10 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดเอฮิเมะ’ ที่ต้องไปโดนสักครั้ง!
เม.ย. 19, 2021
จังหวัดเอฮิเมะ (Ehime Prefecture)
จังหวัดเอฮิเมะ (Ehime Prefecture) เป็นจังหวัดที่อยู่ทางตอนเหนือของภูมิภาคชิโกกุ (Shikoku Region) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะฮอนชู ด้วยสภาพภูมิประเทศที่หันหน้าออกสู่ทะเลในเซโตะ (Seto Inland Sea) เอฮิเมะจึงมีสภาพภูมิอากาศแบบอบอุ่น อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดในฤดูร้อนจะอยู่ที่ 27 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุดในฤดูหนาวจะอยู่ที่ 5.6 องศาเซลเซียส
ดังนั้น เราขอรับรองได้เลยว่าถ้ามาเที่ยวที่จังหวัดนี้ คุณจะได้สัมผัสกับลมทะเลเย็นๆและแสงแดดอ่อนๆอย่างแน่นอน
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของเอฮิเมะ คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากปราสาทมัตสึยามะ และโดโกะออนเซ็นซึ่งเป็นออนเซ็นที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น! แถมยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่สวยงามด้วยนะ
เอาล่ะ! เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปดูกันเลยดีกว่าว่าจังหวัดนี้จะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง~
สารบัญ
วิธีการเดินทาง
สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดเอฮิเมะ
-
- ซุยฮะโคเก็น (Suiha Kogen)
- หุบเขาโอโมโกะ (Omogo Gorge)
- โดโกะออนเซ็นฮอนคัง (Dogo Onsen Honkan)
- ชิมานามิไคโด (Shimanami Kaido)
- ปราสาทมัตสึยามะ (Matsuyama Castle)
- หมู่บ้านการิวซังโซ (Garyu Sanso Villa)
- ศาลเจ้าโอยามะสึมิ (Oyamazumi Shrine)
- ศาลเจ้ายูเกะ (Yuge Shrine)
- เกาะอาโอชิมะ (Aoshima Island)
- ฟาร์มยามาโมโตะ (Yamamoto Farm)
อาหารประจำจังหวัดเอฮิเมะ
วิธีการเดินทาง
ก่อนที่เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับสถานที่น่าเที่ยวในเอฮิเมะนั้น เราได้นำวิธีการง่ายๆในการเดินทางไปเที่ยวเอฮิเมะมาฝากทุกคนด้วย (ว่าแต่การเดินทางในญี่ปุ่นมันเคยง่ายด้วยเหรอ 555)
เอาล่ะ! เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราขอแจงแถลงความกันเลยเน้อ~
โดยเครื่องบิน [1]
จากประเทศไทยไม่มีเที่ยวบินไปยังจังหวัดเอฮิเมะโดยตรง แต่เราสามารถต่อเครื่องจากสถานที่ต่างๆเหล่านี้ไปยังเอฮิเมะได้
- Seoul – Matsuyama (Ehime) ของสายการบิน Asiana Airlines ใช้เวลาเดินทางประมาณ 100 นาที
- Shanghai – Matsuyama (Ehime) ของสายการบิน China Eastern Airlines โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 100 นาที
- Tokyo (Haneda) – Matsuyama (Ehime) ของสายการบิน ALL NIPPON AIRWAYS・JAPAN AIRLINES โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 80 นาที
- Osaka (Itami) – Matsuyama (Ehime) ของสายการบิน ALL NIPPON AIRWAYS โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที
- Fukuoka – Matsuyama (Ehime) ของสายการบิน JAPAN AIR COMMUTER โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที
