รวม 30 สถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปโดนสักครั้งใน ‘จังหวัดมิเอะ’
มิ.ย. 09, 2021
บทนำ : ไปเที่ยว ‘จังหวัดมิเอะ’ กันเถอะ!
จังหวัดมิเอะ (Mie Prefecture) ถ้าเอ่ยชื่อจังหวัดนี้กับคนไทย เชื่อว่าคงมีทั้งคนที่รู้สึกว่าคุ้นหูแต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนของญี่ปุ่น หรือบางคนก็ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย แต่สำหรับคนญี่ปุ่นจำนวนมากแล้ว ที่นี่สามารถเรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
มิเอะ เป็นจังหวัดหนึ่งในภูมิภาคคันไซ (Kansai) และตั้งอยู่ระหว่างนาโกย่ากับโอซาก้า ซึ่งคนไทยก็น่าจะรู้จัก 2 สถานที่นี้มากกว่ามิเอะแน่นอน แต่ถ้าอย่างนั้นมิเอะจะมีทีเด็ดอะไรบ้างล่ะ? ไปดูกันเลยครับ
-
- มิเอะเป็นหนึ่งในไม่กี่จังหวัดที่มีหมู่บ้านนินจา (และเป็นหมู่บ้านนินจาที่โด่งดังที่สุดในญี่ปุ่นซะด้วย) แถมยังมีปราสาทอีกต่างหาก
- จังหวัดนี้เป็นที่ตั้งของ 1 ใน 3 อควาเรียมที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ร่วมกับอควาเรียมอีก 2 แห่งที่โอกินาว่าและโอซาก้า ซึ่งอควาเรียมที่มิเอะนั้นเป็นแห่งเดียวที่มีพะยูนด้วย
- มิเอะเป็นที่ตั้งของหนึ่งในศาลเจ้าที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดของประเทศ เพราะเป็นศาลเจ้าของเทพเจ้าสูงสุดของชินโต ศาสนาพื้นเมืองของญี่ปุ่น ในส่วนนี้มีการถกเถียงกันในหมู่คนญี่ปุ่นเลยทีเดียวว่าถ้าจะจัดทริปมูเตลู เราควรไปที่มิเอะหรือชิมาเนะดีนะ (แถมคนในสองจังหวัดนี้ต่างก็ขิงใส่กันด้วยว่า จังหวัดฉันนี่แหละบ้านของเทพเจ้าที่แท้จริง! ว่าไปนั่น)
- ที่นี่มีการจัดแสดงไฟยามค่ำคืนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น (น่าจะเป็นรองแค่ที่สวนสนุกเฮาส์เทนบอช (Huis Ten Bosch) ของนางาซากิ แต่ก็เป็นรองไม่มากเท่าไหร่หรอก)
- ‘จังหวัดมิเอะ’ มีของกินอร่อยๆเพียบ! โดยเฉพาะกุ้งมังกรและเนื้อวากิวที่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็น 1 ใน 3 เนื้อวากิวที่ดีที่สุดของประเทศ
- แหล่งผลิตไข่มุกที่โด่งดังที่สุดของญี่ปุ่นก็อยู่ที่ ‘จังหวัดมิเอะ’ เช่นกัน
- จังหวัดนี้มีสวนสนุกหลายที่หลายธีม แถมยังมีสวนสนุกที่สร้างสถิติลงกินเนสส์บุ๊ค (Guinness Book of World Records) ด้วย
- มิเอะเป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยจุดชมวิวสวยๆ ทั้งวิวทะเลและวิวภูเขา
พูดมาซะขนาดนี้แล้ว ผมกล้าบอกเลยว่าถ้ายังไม่เคยมามิเอะนี่ คุณถือว่าพลาดอะไรมากเลยล่ะในแง่ของการเที่ยวญี่ปุ่น
มิเอะเป็นจังหวัดที่เดินทางสะดวกมากพอควร หากโดยสารรถไฟจะใช้เวลาเดินทางดังนี้ (สมมติว่าปลายทางเป็นเมืองอิเสะ)
-
- จากโตเกียว : โดยสารรถไฟชินคันเซ็น สายโทไคโดซันโย (Tokaido-Sanyo Shinkansen) แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟด่วนของคินเท็ตสึ (Kintetsu Railway) ที่นาโกย่า ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 12 นาที
- จากนาโกย่า : นั่งรถไฟด่วนของคินเท็ตสึ (Kintetsu Railway) ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 22 นาที
- จากโอซาก้า : นั่งรถไฟด่วนของคินเท็ตสึ (Kintetsu Railway) ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 47 นาที
สำหรับวิธีการเดินทางใน ‘จังหวัดมิเอะ’ สำหรับคนที่จะมาเที่ยวในจังหวัดนี้ มีดังนี้ครับ
-
- สำหรับคนที่จะเที่ยวโดยเริ่มจากนาโกย่า และพ่วงจังหวัดนารากับโอซาก้าเข้าไปในแพลนเที่ยวด้วย เราขอแนะนำตั๋ว Kintetsu Rail Pass ซึ่งใช้โดยสารได้ทั้งรถไฟและรถบัสภายในโซนที่กำหนด แถมยังมีส่วนลดสำหรับสถานที่ต่างๆอีกเพียบ! ดูรายละเอียดได้จากที่นี่ >> www.kintetsu.co.jp
- สำหรับคนที่จะเที่ยวโดยเริ่มจากนาโกย่า และพ่วงจังหวัดวาคายามะเข้าไปในแพลนเที่ยวด้วย เราขอแนะนำ Ise-Kumano-Wakayama Area Tourist Pass ดูรายละเอียดได้จากที่นี่ >> touristpass.jp
สารบัญ
สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดมิเอะ
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดมิเอะ
สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดมิเอะ
ต่อจากนี้เราจะเริ่มแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งชอปปิ้งใน ‘จังหวัดมิเอะ’ กันเลยนะครับ
แหล่งท่องเที่ยวในโซนเมืองอิเสะและเมืองโทบะ : จุดท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดของมิเอะ เมืองแห่งเทพเจ้า (ตีคู่กันมากับเมืองอิซุโมะในจังหวัดชิมาเนะ)
- ศาลเจ้าอิเสะชั้นนอก (Outer Shrine / Geku)
- ศาลเจ้าอิเสะชั้นใน (Inner Shrine / Naiku)
- โอฮาไรมาจิ (Oharai Machi)
- ศาลเจ้าฟุตามิโอคิทามะ (Futami Okitama Shrine)
- ฮินจิทสึคัง (Hinjitsukan)
- นินจาคิงดอมอิเสะ (Ninja Kingdom Ise)
- พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโทบะ (Toba Aquarium)
- เกาะไข่มุกมิกิโมโตะ (Mikimoto Island)
- สวนสนุกชิมะสเปนวิลเลจ (Shima Spain Village)
- อ่าวอาโกะ (Ago Bay)
1. ศาลเจ้าอิเสะชั้นนอก (Outer Shrine / Geku)
ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Jingu / Ise Grand Shrine) สร้างขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อนคริสตกาล หรือตรงกับ พ.ศ. 539 ถือเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุด โดยเป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นที่สถิตของสุริยเทวี ‘อามาเทราสึ’ เทพเจ้าสูงสุดแห่งศาสนาชินโตที่เชื่อกันว่าเป็นต้นตระกูลของราชวงศ์ญี่ปุ่น และเป็นที่ประดิษฐานของกระจกยาตะ หนึ่งในสามสมบัติสำคัญของราชวงศ์ยามาโตะอีกด้วย
ศาลเจ้าอิเสะนั้นแบ่งออกเป็น 2 โซนด้วยกัน ซึ่งเหตุผลที่มีการแบ่งเช่นนี้ก็เพราะว่าเทพเจ้าที่สถิตประจำศาลเจ้า 2 โซนนี้เป็นเทพเจ้าคนละองค์กัน
ในภาพด้านบนนี้เป็นส่วนหนึ่งของศาลเจ้าหลักของศาลเจ้าชั้นนอก ซึ่งเป็นที่สิงสถิตของเทพโทโยอุเคะโอคามิ ผู้ทำหน้าที่ถวายอาหารให้แก่เทพอามาเทราสึ ท่านเป็นเทพที่ปกปักรักษาอุตสาหกรรมทุกประเภท นับตั้งแต่เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย จึงว่ากันว่าท่านมีพลังที่จะอำนวยพรในเรื่องที่เกี่ยวกับโชคลาภเงินทองการค้าขายได้
สำหรับวิธีไหว้ขอพร สามารถอ่านได้จากหัวข้อ ‘ศาลเจ้าอิเสะชั้นนอก (Outer Shrine / Geku)’ ในบทความนี้ครับ >> ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Jingu) ที่สถิตของสุริยเทวีอามาเทราสึ
ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าอิเสะชั้นนอก (Outer Shrine / Geku)
ที่อยู่
- Outer Shrine (Geku), 279 Toyokawa-cho, Ise City, Mie Prefecture 516-0042
โทร
- 0596-24-1111
วันและเวลาทำการ
- มกราคม – เมษายน และกันยายน >> 5:00 – 18:00 น.
- พฤษภาคม – สิงหาคม >> 5:00 – 19:00 น.
- ตุลาคม – ธันวาคม >> 5:00 – 17:00 น.
