รวม 10 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดกิฟุ’ ที่ต้องไปโดนให้ได้สักครั้ง!
เม.ย. 04, 2022
บทนำ : ไปเที่ยว ‘จังหวัดกิฟุ’ กันเถอะ!
เมื่อพูดถึง ‘จังหวัดกิฟุ’ หลายๆคนก็คงอุทานว่า “เอ๋ มันคือที่ไหนกัน?” แต่ถ้าเราพูดถึง ‘หมู่บ้านชิราคาวาโกะ’ ล่ะ? ทีนี้หลายๆคนคงร้องอ๋อกันแน่ๆ
กิฟุ เป็นจังหวัดอันเป็นที่ตั้งของ ‘ชิราคาวาโกะ’ หมู่บ้านมรดกโลกของยูเนสโก แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวไทย แต่จริงๆแล้วกิฟุไม่ได้มีดีแค่ชิราคาวาโกะเพียงอย่างเดียว เพราะทั้งจังหวัดนั้นเรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมของ ‘เมืองเก่าเรโทร’ ที่สวยมากๆหลายเมืองเลยล่ะครับ
นอกจากเมืองเก่าเรโทรแล้ว ด้วยความที่กิฟุมีเทือกเขาแอลป์แห่งญี่ปุ่น (Japan Alps) ล้อมรอบ จังหวัดนี้จึงมีที่วิวสวยๆน่าไปถ่ายรูปแนวธรรมชาติอยู่หลายแห่ง อีกทั้งยังมีแหล่งออนเซ็นให้ได้นั่งแช่น้ำร้อนให้หายเหนื่อยพร้อมกับดูวิวสวยๆไปพร้อมกันได้ กิฟุนั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่จังหวัดของญี่ปุ่นที่สามารถต่อกรกับจังหวัดเจ้าพ่อออนเซ็นอย่างกุนมะได้อย่างสูสี เพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะกิฟุเป็นที่ตั้งของ 1 ใน 3 ออนเซ็นที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นไงล่ะ!
นอกจากนี้ในช่วงที่ภาพยนตร์อนิเมะบูม ที่นี่ก็บูมตามไปด้วย เพราะกิฟุเป็นฉากของอนิเมะชื่อดังอย่าง Your Name (หลับตาฝัน ถึงชื่อเธอ) นั่นเองครับ
ส่วนในแง่ของการคมนาคม กิฟุนั้นก็ไม่ถึงกับเดินทางยาก แต่ว่าด้วยความที่อยู่ในหุบเขา รถไฟจึงไปไม่ถึงสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆจุด ดังนั้นถ้าใครคิดว่าแค่มีตั๋ว JR Pass ฉันจะทำตัวเปรี้ยวไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ ขอให้ลองคิดดูใหม่นะครับ เพราะที่เที่ยวฮิตๆอย่างหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ฮิรายุออนเซ็น และที่อื่นๆอีกหลายแห่งนั้น เราสามารถเดินทางไปได้ด้วยรถบัสเท่านั้น!
ปัจจัยเรื่องการเดินทางนั้นมีผลต่อแผนเที่ยวอย่างแน่นอน เราจึงขอแนะนำให้ทุกคนลองหาซื้อพวกตั๋วรถบัสเอาไว้ด้วยนะครับ เช่น
ตั๋วรถบัสเหล่านี้น่าจะมีประโยชน์กว่า JR Pass เยอะเลยครับ (ไม่ใช่ว่า JR Pass ใช้ไม่ได้เลยนะ แต่สำหรับที่เที่ยวในกิฟุ โซนที่ใช้ตั๋วนี้ได้มันมีน้อยมากครับ)
สารบัญ (Index)
สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดกิฟุ
-
- ทาคายามะ (Takayama)
- หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
- เมืองฮิดะฟุรุคาวะ (Hida Furukawa)
- เส้นทางปั่นจักรยานคามิโอกะ (Kamioka Railway Cycling)
- เมืองออนเซ็นโอคุฮิดะ – ฮิรายุออนเซ็น (Okuhida Onsen – Hirayu Onsen)
- เมืองออนเซ็นโอคุฮิดะ – ชินโฮตากะ (Okuhida Onsen – Shinhotaka Ropeway)
- เกโระออนเซ็น (Gero Onsen)
- เมืองกุโจฮาจิมัง (Gujo Hachiman)
- ปราสาทกิฟุ (Gifu Castle)
- พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สนามรบเซกิงาฮาระ (Gifu Sekigahara Battlefield Memorial Museum)
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดกิฟุ
สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดกิฟุ
1. ทาคายามะ (Takayama)
ทาคายามะ (Takayama) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่กลางเทือกเขาแอลป์แห่งญี่ปุ่น (Japan Alps) และเป็นหนึ่งในเมืองเก่าแนวเรโทรที่โด่งดังที่สุดในบรรดาเมืองเก่าของญี่ปุ่น
ในช่วงยุคเอโดะ ทาคายามะเป็นเมืองการค้าที่เจริญรุ่งเรือง ภูมิทัศน์เมืองเก่าของที่นี่จึงยังได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี บ้านเรือนส่วนใหญ่นั้นสร้างมาตั้งแต่สมัยเอโดะ รวมไปถึงร้านค้า คาเฟ่ โรงเบียร์สาเก บ้านของพ่อค้า ฯลฯ ด้วยเหตุนี้บรรยากาศภายในเมืองจึงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแบบยุคสมัยก่อน

Lee-Yiu-Tung / Shutterstock
และไม่ใช่แค่สิ่งก่อสร้างเท่านั้นที่ยังคงกลิ่นอายของยุคสมัยโบราณ วิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่เองก็เช่นกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือตอนเช้าจะมีการนำของมาขายในบริเวณพื้นที่ตลาดเช้ามิยากาวะ (Miyagawa Morning Market)
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด เมืองทาคายามะจึงได้รับรางวัลมิชลิน 3 ดาวในฐานะ “เมืองน่าเที่ยว” (3 ดาวคือระดับสูงสุด ซึ่งเมืองอื่นๆในญี่ปุ่นที่ได้ 3 ดาวได้แก่ เกียวโต นารา รวมถึงชิราคาวาโกะที่เราจะพูดถึงในหัวข้อต่อไป)

Jack-FotoVerse / Shutterstock
นอกจากนี้ ในเมืองทาคายามะยังมีงานเทศกาลมัตสึริ (งานเทศกาลของศาลเจ้าชินโต) ที่จัดว่าเป็นหนึ่งในงานมัตสึริที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย โดยงานนี้มีชื่อว่า ทาคายามะมัตสึริ (Takayama Matsuri)
งานเทศกาลนี้จัดขึ้นที่ใจกลางเมืองทาคายามะ โดยภายในงานจะมีขบวนรถแห่ที่ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม และชาวเมืองก็จะมาร้องรำทำเพลงกันรอบๆรถแห่ (คนละแบบกับรถแห่แชมป์ของหงส์แดงลิเวอร์พูลนะ 555555)