- Kagoshima – Matsuyama (Ehime) ของสายการบิน JAPAN AIR COMMUTER โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 60 นาที
- Okinawa – Matsuyama (Ehime) ของสายการบิน ALL NIPPON AIRWAYS โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 120 นาที
- Nagoya (Chubu) – Matsuyama (Ehime) ของสายการบิน ALL NIPPON AIRWAYS โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 60 นาที
โดยรถไฟความเร็วสูง [2]
ใช้เวลา 410 นาที จากโตเกียว :
- นั่งรถไฟ Tokaido Shinkansen ขบวน Nozomi จากสถานีโตเกียว ไปลงที่สถานีโอคายามะ จากนั้นขึ้นรถไฟ JR สายด่วนพิเศษ Shiokaze ที่สถานีโอคายามะ โดยนั่งไปลงที่สถานีมัตสึยามะ
- เส้นทางรถไฟ > Tokyo station : Tokaido Shinkansen (Nozomi Super express) > Okayama station : JR Limited Express “Shiokaze” > Matsuyama station
ใช้เวลา 250 นาที จากโอซาก้า :
- นั่งรถไฟ Tokaido Shinkansen ขบวน Nozomi จากสถานีโอซาก้า ไปลงที่สถานีโอคายามะ จากนั้นขึ้นรถไฟ JR สายด่วนพิเศษ Shiokaze ที่สถานีโอคายามะ โดยนั่งไปลงที่สถานีมัตสึยามะ
- เส้นทางรถไฟ > Osaka station : Tokaido Shinkansen (Nozomi Super express) > Okayama station : JR Limited Express “Shiokaze” > Matsuyama station
ใช้เวลา 320 นาที จากฮากาตะ :
- นั่งรถไฟ Tokaido Shinkansen ขบวน Nozomi จากสถานีฮากาตะ ไปลงที่สถานีโอคายามะ จากนั้นขึ้นรถไฟ JR สายด่วนพิเศษ Shiokaze ที่สถานีโอคายามะ โดยนั่งไปลงที่สถานีมัตสึยามะ
- เส้นทางรถไฟ > Hakata station : Tokaido Shinkansen (Nozomi Super express) > Okayama station : JR Limited Express “Shiokaze” > Matsuyama station
สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดเอฮิเมะ
1. ซุยฮะโคเก็น (Suiha Kogen)
ซุยฮะโคเก็น (Suiha Kogen) เป็นที่ราบสูงแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงใน ‘จังหวัดเอฮิเมะ’ ทัศนียภาพแบบพาโนรามาที่ทอดยาวจากทะเลในเซโตะ (Seto Inland Sea) ไปจนถึงภูเขาชิโกกุ (Mt. Shikoku) นั้นเป็นความสวยงามที่หาตัวจับได้ยาก จึงไม่น่าแปลกใจเลยหากที่นี่จะเป็นสถานที่ยอดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ
สำหรับความพิเศษของที่นี่เห็นจะเป็นดอกเรปซีด (Rapeseed) สีเหลืองสดใสที่ผลิบานต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ และดอกดาวกระจาย (Cosmos) ที่จะเริ่มแย้มเกสรเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง
ถ้าใครอยากมาชมความงามของดอกไม้ทั้งสองชนิด เราขอแนะนำให้มาช่วงเทศกาลดอกเรปซีดที่จัดขึ้นในช่วงกลางเดือนเมษายน และเทศกาลดอกดาวกระจายที่จัดขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคมของทุกปี
นอกจากนี้ที่ซุยฮะโคเก็นยังมีหอสังเกตการณ์ที่ใช้ชมทุ่งดอกไม้ได้อีกด้วย หรือจะใช้ชื่นชมทิวทัศน์ของภูเขาชิโกกุหรือความสวยงามของท้องฟ้าในยามค่ำคืนก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ที่นี่ยังมีสวนซากุระวอชิงตันอีกด้วย (Washington Cherry Blossom)
หากใครได้มาพักผ่อนชิลล์ๆที่ซุยฮะโคเก็น บอกเลยว่าจะต้องเพลินตาเพลินใจไปกับความสวยงามของธรรมชาติอย่างแน่นอน!
