รวม 15 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดมิยากิ’ ที่ต้องไปโดนสักครั้ง!
ม.ค. 13, 2022
บทนำ : ไปเที่ยว ‘จังหวัดมิยากิ’ กันเถอะ!
จังหวัดมิยากิ (Miyagi Prefecture) เมื่อได้ยินชื่อนี้คนไทยหลายๆคนคงนึกสงสัยในใจว่า “เอ๋!? มันคือที่ไหนกันนะ?” แต่ถ้าเราเอ่ยชื่อ เมืองเซนได ขึ้นมา ขาเที่ยวญี่ปุ่นหลายๆคนก็น่าจะร้องอ๋อกันขึ้นมาบ้าง
จังหวัดมิยากิ ตั้งอยู่ทางตอนกลางของภูมิภาคโทโฮคุ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น) มีเมืองเซนได (Sendai) เป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคนี้ โดยในอดีตนั้นเซนไดเป็นฐานอำนาจของ ดาเตะ มาซามุเนะ ไดเมียวชื่อดังของยุคเซนโกคุ
ด้วยการคมนาคมที่สะดวก อีกทั้งยังมีที่เที่ยวซึ่งเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความงามของธรรมชาติ โดยเฉพาะจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีและดอกซากุระที่สวยงามเป็นอันดับต้นๆของญี่ปุ่น รวมถึงสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจสำหรับคนรักสัตว์ มิยากิจึงเปรียบเหมือนเป็นศูนย์กลางของการเดินทางมาท่องเที่ยวในภูมิภาคโทโฮคุ (ในช่วงปี 2011 มิยากิได้รับผลกระทบเต็มๆจากสึนามิ แต่ในปัจจุบันพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างมัตสึชิมะก็ฟื้นตัวกลับมาโดยสมบูรณ์แล้ว)
ยิ่งไปกว่านั้น ‘จังหวัดมิยากิ’ ยังเป็นจังหวัดที่เดินทางสะดวกมากๆเลยครับ ส่วนหนึ่งคงเพราะมีเมืองใหญ่อย่างเซนได แถมยังมีสนามบินนานาชาติอีก ถ้าใครบินตรงมาจากไทย ก็มาลงเครื่องที่มิยากิแล้วต่อรถเข้าเมืองได้เลย แปบเดียวก็เที่ยวได้ทันที ส่วนใครที่มาจากจังหวัดอื่นๆในญี่ปุ่นก็ยังมาได้สะดวกเช่นกันนะ
-
- จากโตเกียว : ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 54 นาที (รถไฟชินคันเซ็น สายโทโฮคุฮอกไกโด)
- จากโอซาก้า : ใช้เวลา 4 ชั่วโมง 12 นาที (รถไฟชินคันเซ็น สายโทไคโดซันโยและสายโทโฮคุฮอกไกโด) หรือนั่งเครื่องบินประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที โดยสายการบินจากสนามบินนานาชาติคันไซ
- จากฮิโรชิม่า : ใช้เวลา 5 ชั่วโมง 51 นาที (รถไฟชินคันเซ็น สายโทไคโดซันโยและสายโทโฮคุฮอกไกโด) หรือนั่งเครื่องบินประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที โดยสายการบินจากสนามบินนานาชาติฮิโรชิม่า
ส่วนวิธีการเดินทางในมิยากิ ถ้าใครแพลนไว้ว่าจะเที่ยวหลายๆโซนในโทโฮคุหรือทื่อื่นๆด้วย ขอแนะนำให้ใช้ตั๋ว JR PASS แบบทั่วประเทศ หรือไม่ก็แบบรวมพื้นที่โทโฮคุ สามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่ >> https://www.jreast.co.jp/multi/en/pass/eastpass_t.html
ส่วนในตัวเมืองเซนไดและพื้นที่โดยรอบ สามารถใช้ Sendai Area Pass เพื่อเที่ยวในตัวเมืองเซนไดและพื้นที่โดยรอบได้ เช่น มัตสึชิมะ ฯลฯ สามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่ >> http://sendaitravelpass.jp/en/
ต่อจากนี้เราจะเริ่มแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวใน ‘จังหวัดมิยากิ’ กันเลยนะครับ
สารบัญ
สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดมิยากิ : โซนเซนได (Sendai)
สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดมิยากิ : โซนมัตสึชิมะ (Matsushima)
สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดมิยากิ : โซนอื่นๆ
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดมิยากิ
สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดมิยากิ : โซนเมืองเซนได (Sendai)
1. ปราสาทอาโอบะ / ปราสาทเซนได (Aoba Castle Ruins / Sendai Castle)
ปราสาทอาโอบะ (Aoba Castle Ruins) หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ ปราสาทเซนได (Sendai Castle) เป็นพื้นที่แสดงส่วนที่ยังคงเหลืออยู่ของปราสาทอาโอบะ ซึ่งเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นในปี 1600 โดยดาเตะ มาซามุเนะ (Date Masamune) ไดเมียวผู้โด่งดังในยุคเซนโกคุและผู้ปกครองเมืองเซนไดที่มีอำนาจมากที่สุดในสมัยเอโดะ
ปราสาทอาโอบะนั้นสร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันเมืองบนภูเขาอาโอบะ ซึ่งมีความสูง 100 เมตรจากเมืองด้านล่าง โชคไม่ดีเท่าไหร่ที่ปราสาทถูกทำลายลงจากผลกระทบของสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันปราสาทแห่งนี้จึงเหลือเพียงเศษซากกำแพงหินด้านนอกและหอรักษาความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตัวปราสาทจะไม่มีอยู่แล้ว แต่จากที่ตั้งปราสาทเดิมเราสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองเซนไดได้ และยังมีดอกซากุระให้ชมในช่วงฤดูใบไม้ผลิด้วย (สำหรับนักท่องเที่ยวสายความรู้ มีพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าประวัติความเป็นมาของปราสาทแห่งนี้ด้วยนะ)
ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทอาโอบะ / ปราสาทเซนได (Aoba Castle Ruins / Sendai Castle)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี JR Sendai ขึ้นรถบัส Loople Sendai bus ไปลงที่ป้ายหมายเลข 6 Sendaijoseki / Site of Sendai Castle (ใช้เวลา 22 นาที ค่าโดยสาร 260 เยน) แล้วเดินอีก 3 นาที
ที่อยู่
- Aoba Castle Ruins 1 Kawauchi, Aoba Ward, Sendai, Miyagi 980-0862
เบอร์ติดต่อ
- 022-354-2023
วันและเวลาทำการ
- สวน : เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
- พิพิธภัณฑ์ : เปิดทำการทุกวัน ในเวลา 9:00 – 17:00 น. (ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม เปิดถึงเวลา 16:00 น.)
