fbpx

รวม 15 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดคานากาวะ’ ที่ต้องไปโดนให้ได้สักครั้ง!

มิ.ย. 08, 2022

บทนำ : ไปเที่ยว ‘จังหวัดคานากาวะ’ กันเถอะ!

รวม 15 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดคานากาวะ’ ที่ต้องไปโดนให้ได้สักครั้ง

จังหวัดคานากาวะ (Kanagawa Prefecure) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของโตเกียว เป็นจังหวัดที่มีที่เที่ยวน่าสนใจหลากหลายแบบ ทั้งการท่องเที่ยวในเชิงประวัติศาสตร์ที่ ‘เมืองคามาคุระ’ ศูนย์กลางอำนาจในยุคโชกุน หรือจะเที่ยว ‘เมืองโยโกฮาม่า’ ที่เป็นเมืองท่าทันสมัยก็ได้ความสนุกไปอีกแบบ เมืองนี้มีทั้งวิวสวยๆ ที่ชอปปิ้ง และของกินเพียบ

นอกจากนี้ก็ยังมี ‘เมืองฮาโกเนะ’ สถานที่ตากอากาศท่ามกลางธรรมชาติที่เดินทางจากโตเกียวได้อย่างสะดวก พ่วงด้วยเอาท์เลตที่เราสามารถไปชอปปิ้งกระจายต่อได้

ในขณะที่โซนเก็บตกก็มีการแสดงไฟที่ดีที่สุดของภูมิภาคคันโต รวมถึงพิพิธภัณฑ์ของการ์ตูนขวัญใจชาวไทยอย่าง โดราเอมอน

ได้ยินแบบนี้แล้ว…ยังไงก็ต้องไปครับ!

ในส่วนของการเดินทางไป ‘จังหวัดคานากาวะ’ นั้น หากเริ่มจากโตเกียวจะใช้เวลาประมาณชั่วโมงเดียวเท่านั้น เรียกได้ว่าสามารถไปเที่ยวได้อย่างสบายมากครับ

เอาล่ะ เราไปดูกันเลยดีกว่าว่าแต่ละสถานที่ในคานากาวะจะมีความน่าสนใจอย่างไร

สารบัญ (Index)

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดคากาวะ : โซนคามาคุระ (Kamakura)
สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดคานากาวะ : โซนโยโกฮาม่า (Yokohama)
สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดคานากาวะ : โซนฮาโกเนะ (Hakone)
สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดคานากาวะ : โซนอื่นๆ
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดคานากาวะ

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดคากาวะ : โซนคามาคุระ (Kamakura)

คามาคุระ เป็นเมืองเก่าในจังหวัดคานากาวะและเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลโชกุนในอดีต ปัจจุบันที่นี่เต็มไปด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย และยังมีชายหาดอันเป็นที่เที่ยวยอดนิยมในช่วงฤดูร้อนอีกด้วย

วิธีเดินทาง

  • รถไฟ JR : การเดินทางมายังสถานี Kamakura นั้น หากมาจากสถานี Shinjuku ในโตเกียว ให้นั่งรถไฟ JR สาย Yokosuka หรือรถไฟ JR Shonan Shinjuku (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 940 เยน)
  • รถไฟ Odakyu : หรือหากนั่งรถไฟสาย Odakyu ให้นั่งไปลงที่สถานี Fujisawa (ใช้เวลา 60 นาที) แล้วเปลี่ยนไปนั่งรถราง Enoden โดยนั่งไปจนสุดสาย (ใช้เวลา 30 นาที) ถ้าเดินทางด้วยวิธีนี้ เวลาโดยรวมจะนานกว่า แต่เราสามารถซื้อตั๋ว Enoshima Kamakura Free Pass มาใช้ได้ โดยค่าตั๋วจะอยู่ที่ 1,520 เยน (เป็นตั๋วสำหรับไป-กลับ Shinjuku – Kamakura หนึ่งรอบ และนั่งรถราง Enoden ได้แบบไม่จำกัดเที่ยว) ถ้าใครแพลนจะเที่ยวหลายๆจุด ขอแนะนำให้เดินทางด้วยวิธีนี้มากกว่าครับ

1. ศาลเจ้าสึรุงะโอกะ ฮาจิมังกู (Tsurugaoka Hachimangu)

ศาลเจ้าสึรุงะโอกะ ฮาจิมังกู (Tsurugaoka Hachimangu) เป็นศาลเจ้าที่สำคัญที่สุดในเมืองคามาคุระ และเป็น 1 ใน 3 ศาลเจ้าใหญ่ของศาลเจ้าฮาจิมัง ร่วมกันกับศาลเจ้าอุสะจิงกู จังหวัดโออิตะ และศาลเจ้าฮาโกซากิ จังหวัดฟุกุโอกะ

  • *หมายเหตุ : ศาลเจ้าฮาจิมัง หมายถึงศาลเจ้าที่มีการอัญเชิญเทพเจ้าฮาจิมังหรือเทพเจ้าแห่งสงครามมาประดิษฐาน

ศาลเจ้าสึรุงะโอกะ ฮาจิมังกูสร้างขึ้นในปี 1063 โดยมินาโมโตะ โยริโยชิ และต่อมาถูกย้ายทำเลที่ตั้งมายังบริเวณที่ตั้งในปัจจุบันโดยมินาโมโตะ โยริโตโมะ ผู้เป็นโชกุนคนแรกของยุคคามาคุระในปี 1192

ที่มา : https://www.pinterest.jp/pin/861383866206998625/?lp=true

ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานของ เทพฮาจิมัง ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม เดิมทีเทพฮาจิมังคือ จักรพรรดิโอจิน ซึ่งเป็นผู้ที่รบเก่งมากในขณะที่มีชีวิตอยู่ ด้วยเหตุนี้ศาลเจ้าสึรุงะโอกะ ฮาจิมังกูจึงเป็นที่สักการะของชนชั้นซามูไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตระกูลมินาโมโตะ ซึ่งเป็นตระกูลโชกุนของคามาคุระ เรียกได้ว่าเทพฮาจิมังเป็นเทพคุ้มครองประจำตระกูลมินาโมโตะเลยก็ว่าได้

มีตำนานเล่าขานกันด้วยครับว่าตอนที่มองโกลบุกญี่ปุ่นนั้น เทพฮาจิมังได้ดลบันดาลให้เกิดลมพายุพัดเข้าใส่กองทัพเรือของมองโกล จนกระทั่งแผนบุกญี่ปุ่นล้มเหลว คนญี่ปุ่นจึงเรียกลมพายุนี้ว่า ‘กามิกาเซ่’ หรือลมศักดิ์สิทธิ์ ที่กลายมาเป็นเรื่องราวต่อไปในตอนสงครามโลก

ศาลเจ้าแห่งนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจากบรรดาเด็กนักเรียน เพราะเชื่อกันว่าการทำข้อสอบก็เหมือนเราออกไปสู้รบกับข้อสอบ ถ้าอยากเอาชนะข้อสอบให้ได้ก็ต้องมาไหว้ศาลเจ้าสายฮาจิมัง (ทำนองเดียวกับที่มีคนไปไหว้ศาลเจ้าสายเทนมังกุ เพราะเป็นศาลเจ้าสายเทพการศึกษา)

นอกจากนี้ ศาลเจ้าสึรุงะโอกะ ฮาจิมังกูยังเป็นที่นิยมของนักกีฬาที่กำลังจะลงแข่งด้วยครับ

และสำหรับคนวัยทำงาน เวลาที่เจออุปสรรคในการทำงาน ผู้คนก็มักจะมาไหว้เทพเจ้าที่นี่เพื่อขอให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ครับ

ที่มา : https://reki4.com

ในเดือนกันยายน ศาลเจ้าแห่งนี้จะมีการจัดเทศกาล ‘Reitaisai’ ภายในงานจะมีการโชว์ขี่ม้ายิงธนู (Yabusame) ซึ่งเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดกันมานานกว่า 800 ปี งานจะจัดขึ้นในวันที่ 14 – 16 กันยายนของทุกๆปีครับ

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าสึรุงะโอกะ ฮาจิมังกู (Tsurugaoka Hachimangu)

วิธีเดินทาง
  • เดินจากสถานี Kamakura ประมาณ 15 นาที
ที่อยู่
  • Tsuruoka Hachimangu, 1-31-1 Yukinoshita, Kamakura City, Kanagawa Prefecture 248-8588
เบอร์ติดต่อ
  • 0467220315
แฟ็กซ์
  • 0467224667
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้สักการะทุกวัน ตามเวลาดังต่อไปนี้
    • เดือนเมษายน-กันยายน : เปิดตั้งแต่เวลา 5:00 – 20:30 น.
    • เดือนตุลาคม – มีนาคม : เปิดตั้งแต่เวลา 6:00 – 20:30 น.
    • เฉพาะช่วงวันที่ 1-3 มกราคม : เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
ค่าเข้าชม
  • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
 พิกัด

Back To Index

2. ย่านการค้าหน้าศาลเจ้าสึรุงะโอกะ ฮาจิมังกู (Kamakura Komachi-dori Street)

ก่อนจะถึงศาลเจ้าสึรุงะโอกะ ฮาจิมังกูซึ่งเราแนะนำไปในหัวข้อแรกนั้น จะมีถนนย่านการค้าใกล้กับสถานี Kamakura ด้วยครับ

ร้านค้าที่น่าสนใจก็อย่างเช่น ร้านถั่วทอดที่มีถั่วทอดหลายรส เช่น รสชีส รสขาเขียว ฯลฯ

อีกร้านหนึ่งที่อยากแนะนำคือร้านไอติมชาเขียว ร้านนี้จะมีความเข้มข้นของชาเขียวหลายเลเวล คล้ายกับร้านดังแถววัดอาซากุสะในโตเกียว ว่าแล้วก็ต้องลองชิมเลเวลสูงสุดสักหน่อย!

