fbpx

รวมสถานที่ที่ต้องไปโดนสักครั้งใน ‘จังหวัดยามากาตะ’

ม.ค. 06, 2021

รวมสถานที่ที่ต้องไปโดนสักครั้งใน ‘จังหวัดยามากาตะ’

จังหวัดยามากาตะ ตั้งอยู่ทางตะวันตกของภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) บริเวณชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น ด้วยธรรมชาติที่แสนอุดมสมบูรณ์ จังหวัดนี้จึงมีของกินแสนอร่อยมากมาย โดยเฉพาะเนื้อวากิวของยามากาตะที่ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งตลอดกาลของญี่ปุ่น

แต่แค่นี้อาจจะยังไม่เพียงพอต่อการโน้มน้าวใจเราให้ไปเที่ยวที่นี่ใช่ไหม?

เราจึงอยากมาบอกต่อว่า ‘จังหวัดยามากาตะ’ นี้ก็มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แถมยังมีเมืองเก่าที่สวยคลาสสิกเสียจนได้กลายไปเป็นฉากหนึ่งในละคร รวมถึงภาพยนตร์หลายเรื่อง เท่านี้ก็คงทำให้เรานึกอยากไปตามรอยละครดังขึ้นมาทันทีใช่ไหมล่ะ

แต่นอกจากนี้ ‘จังหวัดยามากาตะ’ ก็ยังมีเทศกาลและงานประเพณีเก่าแก่ตลอดปี ไหนจะศาสนสถานยอดนิยมของเหล่ายามาบูชิ (นักพรตภูเขา)

ยิ่งถ้าใครเป็นสายออนเซ็น หรือนึกอยากจะซื้อบรรยากาศผ่อนคลายให้กับร่างกายที่แสนทรุดโทรมนี้ ยามากาตะก็เป็นที่ที่ไม่ควรพลาดเด็ดขาดเลยล่ะ เพราะออนเซ็นของจังหวัดนี้ติด 1 ใน 10 ออนเซ็นที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น เป็นออนเซ็นระดับท็อปคลาสอย่างแน่นอน!

ถ้าใครมีแผนจะไปญี่ปุ่น แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปจังหวัดไหนหรือภูมิภาคไหนดีล่ะก็ เราขอแนะนำว่าให้เก็บจังหวัดยามากาตะไว้ในอ้อมใจด้วยนะ

มาดูเสน่ห์ของ จังหวัดยามากาตะ ผ่านคลิปกันเถอะ!

สารบัญ

สถานที่ท่องเที่ยวประจำ ‘จังหวัดยามากาตะ’
    1. วัดยามาเดระ (Yamadera Temple)
    2. ภูเขาซาโอะ (Mt.Zao)
    3. ภูเขาฮากุโระ (Mt.Haguro)
    4. ภูเขากัสซัง (Mt.Gassan)
    5. ภูเขายูโดโนะ (Mt.Yudono)
    6. ภูเขาโชไค (Mt.Chokai)
    7. แม่น้ำโมกามิ (Mogami River)
    8. กินซังออนเซ็น (Ginzan Onsen)
    9. ซาโอะออนเซ็น (Zao Onsen)
    10. ยูโนฮามะออนเซ็น (Yunohama Onsen)
    11. พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมะ (Kamo Aquarium)
    12. พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮอนมะ (Honma Museum of Art)
    13. บ้านพักขุนนางตระกูลฮอนมะ (Honma Residence)
    14. โกดังซังเคียว (Sankyo Warehouses)
    15. วัดชูเร็นจิและวัดไดนิจิโบะ (Churenji Temple and Dainichibo Temple)
    16. ศาลเจ้าอุเอสึกิ (Uesugi Shrine)
    17. อุเอสึกิ ฮาคุชาคุเท (Uesugi Hakushakutei)
    18. สุสานของตระกูลอุเอสึกิ (The Mausoleum of the Uesugi Family)
    19. บุนโชคัง (Bunshokan)
    20. ตลาดซากาตะ (Sakata Seafood Market)
    21. ถนนนาโนะคามาจิ (Nanokamachi Shopping Street)
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดยามากาตะ
    1. เนื้อโยเนซาวะและเนื้อยามากาตะ (Yonezawa Gyu and Yamagata Gyu)
    2. อิโมนิ (Imoni)
    3. ฮิยาชิราเมน (Hiyashi Ramen)
    4. ลูกชิ้นทามะ คอนยักกุ (Tama Konnyaku)
    5. เชอร์รี (Cherry)

สถานที่ท่องเที่ยวประจำ ‘จังหวัดยามากาตะ’

จังหวัดยามากาตะ เป็นจังหวัดที่เดินทางไปได้อย่างสะดวก หากโดยสารรถไฟชินคันเซ็นจะใช้เวลาเดินทางดังนี้

    • จากโตเกียว 2 ชั่วโมง 45 นาที
    • จากนาโกย่า 4 ชั่วโมง 33 นาที
    • จากโอซาก้า 5 ชั่วโมง 51 นาที

ต่อจากนี้เราจะเริ่มแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งชอปปิ้งในยามากาตะ เราไปดูกันเลยดีกว่าว่าจังหวัดนี้มีอะไรบ้าง

1. วัดยามาเดระ (Yamadera Temple)

วัดยามาเดระ (Yamadera Temple) เป็นวัดของนิกายเทนไดที่สร้างขึ้นในปี 860 มีชื่อทางการว่า โฮจุซัง ริชชาคุจิ แต่ที่ชาวญี่ปุ่นนิยมเรียกว่า ‘ยามาเดระ’ นั้นเป็นเพราะว่าชื่อนี้มีความหมายตรงตัวกับที่ตั้งของสถานที่ ซึ่งก็คือ ‘วัดบนภูเขา’ นั่นเอง

ส่วนประวัติการก่อตั้งของวัดนี้เริ่มมาจากช่วงตอนต้นของยุคเฮอัน หรือช่วงปี 794 – 1185 ในตอนนั้นได้เกิดเหตุการณ์ที่จักรพรรดิเซวะส่งพระสงฆ์รูปหนึ่งไปยังภูมิภาคโทโฮคุ นั่นก็คือหลวงพ่อจิกากุ ไดอิจิ ต่อมาท่านจึงก่อตั้งวัดยามาเดระขึ้นภายใต้เขตการปกครองจังหวัดยามากาตะในปัจจุบัน

และครั้งหนึ่งได้มีนักกวีที่มีชื่อเสียงในอดีตนามว่า บาโช (Basho) ได้เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ เขาได้แต่งกลอนไฮกุอันแสนไพเราะ ว่าด้วยการพรรณนาถึงความเรียบง่ายและความสงบของวัดยามาเดระ จนทำให้วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน

เพราะว่าเป็นวัดบนภูเขา เราเลยต้องเดินกันเยอะหน่อยนะ!

