ไปบ้านเกิดโมโมทาโร่กัน! ขับรถไม่เป็นก็เที่ยวได้ EP.2 : ปราสาทบิจจูมัตสึยามะ
ก.พ. 05, 2021
เที่ยวรอบเมืองทาคาฮาชิ ไปหาน้องซังจูโร่ที่ ‘ปราสาทบิจจูมัตสึยามะ’ ต่อด้วยเมืองมานิวะ ก่อนไปพักที่ยูบาระออนเซ็น
ปราสาทบิจจูมัตสึยามะ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่า ‘ปราสาทลอยฟ้า’ เป็นสถานที่หลักสำหรับการไปเที่ยวของเราในวันนี้ค่ะ~
แผนการเดินทาง DAY 2 : ไป ‘ปราสาทบิจจูมัตสึยามะ’ กันเถอะ!
- เวลา 8:20 เช็กเอาต์จากโรงแรม
- เวลา 8:30~8:50 นั่งแท็กซี่จากโรงแรมทาคาฮาชิโคคุไซ (Takahashi Kokusai Hotel) —> ฟุอิโกะโทอุเกะ (Fuigo Touge)
- เวลา 9:20~11:00 ถึง ปราสาทบิจจูมัตสึยามะ (Bitchu Matsuyama Castle)
- เวลา 11:40~12:10 ฟุอิโกะโทอุเกะ (Fuigo Touge) —> สวนวัดไรคิวจิ (Raikyuji Temple Garden) —> Bitchu Takahashi Station
- เวลา 13:39~14:30 นั่งรถไฟสาย Himeshin Line จาก Niimi Station —> Chugoku-Katsuyama Station
- เวลา 14:40~16:00 เดินเล่นที่ Chugoku-Katsuyama
- เวลา 16:23~16:58 นั่งรสบัสสาย Maniwakun (Hiruzen-Kuse Route) Chugoku-Katsuyama Station —> Yubara Onsen
- เวลา 17:10 เช็กอินที่ Yukai Resort Yubaraonsen Terunoyu
- เวลา 17:30~19:00 เดินเล่นที่ Yubara Onsen
- เวลา 19:30 (ควร)กลับถึงโรงแรม
ฮัลโหลๆ อันนี้เป็นรีวิวโอคายามะวันที่ 2 ของเราน๊า
ถ้าใครยังไม่ได้อ่านวันแรกก็จิ้มลิงก์ไปเล้ย >>> ไปบ้านเกิดโมโมทาโร่กัน! ขับรถไม่เป็นก็เที่ยวได้ EP.1 : หมู่บ้านฟุกิยะ
*คำเตือน : เนื่องจากขับรถไม่เป็น ทริปนี้เราเลยเดินทางโดยรถสาธารณะที่มีและ…รถแท็กซี่ค่ะ! แน่นอนว่าแท็กซี่ญี่ปุ่นค่อนข้างแพง แต่จุดประสงค์ที่มาเขียนเล่าก็เพราะว่าเราอยากจะแชร์สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดโอคายามะให้เพื่อนๆ เผื่อจะได้เอาไปเป็นไอเดียในการท่องเที่ยวค่ะ *หากขับรถเป็นแนะนำให้เช่ารถขับจะดีกว่าค่ะ
วันที่ 2 ณ เมืองทาคาฮาชิ จังหวัดโอคายามะ วันนี้เราจะไปหาน้องซังจูโร่ที่ ‘ปราสาทบิจจูมัตสึยามะ’ เดินเล่นที่เมืองมานิวะเมืองแห่งโนเรน ก่อนจะไปพักที่ยูบาระออนเซ็น
เวลา 8:30~8:50 นั่งแท็กซี่จากโรงแรมทาคาฮาชิโคคุไซ (Takahashi Kokusai Hotel) —> ฟุอิโกะโทอุเกะ (Fuigo Touge)
เราตื่นมาทานอาหารเช้าโดยซื้อขนมปังจากเซเว่นมากิน แล้วก็ไปเช็กเอาต์ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม เราขอให้พนักงานเรียกรถแท็กซี่ไปที่ Bitchu Matsuyama Castle ให้ค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที ราคา 1,540 เยน
จากตรงนี้เราต้องเดินขึ้นไป 700 เมตร ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีค่ะ แนะนำว่าให้ซื้อน้ำเตรียมไว้ก่อนเลย
ใกล้ๆที่จอดรถมีห้องน้ำให้ใช้บริการก่อนออกเดินทางด้วยค่ะ
สำหรับเส้นทางนั้นเดินง่ายแต่ค่อนข้างชัน หากใครต้องการใช้ไม้ค้ำเขาก็มีให้ยืม อยู่ใกล้ๆกับป้ายบอกเส้นทางเลย ถ้าใช้เสร็จแล้วก็อย่าลืมคืนไม้ไว้ที่เดิมด้วยนะคะ ห้ามเก็บกลับบ้านนะ ฮ่าๆ
หยิบไม้มา พร้อมลุย!