dowraik / Shutterstock
ขบวนพาเหรดรถแห่นี้จะจัดขึ้นที่บริเวณตัวเมืองทุกๆวันที่ 14 และ 15 เมษายน (เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ) และจะจัดขึ้นอีกครั้งในวันที่ 9 และ 10 ตุลาคม (เทศกาลฤดูใบไม้ร่วง)
แต่ถ้าใครไม่สะดวกที่จะไปชมขบวนรถแห่ตรงสถานที่จริงในวันงานเทศกาล ทุกคนก็สามารถชมรถแห่กันได้ที่พิพิธภัณฑ์นะครับ (ปัจจุบันงานเทศกาลนี้ได้รับตำแหน่งมรดกโลกด้านวัฒนธรรมจากองค์การยูเนสโกแล้วด้วยนะ!)
ข้อมูลเกี่ยวกับทาคายามะ (Takayama)
วิธีเดินทาง
- จากสถานีรถไฟ JR Takayama เดินประมาณ 10 นาทีก็จะถึงโซนเมืองเก่าและตลาดเช้า จากนั้นเดินอีกประมาณ 10 นาทีก็จะถึงพิพิธภัณฑ์
- สำหรับการเดินทางมายังสถานี JR Takayama นั้นสามารถทำได้หลายวิธี โดยขึ้นอยู่กับจุดเริ่มต้น ในที่นี้เราขอสมมติว่าเริ่มต้นการเดินทางจากนาโกย่า โตเกียว มัตสึโมโตะ
- จากนาโกย่า
- รถไฟด่วนพิเศษ JR Hida Limited Express (ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 35 นาที ค่าโดยสาร 6,340 เยน / ใช้ JR Pass ได้)
- รถบัสของบริษัท Meitetsu (ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 40 นาที ค่าโดยสาร 3,100 เยน / ใช้ตั๋วรถบัส JBL Pass ได้)
- จากโตเกียว
- รถไฟชินคันเซ็น + รถไฟด่วนพิเศษ โดยเปลี่ยนรถที่นาโกย่า (ใช้เวลา 4 ชั่วโมง 16 นาที ค่าโดยสาร 15,490 เยน / ใช้ตั๋ว JR Pass ได้)
- รถบัสของบริษัท Nohi (ใช้เวลา 5 ชั่วโมง 40 นาที ค่าโดยสาร 6,500 – 7,000 เยน)
- จากมัตสึโมโตะ
- รถบัสของบริษัท Alpico (ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที ค่าโดยสาร 3,500 เยน / ใช้ 4-Day ALPS WIDE FREE PASSPORT ได้)
- จากนาโกย่า
ที่อยู่
- โซนเมืองเก่าทาคายามะ (Takayama)
- Shimosannomachi, Takayama, Gifu 506-0841
- ตลาดเช้ามิยากาวะ (Miyagawa Morning Market)
- Shimosannomachi, Takayama, Gifu 506-0841
- เบอร์ติดต่อ : 08082622185
- Takayama Festival Floats Exhibition Hall
- 178 Sakuramachi, Takayama, Gifu 506-0858
- เบอร์ติดต่อ : 0577325100
วันและเวลาทำการ
- โซนเมืองเก่าทาคายามะ (Takayama) : เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา (ร้านค้าส่วนใหญ่เปิดให้บริการเวลา 9:00 – 17:00 น.)
- ตลาดเช้ามิยากาวะ (Miyagawa Morning Market) : ร้านค้าในตลาดเปิดทุกวัน เวลา 7:00 – 12:00 น. (ช่วงเดือนธันวาคมถึงมีนาคม เริ่มขายตั้งแต่เวลา 8:00 น.)
- Takayama Festival Floats Exhibition Hall : เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น. (ช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ พิพิธภัณฑ์เปิดจนถึงเวลา 16:30 น.)
ค่าเข้าชม
- โซนเมืองเก่าทาคายามะและตลาดเช้ามิยากาวะ : ไม่มีค่าเข้าชม
- Takayama Festival Floats Exhibition Hall : มีค่าเข้าชม 1,000 เยน
เว็บไซต์
พิกัด
2. หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) เป็นหมู่บ้านโบราณในจังหวัดกิฟุที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ชิราคาวาโกะยังคงลักษณะของหมู่บ้านโบราณทั้งในแง่ของตัวบ้านและการใช้ชีวิตของผู้คนเอาไว้ได้เป็นอย่างดี (ดีงามระดับที่ได้รางวัลมิชลิน 3 ดาวเช่นเดียวกับเมืองทาคายามะเลยครับ)
ลักษณะเด่นที่สุดของชิราคาวาโกะ แน่นอนว่าก็ต้องเป็นบ้านในหมู่บ้านนี่แหละครับ บ้านจำนวนมากจะมีหลังคาที่ทำจากฟางในสไตล์ กัสโชซูคุริ (Gassho-zukuri) ซึ่งมีความหมายว่า หลังคาทรงพนมมือ ที่มาของชื่อนี้มาจากลักษณะของหลังคาที่ดูเหมือนกับเวลาที่พระภิกษุพนมมือสวดมนต์นั่นเอง
เหตุผลที่บ้านต้องมีหลังคารูปทรงพนมมือนี้ก็เนื่องมาจากที่ตั้งของหมู่บ้าน ซึ่งมีหิมะตกเป็นจำนวนมากในช่วงฤดูหนาว หลังคาที่สร้างมาในรูปทรงเช่นนี้จะช่วยให้บ้านสามารถคงอยู่ได้แม้จะมีหิมะตกหนักก็ตาม โดยการปลูกสร้างบ้านจะเป็นแบบญี่ปุ่นโบราณแท้ๆ คือไม่มีการใช้ตะปูเลย
ในหมู่บ้านจะมีโซนพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้เข้าไปชมภายในบ้านได้ด้วยครับ ลักษณะเด่นของบ้านที่นี่ก็คือมีเตาถ่านวางอยู่กลางบ้านไว้ใช้นั่งรับประทานอาหารร่วมกัน เมื่อลองจินตนาการว่าในวันอากาศหนาวๆ ถ้าได้มานั่งผิงไฟรับประทานอาหารกับครอบครัว มันคงเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากเลยทีเดียว
ใครอยากลองไปค้างคืนที่ชิราคาวาโกะ สามารถเข้าไปจองกันได้ที่นี่นะครับ >> https://www.japaneseguesthouses.com/ryokan-search-results/Shirakawa-go/
สำหรับจุดชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของหมู่บ้านชิราคาวาโกะนั้นก็คงเป็น จุดชมวิว Shiroyama Viewpoint จากจุดชมวิวแห่งนี้เราสามารถเห็นวิวทั้งหมู่บ้านได้จากมุมสูง ได้มาเที่ยวชิราคาวาโกะทั้งทียังไงก็ต้องขึ้นมาชมให้ได้สักครั้งนะครับ (หากถามว่าวิวชิราคาวาโกะสวยที่สุดในฤดูไหน อันนี้ตอบยากมากกกกก ให้ทุกคนตัดสินด้วยตัวเองจากภาพแล้วกันนะครับ!)