ในที่สุดก็มาถึงจุดที่เรียกว่า ไคซังโด หรืออาคารที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่วิญญาณของหลวงพ่อจิกากุ ไออิชิ

และตรงนี้นี่เองที่เป็นจุดที่ใครหลายคนเคยเห็นตามโปสเตอร์การท่องเที่ยว ของจริงก็สวยงามตามท้องเรื่อง ขอยกกล้องขึ้นมาถ่ายสักแชะสองแชะแล้วกันเนอะ ^^

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดยามาเดระ (Yamadera Temple)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Yamadera ให้เดินประมาณ 5 นาทีเพื่อไปยังบริเวณทางขึ้นวัด และเดินต่ออีกประมาณ 35 นาทีเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิว
    • สำหรับการเดินทางไปสถานี Yamadera หากเดินทางจากสถานี Yamagata ให้นั่งรถไฟ JR สาย Senzan ไปลงที่สถานี Yamadera (ใช้เวลา 20 นาที ค่าโดยสาร 240 เยน)
    • หากเดินทางจากสถานี Sendai ให้นั่งรถไฟJR สาย Senzan ไปลงที่สถานี  Yamadera (ใช้เวลา 60 นาทีค่าโดยสาร 840 เยน)
ที่อยู่
    • Yamadera (Hojuzan Risshaku Temple), 4456-1 Yamadera, Yamagata, 999-3301
โทร
    • 023-695-2002
เวลาทำการ
    • วัด : เปิดให้เข้าสักการะทุกวัน เวลา 8.00 – 17.00 น.
    • หอสมบัติ : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8.30 – 17.00 น. (ปิดทำการในช่วงเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนเมษายน)
    • พิพิธภัณฑ์บาโช : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9.00 – 16.30 น. (ปิดทำการในวันที่ 29 ธันวาคมถึง 3 มกราคม และวันหยุดอื่นๆอีกบางวัน โปรดเช็กก่อนเดินทางไป)
ค่าเข้าชม
    • วัด : มีค่าเข้าชม 300 เยน
    • หอสมบัติ : มีค่าเข้าชม 200 เยน
    • พิพิธภัณฑ์บาโช : มีค่าเข้าชม 400 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

2. ภูเขาซาโอะ (Mt.Zao)

ภูเขาซาโอะ (Mt.Zao) เป็นเทือกเขาที่ทอดตัวตัดผ่านระหว่างจังหวัดมิยากิและจังหวัดยามากาตะ นอกจากจะมีความสูงถึง 1,841 เมตรแล้ว ภูเขาซาโอะยังเป็นหนึ่งในภูเขาที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุอีกด้วย

แน่นอนว่าภูเขาลูกใหญ่ก็ย่อมให้ทิวทัศน์ที่สวยงามเป็นธรรมดา โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ร่วง เราจะเห็นภูเขาซาโอะถูกย้อมเป็นสีแดงส้มสลับเหลืองอย่างงามตาเลยล่ะ ช่างเป็นงานศิลป์ที่สร้างสรรค์จากธรรมชาติโดยแท้

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของภูเขาซาโอะก็คือ ปากปล่องโอกามะ บริเวณนี้เป็นวิวที่สวยงามมาก เราอยากให้ทุกคนได้เห็นกันจริงๆ ถ้าใครอยากลองไปดูด้วยตาตัวเองล่ะก็ ต้องออกแรงเดินไปหน่อยนะ ใช้เวลาแค่ 45 นาทีเท่านั้นเอ๊ง~

ในช่วงหน้าหนาว ที่นี่จะกลายเป็นลานสกี นอกจากนี้เรายังสามารถนั่งกระเช้าชมปิศาจหิมะได้ หากใครสงสัยว่าปีศาจหิมะคืออะไร เราจะอธิบายสั้นๆว่ามันก็คือต้นไม้ที่ถูกหิมะเกาะจนมีรูปร่างเหมือนกับปีศาจนั่นเอง ขอบอกก่อนว่ามันไม่ได้น่ากลัวเลยนะ  แต่น่าตื่นตาตื่นใจดีต่างหาก

ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาซาโอะ (Mt.Zao)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Yamagata ให้นั่งรถบัสสายที่วิ่งไป Zao Onsen (ใช้เวลา 40 นาที ค่าโดยสาร 1,000 เยน) จากนั้นเดินประมาณ 15 นาทีเพื่อไปยังจุดขึ้นกระเข้า และเดินต่ออีกประมาณ 45 นาทีเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิว
ที่อยู่
    • Zao Sanroku Station, 229ー3 Zaoonsen, Yamagata, 990-2301
โทร
    • 023-694-9518
แผนที่
เวลาทำการ
    • กระเช้าเปิดให้บริการทุกวัน เวลา 8.30 – 17.00 น.
ค่ากระเช้า
    • ผู้ใหญ่ (เที่ยวเดียว) 1,500 เยน
    • ผู้ใหญ่ (ไป-กลับ) 3,000 เยน
    • เด็ก (เที่ยวเดียว) 800 เยน
    • เด็ก (ไป-กลับ) 1,500 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

3. ภูเขาฮากุโระ (Mt.Haguro)

ภูเขาฮากุโระ (Mt.Haguro) ตั้งอยู่ในเมืองสึรุโอกะ (Tsuruoka) จังหวัดยามากาตะ ภูเขาแห่งนี้เป็น 1 ใน 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะ (Dewasanzan) ที่ประกอบด้วย

    1. ภูเขาฮากุโระ หรือภูเขาแห่งการเกิด
    2. ภูเขากัสซัง หรือภูเขาแห่งการตาย
    3. ภูเขายูโดโนะ หรือภูเขาแห่งการเกิดใหม่

ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นนั้น การปีนเขาทั้งสามลูกจะต้องเริ่มจากภูเขาฮากุโระก่อนเสมอ และเนื่องจากภูเขาแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ บนเขาจึงมีศาลเจ้าด้วย แน่นอนว่าจุด power spot ของทั้งสามที่ก็ทรงพลังไม่แพ้กัน หากใครอยากมาเที่ยวที่นี่ เราขอแนะนำว่าให้มาช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน หากมาช่วงหน้าหนาวก็จะมีเพียงศาลเจ้าฮากุโระแห่งนี้ที่เปิด

เจดีย์ห้าชั้นที่เห็นในรูปก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 937 เป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่และทรงคุณค่าอีกหนึ่งแห่งที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติ บนยอดเขามีอาคารที่ใช้สักการะเทพเจ้าทั้งสามแห่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ หรือที่เรียกว่า ซังจินโกะ ไซเด็ง ซึ่งมีความสวยงามและเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศ ทั้งนี้รูปปั้นของเทพเจ้าแห่งภูเขาฮากุโระ ภูเขากัสซัง และภูเขายูโดโนะได้รับการประดิษฐานไว้ในอาคารแห่งนี้เพื่อให้เป็นที่เคารพบูชา

บันไดหินที่มีต้นสนซีดาร์เรียงรายตามสองข้างทางนี้ก็สวยงามเสียจนมิชลินกรีนไกด์ถึงกับให้คะแนน 3 ดาวเชียวนะ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าหากใครสามารถมองหารอยสลักบนบันไดหินได้ครบ 33 รอย คนคนนั้นจะได้รับความโชคดีจากเทพเจ้า

และที่เราเห็นกันอยู่ตอนนี้ก็คือ ซันจิงโกะ ไซเด็ง (Sanjinko Saiden) หรืออาคารที่ใช้สำหรับพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าแห่งสามเขานั่นเอง ทั้งนี้หลังคาของอาคารจะมุงด้วยใบจากที่สูงและหนาที่สุดในบรรดาเดวะ แล้วถ้ามองไปยังด้านหน้าของตัวอาคาร เราก็จะเห็นสระน้ำลี้ลับอันเป็นสถานที่ชุมนุมของเหล่าผู้คนที่เลื่อมใสมาแต่โบราณกาล

ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาฮากุโระ (Mt.Haguro)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี JR Tsuruoka ให้นั่งรถบัสสายที่วิ่งไป Mt.gassan แล้วลงที่ป้าย Hagurozuijinmon (ใช้เวลา 35 นาที ค่าโดยสาร 840 เยน) จากนั้นเดินไปอีก 7 นาทีก็จะถึงเจดีย์ 5 ชั้น และให้เดินต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมงผ่านทางเดินหิน ก็จะถึงตัวอาคารหลัก หรือถ้าขี้เกียจเดินจะลงที่อาคารหลักเลยก็ได้ ให้ลงป้าย Hagurosancho  (ใช้เวลา 50 นาที ค่าโดยสาร 1,210 เยน)
ที่อยู่และเบอร์ติดต่อของ Mt.Haguro (เจดีย์5ชั้น)
    • Mt.Haguro, Injuminami-83-7 Haguromachi Touge, Tsuruoka, Yamagata 997-0211
    • โทร : 0235622355
ที่อยู่และเบอร์ติดต่อของ Dewasanzan Shrine (อาคารหลัก)
    • Dewasanzan Shrine, Haguroyama-33 Haguromachi Touge, Tsuruoka, Yamagata 997-0211
    • โทร : 0235622355
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

4. ภูเขากัสซัง (Mt.Gassan)

ที่มา : https://gaijinpot.scdn3.secure.raxcdn.com

ไปภูเขาแห่งการเกิดอย่างภูเขาฮากุโระกันมาแล้ว มาถึงคราวของภูเขากัสซัง (Mt.Gassan) หรือภูเขาแห่งความตายกันบ้าง โดยภูเขาลูกนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,984 เมตรกันเลยทีเดียว ศาลเจ้าที่สร้างอยู่บนเขาลูกนี้ก็เลยตั้งอยู่บนที่สูงที่สุดในบรรดา 3 เขา

นอกจากนี้ภูเขากัสซังยังเป็นภูเขาที่สวยงามมากในทุกๆฤดูกาล ส่วนความขลังนั้นไม่ขอพูดเยอะ เพราะเป็นถึง 1 ใน 3 แห่งเดวะ จะไม่ศักดิ์สิทธิ์สุดๆได้อย่างไร!

หากมีเป้าหมายที่ยอดเขากัสซัง ขอบอกไว้ก่อนว่าต้องไปช่วงหน้าร้อน โดยเริ่มเดินทางจากสถานีที่ 8 จากนั้นก็เดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร! ดูเผินๆอาจเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกล แต่ถ้าได้เพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพที่แสนสวยงามระหว่างทางก็เป็นเรื่องที่ดีงามต่อใจไม่ใช่น้อยเลย

แต่สำหรับนักปีนเขามือใหม่ควรระมัดระวังหลายสิ่งต่อไปนี้ คือ

  1. หินลื่น
  2. หิมะที่ยังละลายไม่หมด
  3. ลมแรงในช่วงฝนตก

นอกจากนี้เราต้องเผื่อเวลาสำหรับการเดินทางขึ้นเขาประมาณ 3 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม เราสามารถพักเหนื่อยกันได้ที่บ้านพักบุชโชอิเกโกยะ (Busshoike Goya Lodge) ได้นะ และสำหรับคนที่แพลนจะไปภูเขายูโดโนะต่อก็สามารถค้างคืนที่นี่ได้เช่นกัน

ที่มา : https://i.pinimg.com

ศาลเจ้าที่ยอดเขากัสซังจะปิดไม่ให้เข้าชมเกือบตลอดเวลา ยกเว้นช่วงฤดูร้อน เนื่องจากหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักจะกลายเป็นอุปสรรคในการเดินทางไปศาลเจ้า

แม้ภูเขากัสซังจะเป็นภูเขาแห่งความตาย แต่ความตายในที่นี้หมายถึงการตายแล้วเกิดใหม่ของจิตวิญญาณ หรือพูดให้ง่ายขึ้นก็คือการรีเฟรชจิตวิญญาณนั่นเอง ทั้งนี้ฉายาภูเขาแห่งความตายก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องลี้ลับหรือเรื่องน่าขนลุกแต่อย่างใด

ที่มา : https://www.gassan-info.com

และสถานที่เล่นสกีหน้าร้อนแห่งเดียวของญี่ปุ่นก็คือภูเขากัสซังนั่นเอง โดยทุกคนสามารถไปสนุกกันได้ตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงกรกฎาคมของทุกปี

ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขากัสซัง (Mt.Gassan)

วิธีเดินทาง
    • จาก Dewasanzan Shrine ให้นั่งรถบัสสายที่วิ่งไป Mt.gassan แล้วลงที่ป้าย Gassanhachiaime (ใช้เวลา 70 นาที ค่าโดยสาร 1,590 เยน) แล้วเดินอีกประมาณ 3 ชั่วโมงก็จะถึงยอดเขา
ที่อยู่และเบอร์ติดต่อ
    • Mt.Gassan 8th station Rest house : 997-0131 Yamagata, Tsuruoka, Haguromachi Kawadai, Higashi-Masukawa mountain
      • โทร : 09026075111
    • Busshoike goya Lodge : Shonai, Higashitagawa District, Yamagata 999-6609
      • โทร : 09087839555
    • Gassan Summit Hut : Shonai, Higashitagawa District, Yamagata 999-7700
      • โทร : 0235622355
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา (ปีนไปถึงยอดได้เฉพาะฤดูร้อน ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม)
ค่าเข้าชม
    • ศาลเจ้าที่ยอดเขา มีค่าเข้าชม 500 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

5. ภูเขายูโดโนะ (Mt.Yudono)

ภูเขายูโดโนะ (Mt.Yudono) เป็นภูเขาลำดับสุดท้ายที่เราจะกล่าวถึงใน 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะ ภูเขาแห่งนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,504 เมตร แถมยังมีศาลเจ้าสุดลึกลับอยู่ด้วย! โดยความลึกลับที่ว่านี้ก็ได้มาจากความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้ เพราะทุกครั้งที่มีคนเข้าไปข้างในศาลเจ้า คนข้างนอกจะไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียวว่าในขณะนั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้างภายในศาลเจ้า แม้แต่เสียงคนคุยก็ไม่ได้ยินด้วยนะ และนี่ก็อาจจะเป็นความพิเศษที่ดึงดูดเหล่านักท่องเที่ยวก็เป็นได้

สำหรับเส้นทางในการเดินเขานั้นถือว่ามีความสะดวกสบาย เพราะเราสามารถนั่งรถขึ้นมาได้อยู่ แต่สำหรับคนที่อยากปีนมาจากภูเขากัสซังก็ย่อมทำได้เช่นกัน เพียงแต่เส้นทางนี้เป็นสิ่งที่ค่อนข้างท้าทายสำหรับนักปีนเขา และถ้าคุณยังเป็นมือใหม่หัดปีนอยู่ เราขอแนะนำว่าเรื่องปีนเขาไปเองนี่อย่าหาทำเชียวนะ นั่งรถไปเถอะ

พอไปถึงศาลเจ้าแล้วก็อย่าลืมถอดรองเท้าก่อนเข้าศาลล่ะ เพราะนี่ถือเป็นการซึมซับพลังแห่งธรรมชาติจากเท้าอันเปลือยเปล่าที่จะกระจายไปทั่วร่าง และในท้ายที่สุดจิตวิญญาณของเราก็จะได้เกิดใหม่อย่างสมบูรณ์