- หมายเหตุ : เปิดทำการทุกวันตลอดทั้งปี
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Iseshi ให้เดินไปยังศาลเจ้าโดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที (มีป้ายบอกทาง)
แผนที่
เว็บไซต์
2. ศาลเจ้าอิเสะชั้นใน (Inner Shrine / Naiku)
ศาลเจ้าอิเสะชั้นใน (Inner Shrine / Naiku) เป็นที่สิงสถิตของเทพอามาเทราสึ เทพีแห่งพระอาทิตย์ผู้เป็นเทพเจ้าสูงสุดแห่งศาสนาชินโต ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่และมีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เรียกว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ (และเป็นต้นตอของการถกเถียงกันของบรรดาสายมูญี่ปุ่น ว่าระหว่างที่นี่กับศาลเจ้าอิซุโมะของจังหวัดชิมาเนะ ที่ไหนน่าไปกว่ากันหรือขลังกว่ากัน)
จุดเริ่มต้นทางเข้าศาลเจ้าจะอยู่ที่สะพานอูจิบาชิ เชื่อกันว่านี่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และแดนสวรรค์
ในขณะที่ศาลเจ้าหลายที่ได้รับอิทธิพลจากจีนและเลือกทาสีประตูโทริอิหรืออาคารให้เป็นสีแดงฉูดฉาด แต่ศาลเจ้าอิเสะยังคงไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมที่เรียบง่าย ไม่มีการทาสีฉูดฉาด สิ่งที่เราจะสัมผัสได้ตั้งแต่เข้ามาคือพลังจากธรรมชาติ
พอเดินเข้ามาได้สักพักเราจะเจอกับ ‘แม่น้ำอิซุซุ’ แม่น้ำสายนี้ถูกตั้งชื่อตามจำนวนกระดิ่ง 50 ชิ้น (คำว่า อิซุซุ แปลว่า กระดิ่ง 50 อัน) โดยกระดิ่งเหล่านี้ถูกใช้เพื่อเป็นเครื่องชี้จุดที่จะใช้สร้างศาลเจ้าอิเสะ ทั้งนี้ เราสามารถล้างมือในแม่น้ำเพื่อชำระล้างจิตใจตามความเชื่อของชินโตได้ (นอกจากนี้แล้ว ตรงนี้ยังเป็นจุดชมใบไม้แดงที่สวยแบบในรูปด้วย)
ตรงนี้เป็นส่วนของศาลเจ้าหลักครับ
สำหรับวิธีไหว้เทพเจ้า สามารถอ่านจากได้จากหัวข้อ ‘ศาลเจ้าอิเสะชั้นใน (Inner Shrine / Naiku)’ ในบทความนี้ครับ >> ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Jingu) ที่สถิตของสุริยเทวีอามาเทราสึ
ไหนๆได้มาศาลเจ้าที่ว่ากันว่าเก่าแก่และสำคัญมากทั้งที ถ้าใครสนใจอยากสอยเครื่องรางกลับไป ที่นี่ก็มีนะครับ
อ้อ! เนื่องจากเครื่องรางที่ศาลเจ้าอิเสะเป็นเครื่องรางของเทพเจ้าสูงสุด จึงว่ากันว่าความศักดิ์สิทธิ์ของเครื่องรางที่นี่ไม่มีวันหมดอายุด้วยนะ! เรื่องนี้เขียนเอาไว้ในหลายๆเว็บไซต์ของญี่ปุ่น เช่น Travel Book, Netwadai, madokawindow โดยเขากล่าวว่า「伊勢神宮の場合はお守りに有効期限はない。」ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า “เครื่องรางของศาลเจ้าอิเสะนั้นไม่มีวันหมดอายุ”
ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าอิเสะชั้นใน (Inner Shrine / Naiku)
ที่อยู่
- Inner Shrine (Naiku), 1 Ujikancho, Ise City, Mie Prefecture 516-0023
โทร
- 0596-24-1111
วันและเวลาทำการ
- มกราคม – เมษายน และกันยายน >> 5:00 – 18:00 น.
- พฤษภาคม – สิงหาคม >> 5:00 – 19:00 น.
- ตุลาคม – ธันวาคม >> 5:00 – 17:00 น.
- หมายเหตุ : เปิดทำการทุกวันตลอดทั้งปี
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Iseshi นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Naiku mae (ค่ารถ 440 เยน ใช้เวลาเดินทาง 21 นาที) แล้วเดินต่อจากป้ายรถบัสไปอีกประมาณ 1 นาที
แผนที่
เว็บไซต์
3. โอฮาไรมาจิ (Oharai Machi)
โอฮาไรมาจิ (Oharai Machi) เป็นถนนคนเดินที่อยู่หน้าทางเข้าศาลเจ้าอิเสะชั้นใน และเป็นแหล่งรวมร้านค้ากับร้านอาหารมากมาย ถนนเส้นนี้มีความยาวรวมประมาณ 1 กิโลเมตร ลักษณะเด่นคือมีอาคารเก่ารูปทรงคลาสสิคเรียงรายตลอดทาง
อันนี้เป็นตัวอย่างสินค้าที่ขายที่นี่ เป็นร้านขายของดองครับ
ขนมที่ทำจากกุ้งมังกรอิเสะ
เนื้อมัตสึซากะจากเมืองมัตสึซากะเองก็เป็นหนึ่งในอาหารชื่อดังของ ‘จังหวัดมิเอะ’ ด้วยครับ ถ้ามาเที่ยวย่านโอฮารามาจิ ห้ามพลาดเลย!
ข้อมูลเกี่ยวกับโอฮาราอิมาจิ (Oharai Machi)
ที่อยู่
- Oharaimachi, Nakanokiri, Uji, Ise City, Mie Prefecture 516-0025
โทร
- 0596-21-5591
วันและเวลาทำการ
- เดือนเมษายนและกันยายน : 9:30 – 18:00 น.
- เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม : 9:30 – 19:00 น.
- เดือนตุลาคม – มีนาคม : 9:30 – 17:00 น.
- หมายเหตุ : เปิดทำการทุกวันตลอดทั้งปี และร้านค้าส่วนใหญ่มักจะเปิดในช่วงเวลาที่ระบุไว้ข้างต้น
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Iseshi นั่งรถบัสลงที่ป้าย Uratamachi ค่ารถ 310 เยน ใช้เวลา 17 นาที แล้วเดินต่อจากป้ายรถบัสอีกประมาณ 5 นาที
แผนที่
เว็บไซต์
4. ศาลเจ้าฟุตามิโอคิทามะ (Futami Okitama Shrine)
ศาลเจ้าฟุตามิโอคิทามะ (Futami Okitama Shrine) เป็นศาลเจ้าในเมืองอิเสะ จังหวัดมิเอะ ซึ่งมีแลนด์มาร์กอันโด่งดังคือ หินคู่แต่งงาน (Meoto Iwa) เป็นหินที่มีลักษณะเคียงคู่กัน โดยหินก้อนใหญ่เปรียบเสมือนเทพอิซานางิซึ่งเป็นเทพฝ่ายชาย และหินก้อนเล็กเปรียบเสมือนเทพอิซานามิหรือเทพฝ่ายหญิง ซึ่งตามตำนานเทพปกรณัมของศาสนาชินโต เทพทั้งสององค์เป็นเทพคู่สามีภริยาผู้ให้กำเนิดประเทศญี่ปุ่น (ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่มีคนมาไหว้ขอพรเรื่องความรักกันเยอะมาก)
จริงๆแล้วหินคู่แบบนี้ในญี่ปุ่นมีอยู่หลายที่เหมือนกัน เช่น อิโตชิมะ จังหวัดฟุกุโอกะ แต่ที่ที่ดังที่สุดน่าจะเป็นศาลเจ้าฟุตามิโอคิทามะ เมืองอิเสะ จังหวัดมิเอะ นี่แหละครับ (ขอแอบบอกว่าที่ดังมากเพราะถ่ายรูปสวย แนะนำว่าให้มาถ่ายตอนพระอาทิตย์ขึ้นนะครับถ้าเป็นไปได้)
อีกจุดสังเกตหนึ่งคือบรรดาพี่กบ แต่เอ…แล้วทำไมต้องเป็นกบหว่า?
ว่ากันว่ากบเป็นสัตว์ประจำตัวของเทพซารุตาฮิโกะ เทพประจำศาลเจ้าแห่งนี้ ซึ่งคำว่ากบ (kaeru 蛙) ในภาษาญี่ปุ่นมีคำพ้องเสียงกับคำว่าการกลับมา (kaeru 帰る) ในภาษาญี่ปุ่น ทำให้เชื่อกันว่าถ้าเราบูชากบ สิ่งที่เรารักนั้นก็จะกลับคืนมา
ดังนั้นส่วนใหญ่คนที่มาขอพรที่นี่ก็คือเขามักจะมาขอให้คนรักรวมถึงแฟนเก่ากลับมา หรือจะใช้กับเรื่องเงินทองก็ได้เช่นกัน คือขอพรให้ความร่ำรวยไหลกลับมาหาตัวเราได้
นอกจากนี้ เรายังสามารถขอพรให้เดินทางราบรื่นปลอดภัยได้ด้วยครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าฟุตามิโอคิทามะ (Futami Okitama Shrine)
ที่อยู่
- Futami Okitama Shrine 575 Futamichoe, Ise City, Mie Prefecture 519-0602
โทร
0596-43-2020
วันและเวลาทำการ
- สามารถเข้าไปสักการะได้ทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Iseshi ขึ้นรถไฟสาย Kintetsu หรือสาย JR ไปลงที่สถานี Futaminoura (ค่ารถไฟ 210 เยน ใช้เวลาประมาณ 10 นาที) แล้วเดินต่อจากสถานีอีกประมาณ 15 นาที หรือนั่งรถบัสจากสถานี Iseshi ไปลงที่ป้าย Meoto Iwa Higashiguchi (ค่ารถ 470 เยน ใช้เวลา 50 นาที) แล้วเดินต่อจากป้ายรถบัสอีกประมาณ 5 นาที (ระหว่างทางจะมีจุดที่น่าสนใจด้วย เช่น ศาลเจ้าอิเสะชั้นนอก ศาลเจ้าอิเสะชั้นใน)
- สำหรับใครที่มีตั๋ว Kintetsu Rail Pass แบบ 5 day สามารถขึ้นรถไฟ Kintetsu หรือรถบัสได้แบบไม่จำกัดเที่ยว
แผนที่
เว็บไซต์
5. ฮินจิทสึคัง (Hinjitsukan)
ฮินจิทสึคัง (Hinjitsukan) เป็นอาคารที่สร้างขึ้นในปี 1887 เพื่อใช้เป็นสถานที่รองรับราชวงศ์และบุคคลสำคัญต่างๆที่เดินทางมาแสวงบุญที่เมืองอิเสะ ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงถึงสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ของพื้นที่โดยรอบในช่วงยุคเมจิ
ลักษณะของห้องข้างใน ส่วนมากเป็นการตกแต่งห้องแบบญี่ปุ่น
แต่จะมีห้องโถงกลางชั้น 2 ที่ตกแต่งแบบโมโมยามะ ซึ่งก็คือมีการปิดทอง และยังมีโคมไฟแบบตะวันตกด้วย
ส่วนชั้น 1 จะมีโซนแสดงเอกสารต่างๆที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองฟุตามิ รวมถึงงานศิลปะของนากามูระ ซาชู ศิลปินท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
ข้อมูลเกี่ยวกับฮินจิทสึคัง (Hinjitsukan)
ที่อยู่
- Hinjitsukan, 566-2 Futamicho Chaya, Ise City, Mie Prefecture 519-0609
โทร
- 0596-43-2003
วันและเวลาทำการ
- เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
- ค่าเข้าชม 300 เยน (มีส่วนลดสำหรับท่านที่มี Kintetsu Rail Pass)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Iseshi ขึ้นรถไฟสาย Kintetsu หรือสาย JR ไปลงที่สถานี Futaminoura (ค่ารถไฟ 210 เยน ใช้เวลาประมาณ 10 นาที) แล้วเดินต่อจากสถานีอีกประมาณ 15 นาที หรือนั่งรถบัสจากสถานี Iseshi ไปลงที่ป้าย Meoto Iwa Higashiguchi (ค่ารถ 470 เยน ใช้เวลา 50 นาที) แล้วเดินต่อจากป้ายรถบัสอีกประมาณ 5 นาที (ระหว่างทางจะมีจุดที่น่าสนใจด้วย เช่น ศาลเจ้าอิเสะชั้นนอก ศาลเจ้าอิเสะชั้นใน)
- สำหรับใครที่มีตั๋ว Kintetsu Rail Pass แบบ 5 day สามารถขึ้นรถไฟ Kintetsu หรือรถบัสได้แบบไม่จำกัดเที่ยว
แผนที่
เว็บไซต์
6. นินจาคิงดอมอิเสะ (Ninja Kingdom Ise)
นินจาคิงดอมอิเสะ (Ninja Kingdom Ise) เป็นสวนสนุกสไตล์ย้อนยุคในธีมญี่ปุ่นโบราณ จุดเด่นของที่นี่คือปราสาทจำลองขนาดใหญ่เบิ้ม
ในเมื่อชื่อสถานที่มีคำว่านินจา แน่นอนว่าโชว์นินจาและบริการให้เช่าชุดนินจาก็ต้องพบเจอได้ที่นี่
นอกจากนี้ ที่นินจาคิงดอมก็ยังมีเครื่องเล่นสลิงโลดโผนต่างๆให้ได้ลองกันด้วย
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนินจาคิงดอมอิเสะ >>> ตามรอยนินจาที่ “NINJA KINGDOM ISE” ดินแดนที่เต็มไปด้วยค่ายกล เข้ามาแล้วหาทางออกให้ได้ล่ะ!