อันนี้เป็นวิวชิราคาวาโกะในฤดูใบไม้ร่วงครับ
ไฮไลต์สำคัญของหมู่บ้านชิราคาวาโกะคือช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ เพราะจะมีการเปิดไฟประดับยามค่ำคืนตามวันที่กำหนด ใครมีโอกาสได้เข้าไปชมไฟตอนกลางคืนดังกล่าว ต้องบอกเลยว่าคุณโชคดีมากๆ! เพราะภาพที่จะได้เห็นนั้นดูราวกับอยู่ในเทพนิยายหรือการ์ตูนดิสนีย์สักเรื่องเลยทีเดียว
ใครอยากมาดูไฟตอนกลางคืนในช่วงเวลาแบบนี้ขอแนะนำว่าควรเตรียมตัวให้ดี เพราะอากาศหนาวมากครับ ถ้าเสื้อกันหนาวไม่หนาพอมีปัญหาแน่นอน นอกจากนี้ถุงมือกันหนาวและรองเท้าสำหรับใส่เดินบนหิมะโดยเฉพาะก็นับว่าเป็นสิ่งจำเป็น เพราะพื้นค่อนข้างลื่นมากๆ
สำหรับอุปกรณ์ในการถ่ายภาพ แน่นอนว่าถ้าจะถ่ายภาพหมู่บ้านตอนกลางคืนก็ต้องมีขาตั้งกล้อง แต่นอกจากนี้ขอแนะนำให้พกแฟลชติดตัวมาด้วยครับ เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้เราถ่ายติดละอองหิมะได้ ทั้งนี้ต้องขอบอกก่อนว่าในบริเวณจุดชมวิวไม่สามารถใช้ขาตั้งกล้องได้นะครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
วิธีเดินทาง
- จาก Kanazawa นั่งรถบัสของ Nohi หรือ Hokutetsu (ใช้เวลาประมาณ 75 นาที ค่าโดยสาร 2,000 เยน)
- จาก Takayama นั่งรถบัสของ Nohi (ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ค่าโดยสาร 2,760 เยน)
- จาก Toyama นั่งรถบัสของ Nohi หรือToyama Chiho (ใช้เวลาประมาณ 80 นาที ค่าโดยสาร 1,730 เยน)
- จาก Nagoya นั่งรถบัสของ Meitetsu (ใช้เวลาประมาณ 180 นาที ค่าโดยสาร 4,000 เยน)
จากสถานที่ข้างต้น แนะนำให้มาจาก Kanazawa, Takayama หรือ Nagoya เพราะมีจำนวนรอบรถบัสถี่มาก ส่วนรถบัสจาก Toyama มีรอบน้อย
รายละเอียดเกี่ยวกับรถบัสสามารถดูได้จากที่นี่ >> Click!
* หมายเหตุ : รถบัสจากนาโกย่าใช้ตั๋ว JBL Pass ได้
สำหรับการจัดแสดงไฟในฤดูหนาวของหมู่บ้านชิราคาวาโกะ หรือ Shirakawago Winter Light-Up นั้น สามารถไปชมได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
- พักค้างคืนในหมู่บ้าน โดยจะต้องเข้าสุ่มจับสลากที่เว็บไซต์ของหมู่บ้าน >> Click!
- รถบัสทัวร์หรือรถแท็กซี่
หลายๆบริษัททัวร์จะมีการจัดรถบัสสำหรับเข้าชมไฟตอนกลางคืนที่ชิราคาวาโกะ โดยกำหนดเวลาเข้าชมที่ประมาณ 2-3 ชั่วโมง และมักจะมีการอนุญาตให้ผู้โดยสารขึ้นไปยังจุดชมวิวได้ หรืออาจรวมอาหารค่ำด้วย ขึ้นอยู่กับราคาของแต่ละบริษัท
รถบัสทัวร์และรถแท็กซี่ ส่วนมากจะออกเดินทางจาก Takayama หรือ Kanazawa แต่ก็มีบางส่วนที่ออกเดินทางจาก Nagoya, Takaoka, Toyama และเมืองอื่นๆ
ตัวอย่างของบริษัททัวร์ เช่น
- ขับรถไปเอง โดยสามารถอ่านกฎหรือทำการจองรถได้จากเว็บไซต์นี้ >> Click! นอกจากนี้ผู้ขับขี่ยังต้องขับรถที่ใช้ยางสำหรับฤดูหนาวด้วย และต้องมีความสามารถในการขับขี่รถยนต์ในสภาพแวดล้อมที่หิมะตกหนัก
ที่อยู่
- Shirakawago, Shirakawa-mura, Ono-gun, Gifu 501-5600
เบอร์ติดต่อ
- 0576961311
วันและเวลาทำการ
- หมู่บ้านชิราคาวาโกะ : เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
- พิพิธภัณฑ์หมู่บ้าน Gassho-zukuri Minkaen
- เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8:40 – 17:00 น.
- เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ เปิดเวลา 9:00 – 16:00 น.
- ในช่วงเดือนธันวาคมถึงมีนาคม พิพิธภัณฑ์จะปิดให้บริการในวันพฤหัสบดี
- การจัดแสดงไฟในฤดูหนาวของชิราคาวาโกะ (Shirakawago Winter Light-Up)
- การแสดงไฟจะจัดขึ้นในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกๆปี สามารถตรวจสอบวันและเวลาได้ที่นี่ >> https://shirakawa-go.gr.jp/en/
ค่าเข้าชม
- หมู่บ้านชิราคาวาโกะ : ไม่มีค่าเข้าชม
- พิพิธภัณฑ์หมู่บ้าน Gassho-zukuri Minkaen
- มีค่าเข้าชม 600 เยน
- การจัดแสดงไฟในฤดูหนาวของชิราคาวาโกะ (Shirakawago Winter Light-Up)
- ไม่มีค่าเข้าชม แต่อาจมีค่าที่พัก ค่ารถบัส หรือค่าที่จอดรถสำหรับผู้ที่มาดูการจัดแสดงไฟ
เว็บไซต์
พิกัด
3. เมืองฮิดะฟุรุคาวะ (Hida Furukawa)
ฮิดะฟุรุคาวะ (Hida Furukawa) อีกหนึ่งเมืองเก่าสไตล์เรโทรที่อยู่ไม่ไกลจากทาคายามะ แม้จะเล็กกว่าทาคายามะ แต่เมืองนี้ก็มีชื่อเสียงและมั่งคั่งด้วยผลผลิตไม้คุณภาพสูง รวมถึงช่างไม้ท้องถิ่นฝีมือระดับสูง นอกจากนี้ด้วยความที่ทาคายามะเป็นที่นิยมมากกว่า บรรยากาศของเมืองฮิดะฟุรุคาวะจึงเงียบสงบกว่ามาก เมืองนี้จึงเหมาะกับคนที่ชอบเที่ยวแบบเงียบสงบ
อีกจุดเด่นหนึ่งของที่นี่คือคูน้ำใสพร้อมฝูงปลาคาร์ป ถ้าใครอยากมาดูปลาคาร์ปให้มาตอนปลายฤดูใบไม้ผลิถึงต้นฤดูใบไม้ร่วงนะครับ เพราะเขาจะเก็บปลาช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน (เหตุผลที่เก็บปลาเพราะอากาศหนาวเกินไป ปลาจะอยู่ไม่ได้ครับ)