Manuel Ascanio / Shutterstock

นอกจากนี้ ภูเขาโยโดโนะก็เป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรของเหล่านักบวช(ยามาบูชิ)อีกด้วย เพราะนอกจากจะปลีกวิเวกในป่าลึกกลางเขาได้อย่างสบายใจแล้ว นี่ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกฝนตนในโหมดเข้มข้นได้อีกด้วย

ทั้งนี้ยังมีความเชื่อของชาวญี่ปุ่นด้วยว่า ใครก็ตามที่สามารถปีนเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะได้ครบหมดทั้ง 3 เขาคือภูเขาฮากุโระ ภูเขากัสซัง และภูเขายูโดโนะ วิญญาณของคนผู้นั้นจะเกิดใหม่ภายในกายเดิม ไม่ว่าจะปรารถนาสิ่งใดก็จะได้สมดั่งปรารถนาเสมอ

ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขายูโดโนะ (Mt.Yudono)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี JR Tsuruoka ให้นั่งแท็กซี่ไปที่ภูเขายูโดโนะ โดยมีค่าโดยสาร 10,000 เยน (ต้องจองล่วงหน้าที่ https://www.yudonosan-stay.com/access/) หรือไม่ก็ปีนเขามาจากยอดเขา Mt.Gassan โดยใช้เวลา 3 ชั่วโมง (เป็นเส้นทางปีนเขาที่โหด ไม่แนะนำสำหรับมือใหม่หัดปีนเขา)
ที่อยู่
    • Mt. Yudono Shrine Main Building, 997-0532 Yamagata, Tsuruoka, Haguromachi Touge, Hand 7
โทร
    • 0235-54-6133
เวลาทำการ
    • ศาลเจ้าเปิดเฉพาะช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม
ค่าเข้าชม
    • 500 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

6. ภูเขาโชไค (Mt.Chokai)

ภูเขาโชไค (Mt.Chokai) มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,236 เมตร เป็นภูเขาชื่อดังที่ติดอันดับ 1 ใน 100 ภูเขาชื่อดังของญี่ปุ่น ด้วยความที่หิมะตรงปลายยอดทำให้ดูคล้ายกับภูเขาฟูจิ ภูเขาลูกนี้จึงได้รับฉายาว่า ฟูจิแห่งเดวะ (Dewasanzan of Fuji)

เนื่องจากภูเขาโชไคแห่งนี้เป็นภูเขาเดี่ยว จึงทำให้ทัศนวิสัยเปิดโล่งและเห็นวิวได้แบบรอบทิศ นอกจากนี้แล้ว พื้นที่ทั่วทั้งภูเขาเองก็ได้รับเลือกให้เป็นอุทยานแห่งชาติของญี่ปุ่นด้วย

และจุดที่สวยที่สุดที่เราอยากให้ทุกคนได้ไปเห็นกับตาก็คือ ทะเลสาบกลางภูเขา

พออ่านมาถึงตรงนี้ก็อาจจะมีคนสงสัยว่าภูเขาโชไคมีความสัมพันธ์อย่างไรกับ 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะ เราก็ขอตอบตรงนี้เลยละกันว่า อันที่จริงแล้วภูเขาแห่งนี้เคยเป็น 1 ใน 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะ และแน่นอนที่สุดว่าบนยอดเขาก็มีศาลเจ้าด้วยเช่นกัน

ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาโชไค (Mt.Chokai)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี JR Kisakata นั่งรถตู้ (ค่าโดยสาร 3,000 เยน ใช้เวลา 45 นาที) ซึ่งต้องจองล่วงหน้าที่ http://www.nikaho-kanko.jp/blueliner.html หรือไม่ก็เช่ารถเอา
ที่อยู่
    • Mt. Chokai (Ohira Sanso 大平山荘), Fukura, Yuza, Akumi District, Yamagata 999-8521
โทร
    • 090-2607-2326
เวลาทำการ
    • ปีนเขาได้เฉพาะช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

7. แม่น้ำโมกามิ (Mogami River)

แม่น้ำโมกามิ (Mogami River) มีความยาว 224 กิโลเมตร เป็นแม่น้ำที่สำคัญของ ‘จังหวัดยามากาตะ’ โดยชาวเมืองที่นี่จะใช้แม่น้ำแห่งนี้ในการคมนาคมและการขนส่งสินค้า

ที่มา : https://jfdb.jp/

นอกจากนี้แม่น้ำโมกามิยังเป็นฉากหนึ่งในซีรีส์และภาพยนตร์ชื่อดังอย่างเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน (Oshin) ด้วยนะ

แต่เราคงไม่ต้องไปลำบากลำบนพายเรือเองเหมือนโอชินกันแล้ว เพราะถัดมาในยุคของเรามีเรือเครื่องที่แสนสะดวกสบายอยู่ ซึ่งก็จะมีที่นั่งตามที่เห็นในรูปข้างบนนี้ และเราสามารถสั่งซื้ออาหารมานั่งกินระหว่างชมวิวได้ด้วยนะ โดยความสุนทรีย์อีกอย่างหนึ่งก็คือบางครั้งคนขับเรือก็ร้องเพลงคลอเป็นพักๆไป นอกจากนี้ เรือชมวิวของที่นี่ยังได้รับรางวัลชนะเลิศจากการจัดอันดับเรือชมวิวของญี่ปุ่นด้วยนะ

แม้สถานที่แห่งนี้จะสวยงามทุกฤดูกาล แต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดเห็นจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี่แหละ

ที่มา : https://kiji.life

ส่วนใครที่มาตามรอยละครเรื่องดั่งดวงหฤทัย ตรงนี้ก็เป็นฉากหนึ่งในละครด้วยนะ

ข้อมูลเกี่ยวกับแม่น้ำโมกามิ (Mogami River)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Furukuchi เดินประมาณ 5 นาทีเพื่อไปที่ท่าเรือ
    • สำหรับการเดินทางไปสถานี Furukuchi หากเดินทางจากสถานี Yamagata ให้นั่งรถไฟชินคันเซ็นไปลงที่สถานี Shinjo (ใช้เวลา 45 นาที ค่าโดยสาร 2,370 เยน) หรือจะนั่งรถไฟธรรมดาไปก็ได้ (ใช้เวลา 80 นาที ค่าโดยสาร 1,170 เยน) จากนั้นให้นั่งรถไฟสาย Rikuu-sai ไปลงที่สถานี Furukuchi (ใช้เวลา 20 นาที ค่าโดยสาร 330 เยน)
ที่อยู่
    • Mogami River boat ride (最上峡芭蕉ライン舟下り), 999-6401 Yamagata, Mogami District, Tozawa, Furukuchi, 86−1
โทร
    • 0233-72-2001
เวลาทำการ
    • เรือให้บริการในเวลา 9.20 – 15.30 น. รอบเรือโปรดดูจากเว็บไซต์นี้ > http://www.blf.co.jp/html/en.html
ค่าใช้จ่าย
    • ค่าเรือสำหรับผู้ใหญ่ : 2,500 เยน
    • ค่าเรือสำหรับเด็ก : 1,250 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

8. กินซังออนเซ็น (Ginzan Onsen)

กินซังออนเซ็น (Ginzan Onsen) เป็นเมืองน้ำพุร้อนที่เงียบสงบในภูเขาของ ‘จังหวัดยามากาตะ’ แต่เดิมบริเวณนี้เป็นพื้นที่รอบเหมืองแร่เงินโนเบซาวะกินซังที่ได้ปรับปรุงและพัฒนาใหม่ จนกลายมาเป็นเมืองออนเซ็นที่สวยงามที่สุดอีกเมืองหนึ่ง และมีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศญี่ปุ่น