โอ้โห ข้นมากกกกกกกกก! คือถ้าเป็นสายชาเขียวคงสะใจแน่นอนครับ แต่ถ้าไม่ใช่ก็ขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าลองเลเวลสูงสุดเลยจะดีกว่านะครับ (สำหรับผู้เขียนเองไม่มีปัญหา เพราะชอบชาเขียวอยู่แล้ว แต่มันข้นมากจน…จะว่ายังไงดี คือคนที่ไม่ชอบชาเขียวคงบ่นว่ามันขมเกินไปแน่ๆครับ)

ข้อมูลเกี่ยวกับย่านการค้าหน้าศาลเจ้าสึรุงะโอกะ ฮาจิมังกู (Kamakura Komachi-dori Street)

วิธีเดินทาง
  • เดินจากสถานี Kamakura ประมาณ 3 นาที
ที่อยู่
  • Kamakura komachi-dori street, 1-5-6 Komachi, Kamakura City, Kanagawa Prefecture 248-0006
เบอร์ติดต่อ
  • 0467230110
วันและเวลาทำการ
  • ร้านค้าส่วนมากเปิดบริการในช่วงเวลา 10:00 – 19:00 น.
ค่าเข้าชม
  • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

3. วัดฮาเซเดระ (Hasedera Temple)

วัดฮาเซเดระ (Hasedera Temple) เป็นวัดพุทธสายโจโดที่สร้างขึ้นในปี 736 วัดแห่งนี้เป็นสถานที่ประดิษฐานของเจ้าแม่กวนอิม 11 หน้า (Eleven-faced Kannon) ที่แกะสลักจากไม้ศักดิ์สิทธิ์ ตัวรูปปั้นทำจากไม้แกะสลักที่มีความสูงถึง 9.18 เมตร ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในรูปปั้นแกะสลักที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น (เขาห้ามถ่ายรูปนะครับ ต้องหาโอกาสไปชมกันเอง)

เมื่อเข้ามาในบริเวณวัด เราจะเจอกับสวนเมเปิลและบ่อปลาคาร์ปที่สวยงามเป็นพิเศษในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี

ตรงนี้จะเป็นอาคารสักการะเทพเบนไซเตน (เทพด้านเงินทอง, ดนตรี) สำหรับที่มาของเทพเบนไซเตนนั้น สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความนี้นะครับ >> สักการะเทพเบนไซเตนและชมไฟสวยๆที่เอโนชิมะ

ถัดไปในบริเวณใกล้ๆกันจะเป็นถ้ำ

ข้างในถ้ำจะเต็มไปด้วยรูปสักการะของเทพเบนไซเตน

เมื่อขึ้นมาตามทางสำหรับขึ้นไปด้านบน เราจะเจอกับโซนของพระจิโซ น่ารักมุ้งมิ้งมากครับ

จุดถ่ายรูปสวยๆของวัดฮาเซเดระก็จะเป็นบริเวณพระพุทธรูปในสวนกับต้นเมเปิลต้นนี้ครับ

ในรูปด้านล่างคือชั้นวางพระสูตรที่หมุนได้ เป็นสถานที่เก็บรักษาพระคัมภีร์ที่รวบรวมไว้อย่างสมบูรณ์ ว่ากันว่าถ้าเราหมุนชั้นวางก็จะเทียบเท่ากับได้อ่านพระคัมภีร์ทั้งหมด

นอกจากนี้ วัดฮาเซเดระยังมีจุดชมวิวที่เราสามารถมองเห็นวิวของเมืองคามาคุระได้โดยรอบด้วยครับ

และในช่วงเดือนมิถุนายน ที่นี่ยังเป็นจุดชมดอกอาจิไซ (Hydrangea) ที่สวยงามอีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดฮาเซเดระ (Hasedera Temple)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานี Kamakura หรือสถานี Fujisawa ให้นั่งรถราง Enoden ไปลงที่สถานี Hase แล้วเดินจากสถานีไปประมาณ 5 นาที
ที่อยู่
  • Hase Temple (Hasedera), 3-11-2 Hase, Kamakura City, Kanagawa Prefecture 248-0016 Japan
เบอร์ติดต่อ
  • 0467226300
แฟ็กซ์
  • 0467226303
วันและเวลาทำการ
  • เดือนมีนาคม – กันยายน : วัดเปิดให้เข้าสักการะในเวลา 8:00 – 17:30 น.
  • เดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์ : วัดเปิดให้เข้าสักการะในเวลา 6:00 – 20:30 น.
ค่าเข้าชม
  • ผู้ใหญ่ : 400 เยน
  • เด็ก : 200 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

4. วัดโคโตคุอิน (Kotokuin Temple)

วัดโคโตคุอิน (Kotokuin Temple) เป็นสถานที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปทองแดงที่มีความสูง 11.35 เมตร และหนัก 121 ตัน (สำหรับพระพุทธรูปปางนั่งขัดสมาธิ พระพุทธรูปของวัดนี้นับว่าใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศญี่ปุ่น รองจากหลวงพ่อโตที่นารา)

การก่อสร้างพระพุทธรูปองค์นี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1252 และยังคงไม่ทราบว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่ช่วงเวลาที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ก็คือปี 1238 ครับ ต่อมาในปี 1923 ฐานพระพุทธรูปได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของภูมิภาคคันโต จึงได้มีการเสริมฐานให้แข็งแรงขึ้นด้วย

ปัจจุบันองค์พระพุทธรูปตั้งอยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง ในอดีตพระพุทธรูปองค์นี้เคยตั้งอยู่ในห้องโถงพิเศษที่มีหลังคา แต่โถงอาคารถูกทำลายลงในช่วงศตวรรษที่ 14 จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและไฟไหม้ครับ ทั้งนี้ เราสามารถเข้าไปชมภายในองค์พระได้ด้วยนะครับ (มีค่าเข้าชมเพิ่มเติม 20 เยน)

เมื่อลองไปซื้อเครื่องรางประจำวัด ผมลองถามคนขายว่าควรซื้ออันไหนดี เขาบอกว่าอันในรูปนี้ดีครับ เพราะสามารถขอพรได้กว้างๆ ขอได้หลายเรื่อง เป็นเครื่องรางที่ช่วยให้สมปรารถนา ราคาก็ไม่แพงด้วยนะ

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดโคโตคุอิน (Kotokuin Temple)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานี Kamakura หรือสถานี Fujisawa ให้นั่งรถราง Enoden ไปลงที่สถานี Hase แล้วเดินจากสถานีประมาณ 10 นาที
ที่อยู่
  • Kotokuin Temple, 4-28 Hase, Kamakura City, Kanagawa Prefecture 248-0016 Japan
เบอร์ติดต่อ
  • 0467220703
วันและเวลาทำการ
  • เดือนเมษายน – กันยายน : เปิดให้เข้าสักการะเวลา 8:00 – 17:30 น.
  • เดือนตุลาคม – มีนาคม : เปิดให้เข้าสักการะเวลา 8:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
  • ผู้ใหญ่ : 300 เยน
  • เด็กอายุ 6 – 12 ปี : 150 เยน
  • ค่าเข้าชมภายในองค์พระ : 20 เยน

เว็บไซต์

พิกัด

Back To Index

5. ศาลเจ้าเอโนชิมะ (Enoshima Shrine)