นี่คือทางที่เราต้องเดินไปค่ะ
เดินมาได้ครึ่งทางจะมีจุดพักชมวิว จากตรงนี้มองลงไปเห็นทั้งเมืองเลยค่ะ
เริ่มเข้าสู่เขตปราสาทแล้ว ถึงตรงนี้เราก็หอบไปแล้วจ้า
และนี่ก็คือกำแพงปราสาทค่ะ
ฐานปราสาท เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่ามีการวางหินแบบด้านหนึ่งสั้น ด้านหนึ่งยาว สลับกันขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งในการสร้างปราสาทสมัยนั้น
ซูมมมม
เวลา 9:20~11:00 ถึง ปราสาทบิจจูมัตสึยามะ (Bitchu Matsuyama Castle)
หลังจากเดินเล่น(แต่แอบพักมาตลอดทาง)ก็ถึงตัวปราสาทสักที เย้ๆ
ถ้ามาช่วงหน้าหนาวหรือประมาณปลายเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ในช่วงเช้าจะมีหมอกปกคลุมภูเขา ซึ่งเราจะเห็นเหมือนว่าปราสาทกำลังลอยฟ้าอยู่ และเรายังสามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีจากที่นี่ได้อีกด้วยค่ะ
ปราสาทบิจจูมัตสึยะ สร้างขึ้นในสมัยคามาคุระและถูกปรับปรุงในสมัยเอโดะ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงสภาพแบบนั้นตลอดมา ปราสาทแห่งนี้นับว่าเป็น 1 ใน 12 ปราสาทดั้งเดิมที่หลงเหลืออยู่ในประเทศญี่ปุ่น
ค่าเข้าชมปราสาท
- ผู้ใหญ่ 300 เยน
- เด็ก 150 เยน
พอซื้อตั๋วเสร็จกำลังจะเดินเข้าไป เราก็เจอน้องซังจูโร่มานอน(ขวางกลางประตู)รอต้อนรับอยู่หน้าปราสาทเลยค่า!!
จริงๆแล้วซังจูโร่เป็นแมวเลี้ยงของใครสักคนที่อยู่ในเมืองทาคาฮาชิแห่งนี้ค่ะ เมื่อประมาณปี 2018 ในวันหนึ่งที่ฝนตกหนักมาก คนดูแลปราสาทเจอแมวน้อยสีส้มขาวนอนหลบฝนอยู่บริเวณปราสาท เขาไม่รู้ว่าน้องมาจากไหนและเดินขึ้นเขามาได้ยังไง เลยเลี้ยงน้องไว้และตั้งชื่อว่า ‘ซังจูโร่’ ค่ะ!
*สามารถเซลฟี่กับน้องหรือเล่นกับน้องได้ แต่ห้ามให้อาหารน้องนะคะ*
ซังจูโร่ แมวน้อยผู้ดูแลปราสาท (หน้าตาตอนเพิ่งตื่น ฮ่าๆ)
น้องจะออกไปตรวจรอบๆปราสาทตอนช่วง 10 โมงและบ่าย 2
เราไปถึงเกือบๆ 10 โมงพอดี น้องกำลังจะออกไปทำงานเลยค่ะ
เดินตามน้องไปถ่ายรูปเล่นรอบๆปราสาท ห้องเก็บอาวุธต่างๆในสมัยนั้น
หลังจากชมปราสาทเสร็จ เราก็เดินไปที่จุดจอดรถตอนแรกค่ะ ต้องโทรเรียกแท็กซี่ขึ้นไปรับ
ในจุดนั่งพักจะมีเบอร์ของแท็กซี่แปะไว้ให้ด้วย นั่นก็คือเบอร์ 0866-22-2755
เวลา 11:40~12:10 ออกจาก ‘ปราสาทบิจจูมัตสึยามะ’ ฟุอิโกะโทอุเกะ (Fuigo) —> สวนวัดไรคิวจิ (Raikyuji Temple Garden) —> Bitchu Takahashi Station
จุดต่อไปที่เราจะไปกันก็คือสวนวัดไรคิวจิ (Raikyuji Temple Garden) ค่ะ วัดแห่งนี้โด่งดังเรื่องสวนญี่ปุ่นที่สวยงามค่ะ เราเลยจะไปพิสูจน์สักหน่อย
เข้ามาสู่บริเวณภายในวัด
ค่าเข้าชมสวน
- ผู้ใหญ่ 300 เยน
- เด็ก 200 เยน
แต่ละฤดูก็จะมีดอกไม้บานแตกต่างกันออกไป หน้าร้อนช่วงที่เราไปไม่มีดอกไม้ แต่เขียวๆแบบนี้ก็สวยดีนะ!!