OttoPhoto / Shutterstock

ส่วนสรรพคุณของออนเซ็นที่นี่ ว่ากันว่าสามารถรักษารอยแผลที่เกิดจากการโดนของมีคมบาดและแผลไฟไหม้ได้ อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของโรคผิวหนังเรื้อรัง รวมถึงโรคเรื้อรังยอดฮิตของผู้หญิงด้วย

การแช่ออนเซ็นไปพลาง ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่แสนสงบไปพลางในวันอากาศหนาวๆเนี่ย น่าจะเป็นเรื่องที่ดีต่อใจไม่น้อยเลยล่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับกินซังออนเซ็น (Ginzan Onsen)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Yamagata ให้นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Oishida (รถไฟชินคันเซ็นใช้เวลา 29 นาที ค่าโดยสาร 1,440 เยน / รถไฟธรรมดาใช้เวลา 51 นาที ค่าโดยสาร 680 เยน) จากนั้นนั่งรถบัสไปลงที่ออนเซ็น (ใช้เวลา 35 นาที ค่าโดยสาร 720 เยน)
ที่อยู่
    • Ginzan Onsen, Ginzanshinhata, Obanazawa, Yamagata 999-4333
โทร
    • 0237-28-3933
เวลาทำการ
    • หมู่บ้านออนเซ็นเปิดตลอดเวลา ส่วนเวลา check-in ของเรียวกัง ส่วนมากจะอยู่ที่ช่วง 14.00 – 19.00 น.
ค่าเข้าชม
    • ออนเซ็นไม่มีค่าเข้าชม
    • ค่าที่พักเรียวกังอยู่ในช่วง 25,000 – 40,000 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

9. ซาโอะออนเซ็น (Zao Onsen)

ซาโอะออนเซ็น (Zao Onsen) เป็นเขตน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ด้วยว่าน้ำพุร้อนแห่งนี้มีส่วนประกอบของกำมะถัน เพราะต้นกำเนิดของออนเซ็นแห่งนี้ก็คือภูเขาไฟซาโอะนั่นเอง ดังนั้นคุณสมบัติของน้ำพุร้อนแห่งนี้จึงเป็นเรื่องที่ในน้ำมีความเป็นกรดสูงมาก ว่ากันว่าออนเซ็นที่นี่สามารถรักษาอาการท้องผูกและโรคเบาหวานได้ นอกจากนี้น้ำพุร้อนของที่นี่ยังดีต่อผิวพรรณอีกด้วย

ที่มา : https://kiji.life

และนี่ก็เป็นอีกฉากหนึ่งในละครเรื่องดั่งดวงหฤทัย

ที่มา : http://www.oomiyaryokan.jp/hotspring/

ที่มา : http://www.oomiyaryokan.jp/hotspring/

โรงแรมออนเซ็นที่เราอยากแนะนำมีชื่อว่า ‘ซาโอะออนเซ็น โอมิยะเรียวกัง (Zao Onsen Omiya Ryokan)’ เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวใน booking.com

ข้อมูลเกี่ยวกับซาโอะออนเซ็น (Zao Onsen)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Yamagata ให้นั่งรถบัสสายที่วิ่งไปยัง Zao Onsen (ใช้เวลา 40 นาที ค่าโดยสาร 1,000 เยน) จากนั้นเดินประมาณ 8 นาที
    • นอกจากนี้ มีรถ shuttle bus ให้บริการฟรีด้วยเช่นกัน โปรดดูจากเว็บไซต์นี้ > http://www.oomiyaryokan.jp/en/#access
ที่อยู่
    • Zao Onsen Omiya Ryokan, 46 Zaoonsen, Yamagata, 990-2301
โทร
    • 023-694-2112
เวลาทำการ
    • เช็กอินเข้าพักได้ในเวลา 14.00 – 19.00 น.
ค่าเข้าชม
    • ค่าที่พักอยู่ในช่วง 20,000 เยนต่อห้อง พักได้สูงสุดประมาณ 4 คน (รวมอาหารเช้า-เย็นแล้ว)
เว็บไซต์

Back To Index

10. ยูโนฮามะออนเซ็น (Yunohama Onsen)

ที่มา : https://www.kingdom-of-winter-trip-tohoku.jp

ที่มา : https://www.travel.co.jp

ที่มา : https://lh3.googleusercontent.com

ยูโนฮามะออนเซ็น (Yunohama Onsen) เป็นหมู่บ้านออนเซ็นที่เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อน ความพิเศษของที่นี่คือคุณสามารถดื่มด่ำกับวิวชายหาดยามเย็นแสนสวยขณะแช่ออนเซ็นอย่างสบายใจ แถมยังได้การันตีจากการติด 1 ใน 100 อันดับจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับยูโนฮามะออนเซ็น (Yunohama Onsen)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี JR Tsuruoka ให้นั่งรถบัสสายที่วิ่งไปยัง Yunohama Onsen แล้วลงที่ป้าย Kamo Suizokukan (ใช้เวลา 43 นาที ค่าโดยสาร 790 เยน) แล้วเดินอีก 2 นาที
ที่อยู่
    • Yunohama Onsen, 14 Yunohama, Tsuruoka, Yamagata 997-1201
โทร
    • 0235-75-2258
เวลาทำการ
    • หมู่บ้านออนเซ็นเปิดตลอดเวลา ส่วนเวลาเช็กอินของเรียวกังส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 14.00 – 19.00 น.
ค่าเข้าชม
    • ออนเซ็นไม่มีค่าเข้า
    • ค่าที่พักเรียวกังประมาณ 10,000 – 30,000 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

11. พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมะ (Kamo Aquarium)

เมื่อพูดถึงอวาเรียมแล้ว เราก็มักจะคิดถึงตู้ปลายักษ์ที่มีฉลามวาฬตัวโต แมวน้ำแสนน่ารัก หรือโลมาสุดแบ๊ว แต่รู้หรือเปล่าว่าสัตว์น้ำยอดนิยมประจำอควาเรียมแห่งนี้คือแมงกะพรุน!

นอกจากได้รับการบันทึกว่าเป็นอควาเรียมที่มีการจัดแสดงแมงกะพรุนเยอะที่สุดในโลกแล้ว อควาเรียมแห่งนี้ยังมีผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากแมงกะพรุนขายด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นราเมนแมงกะพรุนเอย หรือแม้กระทั่งไอศกรีมแมงกะพรุนก็ล้วนน่าลิ้มลองไปหมด

และถ้าพูดถึงความอลังการงานสร้างของการจัดแสดงแมงกะพรุนในอควาเรียมแห่งนี้ ขอบอกเลยว่ามันตระการตาเสียจนเหมือนกับเรากำลังล่องลอยอยู่ในโลกแห่งความฝันเชียวล่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมะ (Kamo Aquarium)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี JR Tsuruoka ให้นั่งรถบัสสายที่วิ่งไปยัง Yunohama Onsen ลงที่ป้าย Kamo Suizokukan (ใช้เวลา 33 นาที ค่าโดยสาร 760 เยน)
ที่อยู่
    • Kamo Aquarium, Okubo-657-1 Imaizumi, Tsuruoka, Yamagata 997-1206
โทร
    • 0235-33-3036
เวลาทำการ
    • เปิดให้บริการทุกวัน ในเวลา 9.00 – 17.00 น. (เปิดถึง 17.30 น. ในช่วงวันที่ 20 กรกฎาคม ถึง 20 สิงหาคม)
ค่าเข้าชม
    • ผู้ใหญ่ 1,000 เยน
    • เด็ก 500 เยน
    • เด็กเล็ก เข้าชมฟรี
เว็บไซต์