Xuefeng-Nong / Shutterstock

ศาลเจ้าเอโนชิมะ (Enoshima Shrine) เป็นศาลเจ้าสายเทพเบนไซเตน (เทพเจ้าแห่งความงาม ศิลปะ ดนตรี และภูมิปัญญา) ที่ใหญ่ที่สุด ร่วมกันกับศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ จังหวัดฮิโรชิม่า และศาลเจ้าจิคุบุชิมะ จังหวัดชิกะ

พื้นที่ของศาลเจ้าเอโนชิมะแบ่งออกเป็น 3 โซนย่อย คือ

  1. โซนเฮทสึมิยะ
  2. โซนนากาสึมิยะ
  3. โซนโอคุสึมิยะ

สำหรับ เทพเบนไซเตน นั้นก็เป็นหนึ่งในเทพแห่งโชคลาภทั้ง 7 ของญี่ปุ่น โดยดั้งเดิมแล้วเทพเบนไซเตนเป็นเทพจากศาสนาฮินดู ซึ่งก็คือพระนางสุรัสวดีที่ถูกผนวกเข้ามาในความเชื่อของชินโต (จริงๆแล้วเทพแห่งโชคลาภทั้ง 7 มีเทพญี่ปุ่นแท้ๆเพียงองค์เดียวคือเทพเอบิสึ)

ที่มา : https://pbs.twimg.com

ศาลเจ้าเอโนชิมะก็มีตำนานเกี่ยวกับเทพเบนไซเตนและมังกร 5 หัวด้วยครับ ตามตำนานท้องถิ่นของเอโนชิมะนั้น ในอดีตกาลบริเวณนี้มีมังกร 5 หัวออกอาละวาด สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน

ที่มา : https://pbs.twimg.com

แต่ในเวลาต่อมา เทพเบนไซเตนก็สามารถทำให้เจ้ามังกรกลับใจและช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ ทำให้ในย่านนี้มีความเจริญมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นเหตุให้มีการสร้างศาลเจ้าเอโนชิมะขึ้นมานั่นเอง

กลับมาที่การท่องเที่ยวกันต่อ เมื่อเดินขึ้นมาตามบันไดเรื่อยๆ เราก็จะเจอกับอาคารหลักของ ‘โซนเฮทสึมิยะ’

RYUSHI / Shutterstock

ส่วนในรูปด้านบนนี้คือหอโฮอันเด็ง ที่ประดิษฐานของเทพเบนไซเตนปางแปดหัตถ์และเทพีเบนไซเตนปางดีดพิณ

ต้นไม้คู่ตรงนี้เป็นที่ที่คนจะมาแขวนป้ายขอพรเรื่องความรักกัน (แต่เดิมนอกจากเรื่องเงินทองและศิลปะแล้ว เทพเบนไซเตนเองก็มีชื่อเสียงด้านความรักเช่นกัน งานนี้คนโสดก็มาลองขอพรกันดูได้นะ)

Cooler8 / Shutterstock

เดินเข้ามาเรื่อยๆเราจะเจอศาลเจ้า ‘โซนนากาสึมิยะ’ ตรงนี้จะมีบ่อน้ำมังกร เป็นจุดที่ให้เราเอาเงินไปล้างเพราะเชื่อกันว่าจะทำให้มีเงินเข้าเยอะ

พอเดินไปอีกสักพักใหญ่ๆ เราจะเจอกับศาลเจ้า ‘โซนโอคุสึมิยะ’ ตรงนี้จะเป็นจุดสักการะเจ้ามังกรครับ

Various-images / Shutterstock

เมื่อเดินไปอีกสักพักเราจะเจอกับระฆังตรงนี้ ซึ่งเป็นจุดที่คู่รักนิยมมาเคาะระฆังร่วมกัน อีกทั้งยังมีราวสำหรับคล้องกุญแจ (เชื่อกันว่าจะทำให้ความรักยืนยาว) โดยมีวิวสวยๆช่วยเพิ่มความโรแมนติกด้วยครับ

นอกจากนี้ในบริเวณใกล้ๆกันก็จะมีถ้ำอิวายะ ซึ่งเป็นสถานที่ที่นักบวชเข้ามาฝึกปฏิบัติธรรมกันในอดีต

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าเอโนชิมะ (Enoshima Shrine)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานี Kamakura หรือสถานี Fujisawa ให้นั่งรถราง Enoden ไปลงที่สถานี Enoshima แล้วเดินจากสถานีประมาณ 20 นาที (อาจแวะโซนการค้าระหว่างทางได้)
ที่อยู่
  • Enoshima Shrine, 2-3-8 Enoshima, Fujisawa-shi, Kanagawa 251-0036 Japan
เบอร์ติดต่อ
  • 0466224020
วันและเวลาทำการ
  • ศาลเจ้า
    • ศาลเจ้าเปิดให้เข้าสักการะตลอดเวลา
    • สำนักงานศาลเจ้าเปิดทำการเวลา 8.30 – 17:00 น.
  • ถ้ำ
    • ถ้ำเปิดให้เข้าชมเวลา 9:00 – 18:00 น.
    • ช่วงกลางเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ถ้ำจะเปิดให้เข้าชมเวลา 9:00 – 16:00 น.
ค่าเข้าชม
  • ศาลเจ้า : ไม่มีค่าเข้าชม
  • ถ้ำ : มีค่าเข้าชม 500 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

6. ประภาคารเอโนชิมะซีแคนเดิล (Enoshima Sea Candle)

ประภาคารเอโนชิมะซีแคนเดิล (Enoshima Sea Candle) เป็นประภาคารชมวิวประจำเกาะเอโนชิมะที่มีความสูง 101.5 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ประภาคารแห่งนี้ตั้งอยู่ในสวนซามูเอล คอกกิง ซึ่งเป็นสวนที่ตั้งชื่อตามผู้สร้างสวนที่เป็นพ่อค้าชาวอังกฤษ

ในช่วงฤดูหนาวสวนแห่งนี้จะมีการเปิดไฟประดับในช่วงกลางคืนด้วย

ความสวยงามของไฟตอนกลางคืนทำให้มีคนมาดูไฟที่นี่เยอะพอประมาณ แต่ก็ไม่ได้แน่นมากจนน่าอึดอัด แถมยังใช้ขาตั้งกล้องในการถ่ายภาพได้ตลอดซะด้วย ถ่ายรูปได้สบายมากครับ

จากประภาคารเอโนชิมะซีแคนเดิล เราสามารถมองเห็นวิวของเกาะเอโนชิมะและพื้นที่คามาคุระโดยรอบได้ ทัศนียภาพในช่วงเย็นไปจนถึงช่วงพลบค่ำจะมีความสวยงามเป็นพิเศษ จนประภาคารนี้ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกทางด้านทัศนียภาพในยามค่ำคืนของญี่ปุ่นในปี 2010

ข้อมูลเกี่ยวกับประภาคารเอโนชิมะซีแคนเดิล (Enoshima Sea Candle)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานี Kamakura หรือสถานี Fujisawa ให้นั่งรถราง Enoden ไปลงที่สถานี Enoshima แล้วเดินจากสถานีประมาณ 30 นาที (อาจแวะโซนการค้าและศาลเจ้าระหว่างทางได้)
ที่อยู่
  • Enoshima Sea Candle, 2-3-28 Enoshima, Fujisawa-shi, Kanagawa 251-0036 Japan
เบอร์ติดต่อ
  • 0466232444
วันและเวลาทำการ
  • ประภาคารเปิดให้เข้าชมเวลา 9:00 – 20:00 น.
  • การเปิดไฟประดับช่วงฤดูหนาวจะมีตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายนจนถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์
ค่าเข้าชม
  • รวมค่าขึ้นประภาคาร
    • ผู้ใหญ่ : 500 เยน
    • เด็ก : 250 เยน

    ไม่รวมค่าขึ้นประภาคาร

    • ผู้ใหญ่ : 200 เยน
    • เด็ก : 100 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดคานากาวะ : โซนโยโกฮาม่า (Yokohama)

โยโกฮาม่า เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่น รองจากโตเกียว เมืองแห่งนี้เป็นเมืองท่าที่สวยงามและยังเป็นที่ตั้งของย่านไชน่าทาวน์อีกด้วย

วิธีเดินทาง

  • แนะนำให้ซื้อตั๋ว MinatoMirai-Line Free Round trip ที่สถานี Shibuya (Tokyu Toyoko) เพื่อใช้เดินทางไปกลับ Tokyo – Yokohama รวมถึงนั่งรถไฟ Minatomirai-Line ได้แบบไม่จำกัดเที่ยวใน 1 วัน ราคา 860 เยน

7. มินาโตะมิไร 21 (Minato Mirai 21)