GingChen / Shutterstock
อีกหนึ่งกิมมิคของเมืองฮิดะฟุรุคาวะก็คือ เมืองนี้เป็นฉากดำเนินเรื่องของภาพยนตร์อนิเมะชื่อดังอย่าง Your Name (หลับตาฝัน ถึงชื่อเธอ) ผลงานของผู้กำกับชื่อดังอย่างมาโกโตะ ชินไค (Makoto Shinkai)

GingChen / Shutterstock
นอกจากสถานีรถไฟตามภาพแล้ว บอกได้เลยว่ายังมีสถานที่อีกหลายแห่งในเมืองนี้ที่ไปโผล่ในหนัง ดังนั้นใครเป็นแฟนหนังเรื่องนี้ไม่ควรพลาดเมืองฮิดะฟุรุคาวะครับ!
สำหรับคนที่ชอบดนตรีหรือความบันเทิง ที่เมืองฮิดะฟุรุคาวะเองก็มีงานเทศกาลมัตสึริเช่นกัน โดยจัดหลังจากงานมัตสึริของทาคายามะประมาณ 1 สัปดาห์
จุดเด่นของ งานมัตสึริเมืองฮิดะฟุรุคาวะ (The Furukawa Matsuri) คือการประชันกลองไทโกะอันทรงพลังและขบวนแห่สุดอลังการ โดยในการแสดงกลองไทโกะใหญ่ จะมีชายหนุ่มหลายร้อยคนจากแต่ละหมู่บ้านมายืนเปลือยท่อนบนอยู่ด้านหลังที่ตั้งกลองใหญ่ และประชันการตีกลองไทโกะขนาดเล็กที่เรียกว่า Tsuke Daiko
การได้ตีกลองใหญ่นั้นนับว่าเป็นหน้าที่อันทรงเกียรติครั้งหนึ่งในชีวิตที่ชายหนุ่มชาวเมืองฮิดะฟุรุคาวะทุกคนล้วนใฝ่ฝัน ด้วยนิสัยที่ไม่ยอมแพ้ใครจนถูกขนานนามว่า นักเลงฟุรุคาวะ ของชายหนุ่มในแถบฮิดะฟุรุคาวะนี้ การแข่งขันประชันกลองจึงมีการรุกรับอย่างรุนแรง ท่ามกลางเสียงโห่ร้องดังกึกก้อง เป็นบรรยากาศที่สนุกสนานและมีสีสันมากๆเลยครับ
สำหรับคนที่มาดูเทศกาลไม่ได้ แน่นอนว่าในเมืองมีพิพิธภัณฑ์ให้ชมแทนครับ โดยพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวมีชื่อว่า Hida Furukawa Festival Exhibition Hall
ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองฮิดะฟุรุคาวะ (Hida Furukawa)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี JR Takayama นั่งรถไฟไปลงที่สถานี JR Hida-Furukawa (ใช้เวลา 20 นาที ค่าโดยสาร 240 เยน) แล้วเดินอีกประมาณ 5 นาทีเพื่อเข้าเมืองฮิดะฟุรุคาวะ
ที่อยู่
- Hida Furukawa’s Shirakabe Dozogai Street
- 8-5 Furukawacho Tonomachi, Hida, Gifu 509-4224
- เบอร์ติดต่อ : 0577732111
- Hida Furukawa Festival Exhibition Hall
- 14-5 Ichinomachi, Furukawa-cho, Hida City, Gifu Prefecture 509-4234, Japan
- เบอร์ติดต่อ : 0577733511
วันและเวลาทำการ
- Hida Furukawa’s Shirakabe Dozogai Street : เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา (ร้านค้าส่วนมากเปิดให้บริการเวลา 9:00 – 17:00 น.)
- Hida Furukawa Festival Exhibition Hall : เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น. (ช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ เปิดจนถึงเวลา 16:30 น.)
ค่าเข้าชม
- Hida Furukawa’s Shirakabe Dozogai Street : ไม่มีค่าเข้าชม
- Hida Furukawa Festival Exhibition Hall : มีค่าเข้าชมดังนี้
- ผู้ใหญ่ : 700 เยน
- เด็ก : 300 เยน
- ผู้พิการ : ลด 50% จากราคาข้างต้น
เว็บไซต์
พิกัด
4. เส้นทางปั่นจักรยานคามิโอกะ (Kamioka Railway Cycling)
เส้นทางปั่นจักรยานคามิโอกะ (Kamioka Railway Cycling) หรือเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า Rail Mountain Bike Gattan Go!! เป็นเส้นทางจักรยานที่เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2012
การปั่นจักรยานนับเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจในละแวก Hida-Furukawa โดยเราจะได้ปั่นจักรยานไฟฟ้า (ซึ่งช่วยผ่อนแรงเวลาขึ้นเนิน) ไปตามรางรถไฟที่ไม่ใช้แล้วของ Kamioka Railway
ในระหว่างทางเราจะได้ชมวิวสวยๆตลอดทาง พร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอด
คอร์สปั่นจักรยานที่นี่จะแบ่งออกเป็น 2 คอร์ส คือ Town Course และ Canyon Course
- Town Course เป็นคอร์สปั่นจักรยานในโซนเมือง หากออกตัวจากสถานีรถไฟ JR Hida-Furukawa Station จะใช้เวลาปั่น 30 – 40 นาที
- Canyon Course เป็นคอร์สปั่นจักรยานในหุบเขา หากออกตัวจากสถานีรถไฟ JR Hida-Furukawa Station จะใช้เวลาปั่น 40 – 55 นาที
ใครสนใจสามารถชมวิดีโอรีวิวการปั่นจักรยานที่ Kamioka Railway Cycling โดย BeamSensei ได้ในคลิปนี้เลยครับ >> ขับรถเฟี้ยวๆเที่ยวญี่ปุ่น ตามรอยอนิเมะด้วยนะ !!! Tokai Road Trip EP.2
ข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางปั่นจักรยานคามิโอกะ (Kamioka Railway Cycling)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี JR Hida-Furukawa นั่งรถบัส Nohi ไปลงที่ปลายทาง Kamioka Bus Terminal (ใช้เวลา 45 นาที ค่าโดยสาร 300 เยน / สามารถดูตารางเวลาได้ที่นี่ >> Click!) จากนั้นให้นั่งแท็กซี่ต่อ (ค่าโดยสารประมาณ 1,500 เยน)
- สำหรับ Town Course มีบริการทัวร์ของ Nohi จาก Takayama หรือ Hida-Furukawa ดูรายละเอียดได้ที่นี่ >> Click!
ที่อยู่
- Rail Mountain Bike Gattan Go!! – Town Course
- 1327-2 Azumo, Kamioka-cho, Hida, Gifu, 506-1147, Japan
- Rail Mountain Bike Gattan Go!! – Canyon Course
- Nishi-urushiyama, Kamioka-cho, Hida, Gifu, 506-1215, Japan
- เบอร์ติดต่อ : 09070205852
วันและเวลาทำการ
- Town Course
- ช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงปลายเดือนพฤศจิกายน เวลา 9:00 – 16:30 น. (ดูเวลาโดยละเอียดได้ที่นี่ >> Click!)
- Canyon Course
- ช่วงต้นเดือนเมษายนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน เวลา 9:00 – 15:45 น. (ดูเวลาโดยละเอียดได้ที่นี่ >> Click!)
ค่าเข้าชม
- Town Course
- ค่าจักรยานเริ่มต้นที่ 2,700 เยน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> Click!
- Canyon Course
- ค่าจักรยานเริ่มต้นที่ 5,200 เยน (2 คน) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> Click!
เว็บไซต์
พิกัด
5. เมืองออนเซ็นโอคุฮิดะ – ฮิรายุออนเซ็น (Okuhida Onsen – Hirayu Onsen)
เมืองออนเซ็นโอคุฮิดะ (Okuhida Onsen) เป็นเมืองออนเซ็นที่มีชื่อเสียงของจังหวัดกิฟุ จุดเด่นของที่นี่คือ Rotemburo ออนเซ็นกลางแจ้งที่มองเห็นวิวโดยรอบของเทือกเขาแอลป์แห่งญี่ปุ่น
นอกจากนี้ หมู่บ้านออนเซ็นทั้ง 5 แห่งที่ตั้งอยู่ในเมืองโอคุฮิดะก็ล้วนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ที่สำคัญคือน้ำออนเซ็นของแต่ละที่จะมีแร่ธาตุจากแหล่งที่มาที่แตกต่างกันอีกด้วย