เขาแนะนำให้มาช่วงฤดูใบไม้ผลิและใบไม้เปลี่ยนสี
เสร็จแล้วก็เดินกลับโรงแรมค่ะ จากสวนเดินไปโรงแรมใช้เวลาประมาณ 11 นาที
รับกระเป๋าเสร็จเราก็เดินไปที่สถานีบิจจู-ทาคาฮามาชิ (Bitchu-Takahashi Station) เพื่อขึ้นรถไฟไปยังสถานีนีมิ และต่อรถไฟสาย Himeshin Line มาที่สถานีชูโกกุ-คัตสึยามะ (Chugoku-Katsuyama Station) เพื่อไปยังเมืองมานิวะ (Maniwa)
ป.ล. ไม่มีรูประหว่างการเดินทางนะคะ พอดีกล้องดับ โทรศัพท์ก็แบตหมด T^T
เวลา 13:39~14:30 นั่งรถไฟสาย Himeshin Line จาก Niimi Station —> Chugoku-Katsuyama Station
ก่อนจะไปยูบาระออนเซ็น เราเผื่อเวลาไว้ว่าจะเดินเล่นแถวๆสถานีนี้ค่ะ แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรให้เที่ยวบ้าง ก็เลยมองหา Tourist Information พอเจอปุ๊ปก็พุ่งเข้าไปเก็บข้อมูลก่อนเลยค่ะ พนักงานบอกว่ามีเป็นย่านร้านขายของและย่านเมืองเก่า จากสถานีเราสามารถเดินเล่นไปเรื่อยๆได้ค่ะ
หลังจากสอบถามวิธีการเดินทางเสร็จ เราก็ได้กลิ่นหอมๆมาจากทางซ้าย พอหันไปก็พบว่าเป็นร้านอุด้งค่ะ เราไม่รอช้า รีบก้าวเข้าไปนั่งหยิบเมนูขึ้นมาดู (ว่ามีรูปไหม เพราะอ่านไม่ออก ฮ่าๆ)
เว็บร้าน
http://motomine.web.fc2.com/teisyoku.html
เราถามคุณป้าว่า O susumena menyu wa nandesu ka? (พูดตามกูเกิล) คุณป้าก็พูดๆอะไรมาไม่รู้ เราก็ตอบไปว่า OK ค่ะ 555 นั่งรอสักครู่ก็มีเซ็ตอุด้งมาเสิร์ฟ แต่เป็นอุด้งเย็น!! ปกติเคยแต่กินซารุโซบะเย็นๆที่ฮาจิบัง ฮ่าๆ
ในเซ็ตก็จะมีข้าวกับปลาตัวเล็กๆทอดมาให้ด้วย (ปลาข้าวสารหรือเปล่าไม่แน่ใจค่ะ)
อร่อยจุกมากในราคา 790 เยน
หลังจากทานเสร็จก็พบว่าเวลาล่วงเลยมาถึงประมาณ 14:40 น. เดี๋ยวเราจะไปเดินเล่นและกลับมาขึ้นรถบัส ‘Maniwakun’ Hiruzen-Kuse route ที่หน้าสถานีตอนประมาณ 16:00 น. ค่ะ
เวลา 14:40~16:00 เดินเล่นที่ Chugoku-Katsuyama
จากสถานีให้เดินตรงไป 1 นาทีแล้วข้ามถนน จะเห็นประตูใหญ่ๆ นี่คือย่าน Hinoki Butai ค่ะ
- Full name : Katsuyama Shinmachi Shotengai
- Nickname : Hinoki Butai
- English name : Wood Street
ตลอดทางยาวประมาณ 200 เมตร ทั้งสองข้างทางก็จะมีร้านสลับกับบ้านคนไปเรื่อยๆค่ะ
เดินไปเจอร้าน Handmade ทำกระเป๋าใส่เหรียญเองได้ ก็เลยแวะ (อีกแล้ว ฮ่าๆ) ราคา 1,500 เยน