มินาโตะมิไร 21 (Minato Mirai 21) เป็นชื่อที่ใช้เรียกพื้นที่บริเวณท่าเรือโยโกฮาม่า จังหวัดคานากาวะ แต่เดิมที่นี่เป็นอู่ต่อเรือขนาดใหญ่ จนกระทั่งในปี 1980 ก็ได้มีการพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งรวมอาคารสูงใหญ่มากมาย

Hamdan-Yoshida / Shutterstock

มินาโตะมิไร 21 มีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ได้แก่

Sky Garden Observatory หอชมวิวที่ตั้งอยู่บนชั้น 69 ของตึก Landmark Tower ซึ่งอยู่ภายในพื้นที่ของ Minato Mirai 21 ด้วยระดับความสูง 273 เมตร เราสามารถมองเห็นวิวของโยโกฮาม่าได้โดยรอบ ซึ่งจะทวีความสวยงามอย่างมากในช่วงเวลากลางคืนครับ

Various-images / Shutterstock

YOKOHAMA COSMOWORLD เป็นสวนสนุกใจกลาง Minato Mirai 21 ที่มีเครื่องเล่นประมาณ 30 ชนิด รวมไปถึงชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ “Cosmo Clock 21” ซึ่งมีความสูงประมาณ 112 เมตร เราสามารถชมทิวทัศน์ของพื้นที่โซน Minato Mirai 21 ทั้งหมดจากบนชิงช้าสวรรค์ได้

Nippon Maru เป็นเรือที่สร้างขึ้นในปี 1930 และเคยใช้งานจริง แต่ในเวลาต่อมาเรือลำนี้ก็ได้ถูกนำมาตั้งอยู่อย่างถาวรที่ Minato Mirai 21 ส่วนฝั่งตรงข้ามเรือจะเป็นพิพิธภัณฑ์ท่าเรือโยโกฮาม่าที่มีชื่อว่า Yokohama Port Museum พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของท่าเรือและความสัมพันธ์ที่มีผลต่อวิถีชีวิตของประชาชนชาวโยโกฮาม่า

CUPNOODLES MUSEUM เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นในปี 1958 โดยบริษัทนิสชินฟูดส์ (NISSIN FOODS) ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงประวัติศาสตร์ด้านการคิดค้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยมีหนังสั้นแนะนำประวัติศาสตร์ รวมถึงวิธีการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากทั่วโลก รวมถึงคอลเลคชั่นงานศิลปะที่ทันสมัย โดยสื่อถึงการคิดค้นและนวัตกรรมใหม่ๆเกี่ยวกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เช่น ถ้วยสไตโรโฟม บะหมี่สำหรับทานบนอวกาศ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเวิร์กชอปให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมสนุกกับกิจกรรมต่างๆอีกด้วย เช่น ได้ลองออกแบบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในแบบของตัวเอง

โกดังอิฐแดงโยโกฮาม่า (Yokohama Red Brick Warehouse) เป็นอาคารที่ในอดีตเคยเป็นท่าเรือเก่า ก่อนจะถูกดัดแปลงให้กลายเป็นแหล่งชอปปิ้งสไตล์วินเทจที่มีร้านค้ามากมาย ที่นี่ประกอบไปด้วย 2 อาคารหลักๆ โดยมีร้านค้าและร้านอาหารโดยเฉพาะหนึ่งอาคาร และเป็นพื้นที่ว่างสำหรับจัดงานอีเวนต์และนิทรรศการต่างๆ ถือเป็นแหล่งชอปปิ้งบรรยากาศดีที่นักช้อปไม่ควรพลาดเลยครับ

ข้อมูลเกี่ยวกับมินาโตะมิไร 21 (Minato Mirai 21)

วิธีเดินทาง
  • ถ้ามาจาก Tokyo ให้นั่งรถไฟสาย Tokyu Toyoko จากสถานี Shibuya ไปลงที่สถานี Minatomirai Station (ใช้เวลา 33 – 45 นาที ขึ้นอยู่กับประเภทรถ ค่าโดยสาร 470 เยน) จุดท่องเที่ยวที่แนะนำข้างต้นจะอยู่ในระยะเดิน 2 – 12 นาทีจากสถานี แล้วแต่สถานที่
ที่อยู่
  • Yokohama Landmark Tower
    • 2 Chome-2-1 Minatomirai, Nishi Ward, Yokohama, Kanagawa 220-0012
    • เบอร์ติดต่อ : 0452225015
  • YOKOHAMA COSMOWORLD
    • 2 Chome-8-1 Shinko, Naka Ward, Yokohama, Kanagawa 231-0001
    • เบอร์ติดต่อ : 0456416591
  • Nippon Maru and Yokohama Port Museum
    • 2 Chome-1-1 Minatomirai, Nishi Ward, Yokohama, Kanagawa 220-0012
    • เบอร์ติดต่อ : 0452210280
    • แฟ็กซ์ : 0452210277
  • CUPNOODLES MUSEUM
    • 2 Chome-3-4 Shinko, Naka Ward, Yokohama, Kanagawa 231-0001
    • เบอร์ : 0453450918
  • Yokohama Red Brick Warehouse
    • 1 Chome-1 Shinko, Naka Ward, Yokohama, Kanagawa 231-0001
    • เบอร์ : 0452272002
วันและเวลาทำการ
  • Yokohama Landmark Tower
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 10:00 – 21:00 น. (ถึง 22:00 น. วันเสาร์)
  • YOKOHAMA COSMOWORLD
    • วันทำการของสวนสนุก : สวนสนุกเปิดให้บริการทุกวัน ปิดวันพฤหัสบดีในสัปดาห์ที่ 2,3,4 หรือ 5 ของเดือน (เปิดทำการในวันพฤหัสบดีเฉพาะสัปดาห์แรกของเดือน)
    • เวลาทำการของสวนสนุก :
      • วันธรรมดา : 11:00 – 21:00 น.
      • วันเสาร์-อาทิตย์ : 11:00 – 21:00 น.
      • อาจมีการเปลี่ยนแปลงวันและเวลาทำการในแต่ละเดือน โปรดตรวจสอบจากหน้าเว็บไซต์นี้ >> http://cosmoworld.jp/calendar/
  • Nippon Maru and Yokohama Port Museum
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 10:00 – 17:00 น. (เข้าได้จนถึงเวลา 16:30 น.)
    • ปิดทุกวันจันทร์ (หรือหยุดในวันอังคารแทน หากในสัปดาห์นั้นมีวันหยุดราชการตรงกับวันอาทิตย์หรือวันจันทร์) และช่วงวันหยุดปีใหม่
  • CUPNOODLES MUSEUM
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 10:00 – 18:00 น. (เข้าได้จนถึงเวลา 17:00 น.)
    • ปิดทุกวันอังคาร (ถ้าวันอังคารตรงกับวันหยุดราชการ พิพิธภัณฑ์จะปิดทำการในวันถัดไปแทน) และช่วงวันหยุดปีใหม่
  • Yokohama Red Brick Warehouse
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ในเวลาดังต่อไปนี้
      • อาคาร 1 >> 10:00 – 19:00​ ​น.
      • อาคาร 2 >> 11:00 – 20:00​ ​น.
ค่าเข้าชม
  • Yokohama Landmark Tower
    • มีค่าเข้าชม 1,000 เยน
  • YOKOHAMA COSMOWORLD
    • ไม่มีค่าเข้าชม แต่มีค่าเครื่องเล่น 100 – 900 เยน แล้วแต่ประเภทของเครื่องเล่น
  • Nippon Maru and Yokohama Port Museum
    • Nippon Maru + Yokohama Port Museum
      • ผู้ใหญ่ : 600 เยน
      • เด็ก : 300 เยน (รวมค่าขึ้นประภาคาร)
      • ผู้สูงอายุ : 400 เยน
    • Nippon Maru หรือ Yokohama Port Museum เพียงอย่างเดียว
      • ผู้ใหญ่ : 200 เยน
      • เด็ก : 300 เยน (รวมค่าขึ้นประภาคาร)
      • ผู้สูงอายุ : 250 เยน
  • CUPNOODLES MUSEUM
    • ผู้ใหญ่ : 500 เยน
    • นักเรียนชั้นมัธยมปลายลงไป : เข้าชมฟรี
  • Yokohama Red Brick Warehouse
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

8. โยโกฮาม่า ไชน่าทาวน์ (Yokohama Chinatown)

Richie-Chan / Shutterstock

Yokohama Chinatown หรือ ย่านไชน่าทาวน์ในเมืองโยโกฮาม่า เป็นย่านการค้าและที่อยู่อาศัยของประชาชนเชื้อสายจีนที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และประกอบไปด้วยร้านค้ามากกว่า 600 แห่ง