ค่าเข้าชม
- สวน : ไม่มีค่าเข้าชม
- พิพิธภัณฑ์ : ค่าเข้าชม 700 เยน (ถ้าซื้อออนไลน์ 500 เยน)
เว็บไซต์
พิกัด
2. สุสานซุยโฮเด็น (Zuihoden Mausoleum)
สุสานซุยโฮเด็น (Zuihoden Mausoleum) เป็นสุสานของไดเมียว ‘ดาเตะ มาซามุเนะ’ (Date Masamune) อาคารสุสานได้รับการออกแบบในสไตล์หรูหราในช่วงยุคโมโมยามะ ซึ่งโครงสร้างหลักเป็นงานไม้สีดำที่ตกแต่งด้วยการแกะสลักและทาสีสันสดใส
ส่วนทางเดินภายในพื้นที่ของสุสานนั้นล้อมรอบไปด้วยป่าไม้สนซีดาร์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประวัติศาสตร์อันยาวนานของตระกูลดาเตะ (อาคารที่เห็นในปัจจุบันเป็นการบูรณะสร้างใหม่ เพราะอาคารเดิมถูกทำลายลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2)
ข้อมูลเกี่ยวกับสุสานซุยโฮเด็น (Zuihoden Mausoleum)
วิธีเดินทาง
- จากสถานีรถไฟ JR Sendai ขึ้นรถบัสสาย 701 ไปลงที่ป้าย Zuihodeniriguchi (ใช้เวลา 12 นาที ค่าโดยสาร 190 เยน) แล้วเดินอีก 7 นาที
ที่อยู่
- Zuihoden Mausoleum, 23-2 Otamayashita, Aoba Ward, Sendai, Miyagi 980-0814
เบอร์ติดต่อ
- 022-262-6250
แฟ็กซ์
- 022-262-6251
วันและเวลาทำการ
- วันทำการ
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน
- เวลาทำการ
- วันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 30 พฤศจิกายน : 9:00 – 16:50 น.
- วันที่ 1 ธันวาคม – 31 มกราคม : 9:00 – 16:20 น.
ค่าเข้าชม
- ผู้ใหญ่ : 550 เยน
- นักเรียนมัธยมปลาย : 400 เยน
- นักเรียนมัธยมต้นและนักเรียนประถม : 200 เยน
เว็บไซต์
พิกัด
สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดมิยากิ : โซนมัตสึชิมะ (Matsushima)
3. วัดซุยกันจิ (Zuiganji Temple)
วัดซุยกันจิ (Zuiganji Temple) ในจังหวัดมิยากิ เป็นวัดพุทธนิกายเซนชื่อดังของภูมิภาคโทโฮคุที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสมบัติแห่งชาติ และยังเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศด้วย
แรกเริ่มเดิมทีวัดนี้สร้างขึ้นในปี 828 โดยพระจิคาคุไดชิเอ็นนิน วัดแห่งนี้สร้างขึ้นมาในฐานะของวัดพุทธนิกายเทนได แต่ต่อมาในช่วงยุคคามาคุระ (ปี 1192 – 1333) วัดซุยกันจิก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นวัดพุทธนิกายเซน
ต่อมาในปี 1609 ดาเตะ มาซามุเนะ ไดเมียวผู้ครองแคว้นได้ยกฐานะวัดซุยกันจิให้เป็นวัดประจำตระกูลดาเตะ และที่นี่ยังกลายเป็นสุสานของท่านในภายหลังด้วย
ส่วนรูปด้านล่างนี้เป็นรูปปั้นหินจิโซที่สร้างขึ้นในปี 1863 โดยปั้นตามลักษณะของ ชูโฮ เมียวไซ หัวหน้าพระสงค์องค์ที่ 117 ของวัด ทังนี้ ท่านเป็นพระที่มีอายุยืนมาก และในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ท่านก็อุทิศตนช่วยเหลือเด็กๆในยามเกิดโรคระบาด คนญี่ปุ่นจึงเชื่อกันว่าจิโซองค์นี้สามารถให้พรเรื่องอายุยืนยาวและการรักษาโรคได้
- อ่านบทความเจาะลึกเรื่องวัดซุยกันจิ : เที่ยว ‘วัดซุยกันจิ’ วัดพุทธนิกายเซนชื่อดังที่เป็นสมบัติแห่งชาติ
ข้อมูลเกี่ยวกับวัดซุยกันจิ (Zuiganji Temple)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี JR Sendai ให้ขึ้นรถไฟไปลงที่สถานี Matsushima Kaigan (ค่าโดยสาร 410 เยน ใช้เวลาประมาณ 40 นาที) แล้วเดินต่อจากสถานีไปที่วัดโดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที
ที่อยู่
- Zuiganji (瑞巌寺), 91 Matsushima, Matsushima-machi, Miyagi-gun, Miyagi Prefecture 981-0213
เบอร์ติดต่อ
- 022-354-2023
วันและเวลาทำการ
- เปิดทำการทุกวัน ในช่วงเวลา 8:00 – 17:00 น.