อันดับแรกเลือกสีกระเป๋าที่ชอบ จากนั้นเขาจะให้เรายัดกระเป๋ากับโครงเหล็กเข้าด้วยกันก่อน โดยใช้ไขควงค่ะ
ทากาวให้ทั่วโครงเหล็ก แล้วก็ยัดๆผ้าเข้าไป กะให้พอดีแล้วเอากระดาษมายัดเข้าไปให้แน่นๆ เสร็จแล้วก็นำคีมมาหนีบ ก็นับว่าเป็นอันเสร็จ ใช้เวลาทำประมาณ 20-30 นาทีค่ะ
ป.ล. ด้านหน้าไม่มีชื่อร้านเขียน แต่นามบัตรที่ได้มาเขียนว่า At-Home ค่ะ T^T
จากย่าน Hinoki Butai เดินไปย่านเมืองเก่า Kyu Izumo Kaido – Katsuyama Juku (旧出雲街道勝山宿) ย่านนี้ก็จะมีบ้านคนผสมๆกับร้านค้าเช่นกันค่ะ ร้านค้าอาจจะน้อยหน่อย แต่สำหรับคนที่ต้องการเดินเล่นถ่ายรูปเอาบรรยากาศ เราก็แนะนำให้ลองไปดูค่ะ
บ้านทรงสมัยโบราณผสมโมเดิร์นหน่อยๆ มีวิวด้านหลังเป็นภูเขา
หลังจากเดินเล่นลัดเลาะตามซอกซอยไปเรื่อยๆ เราก็ไปเจอตรอกไดแอกอน (แฮร์รี่ พอตเตอร์ไปอีก) เป็นทางเข้าแคบๆเล็กๆ พอเดินทะลุไปปรากฏว่าด้านในมีร้านคาเฟ่ซ่อนอยู่จ้า ให้เดินเข้าไปตรงทางเข้าเล็กๆด้านขวานะคะ
พอทะลุมิติออกมาแล้วจะเห็นของใช้เก่าๆที่เอามาตกแต่งร้าน
ข้างในเป็นร้านเล็กๆ บรรยากาศน่ารักๆ เจ้าของร้านใจดีมาก พอรู้ว่าเรามาจากประเทศไทย เขาก็บอกว่าเคยไปไทยและชอบประเทศไทยมากๆ ที่ร้านมีของจากเชียงใหม่วางขายด้วย เจ้าของร้านถามว่า “มาจากไทยเหรอ ซื้อกลับไปไทยไหม?” เอ่อ…ไม่ดีกว่าค่ะ (ทำไมฉันต้องมาซื้อของไทยที่ญี่ปุ่นเพื่อเอากลับไทยด้วย บอกฉันที!? 555)
จากที่นั่งริมหน้าต่างเราสามารถมองเห็นแม่น้ำได้ค่ะ มีคนมานั่งอ่านหนังสือกินกาแฟชมวิวอยู่ด้วย นี่มันวิวแบบในหนังญี่ปุ่นชัดๆ ดีงามมม
เราสั่งกาแฟผสมเลมอนกับกาแฟโซดามิ้นต์ (ส่วนราคา…เราลืมค่ะ T^T น่าจะประมาณแก้วละ 500 เยน)
รสชาติกาแฟอ่อนๆผสมกับเลมอนเปรี้ยวนิดๆ เป็นความลงตัวที่แปลกดี ส่วนกาแฟโซดามินต์ แน่นอนว่ามีความซ่าของโซดาและมีกลิ่นมิ้นต์อ่อนๆ
สำหรับเรากาแฟรสอ่อนๆของที่นี่ดื่มแล้วสดชื่นดี ปกติเราเป็นคนไม่ดื่มกาแฟเพราะขม แต่สำหรับ 2 เมนูนี้สามารถดื่มได้สบายเลย อร่อยดี
ก่อนออกจากร้าน เจ้าของฝากมาว่าอยากให้คนไทยมาเยอะๆ เพราะเธอชอบคนไทยค่ะ ใครมีโอกาสก็ลองไปดูน๊า
ป.ล. ร้านชื่อ Capikopi เพิ่งรู้ชื่อร้านตอนจะออกเพราะเขาให้เว็บมาค่ะ แหะๆ >> http://capikopi.com/menu/