ย่าน Yokohama Chinatown มีจุดเริ่มต้นในปี 1859 หลังจากการเปิดประเทศของญี่ปุ่น ที่นี่มีบรรยากาศแบบจีนๆ และมีอาหารจีนให้เดินเลือกซื้อกินอย่างเพลิดเพลิน โดยเฉพาะขนมจีบซาลาเปา

cowardlion / Shutterstock

ถ้าใครมีโอกาสได้ไปเยือน ‘จังหวัดคานากาวะ’ ก็อย่าลืมไปเดิน เยาวราชสไตล์ญี่ปุ่น กันนะ

ข้อมูลเกี่ยวกับโยโกฮาม่า ไชน่าทาวน์ (Yokohama Chinatown)

วิธีเดินทาง
  • ถ้ามาจาก Tokyo ให้นั่งรถไฟสาย Tokyu Toyoko จากสถานี Shibuya ไปลงที่สถานี Minatomirai (ใช้เวลา 44 – 55 นาที ขึ้นอยู่กับประเภทของรถ / ค่าโดยสาร 500 เยน) แล้วเดินต่ออีก 5 นาที
ที่อยู่
  • Yokohama Chinatown, Yamashitacho, Naka Ward, Yokohama, Kanagawa 231-0023
เบอร์ติดต่อ
  • 0456819997
วันและเวลาทำการ
  • ร้านค้าส่วนใหญ่จะเปิดในช่วงเวลา 10:00 – 22:00 น.
ค่าเข้าชม
  • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

9. GUNDAM FACTORY YOKOHAMA

ที่มา : https://cdn-ak.f.st-hatena.com

GUNDAM FACTORY YOKOHAMA เป็นที่เที่ยวที่น่าจะถูกใจสายเนิร์ดอนิเมะกันดั้มสุดๆครับ!

จุดขายของที่นี่คือ หุ่นกันดั้ม Rx-78 ขนาดเท่าของจริงในอนิเมะ และเจ้ากันดั้มก็ไม่ใช่แค่ยืนเฉยๆ แต่มันขยับได้ด้วย! โดยการขยับที่ว่าจะเกิดขึ้นทุกๆ 30 นาที พร้อมกับซาวด์เอฟเฟ็คและเพลงประกอบจากอนิเมะกันดั้ม

สาวกกันดั้มคนไหนได้มาเห็นกับตา บอกเลยว่าฟินแบบตายตาหลับ!

ที่มา : https://cf-images.ap-northeast-1.prod.boltdns.net

นอกจากนี้ในบริเวณใกล้ๆกันก็มีโซนขายกันพลาให้ไปละลายทรัพย์กันด้วยครับ (ผู้เขียนภาวนาให้มีการทำซาคุสีแดงของท่านชาร์แบบขยับได้บ้างในอนาคตครับ!!!)

ทั้งนี้ เจ้าหุ่นกันดั้มจะอยู่ที่ GUNDAM FACTORY YOKOHAMA จนถึง เดือนมีนาคม ปี 2023 นะครับ ใครอยากชมต้องรีบมาแล้วล่ะ!

ข้อมูลเกี่ยวกับ GUNDAM FACTORY YOKOHAMA

วิธีเดินทาง
  • ถ้ามาจาก Tokyo ให้นั่งรถไฟสาย Tokyu Toyoko จากสถานี Shibuya ไปลงที่สถานี Minatomirai (ใช้เวลา 44 – 55 นาที ขึ้นอยู่กับประเภทรถ ค่าโดยสาร 500 เยน) แล้วเดินต่อไปอีก 10 นาที
ที่อยู่
  • GUNDAM FACTORY YOKOHAMA, 〒231-0023 Kanagawa, Yokohama, Naka Ward, Yamashitacho, 279番25 山下ふ頭内
เบอร์ติดต่อ
  • 0120158686
วันและเวลาทำการ
  • GUNDAM FACTORY YOKOHAMA จะเปิดให้ชมจนถึงเดือนมีนาคม ปี 2023
  • เวลาที่เปิดให้เข้าชม
    • วันธรรมดา : 11:00 – 18:00 น. (รอบเข้าชมสุดท้าย : 17:00 น.)
    • วันเสาร์-อาทิตย์ : 10:00 – 20:00 น. (รอบเข้าชมสุดท้าย : 19:00 น.)

ค่าเข้าชม

  • GUNDAM FACTORY
    • ผู้ใหญ่ (อายุ 13 ปีขึ้นไป) : 1,650 เยน (รวมภาษีแล้ว)
    • เด็กอายุ 7 – 12 ปี : 1,100 เยน (รวมภาษีแล้ว)
  • GUNDAM-DOCK TOWER
    • ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก : 3,300 เยน (รวมภาษีแล้ว)

เว็บไซต์

พิกัด

Back To Index

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดคานากาวะ : โซนฮาโกเนะ (Hakone)

ฮาโกเนะ เป็นโซนตากอากาศยอดนิยมของจังหวัดคานากาวะ ซึ่งได้รับความนิยมมากพอๆกับทะเลสาบคาวากุจิโกะของจังหวัดยามานาชิ

วิธีเดินทาง

  • ในส่วนของการเดินทางในละแวกฮาโกเนะ เราขอแนะนำตั๋ว Hakone Free Pass หรือถ้าใครจะพ่วงคามาคุระเข้าไปในแพลนเที่ยวด้วย เราก็ขอแนะนำให้ซื้อตั๋ว Hakone Kamakura Pass เพิ่มด้วยครับ ส่วนใครที่อยากพ่วงทะเลสาบคาวากุจิโกะเข้าไปด้วยล่ะก็ ต้องซื้อตั๋ว Fuji Hakone Pass เลยครับ

10. ปราสาทโอดาวาระ (Odawara Castle)

ปราสาทโอดาวาระ (Odawara Castle) ตั้งอยู่ใน ‘จังหวัดคานากาวะ’ ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 15 ภายใต้การดูแลของตระกูลโฮโจ หนึ่งในตระกูลซามูไรที่เรืองอำนาจในช่วงยุคสงครามเซ็งโงกุ

ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างมาอย่างดี จนกระทั่งตอนที่ โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ หนึ่งในสามผู้รวมชาติญี่ปุ่นยกกองทัพมาโจมตีที่นี่ แทนที่ฮิเดโยชิจะโจมตีตรงๆ เขาเลือกที่จะปิดล้อมปราสาทเพื่อรอให้ทางฝ่ายโฮโจหมดเสบียงจนยอมแพ้ไปเอง (ฮิเดโยชิประเมินไว้แล้วว่าถ้าโจมตีปราสาทตรงๆ ฝั่งตัวเองจะเสียกำลังพลมากมายมหาศาล)

อย่างไรก็ตาม ตัวปราสาทได้ถูกทำลายลงเมื่อปี 1703 จากเหตุแผ่นดินไหว แต่ก็ได้มีการสร้างขึ้นใหม่ในภายหลัง รวมถึงอีกหลายๆส่วนของปราสาทด้วย

แต่ดูเหมือนจะโชคไม่ดีเท่าไหร่ เพราะว่าพอเข้าสู่ยุคเมจิในปี 1870 ก็ได้มีคำสั่งให้รื้อถอนปราสาท แต่สุดท้ายแล้วในปี 1960 ปราสาทโอดาวาระก็ถูกบูรณะขึ้นใหม่จนฟื้นคืนสภาพกลับมาสวยงามดังเดิมอีกครั้ง

ปัจจุบันที่นี่เป็นจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงของเมืองฮาโกเนะ

ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทโอดาวาระ (Odawara Castle)

วิธีเดินทาง
  • ถ้ามาจาก Tokyo ให้นั่งรถไฟสาย Odakyu จากสถานี Shinjuku ไปลงที่สถานี Odawara (ใช้เวลา 100 – 120 นาที ขึ้นอยู่กับประเภทของรถ ค่าโดยสาร 900 เยน) แล้วเดินอีก 10 นาที
ที่อยู่
  • Odawara Castle Jonai, Odawara, Kanagawa 250-0014
เบอร์ติดต่อ
  • 0465223818
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้เข้าชมเวลา 9:00 – 17:00 น.
  • ปิดวันที่ 31 ธันวาคม และ 1 มกราคม
ค่าเข้าชม
  • ตัวปราสาท
    • ผู้ใหญ่ : 510 เยน
    • นักเรียนประถม & มัธยมต้น : 200 เยน
  • Samurai Museum
    • ผู้ใหญ่ : 200 เยน
    • นักเรียนประถม & มัธยมต้น : 60 เยน
  • Ninja Museum
    • ผู้ใหญ่ : 310 เยน
    • นักเรียนประถม & มัธยมต้น : 100 เยน
  • ตัวปราสาท+ Samurai Museum
    • ผู้ใหญ่ : 610 เยน
    • นักเรียนประถม & มัธยมต้น : 220 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