- ในช่วงฤดูหนาวอาจปิดบริการเร็วกว่าเวลาปกติ 30 – 90 นาที
ค่าเข้าชม
- 700 เยน (รวมค่าเข้าพิพิธภัณฑ์)
เว็บไซต์
พิกัด
4. วัดเอ็นสึอิน (Entsuin Temple)
วัดเอ็นสึอิน (Entsuin Temple) เป็นวัดที่สร้างขึ้นข้างๆกันกับวัดซุยกันจิในปี 1647 โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เป็นสุสานของ ดาเตะ มิทสึมุเนะ หลานของไดเมียวดาเตะ มาซามุเนะที่เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย คือ 19 ปีเท่านั้น
และเนื่องจากเป็นวัดที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานของผู้ที่เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย วัดเอ็นสึอินจึงเป็นที่ประดิษฐานของพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งเมตตา เพื่อให้วิญญาณของผู้วายชนม์ได้รับความเมตตาในโลกหน้า
จุดเด่นของวัดแห่งนี้คือสวนหิน เนื่องด้วยการจัดหินและมอสภายในสวนแห่งนี้มีเอกลักษณ์อยู่ที่การใช้อ่าวมัตสึชิมะเป็นต้นแบบ
นอกจากที่นี่จะวิวสวยแล้ว สำหรับสายมูที่ชอบกำไลข้อมือ นอกจากจะมีกำไลขายตามที่เห็นในภาพแล้ว ที่นี่ก็ยังสอนร้อยกำไลให้กับผู้ที่สนใจอีกด้วย โดยจะมีการอธิบายตั้งแต่วิธีร้อยหินและประเภทของหิน เช่น หินแต่ละแบบมีพลังอะไรบ้าง เป็นต้น
ขอบอกเลยว่าตอนกลางวันว่าสวยแล้ว กลางคืนพอเปิดไฟวัดนี้ยิ่งสวยกว่าเดิมอีก!
- อ่านบทความเจาะลึกเรื่องวัดเอ็นสึอิน : ชมสวนหินแบบเซนที่วัดเอ็นสึอินและจิบชาดูวิวทะเลที่คันรันเท
ข้อมูลเกี่ยวกับวัดเอ็นสึอิน (Entsuin Temple)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี JR Sendai ขึ้นรถไฟไปลงที่สถานี Matsushima Kaigan (ค่าโดยสาร 410 เยน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที) แล้วเดินต่อจากสถานีไปที่วัดโดยใช้เวลาอีกประมาณ 10 นาที
ที่อยู่
- Entsuin (円通院), 7 Matsushima-machi, Matsushima-machi, Miyagi-gun, Miyagi Prefecture 981-0213
เบอร์ติดต่อ
- 022-354-3206
วันและเวลาทำการ
- เปิดทำการทุกวัน ในช่วงเวลาดังต่อไปนี้
- เดือนเมษายนถึงปลายเดือนตุลาคม : เปิดเวลา 8:30 – 17:00 น.
- ปลายเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน : เปิดเวลา 8:30 – 16:30 น.
- เดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม : เปิดเวลา 8:30 – 16:00 น.
- ไฟประดับตอนกลางคืน : เปิดในช่วงวันที่ 26 ตุลาคมถึง 17 พฤศจิกายน เวลา 17:30 – 21:00 น
ค่าเข้าชม
- 300 เยน
- หากต้องการชมไฟประดับตอนกลางคืนด้วย ค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 500 เยน
เว็บไซต์
พิกัด
5. คันรันเท (Kanrantei)
คันรันเท (Kanrantei) เป็นอาคารเก่าแก่ซึ่งเคยเป็นร้านน้ำชาประจำตระกูลดาเตะ ซึ่งเป็นตระกูลของดาเตะ มาซามุเนะ ไดเมียวผู้เรืองอำนาจในภูมิภาคโทโฮคุช่วงยุคเซ็นโกคุถึงยุคเอโดะ
แต่เดิมคันรันเทถูกสร้างขึ้นที่เกียวโตโดยไดเมียวโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ เพื่อเป็นรางวัลให้แก่ดาเตะ มาซามุเนะ และต่อมาบุตรของมาซามุเนะก็ได้ย้ายตัวอาคารมายังบริเวณอ่าวมัตสึชิมะ
ชื่อ ‘คันรันเท’ นั้นมีความหมายว่า ‘เกลียวคลื่นบนน้ำ’ เพราะจากที่แห่งนี้เราสามารถชมเกลียวคลื่นในอ่าวมัตสึชิมะได้ แต่นอกจากชมวิวอ่าวแล้ว ที่นี่ยังถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับชมพระจันทร์เต็มดวงด้วยเช่นกัน
วิวดีๆแบบนี้ก็ต้องมีขนมกับชาไว้ทานด้วยสิ! ว่าแล้วก็สั่งชาเขียวมัทฉะกับขนมโมจิถั่วเขียวมากินพร้อมกับนั่งชมวิวไปด้วยดีกว่า ฟินที่สุดเลยล่ะ
ข้อมูลเกี่ยวกับคันรันเท (Kanrantei)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี JR Sendai ให้ขึ้นรถไฟสาย JR Senseki ไปลงที่สถานี Matsushima Kaigan (ค่าโดยสาร 410 เยน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที) แล้วเดินต่อจากสถานีไปอีกประมาณ 6 นาที
ที่อยู่
- Kanrantei (観瀾亭), 56 Matsushima, Matsushima, Miyagi-gun, Miyagi Prefecture 981-0213
เบอร์ติดต่อ
- 022-353-3355
วันและเวลาทำการ
- เปิดทำการทุกวัน ในช่วงเวลาดังต่อไปนี้
- เดือนเมษายน – ตุลาคม : เวลา 8:30 – 17:00 น.
- เดือนพฤศจิกายน – มีนาคม : เวลา 8:30 – 16:30 น.