ข้อมูลเกี่ยวกับซุยฮะโคเก็น (Suiha Kogen)
ที่อยู่
- 〒799-0642 Ehime, Shikokuchuo, Kinshacho Hiranoyama, 乙306―1
โทร
- 0896-28-6187
วันและเวลาทำการ
- เปิดทุกวัน
ค่าเข้าชม
- ฟรี
วิธีเดินทาง
- จากสถานีรถไฟ Matsuyama Station ให้ขึ้นรถไฟ JR สายด่วนพิเศษ ‘Shiokaze’ Limited Express ไปลงที่สถานี Iyo-Mishima Station ใช้เวลาประมาณ 90 นาที จากนั้นโดยสารรถยนต์ไปอีกประมาณ 30 นาที
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
2. หุบเขาโอโมโกะ (Omogo Gorge)
หุบเขาโอโมโกะ (Omogo Gorge / Omogokei) เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะจุดชมวิวระดับประเทศ! น้ำสีฟ้าอมเขียวมรกตอันสวยงามของหุบเขาแห่งนี้มีต้นกำเนิดมาจากแม่น้ำโอโมโกะ (Omogo River) ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองมัตสึยามะไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 50 กิโลเมตร และจากหุบเขาแห่งนี้ไปทางทิศเหนือประมาณ 7 กิโลเมตร เราก็จะพบกับภูเขาที่สูงที่สุดในภูมิภาคตะวันตกของญี่ปุ่น นั่นก็คือ ภูเขาอิชิสึจิ (Mount Ishizuchi) ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลเกือบ 2 กิโลเมตร! [3]
นอกจากนี้ หุบเขาโอโมโกะยังเป็นสถานที่ที่อยู่ใกล้กับบริเวณต้นน้ำของแม่น้ำโอโมโกะมากที่สุด ธารน้ำจากแม่น้ำโอโมโกะนั้นจะไหลลงจากภูเขาอิชิสึจิ ผ่านบริเวณกลางเกาะชิโกกุ จากนั้นทิศทางการไหลของกระแสน้ำจะเปลี่ยนไป โดยไหลไปยังทิศตะวันตกของเมืองโคจิ (Kochi) และในท้ายที่สุดก็จะไหลออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิก
ทางเข้าของหุบเขาแห่งนี้คือ พิพิธภัณฑ์หุบเขาโอโมโกะ (Omogo Mountain Museum) ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะมีข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นมาของหุบเขาแห่งนี้ รวมไปถึงการบอกเล่าตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตที่เราสามารถพบได้บนหุบเขาแห่งนี้ แถมยังมีข้อมูลเกี่ยวกับตำนานของภูเขาศักดิ์สิทธิ์อย่างภูเขาอิชิสึจิอีกด้วย
ส่วนระยะทางของหุบเขาแห่งนี้มีความยาว 10 กิโลเมตร โดยจุดเริ่มต้นของทางเดินบนหุบเขานั้นมีระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร นอกจากนี้ก็ยังมีป้ายรถบัสที่อยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์อันเป็นจุดเริ่มต้นของทางเดินเขา แต่ถ้าใครขับรถมาเองก็จะสามารถร่นระยะเดินไปได้อีกประมาณ 2 กิโลเมตร
ระหว่างทางที่เดินไปตามเส้นทางเดินเขามีจุดที่น่าสนใจดังนี้
- กัมมง (Kanmon) เป็นจุดชมธารน้ำโอโมโกะที่ไหลผ่านช่องแคบหินของหุบเขาที่สูงชัน ซึ่งอยู่ห่างจากพิพิธภัณฑ์ไปประมาณ 350 เมตรเท่านั้น บอกเลยว่าตรงนี้สวยมว้ากกก!