11. ทะเลสาบอาชิ (Lake Ashi)

ทะเลสาบอาชิ (Lake Ashi) จังหวัดคานากาวะ ก่อตัวขึ้นจากลาวาของภูเขาฮาโกเนะหลังจากที่มีการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว ทะเลสาบแห่งนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม (โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ร่วง) เพราะนอกจากธรรมชาติรอบทะเลสาบจะอุดมสมบูรณ์แล้ว ฉากหลังยังเป็นภูเขาไฟฟูจิอันแสนตระการตาอีกด้วย

สำหรับวิธีการชมความสวยงามของทะเลสาบอาชินั้น เราสามารถทำได้โดยการล่องเรือโจรสลัดแบบในภาพ

Frankie-WO / Shutterstock

นอกจากนี้ถ้าใครเป็นสายอาร์ต เราขอแนะนำให้ลองแวะไปที่ Hakone Museum of Art เพื่อชมงานศิลปะจำพวกเซรามิก พร้อมกับวิวทะเลสาบสวยๆที่โถงชมวิวแบบในรูปครับ

ที่เที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลกันก็คือ Hakone Detached Palace ตำหนักแห่งนี้เคยเป็นสถานที่แปรพระราชฐานในฤดูร้อนของราชวงศ์ญี่ปุ่น ในปัจจุบันที่นี่ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปและนักท่องเที่ยวได้เข้าชม

ตัวอาคารของตำหนักจะตั้งอยู่ที่บริเวณจุดสูงสุดของเนินใจกลางสวน ส่วนบริเวณรอบๆเป็นลานสนามหญ้าขนาดย่อมที่มีศาลาขนาดใหญ่ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ จากตำหนักแห่งนี้เราสามารถชมวิวทะเลสาบอาชิได้เช่นกัน

Yasemin-Olgunoz-Berber / Shutterstock

Hakone Checkpoint เป็นด่านสำคัญในการควบคุมการจราจรบนเส้นทางสายโทไคโด หรือเส้นทางที่เชื่อมระหว่างโตเกียวและเกียวโตในช่วงยุคเอโดะ

ด่านที่เห็นในปัจจุบันนั้นได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ อาคารบางส่วนก็สร้างขึ้นใหม่โดยคงเอาไว้ให้เป็นสถาปัตยกรรมสมัยเอโดะเช่นเดิม แล้วเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีหุ่นจำลอง การแสดง หรือกิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในยุคนั้น เช่น โรงพักม้า ห้องครัว ด่านตรวจคนเดินทาง ที่พัก ฯลฯ

ส่วนบริเวณเหนือด่านมีลักษณะเป็นเนินสูง เราสามารถเดินขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบอาชิในมุมสูงได้จากจุดนี้ครับ

ทีนี้ถ้าทุกคนย้อนกลับไปดูรูปแรก ให้สังเกตเสาโทริอิสีแดงครับ เสาต้นนี้เป็นของศาลเจ้าฮาโกเนะ ว่ากันว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 757

มีตำนานเล่าว่าในอดีตชาวบ้านที่ฮาโกเนะต่างก็ต้องทนทุกข์กับภัยพิบัติขนาดใหญ่ทุกปี เชื่อกันว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดจากมังกร 9 หัวที่อาศัยอยู่ ณ ก้นทะเลสาบอาชิ ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านจึงต้องบูชายัญมังกรด้วยชีวิตของเด็กทารกปีละ 1 คนมาโดยตลอด

จนกระทั่งในปี 1667 มีนักบวชรูปหนึ่งเดินแสวงบุญผ่านมาบริเวณนี้ ท่านจึงช่วยชาวบ้านสะกดวิญญาณของมังกร 9 หัวเอาไว้ในทะเลสาบ และย้ายที่ตั้งของศาลเจ้าจากบนยอดเขาลงมาที่บริเวณริมทะเลสาบอาชิจนถึงทุกวันนี้

ส่วนในปัจจุบัน ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่นิยมเรื่องการขอพรด้านความรักครับ ขลังจนถึงขนาดที่ติดอันดับ 6 ของโพลศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ด้านความรักในเว็บไซต์ Japan Guide Book เลยล่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับทะเลสาบอาชิ (Lake Ashi)

วิธีเดินทาง
  • ถ้ามาจาก Tokyo ให้นั่งรถไฟสาย Odakyu จากสถานี Shinjuku ไปลงที่สถานี Odawara (ใช้เวลาเดินทาง 100 – 120 นาที ขึ้นอยู่กับประเภทรถ ค่าโดยสาร 900 เยน) จากนั้นนั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Motohakone-ko (ใช้เวลา 50 นาที ขึ้นอยู่กับประเภทรถ 1,200 เยน) จากนั้นสามารถเดินไปเที่ยวตามแต่ละจุดที่เราแนะนำได้ โดยใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที
ที่อยู่
  • Motohakone-ko (ท่าเรือโจรสลัด)
    • 161 Hakone, Hakone-machi, Ashigarashimo-gun, Kanagawa 250-0521
    • เบอร์ติดต่อ : 0460837550
  • Hakone Museum of Art
    • 1300 Gora, Hakone-machi, Kanagawa Tel: 0460-82-2623
    • เบอร์ติดต่อ : 0460822623
  • Hakone Detached Palace
    • 171 Motohakone, 箱根町 Hakone, Ashigarashimo District, Kanagawa 250-0522
    • เบอร์ติดต่อ : 0460837484
  • Hakone Checkpoint
    • 1 Hakone, Hakone-machi, Ashigarashimo-gun, Kanagawa 250-0521
    • เบอร์ติดต่อ : 0460836635
    • แฟ็กซ์ : 0460836383
  • Hakone Shrine
    • 80-1 Motohakone, Hakone, Ashigarashimo District, Kanagawa 250-0522
    • เบอร์ติดต่อ : 0460837123
    • แฟ็กซ์ : 0460836669
วันและเวลาทำการ
  • Motohakone-ko (ท่าเรือโจรสลัด)
    • เรือโจรสลัดมีให้บริการทุกวัน โดยมีรอบตั้งแต่เวลา 9:30 – 17:00 น. (อาจปิดให้บริการในวันที่สภาพอากาศไม่ดี)
  • Hakone Museum of Art
    • เปิดให้บริการทุกวัน ในเวลาดังต่อไปนี้
      • เดือนเมษายน – พฤศจิกายน : 9:30 – 16:30 น.
      • เดือนธันวาคม – มีนาคม : 9:30 – 16:00 น.
  • Hakone Detached Palace
    • สวน : เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
    • ตำหนัก : ปิดในช่วงกลางคืน
  • Hakone Checkpoint
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น.
    • ช่วงธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ เปิดเวลา 9:00 – 16:30 น.
  • Hakone Shrine
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
  • Motohakone-ko (ท่าเรือโจรสลัด)
    • ผู้ใหญ่ : 1,200 – 2,220 เยน
    • เด็ก : 600 – 1,110 เยน
  • Hakone Museum of Art
    • ผู้ใหญ่ : 900 เยน
    • ผู้สูงอายุ : 700 เยน
    • ผู้พิการ : 400 เยน
    • นักเรียนมัธยมปลาย : 400 เยน
    • นักเรียนมัธยมต้นลงไป : ฟรี
  • Hakone Detached Palace
    • ไม่มีค่าเข้าชม
  • Hakone Checkpoint
    • ผู้ใหญ่ : 500 เยน
    • เด็ก : 250 เยน
  • Hakone Shrine
    • ไม่มีค่าเข้าชม

เว็บไซต์

พิกัด

Back To Index

12. หุบเขาโอวาคุดานิ (Owakudani)

Patryk-Kosmider / Shutterstock

หุบเขาโอวาคุดานิ (Owakudani) เป็นหุบเขาที่เกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟฮาโกเนะ (Mount Hakone) เมื่อประมาณ 3,000 ปีที่แล้ว

ปัจจุบันภูเขาไฟฮาโกเนะเป็นอีกหนึ่งภูเขาไฟของญี่ปุ่นที่ยังไม่ดับสนิท หุบเขาโอวาคุดานิจึงมีบ่อน้ำร้อนที่เต็มไปด้วยแร่กำมะถันหลงเหลืออยู่ รวมถึงมีไอน้ำสีขาวพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา ทิวทัศน์ของหุบเขาแห่งนี้จึงเป็นที่เลื่องลือกันว่าดูคล้ายกับนรกกลายๆ

ในวันฟ้าใสเราสามารถมองเห็นวิวของภูเขาไฟฟูจิได้จากที่นี่

นอกจากภูเขาไฟจะทำให้เกิดวิวสวยๆแล้ว แร่กำมะถันในบ่อน้ำร้อนยังสามารถใช้ต้มไข่ได้อีกด้วย

Kim.Long / Shutterstock

ไข่ที่ต้มในน้ำร้อน ณ หุบเขาโอวาคุดานิแห่งนี้จะกลายเป็น ไข่ต้มสีดำ เชื่อกันว่าเมื่อทานไข่ดำ 1 ลูก เราจะอายุยืนขึ้น 7 ปี ไข่ดำนี้นับว่าเป็นของฝากขึ้นชื่อของเมืองฮาโกเนะด้วยครับ

แต่มันจะช่วยให้อายุยืนจริงๆไหม อันนี้ก็ต้องลองครับ!