ค่าเข้าชม
- ผู้ใหญ่ : 200 เยน
- นักศึกษาหรือนักเรียนมัธยมปลาย : 150 เยน
- นักเรียนมัธยมต้นหรือประถม : 100 เยน
- *หมายเหตุ : อาจมีค่าชาและขนมเพิ่มเติมหากสั่งมาทานด้วย
เว็บไซต์
พิกัด
6. วัดโกะไดโด (Godaido Temple)
วัดโกะไดโด (Godaido Temple) ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 807 เพื่อเป็นที่ประดิษฐานของพระภิกษุ 5 รูปที่เป็นผู้ก่อตั้งวัดซุยกันจิ แต่อาคารที่เราเห็นในปัจจุบันจะเป็นอาคารซึ่งสร้างขึ้นใหม่ในปี 1604 หรือสมัยที่ดาเตะ มาซามุเนะเรืองอำนาจ ลักษณะเด่นคือที่หลังคามีการสลักรูป 12 ปีนักษัตรเอาไว้
ภายในอาคารจะมีพระพุทธรูปโกะไดเมียวโอประดิษฐานอยู่ ชื่อของอาคารแห่งนี้จึงถูกเรียกตามองค์พระประธานนั่นเอง สำหรับการเข้าชมองค์พระโกะไดเมียวโอนั้น ในรอบ 33 ปีทางการจะเปิดให้เข้าชมเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น
ส่วนสะพานสีแดงที่เชื่อมต่อกับวัดโกะไดโดเรียกว่า ‘ซุคะชิบะชิ’ (เพราะซี่ไม้แต่ละซี่ของสะพานนั้นห่างกันมาก จึงเกิดร่องที่ใหญ่จนสามารถมองเห็นด้านล่างได้) สะพานแห่งนี้มักจะมีคู่รักมาเดินจูงมือกันข้ามสะพาน เพราะเชื่อว่าจะช่วยสานสัมพันธ์แห่งรักให้แนบแน่นยิ่งขึ้น
ข้อมูลเกี่ยวกับวัดโกะไดโด (Godaido Temple)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี JR Sendai ให้ขึ้นรถไฟไปลงที่สถานี Matsushima Kaigan (ค่าโดยสาร 410 เยน ใช้เวลาประมาณ 40 นาที) แล้วเดินต่อจากสถานีไปอีกประมาณ 10 นาที
ที่อยู่
- Godaido Temple, 111, Matsushima, Matsushima, Miyagi-gun, Miyagi Prefecture 981-0213
เบอร์ติดต่อ
- 022-354-2023
วันและเวลาทำการ
- เปิดทำการทุกวัน ในเวลา 8:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด
7. เกาะฟุคุอุระจิมะ (Fukuurajima Island)
เกาะฟุคุอุระจิมะ (Fukuurajima Island) เป็นเกาะเล็กๆใน ‘จังหวัดมิยากิ’ ที่สามารถใช้เวลาเดินชมได้ภายใน 2 ชั่วโมง โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะจะอยู่ในรูปแบบของสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นสวนพฤกษศาสตร์ธรรมชาติที่มีต้นไม้ ดอกไม้ และพืชต่างๆอยู่กว่า 300 ชนิด อีกทั้งยังมีจุดชมทัศนียภาพอันงดงามตลอดแนวทางเดิน จุดเด่นของเกาะแห่งนี้คือสะพานฟุคุอุระบาชิ สะพานสีแดงสดยาว 252 เมตรที่พาดจากแผ่นดินใหญ่ไปสู่ตัวเกาะ
บนเกาะฟุคุอุระจิมะมีจุดชมวิวอยู่มากมาย แต่ละจุดจะมีป้ายบรรยายไว้ด้วยว่าเกาะต่างๆที่เราเห็นนั้นมีความเป็นมาอย่างไรบ้าง
ข้อมูลเกี่ยวกับเกาะฟุคุอุระจิมะ (Fukuurajima Island)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี JR Sendai ให้ขึ้นรถไฟไปลงที่สถานี Matsushima Kaigan (ค่าโดยสาร 410 เยน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที) แล้วเดินต่อจากสถานีไปอีกประมาณ 15 นาที
ที่อยู่
- Fukuura Island, 39-1 Matsushima Senzo, Matsushima-machi, Miyagi-gun, Miyagi Prefecture 981-0213
เบอร์ติดต่อ
- 022-354-3457
วันและเวลาทำการ
- เปิดทำการทุกวัน ในเวลา 8:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
- ผู้ใหญ่ : 200 เยน
- เด็ก : 100 เยน
- ผู้พิการ : 100 เยน
เว็บไซต์
พิกัด
8. อ่าวมัตสึชิมะ (Matsushima Bay)
อ่าวมัตสึชิมะ (Matsushima Bay) เป็นสถานที่ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 3 จุดชมวิวที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น (อีก 2 ที่คือประตูโทริอิกลางทะเลที่มิยาจิมะ จังหวัดฮิโรชิม่า และแนวทางเดินข้ามทะเลที่อามาโนะฮาชิดาเตะ จังหวัดเกียวโต) ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณอ่าวมีเกาะน้อยใหญ่กว่า 200 เกาะที่อุดมไปด้วยต้นสน ที่นี่จึงสามารถถ่ายรูปออกมาได้อย่างสวยงาม เพลิดเพลินต่อการรับชม
หนึ่งในวิธีชื่นชมความงามของอ่าวมัตสึชิมะที่ดีที่สุดคือการล่องเรือ จุดขึ้นเรือจะอยู่ที่ท่าเรือมัตสึชิมะ ในระหว่างล่องเรือก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยบรรยายความเป็นมาของเกาะต่างๆ เช่น ทำไมเกาะนี้ถึงชื่อนี้ ฯลฯ อันนี้เยอะแยะมากมายครับ ฟังได้เรื่อยๆเพลินๆระหว่างกินลมชมวิว
ส่วนอีกวิธีหนึ่งในการชมวิวอ่าวมัตสึชิมะคือให้ขึ้นไปยังจุดชมวิวบนที่สูง จุดที่อยากจะแนะนำก็คือ Saigyo Modoshi no Matsu Park ซึ่งเราสามารถมองเห็นวิวอ่าวรอบทิศได้จากมุมสูง นอกจากนี้ยังมีดอกซากุระให้ชมในช่วงฤดูใบไม้ผลิ รวมถึงมีใบไม้แดงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงอีกด้วย
- อ่านบทความเจาะลึกเรื่องอ่าวมัตสึชิมะ : นั่งเรือชมอ่าวมัตสึชิมะ 1 ใน 3 วิวที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น & เดินเล่นบนเกาะโดยรอบ
ข้อมูลเกี่ยวกับอ่าวมัตสึชิมะ (Matsushima Bay)
วิธีเดินทาง
- ท่าเรือ
- จากสถานี JR Sendai ขึ้นรถไฟไปลงที่สถานี Matsushima Kaigan (ค่าโดยสาร 410 เยน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที) แล้วเดินต่อจากสถานีไปอีกประมาณ 10 นาที
- สวน
- จากสถานี JR Sendai ขึ้นรถไฟไปลงที่สถานี Matsushima Kaigan (ค่าโดยสาร 410 เยน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที) แล้วนั่งรถแท็กซี่ 5นาที หรือเดินประมาณ 20-25 นาที
ที่อยู่
- Marubun Matsushima Kisen Co., Ltd. (บริษัทเรือ)
- 1-4-1 Minato-machi, Shiogama City, Miyagi 985-0016
- เบอร์ติดต่อ : 022-365-3611
- แฟ็กซ์ : 022-365-3509
- อีเมล : matsushima@marubun-kisen.com
- Saigyo Modoshi no Matsu Park
- Inuta-2 Matsushima, Miyagi District, Miyagi 981-0213
- เบอร์ติดต่อ : 022-354-3457
วันและเวลาทำการ
- เรือ : เปิดทำการทุกวัน เวลา 10:00 – 16:00 น. (ในฤดูหนาวเปิดถึงเวลา 15:00 น.)