- โกชิกิ กาวาระ (Goshiki Gawara) จุดนี้อยู่ห่างจากพิพิธภัณฑ์ไปประมาณ 1.3 กิโลเมตร อีกทั้งยังเป็นจุดชมวิวยอดนิยมของที่นี่ เราจะได้ชมธารน้ำใสๆจากต้นแม่น้ำโอโมโกะที่รายล้อมไปด้วยก้อนหินน้อยใหญ่สีขาวสะอาดตา นอกจากนี้คำว่า Goshiki ยังมีความหมายว่า ‘5 สี’ อีกด้วย โดย 5 สีที่ว่านี้ประกอบไปด้วยสีน้ำเงินของน้ำ สีดำของมอส สีขาวของก้อนหิน สีเขียวของสาหร่าย และสีแดงของใบเมเปิลในฤดูใบไม้ร่วง และถ้าเดินทางห่างออกไปจากโกชิกิ กาวาระประมาณ 1 กิโลเมตร เราจะพบกับหุบเขาย่อยโฮราอิ (Hourai Gorge or Houraikei) และโมมิจิ กาวาระ (Momiji Gawara) ซึ่งเป็นจุดชมเมเปิลนั่นเอง แน่นอนว่าถ้ามาเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หรือช่วงเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน เราจะได้ชมความงามของใบเมเปิลสีแดง
- คาเมะฮารุ (Kameharu) เป็นจุดที่อยู่ห่างจากโกชิกิ กาวาระไปประมาณ 200 เมตร ที่นี่มีหินโมโนลิต (Monolith) ซึ่งมีขนาดกว้าง 200 เมตร สูง 100 เมตร หินก้อนนี้จะตั้งอยู่ท่ามกลางผาหินและส่วนของแม่น้ำที่ตื้นเขิน
ถ้าได้เดินตามทางไปเรื่อยๆ เราเชื่อว่าทุกคนจะพบจุดที่สวยงามอีกมากมายเลยค่ะ
ข้อมูลเกี่ยวกับหุบเขาโอโมโกะ (Omogo Gorge)
วิธีเดินทาง
- นั่งรถบัสจากสถานี Matsuyama-shi Station (Iyotetsu Railway ที่มุ่งหน้าสู่ Kuma) โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 70 นาที
- ขับรถ 60 กม. จาก Matsuyama Interchange ของ MATSUYAMA EXPRESSWAY ผ่านทางหลวงหมายเลข 33 และทางจังหวัดหมายเลข 12 มุ่งสู่ Kuma Kogen
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
3. โดโกะออนเซ็นฮอนคัง (Dogo Onsen Honkan)
โดโกะออนเซ็นฮอนคัง (Dogo Onsen Honkan) เป็นออนเซ็นที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น! ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าพันปีที่นอกจากจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมในปี 1994 แล้ว ออนเซ็นแห่งนี้ก็ยังได้รางวัล 3 ดาวจาก Michelin Green Guide Japan ในปี 2009 อีกด้วย