ข้อมูลเกี่ยวกับนินจาคิงดอมอิเสะ (Ninja Kingdom Ise)
ที่อยู่
- Ninja Kingdom Ise, 1201-1 Futamicho Mitsu, Ise, Mie 519-0603
โทร
- 0596-43-2300
วันและเวลาทำการ
- เปิดทำการทุกวัน ในช่วงเวลา 9:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
- ผู้ใหญ่ : 4,900 เยน
- เด็กมัธยม : 3,500 เยน
- เด็กประถม : 3,000 เยน
- หมายเหตุ : ราคาที่แสดงคือตั๋วเข้าชมแบบรวมเครื่องเล่นทุกอย่าง
- * มีส่วนลดสำหรับผู้ที่มีตั๋ว Kintetsu Rail Pass
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Iseshi ให้ขึ้นรถไฟสาย Kintetsu หรือสาย JR ไปลงที่สถานี Futaminoura (ค่ารถไฟ 210 เยน ใช้เวลาประมาณ 10 นาที) แล้วเดินต่อจากสถานีอีกประมาณ 15 นาที หรือนั่งรถบัส CAN BUS จากสถานี Iseshi ไปลงที่ป้าย Ise Ninja Kingdom (ค่ารถ 470 เยน ใช้เวลา 40 นาที) แล้วเดินต่อจากป้ายรถบัสอีกประมาณ 2 นาที
- นอกจากนี้ก็ยังมีรถบัสฟรีจากสถานี Iseshi (ใช้เวลาเดินทาง 40) สามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่ >> ise-jokamachi.jp
แผนที่
เว็บไซต์
7. พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโทบะ (Toba Aquarium)
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโทบะ (Toba Aquarium) เป็นอควาเรียมที่มีจำนวนชนิดของสัตว์มากที่สุด คือมี 1,200 ชนิดเลยทีเดียวครับ! เยอะกว่าไคยูคังของโอซาก้าหรืออูมิโนนากะมิจิของฟุกุโอกะซะอีก
นอกจากปลาแล้ว อควาเรียมแห่งนี้ก็ยังมีแมวน้ำกับสิงโตทะเลด้วยนะ
เพนกวินกับนากทะเลก็มี
กุ้งมังกรอิเสะ อันนี้เราจะไปเจอกันอีกทีที่ร้านอาหาร เห็นแล้วหิวครับ!!!
พะยูนมานาที อันนี้หายาก
แต่ไฮไลต์ที่สุดเห็นจะเป็นพะยูน (Dugong) ครับ ในญี่ปุ่นมีที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโทบะที่เดียวที่มีพะยูนให้ดู ใครเป็นแฟนคลับน้องพะยูนแนะนำว่าให้มาดูครับ
นอกจากนี้ยังมีการแสดงโชว์ของเหล่าสัตว์ต่างๆ เช่น การเดินพาเหรดของเพนกวิน
รวมถึงโชว์แมวน้ำกระโดดลอดห่วง
หากใครสนใจอควาเรียมแห่งนี้ สามารถอ่านเพิ่มเติมที่บทความนี้ได้ด้วยนะครับ >> ท่องโลกใต้ทะเลที่ ‘พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโทบะ’
ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโทบะ (Toba Aquarium)
ที่อยู่
- Toba Aquarium, Toba 3-3-6, Toba City, Mie-Prefecture 517-8517, Japan
โทร
- 0599-25-2555
วันและเวลาทำการ
- เดือนกันยายนถึงวันที่ 19 กรกฎาคม : เปิดทำการทุกวัน ในเวลา 9:00 – 17:00 น.
- วันที่ 20 กรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม : เปิดทำการทุกวัน ในเวลา 8:30 – 17:30 น.
ค่าเข้าชม
- ผู้ใหญ่ : 2,500 เยน
- เด็กอายุ 7 – 15 ปี : 1,300 เยน
- เด็กอายุ 3 – 6 ปี : 600 เยน
- หมายเหตุ : มีส่วนลดสำหรับผู้ที่มีตั๋ว Kintetsu Rail Pass แต่ต้องไปซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์ ห้ามซื้อที่เครื่องจำหน่ายตั๋วนะครับ
การเดินทาง
- จากสถานี Iseshi ให้ขึ้นรถไฟสาย Kintetsu หรือสาย JR ไปลงที่สถานี Toba ค่ารถไฟสำหรับสาย Kintetsu 330 เยน ส่วนสาย JR 240 เยน ใช้เวลาประมาณ 15 นาที แล้วเดินต่อจากสถานีอีกประมาณ 10 นาที
- หรือนั่งรถบัสจากป้าย Meoto Iwa Higashiguchi ไปลงที่ป้าย Toba Suisokukan Mikimotoshinjushima แล้วเดินต่ออีก 2นาทีค่ารถ 460 เยน ใช้เวลา 20 นาที แล้วเดินต่อจากป้ายรถบัสอีกประมาณ 2 นาที (เหมาะกับกรณีที่เพิ่งไปเที่ยวศาลเจ้าฟุตามิโอคิทามะ)
- สำหรับใครที่มีตั๋ว Kintetsu Rail Pass แบบ 5 day สามารถขึ้นรถไฟ Kintetsu หรือรถบัสได้แบบไม่จำกัดเที่ยว
แผนที่
เว็บไซต์
8. เกาะไข่มุกมิกิโมโตะ (Mikimoto Island)
เกาะไข่มุกมิกิโมโตะ (Mikimoto Island) ตั้งอยู่ในอ่าวโทบะ จังหวัดมิเอะ เป็นเกาะที่ประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงไข่มุกเแห่งแรกในโลก ที่นี่มีจุดท่องเที่ยวคือพิพิธภัณฑ์ไข่มุกที่จะช่วยให้ความรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับไข่มุก รวมถึงร้านขายสินค้าต่างๆจากหอยมุกด้วย
รูปหล่อสำริดของราชาแห่งไข่มุก โคคิจิ มิกิโมโตะ ผู้ก่อตั้งที่นี่ครับ
นอกจากนี้ เรายังจะได้ชมโชว์การดำน้ำจาก อามะจัง หรือผู้หญิงที่ทำอาชีพนักดำน้ำงมหอยมุกและกุ้งหอยปูปลาอื่นๆอีกด้วย อาชีพนี้มีมานานถึงประมาณ 2,000 ปีเชียวล่ะครับ
และในโชว์นี้พวกเธอก็ใส่ชุดลงทะเลสีขาวแบบดั้งเดิมที่คนทำอาชีพนี้ใส่กันมาตลอดด้วย
เป็นโชว์ที่เจ๋งสุดๆและไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับเกาะไข่มุกมิกิโมโตะ (Mikimoto Island)
ที่อยู่
- Mikimoto Pearl Museum, 1 Chome-7-1 Toba, Mie 517-8511
โทร
- 0599-25-2028
วันและเวลาทำการ
- เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8:30 – 17:00 น.
- หยุดวันอังคารที่สองของเดือนธันวาคมและวันถัดจากนั้นอีกสองวัน
ค่าเข้าชม
- ผู้ใหญ่ : 1,650 เยน
- เด็กอายุ 7 – 15 ปี : 820 เยน
- หมายเหตุ : มีส่วนลดสำหรับผู้ที่มีตั๋ว Kintetsu Rail Pass
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Iseshi ขึ้นรถไฟสาย Kintetsu หรือสาย JR ไปลงที่สถานี Toba (ค่ารถไฟสำหรับสาย Kintetsu 330 เยน ส่วนสาย JR 240 เยน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที) แล้วเดินต่อจากสถานีไปอีกประมาณ 10 นาที
- นั่งรถบัสจากป้าย Meoto Iwa Higashiguchi ไปลงที่ป้าย Toba Suisokukan Mikimotoshinjushima แล้วเดินต่ออีก 2นาที (ค่ารถ 460 เยน ใช้เวลา 20 นาที) แล้วเดินต่อจากป้ายรถบัสไปอีกประมาณ 2 นาที (เหมาะกับผู้ที่เดินทางมาจากศาลเจ้าฟุตามิโอคิทามะ)
แผนที่
เว็บไซต์
9. สวนสนุกชิมะสเปนวิลเลจ (Shima Spain Village)
โอล่า อามีโก้! เอ๋? เรามาผิดประเทศหรือเปล่านะ? หลายๆคนอาจจะสงสัยอย่างนี้ แต่ทุกคนมาไม่ผิดหรอกครับ เพราะที่นี่คือ สวนสนุกชิมะสเปนวิลเลจ (Shima Spain Village) สวนสนุกที่ตกแต่งเป็นธีมสเปนซะจนเรานึกว่าวาร์ปจากญี่ปุ่นไปสเปนได้เลยล่ะครับ การแสดงต่างๆภายในสวนสนุกก็อิงจากสเปนแบบเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยวเลยทีเดียว
นอกจากนี้ สวนสนุกชิมะสเปนวิลเลจก็ยังเครื่องเล่นต่างๆมากมายให้สายผจญภัยได้ไปสนุกกัน เช่น รถไฟเหาะวัวกระทิง Steam Roller Coaster IRON BULL, กระเช้าลอยฟ้า CIRCUS ADVENTURE (In PIERROT THE CIRCUS), เก้าอี้พรมวิเศษ ANIMAL JUMPING (In PIERROT THE CIRCUS) เป็นต้น
นอกจากนี้ในบางช่วงฤดูกาล ที่นี่ยังมีการประดับไฟในยามค่ำคืนที่สวยงามมากๆด้วย
ใครกำลังเที่ยวจังหวัดมิเอะหรือวางแผนไว้ว่าจะไป แล้วอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวสวนสนุกซึ่งมีความเป็นสเปนอยู่เต็มเปี่ยมล่ะก็ ลองมาเที่ยวสวนสนุกชิมะสเปนวิลเลจกันดูนะครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับสวนสนุกชิมะสเปนวิลเลจ (Shima Spain Village)
ที่อยู่
- Shima Spain Village, 952-4 Sakazaki, Isobe-cho, Shima-shi, Mie 517-0292
โทร
- 0599-57-3333
วันและเวลาทำการ
- เปิดทำการทุกวัน ในช่วงเวลา 9:30 – 17:00 น.