ข้อมูลเกี่ยวกับหุบเขาโอวาคุดานิ (Owakudani)

วิธีเดินทาง
  • ถ้ามาจาก Tokyo ให้นั่งรถไฟสาย Odakyu จากสถานี Shinjuku ไปลงที่สถานี Odawara (ใช้เวลาเดินทาง 40 นาที ค่าโดยสาร 950 เยน) จากนั้นเปลี่ยนไปขึ้น Ropeway แล้วลงที่ Owakudani (ใช้เวลา 10 นาที ค่าโดยสาร 950 เยน) แล้วเดินอีก 2 นาที
  • นอกจากนี้เราสามารถเริ่มต้นการเดินทางไปยังหุบเขาโอวาคุดานิด้วยการนั่งเรือโจรสลัดไปก็ได้เช่นกัน โดยให้ไปนั่งเรือที่ท่า Togendai แล้วขึ้น Ropeway ไปยัง Owakudani (ใช้เวลา 18 นาที ค่าโดยสาร 1,250 เยน) จากนั้นให้เดินต่ออีก 2 นาที
ที่อยู่
  • Owakudani 1251 Sengokuhara Hakone Town, Ashigarashimo District, Kanagawa
เบอร์ติดต่อ
  • 0460849605
วันและเวลาทำการ
  • หุบเขาเปิดให้เข้าชมเวลา 8:30 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
  • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

13. โกเทมบะ พรีเมียม เอาท์เล็ตส์ (Gotemba Premium Outlets)

MR.Silaphop-Pongsai / Shutterstock

โกเทมบะ พรีเมียม เอาท์เล็ตส์ (Gotemba Premium Outlets) จังหวัดคานากาวะ เป็นเอาท์เล็ตส์ที่มีบรรยากาศแบบเอาท์ดอร์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ภายในพื้นที่ของเอาท์เล็ตส์แห่งนี้มีร้านค้ากว่า 200 ร้าน รวมถึงศูนย์อาหารด้วย

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อมาที่นี่ก็คือ ชิงช้าสวรรค์สูง 50 เมตรซึ่งเราสามารถขึ้นไปนั่งชมวิวมุมสูงกันได้แบบเพลินๆ

ร้านค้าต่างๆภายในโกเทมบะ พรีเมียม เอาท์เล็ตส์ล้วนเป็นแบรนด์พรีเมียมจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าแฟชั่น อุปกรณ์กีฬา เครื่องใช้ในครัวเรือน และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์

ใครเป็นขาช้อปแล้วได้มาที่นี่ รับรองล้มละลายชัวร์!

  • *หมายเหตุ : ถ้าดูตามแผนที่ จริงๆแล้วโกเทมบะ พรีเมียม เอาท์เล็ตส์อยู่ในเขตจังหวัดชิซูโอกะ แต่ว่าที่นี่ยังคงอยู่ในโซนฮาโกเนะของจังหวัดคานากาวะ ผมก็เลยเขียนเอาไว้ในบทความนี้ด้วยนะครับ

ข้อมูลเกี่ยวกับโกเทมบะ พรีเมียม เอาท์เล็ตส์ (Gotemba Premium Outlets)

วิธีเดินทาง
  • ถ้ามาจาก Tokyo ให้นั่งรถไฟสาย Odakyu จากสถานี Shinjuku ไปลงที่สถานี Odawara (ใช้เวลาเดินทาง 40 นาที ค่าโดยสาร 950 เยน) จากนั้นให้นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Gotemba Premium Outlets (ใช้เวลา 80 นาที ค่าโดยสาร 1,730 เยน) แล้วเดินต่ออีก 2 นาที
ที่อยู่
  • Gotemba Premium Outlets, 1312 Fukasawa, Gotemba, Shizuoka 412-0023
เบอร์ติดต่อ
  • 0550813122
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้เข้าตั้งแต่เวลา 10:00 – 20:00 น.
  • ในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์จะเปิดเวลา 10:00 – 19:00 น.
ค่าเข้าชม
  • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดคานากาวะ : โซนอื่นๆ

14. ซากามิโกะรีสอร์ต (Sagamiko Resort)

ซากามิโกะรีสอร์ต (Sagamiko Resort) เป็นที่ตั้งของ Sagamiko Resort Pleasure Forest สวนสนุกขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ข้างทะเลสาบซากามิ จังหวัดคานากาวะ

ไฮไลต์ของสวนสนุกแห่งนี้ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมายก็คือ ในช่วงฤดูหนาวถึงช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่นี่จะมี ‘เทศกาลประดับไฟ Sagamiko Illumination’ โดยภายในงานจะมีการใช้หลอดไฟมากกว่า 6 ล้านหลอดเพื่อเนรมิตดินแดนในฝันยามค่ำคืนขึ้นมา (น่าจะเป็นงานประดับไฟตอนกลางคืนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคคันโตเลยล่ะครับ)

ถ้าใครได้มาเที่ยวที่นี่ช่วงต้นเดือนเมษายนล่ะก็ ความดีงามคือนอกจากเราจะได้ชมไฟประดับสวยๆแล้ว ที่ซากามิโกะรีสอร์ตก็ยังมีดอกซากุระให้ได้ชมกันอีกด้วย

เรียกได้ว่าถ้าไปเห็นความสวยงามอย่างนี้ด้วยตาตัวเอง คงฟินแบบตายตาหลับไปเลยล่ะครับ

ข้อมูลเกี่ยวกับซากามิโกะรีสอร์ต (Sagamiko Resort)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานีรถไฟ JR Sagamiko ให้นั่งรถบัสสาย 21 ไปลงตรงป้าย Pleasure Forest Mae「プレジャーフォレスト前」 (ใช้เวลา 6 นาที ค่าโดยสาร 200 เยน) แล้วเดินอีก 6 นาที
  • สำหรับการเดินทางไปสถานีรถไฟ JR Sagamiko หากเดินทางจากสถานี Shinjuku ให้นั่งรถไฟ JR สาย Chuo ไปลงที่สถานี JR Sagamiko (ใช้เวลา 66 – 76 นาที ค่าโดยสาร 990 เยน)
ที่อยู่
  • Sagamiko Resort Pleasure Forest, 1634 Wakayanagi, Midori Ward, Sagamihara, Kanagawa 252-0175
เบอร์ติดต่อ
  • 0570-037-353
วันและเวลาทำการ
  • สวนสนุก Sagamiko Resort Pleasure Forest เปิดให้บริการดังนี้
    • วันธรรมดา : เวลา 10:00 – 16:00 น.
    • วันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ : เวลา 9:00 – 17:00 น.
  • งานประดับไฟ Sagamiko Illumination
    • งานจัดขึ้นในช่วงเดือน พ.ย. ถึงต้นเดือน เม.ย. เวลา 16:00 – 21:00 น.
    • หมายเหตุ : มีวันหยุดเป็นบางช่วง โปรดตรวจสอบจากเว็บไซต์นี้ >> Sagamiko Resort Official Website
ค่าเข้าชม
  • ผู้ใหญ่ : 1,000 เยน
  • เด็ก (ชั้นประถมลงไป) : 700 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

15. พิพิธภัณฑ์ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ (Fujiko F. Fujio Museum)

paitoon / Shutterstock

พิพิธภัณฑ์ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ (Fujiko F. Fujio Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวมผลงานของ ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ (Fujiko F. Fujio) นักเขียนการ์ตูนชื่อดังที่หลายๆคนรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะอาจารย์คือผู้สร้างการ์ตูนยอดฮิตของคนไทยอย่าง โดราเอมอน เอาไว้นั่นเอง