เติมพลังแล้วก็ไปเดินต่อ เจอร้านขายขนมญี่ปุ่นโบราณและรองเท้าเกี๊ยะ
มีถังสาเกด้านหน้า คาดว่าจะเป็นร้านสาเกและเหล้า
แล้วเราก็พบว่า…ถูกต้องแล้วค่าาา! ด้านในมีอะมาสาเกหรือเหล้าหวาน (แอลกอฮอล์ 0 %) เหล้าญี่ปุ่น ซอสโชยุ สาเกเจลลี่ มาการอง ไอศกรีม ประมาณนี้ค่ะ
เขามีให้เทสต์รสชาติด้วย ซื้อไม่ซื้อไม่เป็นไร ชิมไว้ก่อน >///<
สินค้ายอดนิยมสำหรับสาวๆที่ทางร้านแนะนำคือ Gozenshu 9 (NINE) ค่ะ เป็นเครื่องดื่มรสส้มยูสุ รสแอลกอฮอล์จะค่อนข้างจาง เราเลยได้รสและกลิ่นของส้มยูสุเต็มๆ ทั้งที่จริงๆแล้วมีแอลฯผสมอยู่ 9% ค่ะ เมาแบบไม่รู้ตัวได้เลย ทั้งขวดนี้ปริมาณ 500 ml ราคา 1,200 เยน (ไม่รวมภาษี)
สิ่งที่เราชอบของเมืองนี้ก็คือบ้านแต่ละหลังจะมีโนเร็น(ม่านหน้าประตู)ที่มีลวดลายต่างๆไม่เหมือนกันเลย น่าร๊ากกกก
ร้านรวงต่างๆก็เปิดบ้างไม่เปิดบ้าง แต่ก็เดินถ่ายรูปม่านเพลินดี
เวลา 16:23~16:58 นั่งรสบัสสาย Maniwakun (Hiruzen-Kuse Route) Chugoku-Katsuyama Station —> Yubara Onsen
พอเดินเล่นรอบเมืองเสร็จแล้ว เราก็กลับไปที่จุดขึ้นรถบัส Maniwakun ที่หน้าสถานีชูโกกุ-คัตสึยามะ เพื่อขึ้นรถบัสไปยังยูบาระออนเซ็นค่ะ
รถบัส Maniwakun ราคา 200 เยนตลอดสาย!! โดยมีรอบดังนี้ค่ะ
- 7.12 น.
- 10.18 น.
- 12.25 น.
- 14.35 น.
- 16.23 น.
ของเราไปรอบ 16.23 น. ค่ะ
ประมาณ 30 นาทีรถบัสก็มาจอดที่ยูบาระออนเซ็น ซึ่งอยู่ด้านหน้าโรงแรมที่เราจะพักกันในคืนนี้ค่า!!
เวลา 17:10 เช็กอินที่ Yukai Resort Yubaraonsen Terunoyu
เราเช็กอินเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บ หยิบผ้าขนหนู เตรียมของจะไปออนเซ็นกลางแจ้ง พอลงมาถึงล็อบบี้พนักงานบอกว่า… “ออนเซ็นกลางแจ้งของโรงแรมกำลังปรับปรุงอยู่ค่ะ” (O_0) ถึงกับสตั๊นต์ไป 3 วิ… เขาก็แนะนำว่า “ไปปั่นจักรยานกินลมชมเมืองดูนะ ใกล้ๆเขื่อนมีออนเซ็นกลางแจ้ง เช่าจักรยานของโรงแรมไปสิ”
เวลา 17:30~19:00 เดินเล่นที่ Yubara Onsen
ปั่นมาประมาณ 20 นาทีก็ถึงตรงบริเวณเขื่อนค่ะ มีออนเซ็นกลางแจ้ง ชื่อว่า ‘ซุนะยู’ สามารถ(แก้ผ้า)ลงแช่น้ำได้ฟรี! ตรงนี้เป็นบ่อรวม จะมีคุณลุงคุณป้าเปลื้องผ้าบ้าง มีผ้าขนหนูปกคลุมบ้าง เราเห็นแล้วก็โอเค…ไม่แช่ดีกว่า กลางแจ้งแบบสุดๆไปเลย!!