- มีบางช่วงฤดูกาลที่เปิดถึง 20:00 น. (เปิดไฟกลางคืนและมีโชว์พาเหรดกลางคืน) โปรดตรวจสอบเวลาทำการและรายละเอียดอื่นๆจากเว็บไซต์นี้ >> Click Here!
ค่าเข้าชม (ตั๋วเข้าชมแบบรวมเครื่องเล่นทุกอย่าง)
- ผู้ใหญ่ : 5,400 เยน
- เด็กอายุ 12 – 17 ปี : 4,400 เยน
- เด็กอายุ 3 – 11 ปี : 3,600 เยน
- ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป : 3,600 เยน
- อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากที่นี่ >> Click Here!
- หมายเหตุ : มีส่วนลดสำหรับผู้ที่มีตั๋ว Kintetsu Rail Pass
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Iseshi ขึ้นรถไฟสาย Kintetsu ไปลงที่สถานี Ugata (ค่าโดยสาร 630เยน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 52 นาที) จากนั้นให้นั่งรถบัสสาย 59 ไปลงป้าย Ise Spain Mura
แผนที่
เว็บไซต์
10. อ่าวอาโกะ (Ago Bay)
อ่าวอาโกะ (Ago Bay) จังหวัดมิเอะ เป็นอ่าวที่มีเกาะแก่งและแหลมต่างๆอยู่นับ 60 แห่ง ว่ากันว่าชายฝั่งทะเลของอ่าวแห่งนี้เป็นชายฝั่งทะเลที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น อ่าวอาโกะนั้นนอกจากจะวิวสวยแล้ว ก็ยังเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงหอยมุกที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
หนึ่งในวิธีการชมความงามของอ่าวอาโกะก็คือการล่องเรือครับ โดยเราสามารถขึ้นเรือได้จากท่าเรือใกล้ๆกับสถานี Kashikojima
อีกหนึ่งวิธีการชมวิวอ่าวที่เป็นที่นิยมคือการขึ้นไปที่ จุดชมวิวโยโกยามะ (Yokoyama Observation Deck) ซึ่งจะให้ภาพวิวพาโนราม่าที่สวยงามของเกาะต่างๆในอ่าว (สำหรับสายเล่นกล้อง ผมแนะนำให้มาที่นี่เลยครับ ภาพตอนพระอาทิตย์ตกดินสวยมากกกกก)
- อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับจุดชมวิวโยโกยามะได้ที่นี่ >> จุดชมวิวโยโกยามะ สถานที่ห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวจังหวัดมิเอะ
ข้อมูลเกี่ยวกับอ่าวอาโกะ (Ago Bay)
ที่อยู่
- Kashikojima Espana Cruise : 752-11 Agocho Shinmei, Shima, Mie 517-0502
- Yokoyama Observatory Deck : 875-20 Agocho Ugata, Shima, Mie 517-0501
โทร
- Kashikojima Espana Cruise : 0599-43-1023
- Yokoyama Observatory Deck : 0599-44-0567
วันและเวลาทำการ
- Kashikojima Espana Cruise : เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9:30 – 16:30 น. (เฉพาะช่วงพฤศจิกายน – 20 มีนาคม จะเปิดถึง 15:30 น.)
- Yokoyama Observatory Deck : เปิดทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง
ค่าเข้าชม (ค่าเรือ)
- ผู้ใหญ่ : 1,600 เยน
- เด็กประถม : 800 เยน
- หมายเหตุ : มีส่วนลดสำหรับท่านที่มี Kintetsu Rail Pass
วิธีเดินทาง
- Kashikojima Espana Cruise : จากสถานี Iseshi ให้ขึ้นรถไฟสาย Kintetsu ไปลงที่สถานี Shima-Yokoyama (ค่าโดยสาร 700 เยน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 56 นาที) แล้วเดินอีก 2 นาที
- Yokoyama Observatory Deck : จากสถานี Iseshi ให้ขึ้นรถไฟสาย Kintetsu ไปลงที่สถานี Shima-Yokoyama (ค่าโดยสาร 630เยน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที) จากนั้นให้นั่งรถแท็กซี่ไปอีก 7 นาที
แผนที่ของท่าเรือ Kashikojima Espana Cruise
แผนที่ของจุดชมวิว Yokoyama Observatory Deck
เว็บไซต์
- Kashikojima Espana Cruise : https://shima-marineleisure.com/
- Yokoyama Observatory Deck : https://www.kankomie.or.jp/en/spot/detail_2307.html
โซนคุมาโนะ (Kumano) : เมืองคุมาโนะ จุดเชื่อมต่อไปยังโซนมรดกโลก Kumano Kodo
1. โอนิกะโจ (Onigajo)
โอนิกะโจ (Onigajo) เป็นกำแพงหินที่เกิดจากการกัดเซาะของคลื่มลมที่สวยงามแปลกตา จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสถานที่ที่มีทัศนียภาพงดงามและเป็นสมบัติทางธรรมชาติของญี่ปุ่น
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ควรค่าแก่การไปของ ‘จังหวัดมิเอะ’ จริงๆครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับโอนิกะโจ (Onigajo)
ที่อยู่
- Onigajo 1835 Kinomotocho, Kumano, Mie 519-4323
โทร
- 059-789-1502
วันและเวลาทำการ
- เปิดทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Kumanoshi ให้นั่งรถบัสไปที่โอนิกะโจ (ใช้เวลา 5 นาที ค่าโดยสาร 180 เยน) แล้วเดินอีก 10 นาที
แผนที่
เว็บไซต์
2. ชิชิอิวะ (Shishi Iwa / Lion Rock)
ชิชิอิวะ (Shishi Iwa / Lion Rock) เป็นผาหินที่เกิดจากการกัดเซาะของลมจนมีลักษณะเหมือนสิงโต ผาหินตรงนี้จึงได้รับฉายาว่า หินราชสีห์
ผาหินนี้ทั้งสวยงามและทรงพลัง ผู้คนที่นี่จึงชอบแวะมาถ่ายรูปเล่น ใครผ่านมาแถวนี้ก็สามารถมาเดินเล่นริมทะเลและถ่ายรูปหินชิชิวะได้นะครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับชิชิอิวะ (Shishi Iwa / Lion Rock)
ที่อยู่
- Kumano, Mie 519-4324
วันและเวลาทำการ
- เปิดทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Kumanoshi สามารถเดินไปที่ชิชิอิวะได้ โดยใช้เวลาประมาณ 9 นาที
เว็บไซต์
3. ศาลเจ้าฮานาโนะอิวายะ (Hana no Iwaya Shrine)
ศาลเจ้าฮานาโนะอิวายะ (Hana no Iwaya Shrine) จังหวัดมิเอะ เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับ Izanami เทพธิดาผู้สร้างเกาะญี่ปุ่น ที่นี่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นและเป็นจุดที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ศาลเจ้าฮานาโนะอิวายะก็ยังเป็นจุดสำคัญในเส้นทางแสวงบุญ Kumano Kodo อีกด้วย
ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าฮานาโนะอิวายะ (Hana no Iwaya Shrine)
ที่อยู่
- 519-4325 Mie, Kumano, Arimacho
โทร
- 059-789-0100
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าสักการะทุกวัน ในช่วงเวลา 9:00 – 16:00 น.
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Kumanoshi ให้นั่งรถบัสไปที่ศาลเจ้า โดยใช้เวลา 5 นาที ค่าโดยสาร 200 เยน
แผนที่
เว็บไซต์
4. นาข้าวมารุยามะเซ็นไมดะ (Maruyama Senmaida)
นาข้าวขั้นบันไดเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในชนบทแถบภูเขาของญี่ปุ่นซึ่งทำการเกษตรกันมายาวนานนับพันปี โดยนาข้าวที่นี่จะสร้างเป็นลักษณะขั้น คล้ายบันไดลาดไปตามเนินเขาหรือหุบเขา และมักเรียกว่า Senmaida ที่แปลว่าทุ่งนาหนึ่งพันทุ่ง เพราะนาแบบนี้จะประกอบด้วยทุ่งเล็กทุ่งน้อยเป็นจำนวนมาก ชาวญี่ปุ่นทำนาข้าวขั้นบันไดโดยคำนึงถึงแสงแดดและทางน้ำ เพื่อปลูกข้าวในพื้นที่เล็กๆให้ได้มากที่สุด
สำหรับ นาข้าวมารุยามะเซ็นไมดะ (Maruyama Senmaida) ใน ‘จังหวัดมิเอะ’ นั้น ว่ากันว่าเป็นวิวนาขั้นบันไดที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ใครเป็นสายถ่ายภาพ landscape ล่ะก็ บอกเลยว่าไม่ควรพลาด!
ข้อมูลเกี่ยวกับนาข้าวมารุยามะเซ็นไมดะ (Maruyama Senmaida)
ที่อยู่
- Maruyama Senmaida, 78, Kiwacho, Itaya, Kumano 519-5405 Mie Prefecture
โทร
- 059-797-1113
วันและเวลาทำการ
- เปิดทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Kumanoshi ให้นั่งรถบัสไปที่นาข้าว (ใช้เวลา 35 นาที) แล้วเดินอีก 30 นาที (หรือหาแท็กซี่จากสถานีเลยก็ได้)
เว็บไซต์
โซนยกไกชิ (Yokkaichi) และพื้นที่โดยรอบ
1. ศาลเจ้าสึบากิ (Tsubaki Shrine)
ศาลเจ้าสึบากิ (Tsubaki Shrine) เป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของญี่ปุ่น ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อสักการะซารุตาฮิโกะ เทพเจ้าแห่งการนำพาไปสู่ความสำเร็จ ศาลเจ้าแห่งนี้จึงเป็นที่นิยมสำหรับนักธุรกิจ (เป็นศาลเจ้าโปรดของอดีตประธานบริษัท Panasonic ด้วยนะ)
ส่วนตรงนี้คือ ศาลย่อย ซึ่งเป็นที่สถิตของเทพอาเมะอุซุเมะ เทพีแห่งการเต้นและความบันเทิง
เทพองค์นี้เป็นที่เคารพนับถืออย่างมากของดาราศิลปินญี่ปุ่น พวกเขามักจะมาสักการะขอพรเวลาจะเดบิวต์แจ้งเกิดหรือขอให้มีงานเข้ามาเยอะๆ (ป้ายในรูปด้านล่างนี้คือศิลปินที่มาลงชื่อขอบคุณ)
นอกจากนี้ เนื่องจากตามตำนานเทพทั้งสองแต่งงานกัน ที่นี่จึงมีชื่อเรื่องความรักด้วย
นอกจากจะขลังแล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดถ่ายรูปที่สวยงามในช่วงฤดูใบไม้ร่วงด้วยนะ
ในฤดูใบไม้ผลิ ซากุระบริเวณลานจอดรถข้างทางเดินไปอาคารหลักจะบานสะพรั่ง เป็นภาพที่สวยงามมากเลยล่ะครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าสึบากิ (Tsubaki Shrine)
ที่อยู่
- Tsubaki Grand Shrine, 1871 Yamamotocho, Suzuka, Mie 519-0315
โทร
- 059-371-1515
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าทุกวัน ในเวลา 5:00 – 18:00 น.