ที่มา : https://www.jnto.or.th
เราขอแนะนำแหล่งออนเซ็นที่มีชื่อว่า ฮิรายุออนเซ็น (Hirayu Onsen) เป็นหมู่บ้านออนเซ็นที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในเมืองออนเซ็นโอคุฮิดะ
ฮิรายุออนเซ็นถูกค้นพบในปี 1560 ปัจจุบันภายในพื้นที่ของหมู่บ้านนี้มีเรียวกังออนเซ็นเปิดให้บริการหลายแห่ง น้ำพุร้อนที่นี่จะขึ้นชื่อเรื่องการรักษาโรคเกี่ยวกับเส้นประสาทและโรคผิวหนังต่างๆครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองออนเซ็นโอคุฮิดะ – ฮิรายุออนเซ็น (Okuhida Onsen – Hirayu Onsen)
วิธีเดินทาง
- การเดินทางไป Hirayu Onsen สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับว่าเราเริ่มต้นออกเดินทางจากที่ไหน ผมขอยกตัวอย่างการเดินทางจากโตเกียว ทาคายามะ และมัตสึโมโตะนะครับ
- จากโตเกียว
- นั่งรถบัสของ Nohi หรือ Keio (ใช้เวลา 4 ชั่วโมง 30 นาที ค่าโดยสาร 5,300 – 6,200 เยน)
- จากทาคายามะ
- นั่งรถบัสของ Nohi (ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 1,600 เยน / ใช้ตั๋ว Takayama & Shin-Hotaka 2-Day Free Pass ได้)
- จากมัตสึโมโตะ
- นั่งรถบัสของ Alpico (ใช้เวลา 90 นาที ค่าโดยสาร 2,700 เยน / ใช้ 4-DAY ALPS WIDE FREE PASSPORT ได้)
- จากโตเกียว
ที่อยู่
- Okuhida Onsen (Hirayu Onsen), Okuhida Onsengo Hirayu, Takayama, Gifu 506-1433
เบอร์ติดต่อ (ท่ารถบัส)
- 0578892351
วันและเวลาทำการ
- Hirayu Onsen เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10:00 – 21:00 น.
ค่าเข้าชม
- สำหรับ Hirayu Onsen มีค่าใช้บริการออนเซ็น 600 เยน
เว็บไซต์
พิกัด
6. เมืองออนเซ็นโอคุฮิดะ – ชินโฮตากะ (Okuhida Onsen – Shinhotaka Ropeway)
ชินโฮตากะ (Shinhotaka) เป็นหมู่บ้านออนเซ็นที่ตั้งอยู่ในเมืองออนเซ็นโอคุฮิดะ หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างออกมาจากโซนหุบเขา โดยอยู่ตรงบริเวณฐานภูเขาโฮตากะ (Hotaka) ซึ่งมีวิวทิวทัศน์อันสวยงามของเทือกเขาแอลป์แห่งญี่ปุ่นโอบล้อม
โดยเรียวกังออนเซ็นใกล้กับชินโฮตากะที่เราอยากจะแนะนำก็คือ Yarimikan Ryokan Onsen สามารถดูเว็บไซต์ได้ที่นี่ >> https://www.yarimikan.com/en.php
สำหรับชินโฮตากะนั้น นอกจากออนเซ็นจะดีงามแล้ว ทีเด็ดอีกอย่างหนึ่งของที่นี่ก็คือ กระเช้าชินโฮตากะ (Shin Hotaka Ropeway) ซึ่งจะพาเราขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อชมความงามระดับอลังการของเทือกเขาแอลป์แห่งญี่ปุ่น
ฤดูกาลท่องเที่ยวที่เราอยากจะแนะนำเป็นพิเศษสำหรับที่นี่ก็คือ ช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว
ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองออนเซ็นโอคุฮิดะ – ชินโฮตากะ (Okuhida Onsen – Shinhotaka Ropeway)
วิธีเดินทาง
- การเดินทางไป Shinhotaka สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับว่าเราเริ่มต้นออกเดินทางจากที่ไหน ผมขอยกตัวอย่างการเดินทางจากโตเกียว ทาคายามะ และมัตสึโมโตะนะครับ
- จากโตเกียว
- นั่งรถบัสของ Nohi หรือ Keio (ใช้เวลา 4 ชั่วโมง 30 นาที ค่าโดยสาร 5,300 – 6,200 เยน)
- จากทาคายามะ
- นั่งรถบัสของ Nohi (ใช้เวลา 90 นาที ค่าโดยสาร 2,200 เยน / ใช้ Takayama & Shin-Hotaka 2-Day Free Pass ได้)
- จากมัตสึโมโตะ
- นั่งรถบัสของ Alpico (ใช้เวลา 132 นาที ค่าโดยสาร 3,200 เยน / ใช้ 4-DAY ALPS WIDE FREE PASSPORT ได้)
- จากโตเกียว
ที่อยู่
- Okuhida Onsen (Shinhotaka Ropeway), Shinhotaka Onsen, Okuhida Onsen-go, Takayama, Gifu 506-1421
เบอร์ติดต่อ
- 0578892252
วันและเวลาทำการ
- สำหรับเรียวกัง Yarimikan เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10:00 – 14:00 น. (ปิดในวันจันทร์และวันอังคาร)
- กระเช้า Shinhotaka Ropeway เปิดให้บริการทุกวัน ในเวลาดังต่อไปนี้
- เดือนเมษายน – พฤศจิกายน : 8:30 – 16:45 น.
- เดือนธันวาคม – มีนาคม : 9:00 – 16:15 น.
ค่าเข้าชม
- เรียวกัง Yarimikan มีค่าใช้บริการออนเซ็น 500 เยน
- ค่าขึ้นกระเช้า Shinhotaka Ropeway แบบไป-กลับ : ผู้ใหญ่ 3,000 เยน / เด็ก 1,500 เยน
เว็บไซต์
- Yarimikan Ryokan Onsen : https://www.yarimikan.com/en.php
- Shinhotaka Ropeway : https://shinhotaka-ropeway.jp/en/
พิกัด
7. เกโระออนเซ็น (Gero Onsen)
เกโระออนเซ็น (Gero Onsen) เป็นหมู่บ้านออนเซ็นที่มีประวัติยาวนานกว่า 1,000 ปี และได้ชื่อว่าเป็นออนเซ็นที่ดีที่สุดของจังหวัดกิฟุ และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือกวีชื่อดังนามว่าฮายาชิ ราซัน (Hayashi Razan) ได้กล่าวเอาไว้ว่า เกโระออนเซ็นเป็น 1 ใน 3 ออนเซ็นที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น ร่วมกันกับคุซัทสึออนเซ็น (Kusatsu Onsen) ของจังหวัดกุนมะ และอาริมะออนเซ็น (Arima Onsen) ของจังหวัดเฮียวโกะ
จุดเด่นที่สุดของหมู่บ้านเกโระออนเซ็นก็คือ บ่อออนเซ็นกลางแจ้งตามภาพด้านบนซึ่งเราสามารถใช้บริการได้ฟรี บ่อออนเซ็นนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำใกล้กับสะพานเกโระ (แต่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้บริการนะครับ มีเพียงตัวบ่อโล่งๆและที่กำบังนิดหน่อย บ่อนี้สามารถแช่ได้ทั้งชายและหญิง แต่ต้องใส่ชุดว่ายน้ำนะ)
ส่วนใครที่เขิน ไม่กล้าแช่ออนเซ็นรวมกับคนอื่น แน่นอนว่าในละแวกนี้มีเรียวกังเพียบ! เรียวกังออนเซ็นที่นี่มีกิมมิคคือเราสามารถซื้อตั๋ว Yumeguri Tegata (Gero Onsen Pass) เพื่อใช้เข้าออนเซ็นต่างๆแบบมาราธอนได้ เรียกได้ว่าแช่กันจนตัวเปื่อยเลยทีเดียว ใครสนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่ครับ >> http://www.gero-spa.or.jp/lg_en/
เราเลือกแช่ออนเซ็นที่ Shirasagi no Yu นะครับ แต่ถ้าใครอยากลองดูรายชื่อเรียวกังออนเซ็นในหมู่บ้านเกโระออนเซ็น ก็สามารถเข้าไปดูได้ที่หน้านี้เลยครับ >> http://www.gero-spa.or.jp/lg_en/
ข้อมูลเกี่ยวกับเกโระออนเซ็น (Gero Onsen)
วิธีเดินทาง
- การเดินทางไป Gero Onsen สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับว่าเราเริ่มต้นออกเดินทางจากที่ไหน ผมขอยกตัวอย่างการเดินทางจากนาโกย่าและทาคายามะนะครับ