- สวน : เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
- เรือ : ค่าขึ้นเรือชมวิวปกติ 1,500 เยน / ค่าขึ้นไปชั้นดาดฟ้าเรือ 600 เยน
- สวน : ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
- https://www.marubun-kisen.com/english/
- https://sendai-travel.jp/places/saigyo-modoshi-no-matsu-park/
พิกัด
9. พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ดาเตะ มาซามุเนะ (Date Masamune Historical Museum)
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ดาเตะ มาซามุเนะ (Date Masamune Historical Museum) เป็นสถานที่สำหรับเรียนรู้ประวัติศาสตร์ความยิ่งใหญ่ของ ดาเตะ มาซามุเนะ ผู้บุกเบิกเมืองเซนไดและเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่ทรงพลังมากที่สุดในสมัยสงครามกลางเมืองของประเทศญี่ปุ่น
ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีการจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งที่แสดงประวัติชีวิตของดาเตะ มาซามุเนะ โดยมีคำบรรยายภาษาอังกฤษแปะไว้ให้อ่านด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีเสียงบรรยายสำหรับฟัง แต่เสียงบรรยายจะมีแค่ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น
นอกจากมาซามุเนะแล้ว ที่นี่ก็ยังมีหุ่นขี้ผึ้งของบุคคลสำคัญแห่งจังหวัดมิยากิท่านอื่นๆอีกมากมาย เช่น ดาไซ โอซามุ นักเขียนชาวญี่ปุ่นชื่อดัง, มิยาซาวะ เคนจิ นักเขียนวรรณกรรมเยาวชนและกวีญี่ปุ่นชื่อดัง และศิลปินเลื่องชื่ออย่างชิโกะ มุนาคาตะ
นอกจากนี้ยังมีจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถทดลองสวมชุดเกราะซามูไรและมีบริการถ่ายรูปให้ด้วย
- อ่านบทความเจาะลึกเรื่องพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ดาเตะ มาซามุเนะ : ตามรอยประวัติศาสตร์สุดมันส์ที่ Date Masamune Historical Museum และเที่ยววัดโกะไดโด
ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ดาเตะ มาซามุเนะ (Date Masamune Historical Museum)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี JR Sendai ขึ้นรถไฟไปลงที่สถานี Matsushima Kaigan (ค่าโดยสาร 410 เยน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที) แล้วเดินต่อจากสถานีไปอีกประมาณ 12 นาที
ที่อยู่
- Date Masamune Historical Museum, 13-13 Fugendo, Matsushima, Miyagi-gun, Miyagi Prefecture 981-0213
เบอร์ติดต่อ
- 022-354-4131
วันและเวลาทำการ
- เปิดทำการทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
- ผู้ใหญ่ : 500 เยน
- นักเรียนมัธยมปลาย : 300 เยน
- นักเรียนมัธยมต้นและประถม : 300 เยน
- *หมายเหตุ : โปรดแสดงพาสปอร์ตและบัตรนักเรียนนักศึกษาแก่เจ้าหน้าที่
เว็บไซต์
พิกัด
สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดมิยากิ : โซนอื่นๆ
10. หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge)
หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge) เป็นหนึ่งในหุบเขาที่สวยงามที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุ หุบเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดมิยากิ ห่างจากเมืองเซนไดประมาณ 70 กิโลเมตร และห่างจากนารุโกะออนเซ็น 2 กิโลเมตร
ทุกๆปีในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ทั่วทั้งบริเวณหุบเขาจะงดงามไปด้วยสีสันของใบไม้ ซึ่งหุบเขาแห่งนี้นับว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุเลยทีเดียว
นอกจากนี้หุบเขานารุโกะก็ยังมี สะพานโอฟุคาซาวะ (Ofukazawa Bridge) เป็นแลนด์มาร์กอีกด้วย ซึ่งลักษณะการทอดตัวของสะพานกับวิวหุบเขานี่แหละที่ทำให้ตรงนี้เป็นจุดถ่ายรูปที่มีชื่อเสียงมากๆเลยครับ
จุดที่คนนิยมถ่ายรูปกันก็คือจุดชมวิวที่มองเห็นอุโมงค์รถไฟตามรูปด้านบน ซึ่งถ้าจังหวะดีเราอาจจะได้รูปตอนที่รถไฟกำลังออกมาจากอุโมงค์ด้วย
ข้อมูลเกี่ยวกับหุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge)
วิธีเดินทาง
- หากต้องการไปที่จุดชมวิว สามารถเดินไปได้จากสถานี Nakayamadaira Onsen หรือสถานี Naruko Onsen โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที (เดินจาก Nakayamadaira Onsen จะง่ายกว่าเล็กน้อย) หรืออาจจะนั่งรถบัส (ค่าโดยสาร 310 เยน) หรือรถแท็กซี่ (ค่าโดยสาร 1,000 – 1,500 เยน) ก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีการจราจรจะติดขัดมาก โปรดระวังในจุดนี้
- สำหรับการเดินทางไปสถานี Nakayamadaira Onsen หรือสถานี Naruko Onsen หากเดินทางจากสถานี Shinjo จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง (ค่าโดยสาร : Nakayamadaira Onsen 840 เยน / Naruko Onsen 970 เยน)
- หากเดินทางจากสถานี Sendai ให้นั่งรถไฟชินคันเซ็นไปลงที่สถานี Furukawa แล้วต่อรถไฟสาย Rikuusai ไปลงที่สถานี Naruko Onsen (ใช้เวลารวม 90 นาที ค่าโดยสาร 3,000 เยน) หรืออาจเลือกนั่งรถไฟธรรมดาก็ได้เช่นกัน (ใช้เวลา 140 นาที ค่าโดยสาร 1,660 เยน)
ที่อยู่
- Naruko Gorge, Narukoonsen, Ōsaki, Miyagi 989-6100
เบอร์ติดต่อ
- 022-982-2102
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด
11. เกาะทาชิโระจิมะ (Tashirojima Island)
ทาสแมวมาทางนี้!