คามิโนะยุ ฮอนคัง (Kami-no-Yu Honkan) เป็นอาคารไม้ 3 ชั้นที่รีโนเวตไปเมื่อปี 1894 โดย ยูกิยะ อิซานิวะ (Yukiya Isaniwa) นายกเทศมนตรีของเขตโดโกะยูโนะมาจิ (Dogo Yunomachi) โครงสร้างของอาคารแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดยมาตาฮะจิโร่ ซากาโมโตะ (Matahachiro Sakamoto) ช่างฝีมือดีจากตระกูลปรมาจารย์ช่างไม้ โดยตระกูลนี้มีส่วนร่วมในการสร้างปราสาทมัตสึยามะ (Matsuyama Castle) ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดเอฮิเมะเช่นกัน
โครงถักที่เราเห็นนั้นสร้างขึ้นโดยอาศัยเทคนิคจากตะวันตกร่วมด้วย โดยลักษณะของหลังคาที่เป็นฉัตร 3 ชั้น แล้วครอบชั้นสุดท้ายด้วยโดมสี่เหลี่ยมนั้นเรียกว่า ชินโรคาคุ (Shinrokaku) นอกจากนี้วัสดุที่ใช้ทำหน้าต่างอย่างกระจกแก้วกิยามัง (Giyaman glass) หรือหลังคาที่ประดับด้วยรูปสลักนกกระยางตามตำนานของโดโกะออนเซ็น ก็ทำให้อาคารไม้แห่งนี้มีความงดงามมากทีเดียว
- หมายเหตุ : แก้วกิยามัง (Giyaman Glass) คือแก้วที่ได้รับการเจียระไนให้มีความเปล่งประกายดุจเพชร และเป็นแก้วอีกประเภทหนึ่งที่มีเนื้อขุ่น (Semi- opaque)
โดโกะออนเซ็นฮอนคังแบ่งพื้นที่อาบน้ำออกเป็น 2 แห่งคือ
- ทามาโนะยุ (Tama-no-Yu)
- คามิโนะยุ (Kami-no-Yu)
ทามาโนะยุ (Tama-no-Yu) : แม้จะเป็นห้องอาบน้ำที่มีขนาดเล็กกว่าคามิโนะยุ แต่อ่างอาบน้ำของทามาโนะยุก็สร้างจากหินแกรนิตที่ดีที่สุด 2 ชนิดอย่างหินอาจิ (aji-ishi) และหินโอชิมะ (oshima-ishi) โดยผนังหินอ่อนและส่วนประกอบอื่นๆของห้องนั้นล้วนทำให้ที่นี่มีความหรูหราและสวยงาม
คามิโนะยุ (Kami-no-Yu) : ห้องอาบน้ำหินที่ประดับด้วยแผ่นกระเบื้องสีน้ำเงินขาวที่เรียกว่า ‘โทเบพอร์ซเลน’ (Tobe Porcelain) ความพิเศษของคามิโนะยุคือ ยูกามะ (Yugama) หรือ เสาพวยน้ำขนาดใหญ่ นอกจากนี้ตรงกลางห้องอาบน้ำหญิงยังมีรูปปั้นของเทพโอคุนินุชิ (Okuninushi no Mikoto) และเทพสึกุนาฮิโกนะ (Sukunahikona no Mikoto) ซึ่งเป็นเทพที่ปรากฏในตำนานของโดโกะออนเซ็นฮอนคังด้วย
ข้อมูลเกี่ยวกับโดโกะออนเซ็นฮอนคัง (Dogo Onsen Honkan)
วิธีเดินทาง
- เดินจาก Dogo Park ไปประมาณ 3 นาที
- เดินจากสถานีรถราง Dogo Onsen Station ใช้เวลาประมาณ 4 นาที
- นั่งรถรางสาย 5 จากสถานี JR Matsuyama Station ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
- นั่งรถรางสาย 3 จากสถานี Matsuyama-shi Station ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
วันและเวลาทำการ
- 06:30 – 23:30 น. (เปิดให้เข้ารอบสุดท้ายคือ 22:30 น.)