- จากนาโกย่า
- จากสถานี Nagoya ให้นั่งรถไฟด่วนพิเศษ JR Hida ไปลงที่สถานี Gero (ใช้เวลาเดินทาง 90 นาที ค่าโดยสาร 4,500 เยน)
- ถ้าเป็นแขกที่จะเข้าพักในเรียวกังด้วย สามารถใช้บริการรถ Shuttle Bus จากสถานี Nagoya ได้ (ใช้เวลาเดินทาง 150 นาที / ค่าโดยสาร 2,800 เยน, ตั๋วไป-กลับราคา 3,700 เยน)
- จากทาคายามะ
- จากสถานี Takayama ให้นั่งรถไฟด่วนพิเศษ JR Hida ไปลงที่สถานี Gero (ใช้เวลาเดินทาง 45 นาที ค่าโดยสาร 2,000 เยน)
- ถ้านั่งรถไฟธรรมดา ให้ลงที่สถานี Gero เช่นกัน (ใช้เวลาเดินทาง 60 นาที ค่าโดยสาร 990 เยน)
- นั่งรถบัสของ Nohi (ใช้เวลาเดินทาง 90 นาที ค่าโดยสาร 1,060 เยน)
- จากนาโกย่า
ที่อยู่
- Gero Onsen, 801-2 Yunoshima, Gero-shi, Gifu
เบอร์ติดต่อ
- 0576-25-2064
วันและเวลาทำการ
- สำหรับออนเซ็นที่ Shirasagi no Yu เปิดให้บริการเวลา 10:00 – 21:00 น. (รอบเข้าใช้บริการสุดท้าย : 20:15 น.)
- ปิดบริการทุกวันพุธ
ค่าเข้าใช้บริการออนเซ็น
- ค่าบริการออนเซ็นของเรียวกังแต่ละแห่งจะแตกต่างกันไป แต่สำหรับออนเซ็น Shirasagi no Yu มีค่าเข้าใช้บริการดังนี้
- ผู้ใหญ่ : 400 เยน
- เด็กประถม : 140 เยน
- เด็กเล็ก : 70 เยน
เว็บไซต์
พิกัด
8. เมืองกุโจฮาจิมัง (Gujo Hachiman)
เมืองกุโจฮาจิมัง (Gujo Hachiman) เป็นเมืองเก่าสไตล์เรโทรที่ตั้งอยู่ ณ ภูเขาทางตะวันตกของจังหวัดกิฟุ เมืองแห่งนี้มีชื่อเสียงเรื่องน้ำอันใสสะอาดและพื้นที่ของเมืองที่มีแม่น้ำ 3 สาย รวมถึงธารน้ำและบ่อน้ำอีกมากมายที่ไหลตัดผ่านไปทั่วทั้งเมือง
และเนื่องจากกุโจฮาจิมังมีแหล่งน้ำจำนวนมากกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ เราจึงได้ยินเสียงน้ำไหลสะท้อนไปทั่วทั้งเมืองเลยล่ะครับ
ด้วยบรรยากาศที่ทำให้หวนนึกถึงอดีต เมืองกุโจฮาจิมังจึงให้ความรู้สึกเสมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง เพียงแค่เดินเล่นไปในเมืองแห่งนี้ เราก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศของเมืองในสมัยโบราณ
ของขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของเมืองกุโจฮาจิมังก็คือ Food Replica หรือ อาหารจำลอง เป็นสิ่งที่ถูกริเริ่มประดิษฐ์คิดค้นขึ้นเมื่อ 80 กว่าปีก่อน และเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่คนญี่ปุ่นภาคภูมิใจ
การผลิต Food Replica ในญี่ปุ่นส่วนมากก็มาจากที่เมืองกุโจฮาจิมังนี่ล่ะครับ โดยเฉพาะที่ Iwasaki Mokei (Sample Village Iwasaki) ที่เปิดในปี 1932 นั้น ว่ากันว่าที่นี่ผลิต Food Replica ถึงครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว ผู้ที่มาเยี่ยมชมสามารถทดลองทำ Food Replica ด้วยตัวเองและนำกลับไปเป็นของที่ระลึกได้ด้วยครับ
สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของเมืองนี้ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยก็คือ ปราสาทกุโจฮาจิมัง (Gujo Hachiman Castle) ว่ากันว่าในบรรดาปราสาทที่ตั้งอยู่บนเขานั้น ปราสาทกุโจฮาจิมังเป็นปราสาทที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น
ในวันที่เมฆหมอกลง ปราสาทแห่งนี้จะดูราวกับกำลังล่องลอยอยู่บนสรวงสวรรค์ ที่นี่จึงได้รับความนิยมในหมู่คนที่ชื่นชอบปราสาทญี่ปุ่นมากเลยครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองกุโจฮาจิมัง (Gujo Hachiman)
วิธีเดินทาง
การเดินทางไปเมืองกุโจฮาจิมังสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับว่าเราเริ่มต้นออกเดินทางจากที่ไหน ผมขอยกตัวอย่างการเดินทางจากนาโกย่า กิฟุ และทาคายามะนะครับ
- จากนาโกย่า
- นั่งรถบัสของ Gifu (ใช้เวลาเดินทาง 80 นาที ค่าโดยสาร 2,260 เยน / ใช้ตั๋ว JBL Pass ได้)
- จากกิฟุ
- นั่งรถบัสของ Gifu (ใช้เวลาเดินทาง 75 นาที ค่าโดยสาร 1,550 เยน)
*หมายเหตุ : ทั้งสองที่รถจอดใกล้กับตัวเมือง จากในเมืองสามารถเดินไปปราสาทได้ภายใน 20 นาที
- จากทาคายามะ
- นั่งรถบัสของ Nohi (ใช้เวลาเดินทาง 80 นาที ค่าโดยสาร 2,000 เยน) รถจะไปจอดที่บริเวณทางด่วน Gujo Hachiman IC ซึ่งถ้าจะเดินเข้าเมืองจากตรงนี้จะไกลพอสมควร
ที่อยู่
- Gujo Hachiman (Tourist Information Center)
- 520-1 Hachimancho Shimadani, Gujo, Gifu 501-4222
- เบอร์ติดต่อ : 0575670002
- Sample Village Iwasaki (Main Store)
- 250 Jonan-cho, Hachiman-cho, Gujo-shi, Gifu 501-4224
- เบอร์ติดต่อ : 0575653378
- Gujo Hachiman Castle
- 659 Ichinohira, Yanagimachi, Hachiman-cho, Gujo-shi, Gifu 501-4214
- เบอร์ติดต่อ : 0575671819
วันและเวลาทำการ
- Sample Village Iwasaki (Main Store)
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 10:00 – 16:00 น. (การทดลองทำ Food Replica จะเปิดจนถึงเวลา 15:00 น.)
- หยุดทุกวันอังคาร วันพฤหัสบดีแรกของเดือนตุลาคม วันเสาร์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ และช่วงวันปีใหม่
- Gujo Hachiman Castle : เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตามเวลาดังต่อไปนี้
- เดือนมีนาคม–พฤษภาคม และเดือนกันยายน–ตุลาคม : 9:00 – 17:00 น.
- เดือนมิถุนายน–สิงหาคม : 8:00 – 18:00 น.
- เดือนพฤศจิกายน–กุมภาพันธ์ : 9:00 – 16:30 น.
ค่าเข้าชม
- Sample Village Iwasaki (Main Store)
- ไม่มีค่าเข้าชม แต่มีค่าทดลองทำ Food Replica 900 -1,400 เยน
- Gujo Hachiman Castle
- ผู้ใหญ่ : 320 เยน
- นักเรียนมัธยมต้น – ประถม : 150 เยน
เว็บไซต์
- Gujo Hachiman (Tourist Information Center) : http://www.gujohachiman.com/kanko/index_e.php
- Sample Village Iwasaki (Main Store) : https://iwasakimokei.com/en/
- Gujo Hachiman Castle : http://castle.gujohachiman.com/
พิกัด
9. ปราสาทกิฟุ (Gifu Castle)
ปราสาทกิฟุ (Gifu Castle) เป็นปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1201 โดยตระกูลนิไคโด (Nikaido) เพื่อใช้เป็นป้อมปราการบนภูเขาคินกะ (Mt. Kinka) ต่อมาในปี 1460 ไซโตะ โทชินากะ (Saito Toshinaga) ไดเมียวในยุคมุโรมาจิได้ทำการปรับปรุงต่อเติมป้อมปราการเพิ่ม จนปราสาทแห่งนี้กลายเป็นปราสาทที่สมบูรณ์