Back To Index

12. พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮอนมะ (Honma Museum of Art)

ที่มา : https://yamagata-shonai.com

พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮอนมะ (Homma Museum of Art) สร้างขึ้นในปี 1947 ที่นี่เป็นสถานที่จัดแสดงผลงานศิลปะมากมาย เช่น กระเบื้องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา และภาพวาดอักษรที่เขียนด้วยพู่กัน

ที่มา : https://yamagata-shonai.com

นอกจากนี้ยังมีสวนญี่ปุ่นที่สร้างขึ้นในปี 1813 ด้วย เดิมทีสวนแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้นำตระกูลฮอนมะ และเขาคนนี้ก็เป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่งประจำละแวกซากาตะด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะฮอนมะ (Honma Museum of Art)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี JR Sakata ให้เดินไปยังพิพิธภัณฑ์โดยใช้เวลา 5 นาที
ที่อยู่
    • Honma Museum of Art, 7-7 Onaricho, Sakata, Yamagata 998-0024
โทร
    • 0234-24-4311
เวลาทำการ
    • เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9.00 – 17.00 น. (เปิดถึง 16.30 น. ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม)
    • ช่วงเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ และช่วงวันที่ 22 ธันวาคม – 11 มกราคม พิพิธภัณฑ์จะปิดในวันอังคารและวันพุธ
ค่าเข้าชม
    • เฉพาะพิพิธภัณฑ์ 1,000 เยน
    • รวมค่าเข้าพิพิธภัณฑ์และ Honma Residence 1,600 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

13. บ้านพักขุนนางตระกูลฮอนมะ (Honma Residence)

บ้านพักขุนนางตระกูลฮอนมะ (Honma Residence) เป็นอาคารเก่าแก่ในเมืองซากาตะที่เปี่ยมด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นสถาปัตยกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นอยู่ที่รุ่งเรืองและมั่งคั่งของชนชั้นซามูไรในอดีต

บ้านหลังนี้ก่อสร้างขึ้นในปี 1768 ด้วยจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่รับรองขุนนางของโชกุนในอดีต ในภายหลังอาคารแห่งนี้ได้ถูกส่งมอบให้กับคนของตระกูลฮอนมะในปี 1813

ข้อมูลเกี่ยวกับบ้านพักขุนนางตระกูลฮอนมะ (Honma Residence)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี JR Sakata สามารถเดินไปยังบ้านพักขุนนางตระกูลฮอนมะได้ภายใน 15 นาที
    • หรือนั่งรถบัสจากสถานี JR Sakata ไปลงที่ป้าย Nibancho (ใช้เวลา 6 นาที ค่าโดยสาร 200 เยน)
ที่อยู่
    • Honma Residence, 12-13 Nibancho, Sakata, Yamagata 998-0045
โทร
    • 0234-22-3562
เวลาทำการ
    • เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9.30 – 16.30 น. (เปิดถึง 16.00 น. ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม)
    • หยุดกลางเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนมกราคม
ค่าเข้าชม
    • เฉพาะ Honma Residence 800 เยน
    • รวมค่าเข้า Honma Residence และพิพิธภัณฑ์ 1,600 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

14. โกดังซังเคียว (Sankyo Warehouses)

ที่มา : https://www.japan-guide.com

ที่มา : https://pbs.twimg.com

โกดังซังเคียว (Sankyo Warehouses) เป็นโกดังเก็บข้าวสารที่มีอายุมากกว่า 123 ปี และสร้างโดยตระกูลซาไก ในอดีตนั้นการขนส่งข้าวไปยังสถานที่อื่นๆจะสะดวกมากหากใช้การคมนาคมทางน้ำ ซึ่งก็คือการขนส่งทางเรือสำเภานั่นเอง ข้าวจากโกดังซังเคียวแห่งนี้จะถูกส่งไปที่โอซาก้า

นอกจากนี้ โกดังซังเคียวยังเป็นหนึ่งในฉากละครและภาพยนตร์ชื่อดังเรื่องสงครามชีวิตโอชินอีกด้วย ส่วนข้างในโกดังจะมีพิพิธภัณฑ์ที่แสดงถึงวิธีการเก็บเกี่ยวข้าวในอดีตให้เราได้ดูกัน นักท่องเที่ยวสายสารคดีหรือสายประวัติศาสตร์ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยนะ

ข้อมูลเกี่ยวกับโกดังซังเคียว (Sankyo Warehouses)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี JR Sakata นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Sankyosokomae (ใช้เวลา 8 นาที ค่าโดยสาร 200 เยน)
ที่อยู่
    • Sankyo Warehouses, 1 Chome-1-8 Sankyomachi, Sakata, Yamagata 998-0838
โทร
    • 0234-22-1223
เวลาทำการ
    • พิพิธภัณฑ์เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9.00 – 17.00 น. (เปิดถึง 16.30 น. ในช่วงธันวาคม)
      • ปิดวันที่ 29 ธันวาคมถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์
    • โซนร้านค้า เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9.00 – 18.00 น. (เปิดถึง 17.00 น. ในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์) (ส่วนร้านอาหาร เปิดเวลา 11.00 – 21.30 น.)
      • ปิดวันที่ 1 มกราคม
ค่าเข้าชม
    • พิพิธภัณฑ์  300 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

15. วัดชูเร็นจิและวัดไดนิจิโบะ (Churenji Temple and Dainichibo Temple)

ที่มา : https://www.tsuruokakanko.com

ที่มา : https://www.asahi-kankou.jp/

ที่มา : https://lh3.googleusercontent.com

ที่มา : https://art20.photozou.jp

วัดชูเร็นจิและวัดไดนิจิโบะ (Churenji Temple and Dainichibo Temple) เป็นวัดที่อยู่บนภูเขายูโดโนะ หนึ่งในสามภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งเดวะ โดยสถานที่แห่งนี้ก่อสร้างขึ้นประมาณต้นศตวรรษที่ 8

ความพิเศษของวัดทั้งสองแห่งคือมีการจัดแสดงโซคุชินบุทสึ (Sokushinbutsu) หรือพระผู้เปลี่ยนร่างตนเองเป็นมัมมี่ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่

มัมมี่เหล่านี้เป็นพระในลัทธิชูเก็นโด (Shugendo) ซึ่งเป็นวิถีปฏิบัติตนที่ผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธและลัทธิชินโต โดยมีพื้นฐานความศรัทธามาจากการเคารพบูชาภูเขา โดยองค์ประกอบที่สำคัญของลัทธิชูเก็นโดคือความอดทนของร่างกายและจิตใจ ดังนั้นการทำมัมมี่ด้วยตนเองจึงเป็นรูปแบบของการอดทนขั้นสูงสุด ทั้งนี้มีพระที่สามารถฝึกปฏิบัติได้สำเร็จเพียง 16 รูปเท่านั้น