เกาะทาชิโระจิมะ (Tashirojima Island) หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันจนติดปากว่า ‘เกาะแมว’ เป็นเกาะเล็กๆในจังหวัดมิยากิที่มีแมวเยอะมากกกกกก ส่วนประชากรทาสนั้นไซร้มีอยู่เพียง 100 คนเท่านั้น นอกจากนี้ศัตรูของเจ้านายอย่างคุณหมาทั้งหลายก็ไม่มีอยู่บนเกาะเลยแม้แต่ตัวเดียว เพราะที่นี่มีกฎว่าห้ามพาหมามาอยู่บนเกาะโดยเด็ดขาด!
ทั้งนี้ บนเกาะจะมีร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม ร้านขายของที่ระลึก รวมถึงป้ายแผนที่ไว้บอกจุดหลักๆที่เราจะเจอน้องแมวด้วย ใครเป็นทาสแมวรับรองเลยว่าเที่ยวสนุกแน่นอน
ข้อมูลเกี่ยวกับเกาะทาชิโระจิมะ (Tashirojima Island)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Sendai ให้นั่งรถไฟ JR สาย Senseki-Tohoku Line Rapid ไปลงที่สถานี Ishinomaki (ใช้เวลา 60 นาที ค่าโดยสาร 860 เยน) จากนั้นไปที่ท่าเรือ Ajishima Line Chuou (ใช้เวลาเดิน 10-15 นาที) แล้วนั่งเรือไปยังเกาะทาชิโระจิมะโดยใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที ค่าโดยสารเที่ยวละ 1,250 เยน (เรือมีวันละ 3-4 เที่ยว)
ที่อยู่
- Tashirojima Island (Nitoda Port), 〒986-0856 Miyagi, Ishinomaki, Ōkaidōminami, 5 Chome−3
เบอร์ติดต่อ (บริษัทเรือ)
- 022-593-6125
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด
12. หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกซาโอะ (Zaō Fox Village)
เอาล่ะ! หลังจากแนะนำที่เที่ยวสำหรับทาสแมวกันไปแล้ว คราวนี้มาถึงคิวของทาสจิ้งจอกกันบ้าง
หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกซาโอะ (Zaō Fox Village) เป็นพื้นที่เลี้ยงสุนัขจิ้งจอกและสัตว์อีกหลายชนิด โดยเป็นพื้นที่แบบเปิด
ที่นี่มีจิ้งจอกพันธุ์หายากกว่า 100 สายพันธุ์เลยทีเดียว โดยน้องๆจะได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ และนักท่องเที่ยวก็สามารถชมน้องจิ้งจอกได้อย่างใกล้ชิดด้วยครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกซาโอะ (Zaō Fox Village)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Sendai ให้นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Shiroishi-Zao หากนั่งรถไฟชินคันเซ็นจะใช้เวลา 13 นาที ค่าโดยสาร 3,170 เยน หากนั่งรถไฟธรรมดาจะใช้เวลา 64 นาที ค่าโดยสาร 770 เยน)
- เมื่อถึงสถานี Shiroishi-Zao แล้ว ให้นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย KitsuneMura (รอบรถมีน้อย โปรดตรวจสอบจากหน้าเว็บไซต์นี้ >> http://zao-fox-village.com/access) หรือโบกแท็กซี่ไปที่หมู่บ้านจิ้งจอกก็ได้เช่นกัน ค่าโดยสารจะอยู่ที่ประมาณ 4,000 เยน
ที่อยู่
- Zaō Fox Village, Kawarago-11-3 Fukuokayatsumiya, Shiroishi, Miyagi 989-0733
เบอร์ติดต่อ
- 022-424-8812
แฟ็กซ์
- 022-424-8464
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 09:00 – 17:00 น. (ในฤดูหนาวเปิดถึงเวลา 16:00 น.)
ค่าเข้าชม
- ผู้ใหญ่ : 1,000 เยน
- เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี : เข้าชมฟรี
เว็บไซต์
พิกัด
13. ซากปราสาทฟุนาโอกะ (Funaoka Castle Ruins Park)
ซากปราสาทฟุนาโอกะ (Funaoka Castle Ruins Park) เป็นบริเวณซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของปราสาทฟุนาโอกะ แม้ว่าปัจจุบันพื้นที่ตรงนี้จะไม่มีปราสาทให้เห็นแล้ว แต่สวนของปราสาทก็ยังมีความสวยงามมากในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ดอกซากุระบาน
ไฮไลต์สำคัญอย่างหนึ่งของที่นี่ก็คือ ‘รถรางไต่เขาทะลุอุโมงค์ซากุระ’ ทิวทัศน์สีชมพูรอบข้างจะทำให้เรารู้สึกเหมือนท่องอยู่บนแดนสวรรค์เลยล่ะครับ
นอกจากนี้หากเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ เราก็จะเจอกับรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมความสูง 24 เมตรท่ามกลางซากุระแบบนี้ (ส่วนประวัติคร่าวๆของรูปปั้นนี้คือ ชายที่มีนามว่า Tokusaburo Noguchi สร้างรูปปั้นนี้ขึ้นในปี 1975 เพื่ออุทิศให้กับวิญญาณของภริยาผู้ล่วงลับ)
ข้อมูลเกี่ยวกับซากปราสาทฟุนาโอกะ (Funaoka Castle Ruins Park)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Sendai ให้นั่งรถไฟ (ใช้เวลา 60 นาที ค่าโดยสาร 860 เยน) ไปลงที่สถานี Funaoka (ใช้เวลา 34 นาที ค่าโดยสาร 510 เยน) จากนั้นเดินอีก20 นาทีหรือนั่งแท็กซี่ไปยังบริเวณสวนซากปราสาท
ที่อยู่
- Funaoka Castle Ruins Park Tateyama-95-1 Funaoka, Shibata, Shibata District, Miyagi 989-1606
เบอร์ติดต่อ
- 022-455-2123
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา (ซากุระจะบานสวยในช่วงต้นถึงกลางเดือนเมษายน)
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด
14. ปราสาทชิโรอิชิ (Shiroishi Castle)
ปราสาทชิโรอิชิ (Shiroishi Castle) เป็นปราสาทของ Katakura Kagetsuna ซามูไรผู้เป็นมือขวาของดาเตะ มาซามุเนะ ไดเมียวผู้ปกครองเมืองเซนได ต่อมาปราสาทแห่งนี้ถูกรื้อถอนในยุคเอโดะ แต่ในที่สุดปราสาทก็ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในปี 1995
ความพิเศษของการบูรณะปราสาทชิโรอิชิคือ เป็นการสร้างใหม่ด้วยไม้ ไม่ใช่คอนกรีต ที่นี่จึงยังคงความขลังของปราสาทแบบโบราณเอาไว้ (การบูรณะแบบนี้มีอีกที่หนึ่งในญี่ปุ่น คือที่ปราสาท Iga Ueno Castle)
ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทชิโรอิชิ (Shiroishi Castle)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Sendai Station ให้นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Shiroishi (ใช้เวลา 50 นาที ค่าโดยสาร 770 เยน) จากนั้นเดินต่ออีก 15 นาทีก็จะถึงปราสาท
ที่อยู่
- Shiroishi Castle, 1-16 Masuokachō, Shiroishi-shi, Miyagi-ken 989-0251, Japan
เบอร์ติดต่อ
- 022-424-3030
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตามช่วงเวลาดังต่อไปนี้
- เดือนเมษายน – ตุลาคม : 9:00 – 17:00 น.