- เปิดให้บริการทุกวัน (แต่จะหยุดทำความสะอาดประมาณต้นเดือนธันวาคมของทุกปี)
ค่าเข้าชม (เฉพาะส่วนของ Kami-no-yu)
- ผู้ใหญ่ : 420 เยน
- เด็ก : 160 เยน
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
4. ชิมานามิไคโด (Shimanami Kaido)
ชิมานามิไคโด (Shimanami Kaido) หรือทางด่วนนิชิเซโตะ (Nishiseto Expressway) เป็นทางด่วนของญี่ปุ่นที่เชื่อมระหว่างเมืองโอโนมิจิของจังหวัดฮิโรชิม่ากับเมืองอิมาบาริของจังหวัดเอฮิเมะ ทางด่วนสายนี้มีความยาว 59.4 กิโลเมตร (36.9 ไมล์) ประกอบไปด้วย 4 เลน โดยมีทางแยกไว้ต่างหากสำหรับคนเดินเท้าและนักปั่นจักรยาน
ระหว่างทางจะผ่านหมู่เกาะเกโยะ (Geiyo Island) รวมไปถึงเกาะโอชิมะ เกาะอุมาชิมะ และเกาะอินโนชิมะ นอกจากนี้ถนนและสะพานหลายแห่งที่ใช้ข้ามทะเลในเซโตะ (Seto Inland Sea) ก็นับว่าเป็น 1 ใน 3 เส้นทางคมนาคมหลักของโครงการสะพานฮอนชู–ชิโกกุ (Honshu-Shikoku Bridge) ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนสัญจรไปมาระหว่างเกาะฮอนชูและชิโกกุ
นอกจากนี้ ชิมานามิไคโดยังประกอบไปด้วยสะพาน 55 แห่ง โดยมีจุดที่โด่งดังคือสะพานคุรุชิมะไคเกียว (Kurushima Kaikyo Bridge) ซึ่งเป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก และสะพานทาทาระ (Tatara Bridge) สะพานที่มีสายเคเบิลยาวเป็นอันดับ 4 ของโลก ทั้งหมดล้วนเป็นสะพานที่เชื่อมกับเส้นทางของชิมานามิไคโด
และที่สำคัญคือชิมานามิไคโดนั้นขึ้นชื่อเรื่องวิวทิวทัศน์ที่สวยงามด้วย เราสามารถสัญจรผ่านเส้นทางนี้ได้โดยจักรยาน จักรยานยนต์ รถยนต์ หรือจะเดินกันชิลล์ๆก็ย่อมได้
เนื่องจากว่าชิมานามิไคโดมีการแบ่งเลนจักรยานเอาไว้อย่างชัดเจน ที่นี่จึงเป็นที่นิยมสำหรับกิจกรรมปั่นจักรยานระยะไกล (ระยะทางร่วม 70 กิโลเมตร) [4] ส่วนกิจกรรมอื่นๆอย่างการชมทิวทัศน์เกาะนับร้อย ณ ทะเลในเซโตะ ทริปสำรวจเกาะโอชิมะ การเข้าชมพิพิธภัณฑ์มุราคามิไคโซคุ (Murakami Kaizoku Museum) ทั้งหมดก็ล้วนเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือน~!
หากใครได้มาที่นี่จะต้องเก็บความประทับใจกลับบ้านไปได้อย่างแน่นอน [5]
- *หมายเหตุ : ถ้าใครไม่มีเวลามากพอที่จะปั่นจักรยานก็สามารถเหมาแท็กซี่ไปเที่ยวได้นะเออ
ข้อมูลเกี่ยวกับชิมานามิไคโด (Shimanami Kaido)
วิธีเดินทาง
- นั่งรถไฟ JR Limited Express “Shiokaze” จากสถานี Matsuyama Station ไปลงที่ Imabari Station โดยใช้เวลา 40 นาที จากนั้นให้เช่าจักรยานใน Imabari พอปั่นไปถึงที่ Kamiura Rental Cycle Terminal ตรง Tatara Shimanami Park แล้ว สามารถกลับไปที่ Imabari หรือจะไป Hiroshima กับ Fukuyama ได้ด้วยรถบัส Shimanami Liner โดยขึ้นรถจากป้ายรถประจำทาง Omishima BS ที่อยู่ใกล้เคียงก็ได้ ทั้งนี้สามารถดูวิธีเดินทางเพิ่มเติมได้ที่นี่ >>> SHIMANAMI JAPAN WEBSITE
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
5. ปราสาทมัตสึยามะ (Matsuyama Castle)