ต่อมาในปี 1567 โอดะ โนบุนากะ (Oda Nobunaga) ไดเมียวแห่งยุคเซ็นโกคุซึ่งเป็น 1 ใน 3 ผู้รวมชาติญี่ปุ่นก็ได้เข้ายึดปราสาทกิฟุและกลายเป็นผู้ครองปราสาท ท่านไดเมียวได้เปลี่ยนชื่อพื้นที่บริเวณเมืองนี้จาก อิโนะกุชิ มาเป็น กิฟุ และเปลี่ยนชื่อปราสาทจาก ปราสาทอินาบายามะ (Inabayama Castle) มาเป็น ปราสาทกิฟุ (Gifu Castle) จากนั้นท่านก็ได้ขยายแคว้นของตนเองออกไป และรวบรวมญี่ปุ่นให้เป็นเอกภาพ โดยใช้แนวคิดแบบใหม่และการปกครองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ปราสาทกิฟุจึงกลายเป็นศูนย์กลางกิจกรรมทางการเมืองของโนบุนากะไประยะหนึ่ง จนกระทั่งเมื่อปราสาทอาสึจิ (Azuchi Castle) สร้างเสร็จ โอดะ โนบุนากะจึงยกปราสาทให้บุตรชายคนโตอย่างโอดะ โนบุทาดะ (Oda Nobutada) แต่ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็ถูกสังหารจากการทรยศของอาเกจิ มิตสึฮิเดะ (Akechi Mitsuhide) ขุนศึกเอกของโนบุนากะนั่นเอง
ต่อมาในภายหลัง เมื่อโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ซามูไรและไดเมียวในช่วงปลายยุคยุคเซ็นโกคุ ได้ทำการสังหารอาเกจิ มิตสึฮิเดะและยึดอำนาจทางการเมืองมาจากตระกูลโอดะแล้ว ท่านก็ได้ยกปราสาทให้กับโอดะ โนบุทากะ แต่โนบุทากะพยายามต่อต้านเพื่อยึดอำนาจคืน โดยร่วมมือกับซามูไรนามว่าชิบาตะ คัตสึอิเอะ (Shibata Katsuie) แต่แล้วพวกเขาก็พ่ายแพ้ไปและโนบุทากะก็ได้ทำการฮาราคีรี หลังจากนั้นไดเมียวฮิเดโยชิจึงยกปราสาทให้แก่โอดะ ฮิเดโนบุ (Oda Hidenobu) บุตรชายของโอดะ โนบุทาดะ
ในเวลาต่อมาหลังจากสงครามเซกิงาฮาระจบลง ผู้ชนะในศึกครั้งนี้ก็คือโทคุกาวะ อิเอยาสึ (Tokugawa Ieyasu) ซึ่งในภายหลังได้ขึ้นเป็นโชกุนคนแรกของญี่ปุ่น ท่านโชกุนได้ยกปราสาทกิฟุให้กับหลานชายที่ชื่อว่าโอคุไดระ โนบุมาสะ (Okudaira Nobumasa) แต่เนื่องจากปราสาททรุดโทรมลงจากสงคราม เขาจึงทิ้งปราสาทแห่งนี้ไปสร้างปราสาทแห่งใหม่
ด้วยเหตุนี้ ปราสาทกิฟุที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันจึงเป็นเวอร์ชั่นที่บูรณะใหม่ในช่วงปี 1956 ซึ่งจุดเด่นของปราสาทแห่งนี้คือที่ตั้งซึ่งอยู่บนภูเขา รวมถึงวิวตอนกลางคืนที่สวยงามมากครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทกิฟุ (Gifu Castle)
วิธีเดินทาง
- จากสถานีรถไฟ JR Gifu ให้นั่งรถบัสสาย N33 ไปลงที่ป้าย Gifu Park (ใช้เวลาเดินทาง 13 นาที ค่าโดยสาร 220 เยน) แล้วเดินต่ออีก 4 นาทีไปขึ้นกระเช้า Ropeway (ใช้เวลา 4 นาที / ตั๋วไป-กลับ : ผู้ใหญ่ 1,100 เยน, เด็ก 550 เยน) กระเช้า Ropeway จะเปิดให้บริการทุกวัน ในเวลา 9:00 – 22:30 น. สามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่ >> Click!)
ที่อยู่
- Gifu Castle, 18, Kinkazan, Tenshyukaku, Gifu City, Cifu Prefecture, 500-0000
เบอร์ติดต่อ
- 0582634853
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตามเวลาดังต่อไปนี้
- 16 มีนาคม – 11 พฤษภาคม : 9:30 – 17:30 น.
- 12 พฤษภาคม – 16 ตุลาคม : 8:30 – 17:30 น.
- 17 ตุลาคม – 15 มีนาคม : 9:30 – 16:30 น.
ค่าเข้าชม
- ผู้ใหญ่ : 200 เยน
- เด็ก : 100 เยน
เว็บไซต์
- Kinakzan Ropeway : http://www.kinkazan.co.jp/
- Gifu City : https://www.gifucvb.or.jp/en/01_sightseeing/01_02.html
พิกัด
10. พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สนามรบเซกิงาฮาระ (Gifu Sekigahara Battlefield Memorial Museum)
ในบรรดาสงครามของเหล่าซามูไร สงครามเซกิงาฮาระ (The Battle of Sekigahara) เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1600 นับได้ว่าเป็นศึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สูญเสียเลือดเนื้อมากที่สุด ดุเดือดที่สุด และมีความสำคัญมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดสงครามมาในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเลยครับ
ในครั้งนั้นนักรบกลุ่มต่างๆทั่วประเทศถูกรวบรวมเข้าเป็นกองทัพ 2 ฝ่าย คือ
- ทัพฝ่ายตะวันออก นำโดย โทคุกาวะ อิเอยาสึ (Tokugawa Ieyasu)
- ทัพฝ่ายตะวันตก นำโดย อิชิดะ มิตสึนาริ (Ishida Mitsunari)
ทั้งสองฝ่ายต่างก็กรูเข้าห้ำหั่นกันอย่างเหี้ยมหาญ ภายในช่วงเวลาเพียง 6 ชั่วโมง ต่างฝ่ายต่างก็รบรากันจนทหารในกองทัพล้มตายเป็นจำนวนมากถึง 30,000 นาย
ผลของการรบก็คือฝ่ายตะวันออกเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะไป ส่งผลให้อำนาจทางการเมืองตกไปอยู่กับตระกูลโทคุกาวะ ซึ่งได้สถาปนาตระกูลโชกุนขึ้นปกครองญี่ปุ่นในช่วงยุคเอโดะ และครองอำนาจยาวนานกว่า 250 ปีก่อนจะล่มสลายลงในช่วงยุคเมจิ
ปัจจุบันพื้นที่การรบก็ยังคงหลงเหลือร่องรอยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธงนำทัพ ค่าย หลุมฝังศพ ฯลฯ รวมถึงมีพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสายเนิร์ดประวัติศาสตร์ได้เข้าไปชมกัน นั่นก็คือ พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สนามรบเซกิงาฮาระ (Gifu Sekigahara Battlefield Memorial Museum)
ขอเตือนว่าให้ไปตอนกลางวันนะ อย่าไปตอนกลางคืนเลย ผีดุครับ!
ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สนามรบเซกิงาฮาระ (Gifu Sekigahara Battlefield Memorial Museum)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Gifu ให้นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Sekigahara (ใช้เวลา 36 นาที ค่าโดยสาร 510 เยน) โดยเปลี่ยนรถระหว่างทางที่สถานี Ogaki จากนั้นให้เดินอีกประมาณ 5 นาที
ที่อยู่
- Tokugawa Ieyasu’s Final Encampment
- 959-2 Sekigahara, Fuwa District, Gifu 503-1501
- เบอร์ติดต่อ : 0584431112
- Gifu Sekigahara Battlefield Memorial Museum
- 894-55, Sekigahara, Gifu 503-1501
- เบอร์ติดต่อ : 0584476070
วันและเวลาทำการ
- Tokugawa Ieyasu’s Final Encampment
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
- Gifu Sekigahara Battlefield Memorial Museum