ข้อมูลเกี่ยวกับชูเร็นจิและวัดไดนิจิโบะ (Churenji and Dainichibo)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานีรถไฟ JR Tsuruoka สามารถนั่งรถแท็กซี่ไปที่วัดได้ โดยค่าโดยสารจะอยู่ที่ 9,000 เยน (แนะนำว่าให้เช่ารถไปดีกว่า)
ที่อยู่
    • Churenji : 997-0531 Yamagata, Tsuruoka, Oami, 92-1 Nakadai
      • โทร : 0235-54-6536
    • Dainichibo : Nyudo-11 Oami, Tsuruoka, Yamagata 997-0531
      • โทร : 0235-54-6301
เวลาทำการ
    • Churenji : เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม เปิดทุกวัน เวลา 9.00 – 17.00 น. / เดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน เปิดทุกวัน เวลา 10.00 – 16.00 น.
    • Dainichibo : เปิดทุกวัน เวลา 8.00 – 17.00 น.
ค่าเข้าชม
    • ค่าเข้าวัด 500 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

16. ศาลเจ้าอุเอสึกิ (Uesugi Shrine)

ศาลเจ้าอุเอสึกิ เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อสักการะ อุเอสึกิ เคนชิน ไดเมียวที่โด่งดังที่สุดแห่งตระกูลอุเอสึกิ การดวลระหว่างเขากับไดเมียวแห่งยามานาชิในช่วงยุคเซ็นโกคุนั้นได้กลายเป็นตำนานการรบซามูไรที่มีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ศาลเจ้าอุเอสึกิยังเป็นจุดชมซากุระที่สวยงามมากอีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าอุเอสึกิ (Uesugi Shrine)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี JR Yonezawa นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Uesugi Jinja mae (ใช้เวลา 8 นาที ค่าโดยสาร 240 เยน) แล้วเดินต่ออีก 4 นาที
ที่อยู่
    • Uesugi Shrine, 1 Chome-4-13 Marunouchi, Yonezawa, Yamagata 992-0052
โทร
    • 0238-22-3189
เวลาทำการ
    • เปิดทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

17. อุเอสึกิ ฮาคุชาคุเท (Uesugi Hakushakutei)

ที่มา : https://svcstrg2.navitime.jp

อุเอสึกิ ฮาคุชาคุเท (Uesugi Hakushakutei) เป็นคฤหาสน์เก่าของอุเอสึกิ โมชิโนริ (Uesugi Mochinori) ผู้ครองแคว้นรุ่นที่ 14 ของตระกูลอุเอสึกิ คฤหาสน์แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1925 ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น หากใครสนใจอยากจะไปเที่ยว สามารถไปชมวิวพร้อมกับลองแวะทานเนื้อโยเนซาวะได้นะ

ข้อมูลเกี่ยวกับอุเอสึกิ ฮาคุชาคุเท (Uesugi Hakushakutei)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี JR Yonezawa นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Uesugi Jinja mae (ใช้เวลา 8 นาที ค่าโดยสาร 240 เยน) แล้วเดินต่ออีก 4 นาที
ที่อยู่
    • Uesugi Hakushakutei, 1 Chome-3-60 Marunouchi, Yonezawa, Yamagata 992-0052
โทร
    • 0238-21-5121
เวลาทำการ
    • เปิดทุกวัน ยกเว้นวันพุธ
    • เปิดตั้งแต่เวลา 11.00 – 20.00 น.
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

18. สุสานของตระกูลอุเอสึกิ (The Mausoleum of the Uesugi Family)

สุสานของตระกูลอุเอสึกิ (The Mausoleum of the Uesugi Family) เป็นสถานที่สักการะบูชาผู้ครองแคว้นรุ่นก่อนๆของตระกูลอุเอสึกิ

ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่นี่จะมีการจัดเทศกาลโคมไฟหิมะอุเอสึกิ (Uesugi Snow Lantern Festival) ความสวยงามของเทศกาลนี้คือบรรยากาศของโคมเทียนที่สว่างไสวท่ามกลางหิมะนั่นเอง

ข้อมูลเกี่ยวกับสุสานของตระกูลอุเอสึกิ (The Mausoleum of the Uesugi Family)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี JR Nishi Yonezawa ให้เดินไปยังสุสานโดยใช้เวลา 11 นาที
ที่อยู่
    • The mausoleum of the Uesugi family, 1-5-30 Gobyo, Yonezawa-shi, Yamagata 992-0055
โทร
    • 0238-23-3115
เวลาทำการ
    • เปิดทุกวัน เวลา 9.00 – 17.00 น.
ค่าเข้าชม
    • ผู้ใหญ่ : 400 เยน
    • นักศึกษาและนักเรียนชั้นมัธยมปลาย : 200 เยน
    • นักเรียนชั้นมัธยมต้นและประถม : 100 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

19. บุนโชคัง (Bunshokan)

บุนโชกัง (Bunshokan) เป็นอาคารอิฐที่แสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) อาคารแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นในปี 1916 แต่เดิมเคยเป็นศาลาว่าการจังหวัดและหอประชุมสภา ต่อมาในปี 1984 บุนโชกังก็ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น

ที่มา : https://www.daco-thai.com

และนี่ก็เป็นฉากหนึ่งในละครเรื่องดั่งดวงหฤทัยด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับบุนโชกัง (Bunshokan)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี JR  Yamagata นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Shiyakusho-mae (ใช้เวลา 8 นาที ค่าโดยสาร 190 เยน) แล้วเดินอีก 2 นาที
ที่อยู่
    • Yamagata Prefecture native district hall Bunshokan Folk Museum / Old prefecture government building, 3-4-51, Hatagomachi, Yamagata-shi, Yamagata Prefecture, 990-0047
โทร
    • 023-635-5500
แฟ็กซ์
    • 023-635-5501
เวลาทำการ
    • เปิดทุกวัน เวลา 9.00 – 16.30 น.
    • หยุดทุกวันจันทร์ที่ 1 และ 3 ของทุกเดือน
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

20. ตลาดซากาตะ (Sakata Seafood Market)

ที่มา : https://sakatacity.com

ที่มา : https://lh3.googleusercontent.com

ตลาดซากาตะตั้งอยู่ติดกับท่าเรือซากาตะ (Sakata Harbor) เป็นตลาดที่จำหน่ายทั้งอาหารทะเลสดและอาหารแปรรูป ส่วนบริเวณชั้น 2 จะเป็นคาเฟ่และร้านอาหารทะเล เราจึงสามารถดื่มด่ำกับวิวทะเลสวยๆในระหว่างที่รับประทานอาหารทะเลสดใหม่ได้

นอกจากนี้ ร้านอาหารทะเลที่ชั้น 2 ของตลาดซากาตะเองยังได้รับการแนะนำจาก Michelin Green Guide Japan อีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดซากาตะ (Sakata Seafood Market)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี JR Sakata นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Yamaginmae (ใช้เวลา 4 นาที ค่าโดยสาร 220 เยน) แล้วเดินอีก 5 นาที
ที่อยู่
    • Sakatakaisen Market, 2 Chome-5-10 Funabacho, Sakata, Yamagata 998-0036
โทร
    • 0234-23-5522
เวลาทำการ
    • เปิดทุกวัน เวลา 7.00 – 19.00 น.
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

21. ถนนนาโนะคามาจิ (Nanokamachi Shopping Street)

ที่มา : https://www.bindan.jp

ถนนนาโนะคามาจิ เป็นถนนที่เลียบไปตามริมน้ำและอบอวลไปด้วยบรรยากาศย้อนยุค ภายในสถานที่แห่งนี้มีทั้งอาคารโบราณ ร้านอาหาร และร้านขายของชำตั้งเรียงรายอยู่