- เดือนพฤศจิกายน – มีนาคม : 9:00 – 16:00 น.
- วันปิดทำการ : วันที่ 28 – 31 ธันวาคมของทุกปี
ค่าเข้าชม
- ผู้ใหญ่ : 400 เยน
- นักเรียนประถมและมัธยม : 200 เยน
- นักเรียนต่ำกว่าชั้นประถม : เข้าชมฟรี
เว็บไซต์
พิกัด
15. ศาลเจ้าคานาเฮบิซุย (Kanahebisui Shrine) & ศาลเจ้าทาเกะโกมะ (Takekoma Shrine)
สายมูมาทางนี้! ที่เมืองอิวานุมะซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองเซนไดมากนัก เป็นที่ตั้งของ 2 ศาลเจ้าดังที่สายมูน่าจะถูกใจกันครับ
ที่แรกคือ ศาลเจ้าทาเกะโกมะ (Takekoma Shrine) เป็นศาลเจ้าสายเทพอินาริหรือเทพจิ้งจอกที่เราคุ้นเคยกันดีนั่นเอง แต่ที่นี่ไม่ใช่ศาลเจ้าอินาริธรรมดาๆนะครับ เพราะว่าศาลเจ้าทาเกะโกเมะเป็น 1 ใน 5 ศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยล่ะครับ
ส่วนศาลเจ้าแห่งที่ 2 ของเมืองอิวานุมะที่เราอยากแนะนำก็คือ ศาลเจ้าคานาเฮบิซุย (Kanahebisui Shrine) ศาลเจ้าสายเทพเบนไซเตน (พระสรัสวดี) 1 ใน 7 เทพเจ้าแห่งโชคลาภของญี่ปุ่น
ในฤดูกาลต่างๆศาลเจ้าแห่งนี้จะทวีความงดงามในแบบที่แตกต่างกันไป โดยจะดูสวยงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เนื่องจากเดือนเมษายนต้นซากุระจะผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่ง และในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม เราจะได้ชมดอกไม้ที่สวยงามอีกชนิดหนึ่ง นั่นคือดอกวิสทีเรีย
ถามว่าที่นี่เด็ดแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่หมอดูชื่อดังอย่าง ‘หมอช้าง’ การันตีเอง!
นอกจากนี้ศาลเจ้าคานาเฮบิซุยยังได้อันดับที่ 9 ในการจัดอันดับ “สุดยอด 35 ศาลเจ้าสายเงินทอง” อีกด้วย โดยเป็นการจัดอันดับของเว็บไซต์นี้ครับ >> https://travel-noted.jp/posts/18556
เอาเป็นว่าถ้าใครอยากรวยต้องลองมาศาลเจ้าสองแห่งนี้นะครับ!
ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าคานาเฮบิซุย (Kanahebisui Shrine) & ศาลเจ้าทาเกะโกมะ (Takekoma Shrine)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Sendai ให้นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Iwanuma (ใช้เวลา 21 นาที ค่าโดยสาร 330 เยน) จากนั้นให้นั่งรถบัสไปต่อ โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ศาลเจ้าทาเกะโกมะ : ให้ขึ้นรถบัสจากป้ายรถบัสฝั่งตะวันออก โดยนั่งรถบัสสาย 南北線 ไปลงที่ป้าย 竹駒神社前 (Takekomajinja-mae) (ใช้เวลา 22 นาที ค่าโดยสาร 200 เยน) แล้วเดินอีก 3 นาที (สามารถดูตารางเวลาได้ที่นี่ >> https://www.city.iwanuma.miyagi.jp/kurashi/kotsu/documents/ekihigasi01_pdf )
- ศาลเจ้าคานาเฮบิซุย : ให้ขึ้นรถบัสจากป้ายรถบัสฝั่งตะวันตก โดยนั่งรถบัสสาย 西部線 ไปลงที่ป้าย ハナトピア前 (Panatopia-mae) โดยใช้เวลา 15 นาที ค่าโดยสาร 200 เยน แล้วเดินต่ออีก 10 นาที
ที่อยู่
- ศาลเจ้าทาเกะโกมะ : Takekoma Shrine, 1-1 Inaricho, Iwanuma, Miyagi 989-2443
- เบอร์ติดต่อ : 022-322-2101
- ศาลเจ้าคานาเฮบิซุย : Kanahebisui Shrine, 7 Miiroyoshi Suijin, Iwanuma City, Miyagi Prefecture 989-2464
- เบอร์ติดต่อ : 022-322-2672
- แฟ็กซ์ : 022-322-2603
วันและเวลาทำการ
- ศาลเจ้าทาเกะโกมะ : เปิดให้เข้าสักการะทุกวัน เวลา 06:00 – 17:00 น.