(รูปตรงนี้จะไม่ค่อยได้ถ่ายนะคะ เกรงใจคนที่แช่น้ำอยู่ค่ะ >///< )
ระหว่างนั่งเล่นตรงเขื่อนจะมีละอองน้ำลอยมาเป็นพักๆ เย็นสบายสุดๆ
ปั่นจักรยานขึ้นไปบนเขื่อนมาด้วย ผ่านอุโมงค์มืดหน่อย ใครจะไปก็ปั่นระวังๆรถกันด้วยนะคะ
วิวจากบนเขื่อนฝั่งซุนะยูออนเซ็น
วิวอีกด้านของเขื่อน (คิดว่าถ้ามาช่วงพระอาทิตย์ตกหรือขึ้นอาจจะสวยกว่านี้เนาะ)
เราทำคลิปสั้นๆให้ดูวิวของยูบาระด้วยค่ะ
เวลา 19:30 (ควร)กลับถึงโรงแรม
กลับมาสำรวจโรงแรมกันต่อดีกว่า โรงแรมที่เราพักเป็นสไตล์เรียวกัง ห้องนอนเป็นแบบปูฟูกนอนบนเสื่อทาทามิ ค่อนข้างกว้าง มีห้องน้ำแต่ไม่มีห้องอาบน้ำ
จากหน้าต่างมองเห็นแม่น้ำด้วย ธรรมชาติสุดๆ
ออนเซ็นอยู่ที่ชั้นใต้ดิน แบ่งโซนชาย-หญิง (ถ้าแบบรวมอีกนี่ไม่เอาน๊า 555)
มีโซนให้เล่นอินเทอร์เน็ตและมีเก้าอี้นวดด้วย
มีห้องเล่นเกมรถแข่ง คีบตุ๊กตา ฯลฯ นอกจากนี้ก็มีห้องปิงปองกับโซนเล่นเกม รวมถึงโซนนั่งอ่านหนังสือการ์ตูน
ที่ชั้น 1 บริเวณล็อบบี้ มีร้านขายของที่ระลึก ขนม ไอศกรีม เสื้อผ้า เครื่องประดับ มีหมดเลยยยย
ภายในห้องพักจะไม่มีชุดยูกาตะวางไว้ให้นะคะ หากต้องการใช้ให้หยิบเอาที่ชั้น 1 อยู่ใกล้ๆกับล็อบบี้เหมือนกันค่ะ
สามารถเลือกลายและไซส์ที่เหมาะกับตัวเองได้เลย ไซส์ของชุดจะเขียนไว้เป็นความสูงค่ะ เช่นของเราก็ 161 – 170 เซนติเมตร
ห้องอาหารอยู่ที่ชั้น 3 ค่ะ
อาหารจะเป็นสไตล์บุฟเฟ่ต์ญี่ปุ่น โดยมีทั้งซูชิ ปลาดิบ ไก่ทอดคาราอาเกะ เทมปุระ ฯลฯ
มีมุมเรเมน (บะหมี่เย็น) น้ำแข็งไส น้ำ กาแฟ และสายไหม!
วันที่ 2 เที่ยวแบบมึนๆ จ่ายค่าแท็กซี่ยับเลย ฮือออ T^T ไปนอนดีกว่า พักผ่อนกันเถอะค่า~
อ่านบทความเรื่องทริปโอคายามะตอนอื่นๆ จาก Mayry Go Round
ไปบ้านเกิดโมโมทาโร่กัน! ขับรถไม่เป็นก็เที่ยวได้ EP.1 : หมู่บ้านฟุกิยะ
ไปบ้านเกิดโมโมทาโร่กัน ขับรถไม่เป็นก็เที่ยวได้ EP.3 : ปราสาทโอคายามะ
ไปบ้านเกิดโมโมทาโร่กัน! ขับรถไม่เป็นก็เที่ยวได้ EP.4 : ศาลเจ้าคิบิทสึ
ไปบ้านเกิดโมโมทาโร่กัน ขับรถไม่เป็นก็เที่ยวได้ EP.5 : โคจิมะ เมืองแห่งยีนส์
ไปบ้านเกิดโมโมทาโร่กัน! ขับรถไม่เป็นก็เที่ยวได้ EP.6 : ทะเลเซโตะ เรืองแสงได้ด้วยนะ
มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!
รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!
ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