จุดเด่นของถนนสายนี้คือทางระบายน้ำที่ทำจากหิน โดยชาวญี่ปุ่นเรียกสิ่งนี้ว่า โกเต็นเซกิ ซึ่งทางระบายน้ำนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเอโดะโดยเจ้าเมืองยามากาตะ มีจุดประสงค์เพื่อส่งน้ำไปยังปราสาท เพื่อการเกษตรกรรม รวมถึงเพื่อการอุปโภคบริโภคภายในเมือง

แม้ปัจจุบันนี้ชาวเมืองจะไม่ได้ใช้โกเต็นเซกิในการระบายน้ำแล้ว แต่ถนนนาโนะคามาจิก็ยังคงความสวยงามในอดีตนี้ไว้เพื่อให้ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวได้แวะเข้ามาชมกันเรื่อยๆ

ข้อมูลเกี่ยวกับถนนนาโนะคามาจิ (Nanokamachi Shopping Street)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี JR Yamagata นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Honmachi (ใช้เวลา 6 นาที ค่าโดยสาร 190 เยน) แล้วเดินอีก 2 นาที
ที่อยู่
    • Nanokamachi Shopping Street, 4 Nanokamachi, Yamagata, 990-0042
เวลาทำการ
    • เปิดทุกวัน (ร้านค้าส่วนมากเปิดเวลา 10.00 – 21.00 น.)
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดยามากาตะ

หลังจากที่เที่ยวกันจนเหนื่อยแล้ว ทุกคนคงหิวโซกันน่าดูเลยใช่ไหมล่ะ แน่นอนว่า fromJapan จะลืมแนะนำเมนูอาหารน่าหม่ำประจำ ‘จังหวัดยามากาตะ’ ไปไม่ได้อย่างแน่นอน

อย่างที่ทุกคนเห็น ยามากาตะนั้นเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติมาก การันตีได้จากภูเขาหลายๆแห่งที่ควรค่าแก่การลากสังขารขึ้นไปยังยอดเขาเหลือเกิน ว่าแต่ที่นี่จะมีอะไรให้เราไปลองลิ้มชิมรสกันบ้างนะ?

ตามมาดูกันเลย!

1. เนื้อโยเนซาวะและเนื้อยามากาตะ (Yonezawa Gyu and Yamagata Gyu)

ที่มา : https://savorjapan.com

หากคุณเป็นสายเนื้อ เราขอผายมือมาทาง ‘จังหวัดยามากาตะ’ ณ บัดนาว! เพราะที่นี่เป็นบ้านเกิดของเนื้อวากิว 2 ชนิด แถมยังเป็นเนื้อเบอร์หนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย เนื้อโกเบน่ะเหรอ ชิดซ้ายไปเล้ย!!!

เจ้าเนื้อคุณภาพดีที่ว่านี้ก็คือ เนื้อโยเนซาวะ โดยตั้งชื่อตามเมืองโยเนซาวะ จุดเด่นของเนื้อโยเนซาวะคือลายไขมันหินอ่อนที่มีเนื้อสัมผัสอันละเอียดนุ่ม หวานหอม ไม่มันเยิ้มเหมือนกับเนื้อวากิวแบบอื่น แถมยังให้รสชาติหวานมันกำลังดีและไม่เลี่ยนจนเกินไป

ส่วนเนื้อเกรดรองลงมาจะเป็น เนื้อยามากาตะ ซึ่งมีความแตกต่างกับเนื้อโยเนซาวะคือมันจะลีนกว่า เป็นวากิวที่มีมันน้อยมาก น่าจะเหมาะกับสายกินคลีนหรือคนที่ไม่ชอบของเลี่ยน แต่จากที่เคยลองทานเนื้อโยเนซาวะมา เราว่ามันก็รสชาติกำลังดี ไม่มันไม่ลีนจนเกินไปนะ

ว่าแต่จะกินที่ไหนดีล่ะ? เราขอแนะนำให้ไปลองที่ Uesugi Hakushakutei ส่วนเมนูก็จัดสุกี้ยากี้แบบจุกๆไปเลย!

Back To Index

2. อิโมนิ (Imoni)

อิโมนิ (Imoni) คือซุปเผือกต้มทรงเครื่อง เป็นเมนูที่คิดค้นขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 อีกทั้งยังเป็นอาหารดั้งเดิมที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งยามากาตะ

ส่วนประกอบของอาหารจานนี้มีต้มเผือก บุก ต้นหอมญี่ปุ่น และเนื้อวัว จากนั้นก็ปรุงรสด้วยโชยุ สาเกญี่ปุ่น และน้ำตาล เมื่อเผือกนิ่มลงจากการต้มในซุปดาชิแล้ว มันก็จะมีรสหวานละมุนมาก

ส่วนร้านที่ควรค่าแก่การไปโดน เราขอเสนอร้าน Yonezawagyu Oki Gyu-nabe Oki

Back To Index

3. ฮิยาชิราเมน (Hiyashi Ramen)

ที่มา : https://japan-web-magazine.com

นี่ไม่ใช่บะหมี่เย็นอย่างที่เราคุ้นเคยกันนะ แต่เป็นราเมนใส่น้ำแข็งต่างหาก!

ต้นกำเนิดของ ‘ฮิยาชิราเมน’ นั้นมาจากร้านซากาเอยะ ฮนเต็น (Sakaeya Honten) หลังจากที่มีลูกค้าพูดเปรยขึ้นมาว่า “หน้าร้อนอย่างนี้ อยากลองกินราเมนเย็นๆดูบ้าง” ทางร้านจึงคิดเมนูนี้ขึ้นมา และแน่นอนที่สุดว่าเมนูก็ได้รับความรักจากคุณลูกค้ามาตั้งแต่ปี 1952 มาจนถึงปัจจุบันกันเลยทีเดียว

ถ้าใครมายามากาตะก็อย่าลืมแวะไปกินกันนะ

Back To Index

4. ลูกชิ้นทามะ คอนยักกุ (Tama Konnyaku)

ที่มา : https://i.pinimg.com

ลูกชิ้นทามะ คอนยักกุ เป็นหนึ่งในของอร่อยขึ้นชื่อประจำ ‘จังหวัดยามากาตะ’ ลูกชิ้นชนิดนี้ทำจากบุกขนาดพอดีคำ ต้มรวมกับปลาหมึกแห้งและซอสถั่วเหลือง จุดเด่นคือรสชาติของซอสถั่วเหลืองและเนื้อบุกที่นุ่มหยุ่น

ไอเดียในการทำทามะ คอนยักกุนั้นมาจากผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายบุก โดยบริษัทยามะคอน โชคุฮิง (Yamakon Shokuhin)

Back To Index

5. เชอร์รี (Cherry)

DPeterson / Shutterstock

‘จังหวัดยามากาตะ’ มีผลไม้ดังมากมายหลายอย่าง แต่ที่ดังที่สุดเห็นจะเป็นเชอร์รีนี่ล่ะ แถมยังมีการเคลมด้วยนะว่าเชอร์รีของยามากาตะนั้นดีที่สุดในญี่ปุ่น!

เราอยากแนะนำให้เพิ่มความสนุกในการทาน ด้วยการลองไปเก็บผลเชอร์รีสดตามสวนผลไม้ดู เช่นสวน Yamagata Cherry Land & Kaminoyama Tourism Fruit Garden

เรารับรองเลยว่าทุกคนจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆในการทานผลไม้ชนิดนี้อย่างแน่นอน

 

Back To Top