- ช่วงเทศกาลคริสต์มาสอีฟ ศาลเจ้าจะเปิดให้เข้าชมตอนค่ำด้วย
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Kintetsu Yokkaichi ให้นั่งรถบัสไปยังศาลเจ้า (ใช้เวลา 50 นาที ค่าโดยสาร 810 เยน) แล้วเดินอีก 3 นาที
แผนที่
เว็บไซต์
2. กระเช้าลอยฟ้าโกไซโชโรปเวย์ (Gozaisho Ropeway)
กระเช้าลอยฟ้าโกไซโชโรปเวย์ (Gozaisho Ropeway) มีระยะทางจากปลายทางถึงยอดเขา Gozaisho ประมาณ 2 กิโลเมตร เรียกได้ว่าเป็นกระเช้าลอยฟ้าที่มีความยาวมากที่สุดของญี่ปุ่น ช่วงที่สวยที่สุดคือช่วงฤดูใบไม้ร่วง
นอกจากนี้ในช่วงฤดูหนาววิวก็สวยนะ แถมยังมีสกีกับสไลเดอร์ให้เล่นด้วย ถ้าใครมาเที่ยว ‘จังหวัดมิเอะ’ ช่วงหน้าหนาวแล้วอยากลองเล่นก็มาที่นี่ได้เลย
ข้อมูลเกี่ยวกับกระเช้าลอยฟ้าโกไซโชโรปเวย์ (Gozaisho Ropeway)
ที่อยู่
- Gozaisho Ropeway Yunoyama Onsen, Komono-cho, Mie-gun 510-1233
โทร
- 059-392-2261
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
- ค่ากระเช้าไป-กลับ
- ผู้ใหญ่ : 2,450 เยน
- เด็กประถม : 1,220 เยน
- ผู้พิการ (ผู้ใหญ่) : 1,300 เยน
- ผู้พิการ (เด็ก) : 650 เยน
- ค่าลิฟต์ไป-กลับ : 650เยน
- หมายเหตุ : มีส่วนลดสำหรับผู้ที่มีตั๋ว Kintetsu Rail Pass
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Kintetsu Yokkaichi ให้นั่งรถไฟสาย Kintetsu ไปลงที่สถานี Yunoyama Onsen (ใช้เวลา 30 นาที) แล้วต่อด้วยรถบัส Mie Kotsu bus ไปลงที่ป้ายสถานี Sanko Yunoyama Onsen (ใช้เวลา 10 นาที) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
แผนที่
เว็บไซต์
3. ออนเซ็นยูโนะยามะ (Yunoyama Onsen)
ออนเซ็นยูโนะยามะ (Yunoyama Onsen) เป็นออนเซ็นเก่าแก่อายุกว่า 1,300 ปี ตามตำนานว่ากันว่าที่นี่ถูกค้นพบโดยนายพรานที่กำลังตามล่ากวาง จนมาพบว่ากวางลงแช่น้ำร้อนเพื่อรักษาแผล เขาจึงรู้ว่าน้ำร้อนที่นี่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้ นอกจากนี้ยังว่ากันว่าที่นี่เป็นออนเซ็นที่นำมาซึ่งเนื้อคู่ด้วย
ใกล้กับออนเซ็นยูโนะยามะมีรีสอร์ตแห่งหนึ่งชื่อ Aqua Ignis
รีสอร์ตแห่งนี้มีกิจกรรมที่น่าสนใจคือการเก็บสตรอว์เบอร์รี ใครสนใจอยากจะไปทานสตรอว์เบอร์รีสดๆ สามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่เลย >> https://aquaignis.jp/en/
ข้อมูลเกี่ยวกับออนเซ็นยูโนะยามะ (Yunoyama Onsen)
ที่อยู่
- Yunoyama Onsen, Yunoyama Onsen, Komono-cho, Mie-gun 510-1233
โทร
- 059-392-2261
- หรือติดต่อ Yunoyama Onsen Association : 059-392-2115
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าทุกวัน ปิดเฉพาะวันพุธ
- เวลาทำการ : 10:00 – 16:00 น.
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม (แต่ละที่มีค่าเข้าใช้บริการออนเซ็นและค่าเข้าพักที่ต่างกัน สามารถดูรายละเอียดได้จากที่นี่ >> https://www.yunoyama-onsen.com/english/)
- ที่ Aqua Ignis มีส่วนลดสำหรับผู้ที่มีตั๋ว Kintetsu Rail Pass
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Kintetsu Yokkaichi นั่งรถไฟสาย Kintetsu ไปลงที่สถานี Yunoyama Onsen (ใช้เวลา 30 นาที) แล้วต่อด้วยรถบัส Mie Kotsu Bus ไปลงที่ป้ายสถานี Sanko Yunoyama Onsen (ใช้เวลา 10 นาที)
- สำหรับ Aqua Ignis ให้ลงป้าย Aqua Ignis (ใช้เวลาเดินทางจากสถานีรถไฟ 3 นาที)
แผนที่
เว็บไซต์
- Yunoyama Onsen : https://www.yunoyama-onsen.com/english/
- รีสอร์ต Aqua Ignis : https://aquaignis.jp/en/
4. สวนป่าซุซุกะ (Suzuka Forest Garden)
สวนป่าซุซุกะ (Suzuka Forest Garden) เป็นสวนป่าที่มีต้นบ๊วยประมาณ 200 ต้น นับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ชมดอกบ๊วยที่ใหญ่และสวยที่สุดในญี่ปุ่น
กลางวันว่าสวยแล้ว กลางคืนก็ไม่ยอมน้อยหน้า ในช่วงที่ดอกบ๊วยบาน ที่นี่จะมีการจัดไฟประดับได้สวยงามตระการตามากครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับสวนป่าซุซุกะ (Suzuka Forest Garden)
ที่อยู่
- Suzuka Forest Garden, 151-2 Yamamotocho, Suzuka, Mie 519-0315
โทร
- 059-371-1777
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าเฉพาะวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ถึง 31 มีนาคมของทุกปี ตั้งแต่เวลา 9:00 – 21:00 น.
ค่าเข้าชม
- ผู้ใหญ่ : 300 เยน
- เด็ก : 150 เยน
- หมายเหตุ : มีส่วนลดสำหรับผู้ที่มี Kintetsu Rail Pass
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Kintetsu Yokkaichi ให้นั่งรถไฟสาย Kintetsu ไปลงที่สถานี Komono (ใช้เวลา 30 นาที) แล้วต่อรถแท็กซี่ (ใช้เวลา 17 นาที)
- หรือใช้บริการรถบัสที่วิ่งช่วงเทศกาล จากสถานี Kintetsu Yokkaichi สามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่ >> https://www.sanco.co.jp/
แผนที่
เว็บไซต์
5. สนามแข่งรถซุซุกะเซอร์กิต (Suzuka Circuit)
สนามแข่งรถซุซุกะเซอร์กิต (Suzuka Circuit) เป็นสนามแข่งรถฟอร์มูล่าวันและรถประเภทอื่นๆที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น สนามแข่งรถแห่งนี้โด่งดังไปทั่วโลกเพราะเป็นสถานที่จัดการแข่งขัน F1 เจแปนนิสกรังปรีซ์ , Suzuka 8 Hours และการแข่งขัน FIFA F1 World Championship 2018 ครั้งที่ 17
ถ้ามาดูการแข่งรถแล้วยังไม่หนำใจอีกล่ะก็ ข่าวดีคือคุณสามารถลองขับรถแข่งที่สนามแห่งนี้ได้! เพราะที่นี่มีโซนสวนสนุกในธีมแข่งรถแบบเต็มรูปแบบ!
แม้จะไม่ใช่รถ F1 แต่ก็รับรองได้ว่าคนรักความเร็วทุกคนจะต้องสนุกถึงใจแน่นอน และยังเหมาะกับคนที่มาเที่ยวกันเป็นครอบครัวด้วยนะ
ข้อมูลเกี่ยวกับสนามแข่งรถซุซุกะเซอร์กิต (Suzuka Circuit)
ที่อยู่
- Suzuka Circuit Motopia, 7992 Inoucho, Suzuka, Mie 510-0201
โทร
- 059-378-1111
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม (ตั๋วเข้าและเล่นเครื่องเล่น)
- ผู้ใหญ่ : 4,300 เยน
- เด็กประถม : 3,300 เยน
- เด็กเล็ก : 2,100 เยน
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Kintetsu Yokkaichi นั่งรถไฟสาย Kintetsu ไปลงที่สถานี shiroko (ใช้เวลา 15 นาที ค่าโดยสาร 360 เยน) แล้วต่อรถบัสไปยังสนามแข่งรถ (ใช้เวลา 20 นาที ค่าโดยสาร 350 เยน)
แผนที่
เว็บไซต์
6. ย่านอุตสาหกรรมยกไกชิ (Yokkaichi Industrial Complex)
ยกไกชิ (Yokkaichi) เป็นเมืองที่มีโรงงานอุตสาหกรรมและโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่มากมาย ซึ่งเรียกรวมๆว่า ย่านอุตสาหกรรมยกไกชิ (Yokkaichi Industrial Complex) ในตอนกลางวันที่นี่จะดูเหมือนเป็นโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป แต่เมื่อถึงเวลากลางคืนจะให้ความรู้สึกที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เพราะโรงงานและโรงกลั่นน้ำมันต่างๆเหล่านี้เป็นจุดชมวิวยามค่ำคืนที่สวยงาม เสมือนเมืองแห่งหนึ่งที่ประดับไฟสวยๆเอาไว้
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ที่ญี่ปุ่นเกิดกระแสความนิยมต่อการชมวิวโรงงานในยามค่ำคืนชนิดที่เรียกได้ว่าพลุแตก ด้วยเหตุนี้คนญี่ปุ่นจึงนิยมมาถ่ายภาพกันที่เมืองยกไกชิ
จุดที่สวยที่สุดเห็นจะเป็นวิวจาก Umiterasu 14 จุดชมวิวที่มีความสูง 100 เมตร บนชั้น 14 ของตึก Yokkaichi Port Building
ข้อมูลเกี่ยวกับย่านอุตสาหกรรมยกไกชิ (Yokkaichi Industrial Complex)
ที่อยู่
- Yokkaichi Port Building, 2-1-1 Kasumi, Yokkaichi-shi, Mie
โทร
- 059-366-7000
วันและเวลาทำการ
- วันธรรมดา : เวลา 10:00 – 17:00 น.
- วันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ : เวลา 10:00 – 21:00 น.
- วันปิดทำการ : ทุกวันพุธ และช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ (29 ธันวาคมถึง 3 มกราคม)
ค่าเข้าชม
- ผู้ใหญ่ : 300 เยน
- นักเรียนชั้นมัธยมต้นลงไป : เข้าชมฟรี
วิธีเดินทาง
- จากสถานี JR Yokkaichi นั่งรถไฟสาย JR ไปลงที่สถานี Tomidahama (ใช้เวลา 5 นาที ค่าโดยสาร 190 เยน) แล้วเดินต่ออีก 15 นาที
แผนที่
เว็บไซต์
7. บาร์กันดั้ม (Char Aznable Gundam Bar)
“สีแดงแรงสามเท่า” สำนวนนี้เราเชื่อว่าถ้าใครเป็นโอคาตุกันดั้มล่ะก็ ยังไงก็ต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอน และคงไม่มีใครไม่รู้จักตัวร้ายในตำนานใต้หน้ากาก และหุ่นซาคุสีแดง Char Aznable
และที่เมืองยกไกชิก็มีบาร์แห่งหนึ่งที่เหมาะกับโอตาคุกันดั้มมากๆ โดยเฉพาะติ่งท่านชาร์ นั่นก็คือบาร์ที่มีชื่อว่า Char Aznable Gundam Bar บาร์แห่งนี้มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ติ่งชาร์ต้องการเลยล่ะครับ ตั้งแต่การแต่งร้าน ของตั้งโชว์ และอื่นๆอีกมากมาย
พนักงานก็แต่งชุดเครื่องแบบ Zeon ด้วย
และแน่นอนว่าเบียร์เองก็ต้องสีแดงแรงสามเท่า! Sieg Zeon!
ข้อมูลเกี่ยวกับบาร์กันดั้ม (Char Aznable Gundam Bar)
ที่อยู่
- Char Aznable Gundam Bar, 5-4 Suwasakaemachi, Yokkaichi, Mie 510-0086
โทร
- 059-356-0345
วันและเวลาทำการ
- วันอาทิตย์ – พฤหัสบดี : เวลา 19:00 – 01:00 น.
- วันศุกร์และเสาร์ เวลา : เวลา 19:00 – 03:00 น.
ค่าเข้าชม
- มีชาร์จค่าเข้า 1,000 เยน
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Kintetsu Yokkaichi สามารถเดินไปที่บาร์ได้โดยใช้เวลา 5 นาที
แผนที่
เว็บไซต์
โซนอิงะ (Iga) : ต้นกำเนิดตำนานนินจา Hattori Hanzo
1. พิพิธภัณฑ์นินจาอิงะ (Iga Ninja Museum)
ในอดีตเมืองอิงะเป็นต้นกำเนิดของวิชานินจาสายอิงะ ซึ่งเป็นสำนักนินจาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของญี่ปุ่น (ควบคู่กับอีกสำนักหนึ่งคือโคงะของจังหวัดชิกะ) แม้นินจาจะไม่มีบทบาทแล้วในปัจจุบัน (ถ้าไม่นับในการ์ตูนและหนังต่างๆ) แต่หมู่บ้านแห่งนี้ก็ยังคงรักษามรดกของเหล่านินจาเอาไว้ในรูปของพิพิธภัณฑ์ที่ให้ความรู้ต่างๆเกี่ยวกับนินจา นั่นคือ พิพิธภัณฑ์นินจาอิงะ (Iga Ninja Museum)
ส่วนหนึ่งของพิพิพิธภัณฑ์นั้นเป็นบ้านนินจาเก่า จึงมีการจัดแสดงกลไกต่างๆของบ้านด้วย เช่น ที่ซ่อนดาบ ฯลฯ
และที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับนินจาก็คือชูริเคน แน่นอนว่าเราสามารถลองปาชูริเคนได้
และสิ่งที่ถ้าไม่มีก็คงกร่อยแปลกๆสำหรับการมาที่นี่ก็คือ การแสดงของนินจาที่เน้นเรื่องอาวุธต่างๆอย่างครบครัน
ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์นินจาอิงะ (Iga Ninja Museum)
ที่อยู่
- Iga Ninja Museum, 117-13-1 Ueno Marunouchi, Iga-shi, Mie-ken
โทร
- 0595-23-0311
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น. (ประตูปิดตั้งแต่เวลา 16:30 น.)
- ปิดทำการในวันที่ 29 ธันวาคมถึง 1 มกราคม
ค่าเข้าชม
- ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์
- ผู้ใหญ่ : 800 เยน
- เด็กอายุ 4 – 15 ปี : 500 เยน
- ตั๋วชุด รวมปราสาทและ Danjirikaikan : 1,750เยน
- ค่าชมโชว์นินจา : 500 เยน
- ค่าปาชูริเคน : 300 เยน (ฟรี สำหรับผู้ที่มีตั๋ว Kintetsu Rail Pass)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Uenoshi สามารถเดินไปยังพิพิธภัณฑ์นินจาได้ โดยใช้เวลา 10 นาที
แผนที่
เว็บไซต์
2. ปราสาทอิงะอุเอโนะ (Iga Ueno Castle)
ปราสาทอิงะอุเอโนะ (Iga Ueno Castle) สร้างขึ้นในปี 1608 โดย Todo Takatora ผู้เป็นยอดฝีมือในการสร้างปราสาท และเป็นเจ้าของผลงานปราสาทสุดสง่างามมากมายในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นปราสาท Uwajima และปราสาท Imabari ของจังหวัดเอฮิเมะ หรือปราสาท Sasayama ในจังหวัดเฮียวโกะ
สำหรับปราสาทอิงะอุเอโนะนั้น ปัจจุบันตัวปราสาทเป็นสถาปัตยกรรมที่บูรณะขึ้นใหม่ในปี 1935 แต่จะมีจุดแตกต่างจากปราสาทสร้างใหม่แห่งอื่นๆอยู่ตรงที่งานบูรณะยังคงใช้ไม้ ไม่ได้ใช้คอนกรีตสร้าง ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาความขลังแบบดั้งเดิมเอาไว้
จุดเด่นของปราสาทอิงะอุเอโนะคือกำแพงหินสูง 30 เมตร ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในบรรดากำแพงของปราสาททุกแห่งในญี่ปุ่น
มาสคอตประจำปราสาทแห่งนี้คือเสือ เพราะผู้สร้างปราสาท Takatora มีส่วนของชื่อที่พ้องกับคำว่า Tora ที่แปลว่า เสือ ในภาษาญี่ปุ่นครับ
เพราะเป็นเมืองแห่งนินจาก็เลยมีนินจาแอบปีนกำแพง
แน่นอนว่าในเมื่อปราสาทเป็นของซามูไรก็ย่อมต้องมีชุดเกราะซามูไรจัดแสดง
วิวจากยอดปราสาท เห็นตัวเมืองสวยงามอยู่ครับ
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงใบไม้แดงที่นี่ก็สวยงามมากครับ
ส่วนฤดูใบไม้ผลิก็มีซากุระบาน เป็นภาพที่สวยงามมากเช่นกันครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทอิงะอุเอโนะ (Iga Ueno Castle)
ที่อยู่
- Iga Ueno Castle, 106 Uenomarunouchi, Iga, Mie 518-0873
โทร
- 0595213148
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 09:00 – 17:00 น.
- ปิดทำการทุกวันที่ 29 – 31 ธันวาคมของทุกปี
ค่าเข้าชม
- ค่าเข้าปราสาท : 600 เยน
- ตั๋วชุด รวมปราสาทและ Danjirikaikan : 1,750เยน
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Uenoshi ใช้เวลาเดินไปยังปราสาท 10 นาที
แผนที่
เว็บไซต์
3. พิพิธภัณฑ์ดันจิริ (Danjiri Museum)
พิพิธภัณฑ์ดันจิริ (Danjiri Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเกี่ยวกับ ‘เทศกาลอุเอโนะเทนจิน’ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี
ภายในพิพิธภัณฑ์จะพบกับตู้กระจกขนาดใหญ่ที่จัดแสดงงานเทศกาลดันจิริ รูปปั้นขนาดเท่าคนจริง พร้อมจำลองบรรยากาศของเทศกาล มีการฉายภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับวัฒนธรรมและธรรมชาติของเมืองอิงะ ส่วนห้องจัดแสดงที่ 2 ก็มีรูปปั้นอีกมากมาย ซึ่งล้วนสวมเครื่องแต่งกายเป็นยักษ์และปีศาจต่างๆที่เรียกว่า Oni-Gyoretsu
อ้อ! ถ้าใครสนใจอยากลองแปลงกายเป็นนินจาก็ทำได้นะ ที่นี่มีชุดให้เช่าด้วยครับ
แปลงกายเสร็จแล้วก็ไปเดินตรงหมู่บ้านนินจาโลด!
ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ดันจิริ (Danjiri Museum)
ที่อยู่
- Danjiri Museum, 122-4 Uenomarunouchi, Iga, Mie 518-0873
โทร
- 059-524-4400
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 09:00 – 17:00 น.
- ปิดทำการทุกวันที่ 29 – 31 ธันวาคม ของทุกปี
ค่าเข้าชม
- ค่าเข้า : 600 เยน
- ตั๋วชุด รวมปราสาทและ Danjirikaikan : 1,750 เยน
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Uenoshi สามารถเดินไปที่พิพิธภัณฑ์ได้ภายใน 5 นาที
แผนที่
เว็บไซต์
4. พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์บาโช (Basho Memorial Museum)
พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์บาโช (Basho Memorial Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์และให้ความรู้เกี่ยวกับ มัตสึโอะ บาโช (Matsuo Basho) กวีเอกชาวญี่ปุ่นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง โดยบ้านเกิดของกวีท่านนี้ก็คือเมืองอิงะนั่นเอง (ความดังของกวีท่านนี้ก็ประมาณสุนทรภู่ในไทยครับ)
ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะมีการจัดแสดงบทกวีที่ประพันธ์โดยบาโช อีกทั้งยังมีแผนที่แสดงเส้นทางการเดินทางของกวีท่านนี้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีอาคารที่แยกย่อยออกไปจากตัวพิพิธภัณฑ์หลัก อาคารที่ว่านี้เป็นบ้านเก่าของบาโชที่ทางพิพิธภัณฑ์ได้ยกมาตั้งไว้นั่นเอง ภายในบ้านเล็กๆหลังนี้มีห้องซึ่งเป็นสถานที่ที่บาโชแต่งกลอนไฮกุบทแรกในชีวิตของเขาด้วยนะ
ใครที่ชื่นชอบวรรณกรรมญี่ปุ่นและชีวประวัตินักประพันธ์ ห้ามพลาดที่นี่เลย!
ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์บาโช (Basho Memorial Museum)
ที่อยู่
- Basho Memorial Museum, 117-13 Uenomarunouchi, Iga, Mie 518-0873
โทร
- 059-521-2219
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 08:30 – 17:00 น.
