขอเรื่องอะไรก็ได้แม้จะไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับความรัก

เทพโอคาเกะ ซึ่งตรงนี้ว่ากันว่าให้ขอพรแค่เรื่องเดียวที่อยากได้จริงๆ ซึ่งในอดีตเทพองค์นี้เป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการสาปแช่งคนอื่นด้วย (จะดีเหรอ?) ซึ่งการสาปแช่งจะมีการเอาหุ่นฟางมาตอกตะปูตามที่เห็นในป้าย

ในส่วนของเครื่องรางของที่นี่ก็แทบจะเป็นเครื่องรางความรักเกือบทั้งหมด ใครสนใจก็ลองดูได้ครับ

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าจิชู (Jishu Shrine)

ที่อยู่

Jishu Shrine

1-317 Shimizu, Higashiyama-ku, Kyoto 605-0862, Kyoto

โทร

075-541-2097

วันเวลาทำการ

เปิดทำการทุกวัน เวลา 6:00 น. – 18:00 น. (หรือถึง 18:30 น. สำหรับวันธรรมดาและวันหยุดนักขัตฤกษ์ในช่วงกลางเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม และทุกวันในเดือนสิงหาคมและกันยายน)

สำหรับการเปิดไฟช่วงกลางคืนจะเปิดเวลา 18:00 น. – 21:00 น. ในช่วงเวลาดังต่อไปนี้

  • ฤดูใบไม้ผลิ วันที่ 3 มีนาคม – 17 มีนาคม และวันที่ 29 มีนาคม – 7 เมษายน
  • ฤดูร้อน วันที่ 14 สิงหาคม – 16 สิงหาคม
  • ฤดูใบไม้ร่วง วันที่ 16 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม
ค่าเข้าชม

ค่าเข้าชม 400 เยนทั้งในช่วงเวลาปกติและช่วงเปิดไฟ

การเดินทาง

สำหรับใครที่มี Kyoto Bus 1 Day Pass (ราคา 600 เยน) หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 205, 206 หรือ 207 ไปลงที่ป้าย Kiyomizumichi ใช้เวลา 20 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 12 นาที

เว็บไซต์

https://www.jishujinja.or.jp/english/

 

เกือบลืม ในส่วนของอาหารวันนี้


เนื่องจากวิ่งวุ่นยาวๆเลยมากินที่สถานี Kyoto เป็น ochazuke หรือข้าวฟิวชั่น ที่ว่าฟิวชั่นคือตอนแรกก็มาเป็นข้าวหน้าแบบนี้แหละ แต่พอกินๆไปสักครึ่งหนึ่งก็สามารถเติมซุปให้กลายเป็นข้าวต้มได้ ก็ได้ความอร่อยสองแบบในเมนูเดียวนั่นเอง