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9:30 – 17:00 น.
- หยุดทุกวันจันทร์ และวันที่ 29 ธันวาคม – 3 มกราคม
ค่าเข้าชม
- Tokugawa Ieyasu’s Final Encampment
- ไม่มีค่าเข้าชม
- Gifu Sekigahara Battlefield Memorial Museum
- ผู้ใหญ่ : 500 เยน
- นักศึกษาและนักเรียนมัธยมปลาย : 300 เยน
- เด็กวัยอื่นๆ : เข้าชมฟรี
เว็บไซต์
- Tokugawa Ieyasu’s Final Encampment : http://www.town.sekigahara.gifu.jp/secure/4454/Epson_0214.pdf
- Gifu Sekigahara Battlefield Memorial Museum : https://sekigahara.pref.gifu.lg.jp/en/
พิกัด
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดกิฟุ
1. เนื้อฮิดะ (Hida Beef)
เนื้อฮิดะ (Hida Beef) คือเนื้อวากิวชั้นดีจากวัวซึ่งได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีในจังหวัดกิฟุ วัวเหล่านี้ถูกเลี้ยงดูเป็นเวลาอย่างต่ำ 14 เดือน และเป็นโคขุนที่ได้รับการประเมินมาตรฐาน BMS (Beef Marbling Standard : ลายไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อ)
เนื้อวัวที่ผ่านมาตรฐานการประเมินนี้จะต้องได้คะแนนเกรด A และ B อีกทั้งคุณภาพยังต้องอยู่ในอันดับ 3, 4, 5 ตามเกณฑ์การจัดเกรดเนื้อติดกระดูกที่ประเมินโดยสมาคมจัดเกรดเนื้อของญี่ปุ่น
เนื้อวัวที่ผ่านเกณฑ์ดังกล่าวเท่านั้น ถึงจะถูกจัดว่าเป็น ‘เนื้อฮิดะ (Hida Beef)’
จุดเด่นที่ทำให้เนื้อฮิดะแตกต่างจากวากิวชนิดอื่นก็คือ ไม่ว่าส่วนไหนของเนื้อก็ล้วนมีไขมันลายหินอ่อนแทรกอยู่ เนื้อชนิดนี้จึงมีรสชาติหวานมัน อร่อย เข้มข้น
- ร้านแนะนำ : Maruaki
2. โฮบะยากิ/เนื้อย่างใบโฮบะ (Hoba Yaki)
ใบโฮบะ เป็นใบไม้ขนาดใหญ่ที่นิยมปลูกกันมากในเมืองฮิดะ จังหวัดกิฟุ คนส่วนใหญ่ในเมืองฮิดะนิยมนำใบโฮบะมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ
หนึ่งในวิธีใช้ใบโฮบะในการปรุงอาหารที่นิยมกันเป็นอย่างมากคือ การนำใบโฮบะมาห่ออาหาร ทั้งข้าว เนื้อสัตว์ หรือผัก เนื่องจากใบโฮบะมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อและช่วยรักษาส่วนประกอบของอาหารไม่ให้บูดเน่าในช่วงหน้าร้อน อีกทั้งกลิ่นของใบโฮบะยังทำให้อาหารมีรสชาติอร่อย ละมุนละไม ดูน่ารับประทานอยู่ตลอดเวลา
ทั้งนี้ โฮบะยากิ (Hoba Yaki) หรือ เนื้อย่างใบโฮบะ เป็นเมนูอาหารที่ใช้ประโยชน์จากกลิ่นหอมของใบโฮบะได้ดีทีเดียว เพราะเวลาที่เรานำใบโฮบะมาห่อเนื้อแล้วย่างบนเตา กลิ่นหอมของใบโฮบะจะแทรกซึมเข้าสู่เนื้อสัตว์ (ส่วนมากเนื้อที่ฮิตทานกับใบโฮบะก็คือเนื้อฮิดะตามหัวข้อที่ 1 นี่แหละครับ)
ส่วนเครื่องเคียงที่นิยมทานคู่กับโฮบะยากิจะเป็นผัก เห็ด และพืชชนิดอื่นๆที่ชาวบ้านเก็บมาจากบนภูเขา โดยปรุงด้วยมิโซะสูตรโฮมเมดและนิยมทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆครับ
- ร้านแนะนำ: Sakaguchiya
3. ทาคายามะราเมน (Takayama Ramen)
ทาคายามะราเมน (Takayama Ramen) มีต้นกำเนิดมาจากบะหมี่จีนแบบซุปอ่อน แล้วจึงพัฒนามาเป็นราเมนประจำเมืองทาคายามะ เส้นที่ใช้ทำราเมนชนิดนี้เป็นเส้นที่เล็กและบางกว่าเส้นราเมนทั่วๆไป ส่วนน้ำซุปมีความโดดเด่นตรงที่ใช้น้ำซุปดาชิ มิริน และโชยุ โดยนำมาต้มกับโครงกระดูกไก่และส่วนผสมอื่นๆ
สำหรับท็อปปิ้งก็จะเป็นเครื่องเคียงทั่วไปที่นิยมใส่ในราเมน เช่น ต้นหอม เนื้อหมูชาชู เมมมะ (หน่อไม้) เป็นต้น (แต่ในปัจจุบันมีหลายร้านที่กดสูตรโกงเพิ่มความอร่อยด้วยการใช้ท็อปปิ้งเป็นเนื้อฮิดะซะเลย! 55555)
อ้อ! นอกจากนี้ทาคายามะราเมนยังเป็นอาหารที่โผล่มาในภาพยนตร์อนิเมะเรื่อง Your Name ด้วยนะ
- ร้านแนะนำ : Chuka Soba Senmonten M
4. ปลาอายุ (Ayu)
ปลาอายุ (Ayu) เป็นปลาน้ำจืดที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ราชินีแห่งสายน้ำ’ รสชาติของเนื้อจะออกหวานๆ กลิ่นไม่เหม็นคาว ชาวกิฟุนิยมนำมาย่างเกลือทั้งตัว ทอด หรือนึ่ง โดยมักจะปรุงไม่เยอะเพื่อให้ได้รสหวานของเนื้อปลามากที่สุด
ปลาอายุเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำใสสะอาดเท่านั้น และมันก็ชอบกินสาหร่ายเป็นอาหารด้วย เนื้อของปลาชนิดนี้จึงอร่อยและไม่เหม็นคาว
ความจริงแล้วปลาอายุพบได้ในหลายพื้นที่ของญี่ปุ่น แต่ปลาอายุของกิฟุนั้นขึ้นชื่อเป็นพิเศษ เพราะจังหวัดนี้มีแม่น้ำใสสะอาดหลายแห่ง รวมถึงมีประเพณีโบราณในการใช้นกกาน้ำจับปลาครับ
5. โกเฮโมจิ (Gohei Mochi)
โกเฮโมจิ (Gohei Mochi) มีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็นอาหารที่ทำขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งการเกษตร โมจิชนิดนี้ได้จากการนำข้าวใหม่ที่เพิ่งเก็บเกี่ยวได้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงมาหุงให้สุก จากนั้นก็บดให้พอแหลก แล้วนำไปปั้นเป็นก้อนแบนๆห่อหุ้มแท่งไม้
เมื่อปั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้นำข้าวเสียบไม้ไปย่างให้พอสุก แล้วจึงนำมารับประทานกับซอสที่ทำจากส่วนผสมของมิโซะ น้ำตาล มิริน เติมด้วยงาบด ถั่ววอลนัตบด หรือจะเป็นถั่วลิสงบดก็ได้เช่นกัน แล้วแต่ว่าใครจะชอบแบบใด
กลิ่นและรสชาติที่หอมหวานของข้าวย่างใหม่ๆนั้นเข้ากันได้ดีกับซอสที่มีส่วนผสมของมิโสะ โกเฮโมจิจึงเป็นเมนูยอดนิยมอีกอย่างหนึ่งที่พลาดไม่ได้เลยหากมาเที่ยวที่กิฟุครับ
อ่านบทความแนะนำจังหวัดอื่นๆในภูมิภาคชูบุ
- รวม 10 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดยามานาชิ’ ที่ต้องไปให้ได้สักครั้ง!
- 15 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดไอจิ’ ที่ต้องไปโดนให้ได้สักครั้ง!
- รวม 10 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดอิชิกาวะ’ ที่ต้องไปโดนสักครั้ง!
มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!
รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!
ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ
แท็กยอดนิยม
แชร์บทความนี้
Klook.com
บทความแนะนำจังหวัดใน
ภูมิภาค
ชูบุ

จังหวัด ไอจิ

จังหวัด ชิซูโอกะ

จังหวัด ยามานาชิ

จังหวัด นากาโนะ

จังหวัด กิฟุ

จังหวัด นีงาตะ

จังหวัด โทยามะ

จังหวัด อิชิกาวะ

จังหวัด ฟุกุอิ