- ปิดทำการ 29 ธันวาคมถึง 3 มกราคม
ค่าเข้าชม
- 300 เยน
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Uenoshi สามารถเดินไปยังพิพิธภัณฑ์ได้ โดยใช้เวลา 5 นาที
แผนที่
เว็บไซต์
โซนคุวานะ (Kuwana)
1. นาบานะ โนะ ซาโตะ (Nabana no Sato)
นาบานะ โนะ ซาโตะ (Nabana no Sato) เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยดอกไม้และพืชพรรณหลากหลายกว่า 40 ชนิด โดยมีทั้งซากุระ ทิวลิป และคอสมอส (ดอกดาวกระจาย) นักท่องเที่ยวสามารถรื่นรมย์ไปกับความงามของดอกไม้ได้เสมอ ไม่ว่าจะมาเยือนในฤดูกาลใดก็ตาม
แต่ที่พิเศษสุดๆคือในช่วงฤดูหนาว ที่นี่จะมีการจัดงานประดับไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ในงานนี้จะมีไฟประดับในอุโมงค์ที่ยาวถึง 200 เมตรหรือ The Tunnel of Lights ด้วย
ใครเป็นสายถ่ายภาพ ห้ามพลาดเด็ดขาด!
- อ่านบทความเจาะลึกเรื่องสวนดอกไม้และงานไฟประดับที่ Nabana no Sato ได้ที่นี่ >> รีวิววิธีเดินทางไปชมไฟประดับและสวนดอกไม้ที่ Nabanaba no Sato
ข้อมูลเกี่ยวกับนาบานะ โนะ ซาโตะ (Nabana no Sato)
ที่อยู่
- Nabana no Sato, 〒511-1144 Mie, Kuwana, Nagashimacho Komae, Urushihata 270
โทร
- 059-441-0787
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้บริการทุกวัน
- ในส่วนของการจัดแสดงไฟจะมีในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม เวลา 10:00 – 22:00 น.
ค่าเข้าชม
- 2,300 เยน
- มีส่วนลดสำหรับผู้ที่มีตั๋ว Kintetsu Rail Pass
วิธีเดินทาง
- เดินทางจาก Nagoya
- นั่งรถไฟ Kintetsu ไปลงที่สถานี Kintetsu-Nagashima แล้วต่อรถบัสไปที่สวน (ใช้เวลารวมทั้งหมด 45 นาที ค่าโดยสาร 630 เยน)
- นั่งรถบัส Meitetsu Bus (ใช้เวลา 35 นาที ค่าโดยสาร 950 เยน)
- เดินทางจาก Nagashima Spa Land
- สามารถนั่งรถบัสไปที่สวนได้ โดยใช้เวลา 15 นาที
แผนที่
เว็บไซต์
2. นางาชิมะสปาแลนด์ (Nagashima Spa Land) และมิตซุยเอาท์เล็ตพาร์ค (Mitsui Outlet Park)
สวนสนุกนางาชิมะสปาแลนด์ (Nagashima Spa Land) ในจังหวัดมิเอะนั้นมีเครื่องเล่นกว่า 58 ชนิด เป็นสวนสนุกที่ผู้ที่ชื่นชอบการเล่นรถไฟเหาะคงไม่อาจต้านทานไหวเลยเชียว เพราะเครื่องเล่นส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นเครื่องเล่นหวาดเสียวแนวรถไฟเหาะ แถมบางอันยังเคยลงสถิติในกินเนสส์บุ๊คด้วยนะ
แต่เครื่องเล่นที่น่าหวาดเสียวที่สุดเห็นจะเป็น ARASHI ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2017 รถไฟขบวนนี้จะเหาะเคลื่อนที่ไปทุกทิศทาง ทั้งหน้าหลังซ้ายขวาบนล่าง นอกจากนี้ยังเพิ่มความเป็นมิติที่ 4 เข้ามาอีกในรูปแบบของ 4D ด้วยที่นั่งที่หมุนได้รอบทิศทางไร้การควบคุม หมุนติ้วไปเหนือความคาดหมาย
ด้วยความเร็วและแรงของรถไฟเหาะขบวนนี้ ผู้เล่นจะได้กรีดร้องด้วยความตื่นเต้นภายใต้สภาวะไร้น้ำหนักเหนือการควบคุมทุกสิ่ง
หลังจากหนำใจกับสวนสนุกกันไปแล้ว อย่าลืมมาช้อปกันต่อที่ Mitsui Outlet Park JAZZ DREAM NAGASHIMA ที่อยู่ข้างๆสวนสนุกกันนะ ที่นี่เป็นเอาท์เล็ตที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยล่ะ มีร้านค้าประมาณ 300 กว่าร้าน ทั้งสินค้าแบรนด์ สินค้าทั่วไป ข้าวของเครื่องใช้ ร้านอาหาร ร้านขนม ฯลฯ ใครเป็นสายช้อปห้ามพลาดที่นี่เลยนะ มาช้อปให้กระเป๋าฉีกกันไปเลย!
ข้อมูลเกี่ยวกับนางาชิมะสปาแลนด์ (Nagashima Spa Land) และมิตซุยเอาท์เล็ตพาร์ค (Mitsui Outlet Park)
ที่อยู่
- Nagashima Spa Land : 333 Nagashimacho Urayasu, Kuwana, Mie 511-1192
- MITSUI OUTLET PARK : 368 Nagashimacho Urayasu, Kuwana, Mie 511-1135
โทร
- Nagashima Spa Land: 0594451111
- MITSUI OUTLET PARK : 0594458700
วันและเวลาทำการ
- Nagashima Spa Land : เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9:30 – 18:00 น.
- MITSUI OUTLET PARK : เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10:00 – 21:00 น.
ค่าเข้าชม
- ค่าเข้าสวนสนุกพร้อมค่าเล่นเครื่องเล่น 5,200 เยน
วิธีเดินทาง
- นั่งรถไฟ Kintetsu ไปลงที่สถานี Kuwana แล้วต่อรถบัส (ใช้เวลาเดินทางรวม 66 นาที ค่าโดยสาร 990 เยน)
- รถบัส Meitetsu Bus (ใช้เวลาเดินทาง 50 นาที ค่าโดยสาร 1,100 เยน)
แผนที่ของ Nagashima Spa Land
แผนที่ของ Mitsui Outlet Park
เว็บไซต์
- Nagashima Spa Land : https://www.nagashima-onsen.co.jp/spaland/index.html
- Mitsui Outlet Park : https://mitsui-shopping-park.com/mop/nagashima/
โซนอื่นๆ
1. น้ำตก 48 สายแห่งอากาเมะ (Akame 48 Waterfalls)
Akame 48 Waterfalls หรือ น้ำตก 48 สายแห่งอากาเมะ เป็น 1 ใน 100 อันดับน้ำตกที่สวยงามที่สุดของญี่ปุ่น โดยมีน้ำตกน้อยใหญ่หลายสายมารวมตัวกันอยู่ในหุบเขาเป็นแนวต่อเนื่องระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร โดยจะอยู่ตรงบริเวณพรมแดนระหว่าง ‘จังหวัดมิเอะ’ กับ ‘จังหวัดนารา’
ในฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ที่เปลี่ยนเป็นสีแดงจะทำให้เกิดวิวที่สวยงามตระการตา ควรค่าแก่การมาเยี่ยมเยือน
ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำตก 48 สายแห่งอากาเมะ (Akame 48 Waterfalls)
ที่อยู่
- Akame Shijuhachi Waterfalls, 861-1 Akamecho Nagasaka, Nabari 518-0469 Mie Prefecture
โทร
- 0595-63-3004
วันและเวลาทำการ
- เดือนเมษายน – พฤศจิกายน : เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 8:30 – 17:00 น.
- เดือนธันวาคม – มีนาคม : เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9:00 – 16:30 น.
ค่าเข้าชม (ค่าขึ้นเขา)
- ผู้ใหญ่ : 500 เยน
- เด็ก : 250 เยน
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Akame นั่งรถบัสไปที่น้ำตกโดยใช้เวลา 10นาที ลงที่ป้าย Akamenotaki
แผนที่
เว็บไซต์
2. นินจาโนะโมริ (Ninja No Mori)
เอ้า! ใครยังไม่เต็มอิ่มมาทางนี้ มาเรียนวิชานินจาสายอิงะที่ นินจาโนะโมริ (Ninja No Mori) กันเถอะ! ศูนย์ฝึกนินจาแห่งนี้ตั้งอยู่ที่น้ำตกอากาเมะ และเคยเป็นที่ฝึกของโมโมจิทันบะ ผู้ก่อตั้งนินจาสำนักอิงะกัน โดยครูฝึกจะมาฝึกนินจาให้เราท่ามกลางธรรมชาติอันกว้างใหญ่ เพื่อให้เราได้ครอบครองตำราวิชาลับให้สำเร็จ
ไม่ว่าจะมากันเป็นกลุ่มเด็กๆหรือมาเป็นครอบครัว เราก็ขอบอกเลยว่าใครๆก็เป็นนินจาได้!
ข้อมูลเกี่ยวกับนินจาโนะโมริ (Ninja No Mori)
ที่อยู่
- Akame Ninja No Mori, 861-1 Akamecho Nagasaka, Nabari 518-0469 Mie Prefecture
โทร
- 059-541-1180
วันและเวลาทำการ
- วันเปิดทำการ : ศูนย์ฝึกนินจาเปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10:00 – 15:00 น.
- วันปิดทำการ : ปิดทำการวันที่ 28 ธันวาคมถึง 2 มกราคมของทุกปี
ค่าเข้าชม
- ค่าฝึกนินจา : 3,500 เยน
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Akame นั่งรถบัสมาลงที่ป้าย Akamenotaki โดยใช้เวลา 10 นาที
แผนที่
เว็บไซต์
3. หุบเขาโคจิดานิ (Kōchi Dani Valley)
ที่ หุบเขาโคจิดานิ (Kōchi Dani Valley) ในฤดูใบไม้ร่วงนั้น ใบไม้เปลี่ยนสีจะปกคลุมหุบเขา จนดูราวกับเพลิงสีแดงลุกไหม้ไปทั่วทั้งหุบเขาเลยล่ะ หุบเขาแห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีทิวทัศน์สวยงาม เหมาะที่สุดสำหรับการเดินเขาหรือขับรถยนต์เที่ยว พร้อมทั้งเพลิดเพลินไปกับวิวอันกว้างขวางเบื้องหน้า
นักท่องเที่ยวสายธรรมชาติไม่ควรพลาดที่นี่เลย!