- ศาลเจ้าคานาเฮบิซุย : เปิดให้เข้าสักการะทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
- ศาลเจ้าทาเกะโกมะ : https://takekomajinja.jp/
- ศาลเจ้าคานาเฮบิซุย : http://kanahebi.cdx.jp/
พิกัด
- ศาลเจ้าทาเกะโกมะ
- ศาลเจ้าคานาเฮบิซุย
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดมิยากิ
1. กิวตันยากิ (Gyutan Yaki)
กิวตันยากิ (Gyutan Yaki) หรือ ลิ้นวัวย่าง เป็นอาหารขึ้นชื่อของเมืองเซนได จุดเริ่มต้นของความนิยมคือในปี 1948 ซาโนะ เคอิชิโร่ (Sano Keishirō) เจ้าของร้านขายยากิโทริได้นำลิ้นวัวและหางวัวมาปรุงดู ซึ่งในเวลานั้นลิ้นและหางของวัวเป็นส่วนเหลือทิ้งจากการบริโภคของกองทัพสหรัฐฯที่ประจำการในญี่ปุ่น (หลังสงครามอาหารขาดแคลน) ไม่นานนักเมนูนี้ก็โด่งดังขึ้นมาจนเคอิชิโร่ต้องเปิดเป็นร้านอาหารแยกในที่สุด
ด้วยรสสัมผัสที่เด้งดึ๋งเคี้ยวเพลินเป็นเอกลักษณ์ รับรองเลยว่าทุกคนที่ได้ชิมจะต้องติดใจ! (กินแบบย่างเกลือหรือกินกับมิโสะก็ได้ อร่อยทั้งคู่เลยครับ)
- ร้านแนะนำ : Ajitasuke เป็นร้านของทายาทของคุณซาโนะ เคอิชิโร่โดยตรง!
2. เซนไดกิว (Sendai Gyu)
เซนไดกิว (Sendai Gyu) เป็นเนื้อวัวสีดำพันธุ์ญี่ปุ่นซึ่งถูกจัดเกรดที่ A-5 หรือ B-5 โดยสมาคมผู้จัดเกรดเนื้อวัวของประเทศญี่ปุ่น (Japan Meat Grading Association) ดังนั้นเนื้อชนิดนี้จึงนับว่าเป็นเนื้อวัวเกรดสูงสุดหรือระดับชั้นนำ
วัวในเมืองเซนไดนั้นถูกเลี้ยงด้วยลำต้นข้าว Sasanishiki ซึ่งเป็นข้าวพันธุ์เยี่ยมและข้าวบาร์เล่ย์ ความเด็ดของเนื้อชนิดนี้คือมันเป็นเนื้อที่ได้คะแนนสูงอยู่เสมอในการจัดอันดับเนื้อวากิวในญี่ปุ่น
แน่นอนว่าเนื้อเซนไดกิวนั้นอร่อยนุ่มจนแทบละลายในปาก ซึ่งความอร่อยสุดยอดนี้เคยพาเนื้อเซนไดกิวไปชนะเลิศการประกวดเนื้อวากิวทั่วประเทศในปี 2016 ด้วย
- ร้านแนะนำ : Oretachi no Yakiniku Yokozuna เป็นบุฟเฟต์ยากินิกุแบบพรีเมียม เราสามารถกินเนื้อเซนไดกิวได้แบบไม่อั้น!!!
3. ฮาราโกะเมชิ (Harako Meshi)
ฮาราโกะเมชิ (Harako Meshi) เป็นเมนูที่หากดูเผินๆเราอาจจะคิดว่า “ก็แค่ข้าวหน้าปลาแซลมอนดิบกับไข่ปลาแซลมอน” แต่ลองมองให้ดีสิครับ เนื้อปลาแซลมอนในจานนั่นมันสุกล่ะ! นอกจากนี้ข้าวก็ยังหุงด้วยน้ำซุปจากปลาแซลมอนอีกด้วย
เมื่อปลาที่ปรุงสุกกับข้าวที่หุงด้วยซุปแซลมอนมาเจอกัน เราจึงหอมกลิ่นปลามากยิ่งขึ้น ไหนจะมีไข่ปลาแซลมอนมาเติมเต็มความอร่อยอีก ขอบอกเลยว่าสุโค่ย!
- ร้านแนะนำ : Arahama
4. ซุนดะโมจิ (Zunda Mochi)
เห็นโมจิเขียวๆแบบนี้ สิ่งที่ราดลงไปเป็นชาเขียวงั้นเหรอ?……..ผิด! หรือจะเป็นวาซาบิ?……..ก็ไม่ใช่! แล้วมันคืออะไรกันน๊า?
ขอเฉลยว่ามันคือ ‘ถั่วแระ’ จ้า!
ซุนดะโมจิ (Zunda Mochi) เป็นขนมโมจิที่ราดด้วยถั่วแระญี่ปุ่น แล้วบดผสมน้ำตาลที่เรียกว่าซุนดะ (Zunda) ทำให้ได้ขนมที่มีรสชาติอร่อยจากความหวานมันและกลิ่นหอมของถั่วแระญี่ปุ่น ซึ่งแสนจะเข้ากันได้ดีกับโมจิเหนียวนุ่ม
ความพิเศษคือถั่วแระหรือถั่วเหลืองอ่อนที่ปลูกในพื้นที่ของเมืองเซนไดนั้นมีคุณลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากถั่วแระของพื้นที่อื่นๆ นั่นก็คือกลิ่นที่หอมมากๆและรสชาติที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์
5. เฮโรคุซูชิ (Heiroku Sushi)
หืม…เฮโรคุซูชิงั้นเหรอ? ที่ไทยก็มี จะแนะนำทำไมกันนะ? อาจจะมีคนคิดแบบนั้น แต่ผู้เขียนมีเหตุผลที่แนะนำให้มาทานเฮโรคุซูชิที่มิยากิครับ
ทั้งนี้เหตุผลก็คือต้นกำเนิดของ เฮโรคุซูชิ (Heiroku Sushi) สาขาแรกอยู่ที่เมืองเซนได จังหวัดมิยากินั่นเอง เพราะฉะนั้นก็คงจะไม่เสียหายอะไรที่เราจะมาลองกินซูชิที่สาขาต้นตำรับครับ
- เว็บไซต์ทางการของ Heiroku Sushi สาขาเมืองเซนได >> Heiroku Sushi Official Website
มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!
รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!
ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