PETCHPIRUN / Shutterstock

ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ นอกจากจะมีการจัดแสดงภาพร่างการ์ตูนของจริงของอาจารย์ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะให้ชมที่ด้านในอาคารแล้ว รอบนอกก็ยังมีหุ่นคาแรคเตอร์จากผลงานเรื่องต่างๆของอาจารย์เพียบ! ไม่ว่าจะเป็นโดราเอมอน ปาร์แมน ผีน้อยคิวทาโร่ จิมปุย และอื่นๆอีกมากมาย

Various-images / Shutterstock

small1 / Shutterstock

paitoon / Shutterstock

เรียกได้ว่ามีมุมให้ถ่ายรูปสนุกๆเพียบเลยครับ

Phoebe-Teng / Shutterstock

นอกจากนี้ ในบริเวณพิพิธภัณฑ์ยังมีคาเฟ่ที่มีกิมมิคน่ารักๆเป็น ‘ของกินธีมการ์ตูน’ อีกด้วย และแน่นอนว่าก็ต้องมีร้านขายของที่ระลึกให้สาวกพี่ม่อนได้ละลายทรัพย์กันครับ

ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ (Fujiko F. Fujio Museum)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานีรถไฟ Shinjuku นั่งรถไฟสาย Odakyu ไปลงที่สถานี Noborito (ใช้เวลาเดินทาง 20 นาที ค่าโดยสาร 250 เยน) จากนั้นให้นั่งรถ Shuttle Bus ไปยังพิพิธภัณฑ์ (ใช้เวลา 10 นาที ค่าโดยสาร 210 เยน)
ที่อยู่
  • Fujiko F. Fujio Museum, 2 Chome-8-1 Nagao, Tama Ward, Kawasaki, Kanagawa 214-0023
เบอร์ติดต่อ
  • 0570055245
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10:00 – 18:00 น.
  • หยุดทุกวันอังคารและช่วงวันหยุดปีใหม่
ค่าเข้าชม
  • ผู้ใหญ่ : 1,000 เยน
  • เด็กอายุ 12 – 18 ปี : 700 เยน
  • เด็กอายุ 4 – 11 ปี : 500 เยน
  • เด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี : เข้าชมฟรี
    • หมายเหตุ : ต้องซื้อตั๋วล่วงหน้า โปรดดูวิธีการจองตั๋วตามลิงก์นี้ >> https://cdn.l-tike.com/fujiko-m/english.pdf
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดคานากาวะ

1. ชิราสึด้ง (Shirasu Don)

ชิราสึ (Shirasu) คือชื่อเรียกของปลาที่มีขนาดเล็กประมาณ 2 ซม. เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาอายุ เป็นต้น ถึงแม้ว่าแต่ละท้องที่ในญี่ปุ่นจะตกปลาเหล่านี้ได้เหมือนกัน แต่ปลาชิราสึที่ดังที่สุดต้องเป็นของ เมืองคามาคุระ ครับ

และเมนูอาหารสุดขึ้นชื่อที่ใช้ปลาชนิดนี้เป็นวัตถุดิบก็คือ ข้าวหน้าปลาชิราสึ หรือ ชิราสึด้ง (Shirasu Don)

สำหรับเมนูนี้ เราสามารถกินแบบสดหรือแบบสุกก็ได้ครับ แต่ไม่ว่าจะเลือกแบบไหน ขอแนะนำว่าถ้าได้กินกับไข่ดิบ เมนูนี้จะอร่อยเหาะไปเลยครับ! (ไม่มีร้านแนะนำเป็นพิเศษนะครับสำหรับเมนูชิราสึด้ง เพราะสามารถจิ้มร้านไหนก็ได้บนเกาะเอโนชิมะ อร่อยทุกร้านเลยครับ)

Back To Index

2. โยโกฮาม่าอิเอะเคราเมน (Yokohama Iekei Ramen)

โยโกฮาม่าอิเอะเคราเมน (Yokohama Iekei Ramen) เป็นราเมนที่มีต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองโยโกฮาม่า เส้นที่ใช้ทำจะมีทั้งแบบเส้นหนาและเส้นตรง

เมนูนี้มักจะเสิร์ฟพร้อมกับ ทงคตสึ (tonkotsu) หรือ กระดูกหมู รวมถึงซุปถั่วเหลือง โดยมีท็อปปิ้งเป็นผักโขม หมูชาชู และสาหร่ายทะเล

รสชาติของโยโกฮาม่าอิเอะเคราเมนนั้นก็จะมีความอร่อยแบบเข้มข้นครับ อ้อ! ร้านราเมนแนวนี้ชอบเสิร์ฟข้าวฟรีด้วยนะ เรียกได้ว่ากินทีกลิ้งกลับบ้านแน่นอน

  • ร้านแนะนำ : Yoshimuraya เป็นร้านต้นตำรับที่คิดค้นราเมนสูตรนี้ขึ้นมาครับ!

Back To Index

3. ซัมมะเมน (Sanma-men)

ที่มา : https://www.yokohamajapan.com

ซัมมะเมน (Sanma-men) หากแปลตรงตัวก็คือ ผักสด ราเมนชนิดนี้มาพร้อมกับน้ำซุปสไตล์น้ำราดหน้า พร้อมด้วยผักที่ผ่านการผัด เช่นถั่วงอกและกะหล่ำปลีที่วางลงบนราเมนเพื่อเติมเต็มส่วนผสมที่ลงตัว (รสชาติแบบราดหน้า แต่รสสัมผัสของเส้นเป็นแบบราเมน)

Back To Index

4. สุกี้ยากี้ (Sukiyaki)

สุกี้ยากี้ (Sukiyaki) เป็นอาหารประเภทหม้อไฟที่คนไทยอย่างเราคุ้นเคยกันดี แต่สุกี้ยากี้ของเมืองโยโกฮาม่านั้นจะประกอบไปด้วยวัตถุดิบท้องถิ่นที่แสนอร่อย อย่างเนื้อวัวสไลด์บางและผักที่ต้มในกระทะเหล็กก้นตื้น

จุดเริ่มต้นของเมนูนี้คือในปี 1859 โยโกฮาม่าได้เปิดเป็นเมืองท่าค้าขาย ชาวโยโกฮาม่าจึงได้รับวัฒนธรรมการทานเนื้อวัวจากต่างชาติ ซึ่งหลังจากที่ญี่ปุ่นไม่กินเนื้อวัวมาเป็นเวลาหลายร้อยปี (เป็นอิทธิพลจากจีน ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องการนับถือเจ้าแม่กวนอิมหรือเปล่า) ชาวโยโกฮาม่าก็เริ่มกลับมาทานเนื้อวัวอีกครั้ง

ชื่อเรียกเมนูนี้แบบดั้งเดิมคือ Gyu-Nabe แต่ในเวลาต่อมาก็ได้วิวัฒนาการมาเป็น สุกี้ยากี้

  • ร้านแนะนำ : Ohta Nawanoren ร้านดั้งเดิมที่คิดสูตร Gyu-Nabe และ Sukiyaki ครับ

Back To Index

5. ไคกุนคาเระ (Kaigun Kare / Yokosuka Curry)

อาหารประจำจังหวัดคานากาวะที่เราจะแนะนำกันเป็นเมนูสุดท้ายคือ ไคกุนคาเระ (Kaigun Kare) ซึ่งเป็นเมนูที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นรากฐานของแกงกะหรี่ญี่ปุ่นเลยครับ

เมนูนี้มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า Yokosuka Curry คำว่า ‘Yokosuka’ คือชื่อเมืองในคานากาวะที่เติบโตจากกองทัพเรือ กล่าวกันว่าอาหารตะวันตกของเมืองนี้ถูกคิดค้นขึ้นจากสหราชอาณาจักร

จุดประสงค์ในการทำเมนูนี้คือเพื่อรักษาสุขภาพของลูกเรือในระหว่างการเดินทางระยะยาว กองทัพเรืออังกฤษนั้นชอบกินแกงกระหรี่กับขนมปัง แต่กองทัพเรือญี่ปุ่นไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับแกงกระหรี่นั้นได้ ต่อมาจึงได้มีการปรับปรุงน้ำแกงนิดหน่อยด้วยการเติมแป้งให้น้ำแกงเข้มข้นขึ้น จนก่อให้เกิดเป็นวัฒนธรรมการกินข้าวกับแกงกระหรี่ที่ได้รับความนิยมไปทั่วประเทศญี่ปุ่นนั่นเองครับ

  • หมายเหตุ : ใครได้ไปเที่ยวเมือง Yokosuka หลังจากอิ่มท้องจากเมนูนี้แล้ว หากมีเวลาก็ลองแวะไปชมเรือรบชื่อดัง Mikasa กันได้นะครับ

Back To Index

มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!

รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!

ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ

Back To Top