ข้อมูลเกี่ยวกับหุบเขาโคจิดานิ (Kōchi Dani Valley)
ที่อยู่
- Kōchi-dani Valley, Shorenji, Nabari, Mie 518-0443
โทร
- 059-563-9087
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Nabari สามารถนั่งรถบัสไปยังหุบเขาโคจิดานิได้ โดยใช้เวลา 30 นาที
แผนที่
เว็บไซต์
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดมิเอะ
1. กุ้งมังกรอิเสะ (Ise Lobster)
กุ้งมังกรอิเสะ หรือ กุ้งมังกรญี่ปุ่น (Ise Lobster) ถือเป็นราชากุ้งแห่งท้องทะเลญี่ปุ่น เพราะรสชาติเฉพาะตัวของเนื้อกุ้งที่มีความนุ่มมาก ไม่แข็งกระด้างเหมือนกุ้งมังกรอื่นๆ เนื้อมีความนุ่มและความหอมหวานมัน ถือได้ว่าเป็นวัตถุดิบคุณภาพชั้นเลิศ แม้กระทั่งในประเทศญี่ปุ่นเองก็หาทานได้ยากมาก และเป็นกุ้งที่มีราคาสูงที่สุดในบรรดากุ้งทุกชนิด
ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าถ้าทานกุ้งอิเสะแล้วจะมีสุขภาพแข็งแรงและอายุยืนยาว เนื่องจากเปลือกของกุ้งอิเสะเป็นสีแดงเข้มคล้ายกับเกราะนักรบซามุไร และตัวโค้งงอเหมือนแผ่นหลังของผู้อาวุโส
การรับประทานกุ้งมังกรอิเสะในแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมคือการรับประทานสดๆแบบซาชิมิ โดยตัดส่วนหัวของกุ้งแยกออกจากลำตัว เมื่อรับประทานเนื้อสดๆ จะต้องรับประทานร่วมกับมันกุ้งที่แคะออกจากส่วนหัวด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ
ร้านแนะนำที่เราอยากแนะนำคือ ภัตตาคารไดกิ (大喜) ซึ่งเคยได้รับอนุญาตให้ปรุงพระกระยาหารถวายสมเด็จพระจักรพรรดิมาแล้ว (และราคาก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่ต้องขายไตเพื่อกินด้วย)
ไหนๆได้มาจังหวัดมิเอะทั้งทีแล้ว ห้ามพลาดของขึ้นชื่อที่ต้องลองสักครั้งอย่าง ‘กุ้งมังกรอิเสะ’ เชียวล่ะ
2. หอยเป๋าฮื้อและอาหารทะเลปิ้งย่าง โดยอามะจัง (Seafood By Amachan)
นอกจากกุ้งมังกรแล้ว จังหวัดมิเอะก็ยังโด่งดังเรื่องอาหารทะเลอื่นๆเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหอยต่างๆที่ได้จากการงมโดย อามะจัง หรือผู้หญิงที่มีอาชีพดำน้ำงมหอยในทะเล โดยอาชีพนี้ได้รับการสืบทอดต่อกันมาถึง 2,000 กว่าปีเชียวนะ
การได้กินอาหารแบบดั้งเดิมที่ให้อามะจังย่างให้ก็เป็นอะไรที่ดีงามสุดๆ ความสนุกคือเราจะได้ทานหอยเป็นๆสดใหม่ ย่างบนตะแกรงร้อนๆด้วยเตาอิโรริโดยอามะจังที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารทะเล
นอกจากนี้เรายังได้ฟังเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายจากอามะจังอีกด้วย เช่น เล่าประสบการณ์การจับปลาหรือวิธีทานอาหารแต่ละชนิดให้อร่อย
เป็นประสบการณ์การทานอาหารท้องถิ่นในญี่ปุ่นที่เราจะต้องจดจำไปอีกนานเลยล่ะครับ
- ร้านอาหารแนะนำ >> กระท่อมอามะ ฮาจิมันคามาโดะ
3. เทโกเนะซูชิ (Tekone Sushi)
เทโกเนะซูชิ (Tekone Sushi) เป็นอาหารท้องถิ่นในแถบอิเสะชิมะของ ‘จังหวัดมิเอะ’ วิธีการทำคือเขาจะนำปลาโอและปลาทูน่าที่แช่ในโชยุมาวางบนข้าวที่ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู (เหมือนข้าวซูชิ) แล้วตกแต่งด้วยเครื่องเทศ เช่น ใบชิโสะ ขิง และสาหร่ายแห้งโนริ
ว่ากันว่าเมนูนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากการผสมปลาเนื้อแดง ข้าวที่ปรุงด้วยน้ำส้มสายชู และเครื่องปรุงโดยการใช้มือคนให้คลุกเคล้าเข้ากัน
- ร้านอาหารแนะนำ >> Sushikyu
4. อิเสะอุด้ง (Ise Udon)
อิเสะอุด้ง (Ise Udon) เป็นอุด้งที่มาเส้นหนาและเสิร์ฟมาในน้ำซุปที่เคี่ยวจนข้น รสชาติจะออกหวานเค็ม โดยน้ำสต๊อกทำมาจากซอสถั่วเหลืองทามาริ ปลาโอป่น และปลาซาร์ดีนแห้ง โรยด้วยต้นหอม เป็นอันพร้อมเสิร์ฟ อิเสะอุด้งจึงเป็นเมนูที่มีความเรียบง่าย
ในสมัยก่อนชาวชนบทจะนิยมทานอุด้งกับมิโซะ จนกระทั่งยุคเอโดะจึงมีการเติมน้ำซุปลงไป จนกลายมาเป็นอิเสะอุด้งนั่นเอง
- ร้านอาหารแนะนำ >> Fukusuke
5. อิเสะมิโสะราเมน (Ise Miso Ramen)
เนื่องจากที่เมืองอิเสะมีการผลิตมิโสะแบบเข้มข้น กล่าวคือในขณะที่โตเกียวกับฮอกไกโดยังผสมข้าวกับถั่วเหลืองเวลาจะหมักมิโสะ แต่ที่อิเสะจะใช้ถั่วเหลืองอย่างเดียว ผลที่ได้คือมิโสะสายฮาร์ดคอร์ที่เข้มข้นสะใจคนกินมาก (สีจะออกแดงๆ เค็มกว่ามิโสะทั่วไป) เมื่อนำมิโสะสุดเข้มข้นนี้มาใส่ในราเมน ก็จะกลายเป็นราเมนสุดเข้มข้นที่เรียกว่า อิเสะมิโสะราเมน (Ise Miso Ramen)
และเราเชื่อว่าร้านราเมนที่เราจะแนะนำกันนี้ก็น่าจะเป็นร้านที่คนไทยคุ้นเคยกันดี นั่นคือ Ramen Misoya แต่ความน่าสนใจของ Ramen Misoya สาขาอิเสะก็คือ ที่นี่เป็นสาขาที่ใช้มิโสะแบบเข้มข้นในการทำราเมนนั่นเอง
ถ้ามีโอกาสก็น่าไปลองนะครับ
6. เนื้อมัตสึซากะ (Matsuzaka Beef)
เนื้อมัตสึซากะ (Matsuzaka Beef) เป็นหนึ่งในสามเนื้อวากิวที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น จนถูกขนามนามว่าเป็น King of beef เพราะเป็นเนื้อที่มีรสชาติดี เคี้ยวแล้วรู้สึกได้ถึงความนุ่มและฉ่ำเป็นพิเศษ นุ่มจนแทบไม่ต้องเสียเวลาเคี้ยวให้เมื่อยกรามเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเรานำเนื้อไปย่างบนเตาร้อนๆให้มันดังฉ่า ไขมันที่แทรกอยู่ในทุกอณูของเนื้อก็จะละลายออกมา ให้กลิ่นหอมแบบสุดๆ
เนื้อมัตสึซากะที่ดีนั้นจะต้องมาจากวัวเพศเมียที่ไม่เคยตั้งท้องมาก่อน และถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีพิถีพิถัน
- ร้านอาหารแนะนำ >> Matsuzaka Maruyoshi
7. ไก่คุมาโนะ (Kumano Chicken)
ไก่คุมาโนะ (Kumano Chicken) เป็นไก่พื้นเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดมิเอะ มีรสชาติหวานมาก ไก่ชนิดนี้ได้รับการเลี้ยงดูคัดสายพันธุ์เป็นพิเศษโดยองค์กรวิจัยอาหารของจังหวัดมิเอะ และเริ่มขายในปี 1999 ก่อนจะได้รับการยอมรับจากเชฟทั่วโลก
8. อากาฟุกุโมจิ (Akafukumochi)
การตั้งชื่อ อากาฟุกุโมจิ (Akafukumochi) นั้นมาจากขนมไดฟุกุ ซึ่งเป็นขนมที่เป็นแป้งสีขาวข้างนอกและข้างในเป็นถั่วแดง แต่ขนมอากาฟุกุโมจิจะมีลักษณะตรงกันข้าม คือแป้งสีขาวจะอยู่ข้างใน แต่ถั่วแดงอยู่ข้างนอก คนญี่ปุ่นจึงตั้งชื่อขนมสองชนิดนี้ให้คล้ายกัน (ว่ากันว่า อากะ (Aka) คือ สีแดง ซึ่งเป็นสีของเมล็ดถั่วแดง จึงใช้คำว่าอากะ)
ถั่วแดงที่นำมาปั้นเป็นขนมอากาฟุกุโมจินั้น มีการเปรียบเปรยลักษณะรูปร่างว่าเหมือนแม่น้ำ Isuzu ที่ไหลผ่านศาลเจ้าอิเสะ โดยรอยหยักยอดแหลมหมายถึงสายน้ำ และแผ่นโมจิสีขาวหมายถึงก้อนกรวดที่อยู่ใต้น้ำ
- ร้านอาหารแนะนำ >> Akafuku
9. เบียร์อิเสะชินโต (Ise Sinto Beer)
เบียร์อิเสะชินโต (Ise Sinto Beer) เป็นเบียร์ที่มีส่วนผสมของมอลต์สามชนิดกับข้าวดำญี่ปุ่น ให้รสชาติที่กลมกล่อม ดื่มง่าย
ในส่วนของชื่อ Sinto นั้นเป็นการเล่นคำ โดยเอามาจากคำว่า 神道 (ศาสนาชินโต) กับคำว่า 神都 (เมืองหลวงของเหล่าทวยเทพ) โดยเป็นการตั้งชื่อให้สมกับมอตโต้ประจำเมืองอิเสะที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งเทพเจ้านั่นเอง (แหม่! เคลมแบบนี้ ชาวอิซุโมะที่จังหวัดชิมาเนะคงรู้สึกไม่ถูกใจสิ่งนี้แน่ๆ เพราะเมืองนั้นเขาก็เคลมตัวเองว่าเป็นเมืองแห่งเทพเจ้าเหมือนกันครับ 555)
อ่านบทความอื่นๆเกี่ยวกับจังหวัดมิเอะ
- VISON อัญมณีอันงดงามที่ซุกซ่อนอยู่ในเมืองทากิ จังหวัดมิเอะ
- จุดชมวิวโยโกยามะ สถานที่ห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวจังหวัดมิเอะ
- สักการะเทพเจ้าที่ ‘ศาลเจ้าซารุตาฮิโกะ’ & เดินหาของอร่อยที่โอฮาไรมาจิ
มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!
รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!
ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