ปราสาทมัตสึยามะ (Matsuyama Castle) เป็น 1 ใน 12 ปราสาทดั้งเดิมที่รอดพ้นจากการทำลายโดยสงครามในช่วงก่อนเข้ายุคเมจิ อีกทั้งยังเป็นปราสาทที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงชันใจกลางเมืองอย่างภูเขาคาสึยามะ (Mt. Katsuyama) หากมองจากจุดชมวิวบนปราสาทก็จะมองเห็นทะเลในเซโตะที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา นอกจากนี้บริเวณรอบๆปราสาทยังมีต้นซากุระด้วย~ ถ้าใครอยากมาชมดอกซากุระที่แสนน่ารักก็มาได้ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงเดือนต้นเมษายนนะ
ว่าด้วยความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ ต้องย้อนกลับไปในช่วงปี 1583 มีชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า คาโตะ โยชิอากิ (Kato Yoshiaki) ได้รับรางวัลจากไดเมียวโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ในฐานะผู้ติดตามตอนทำสงครามชิสึงาทาเกะ (The Battle Of Shizugatake) กล่าวคือโยชิอากิได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นขุนนาง (Lord Of Masaki) พร้อมกับทรัพย์สิน 60,000 โกกุ*
- *โกกุ (Koku) เป็นหน่วยวัดปริมาณของญี่ปุ่นที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีน โดย 1 โกกุนั้นมีปริมาณเท่ากับข้าวที่ใช้เลี้ยงคนได้ 1 ปี
หลังจากที่ฮิเดโยชิล่วงลับไป โยชิอากิก็หันไปเข้าร่วมกับตระกูลโทคุกาวะแทน (Tokukawa Clan) แถมยังช่วยรบกับตระกูลโทโยโตมิในการทำสงครามเซกิงาฮาระ (The Battle Of Sekigahara) อีกด้วย พอผ่านพ้นเหตุการณ์นี้ไป โยชิอากิก็มีทรัพย์สินถึงสองแสนโกกุเลยทีเดียว และเพื่อตอบแทนที่ได้รับทรัพย์สินมากมายขนาดนี้ โยชิอากิจึงตัดสินใจสร้างปราสาทมัตสึยามะแห่งนี้ขึ้นมาในปี 1602 [6]
อย่างไรก็ตาม ปราสาทแห่งนี้เคยได้รับความเสียหายจากฟ้าผ่าในปี 1784 และส่วนที่ได้รับความเสียหายก็คือหอคอย 5 ชั้น พอเข้าสู่ปี 1820 จึงได้มีการสร้างหอคอย 3 ชั้นขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนอาคารที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว
จบกับความเป็นมาย่อๆ (นี่ย่อแล้วใช่ไหมคะ 555) มาต่อกันด้วยคำถามที่ว่า “แล้วทำไมเราต้องมาที่นี่ล่ะ? มันสุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ต้องบอกเลยว่าความยอดเยี่ยมของปราสาทมัตสึยามะก็คือแบบแปลนของปราสาทที่เหมาะกับการเป็นยุทธภูมิอย่างมาก โดยเห็นได้จากการที่ปราสาทแห่งนี้มีปราการถึง 3 ชั้น ดังนี้
- ฮอนมารุ (Honmaru) : ปราสาทส่วนหลักที่อยู่ชั้นใน
- นิโนมารุ (Ninomaru) : ปราสาทชั้นนอก หรือชั้นที่ 2
- ซันโนมารุ (Sannomaru) : ปราสาทชั้นนอกที่อยู่ถัดออกมาจากชั้นนิโนมารุ หรือชั้นที่ 3
สำหรับตัวปราสาทมัตสึยามะนั้นอยู่ในชั้นฮอนมารุ ส่วนภายในชั้นนิโนมารุเป็นที่อยู่เดิมของขุนนาง และสวนขนาดใหญ่จะอยู่ในชั้นซันโนมารุ
นอกจากนี้ ปราสาทมัตสึยามะก็ยังมีโทนาชิมง (Tonashimon) หรือประตูโล่งๆแบบไม่มีบานประตู โดยโครงสร้างส่วนนี้มีไว้เพื่อล่อลวงข้าศึกให้มาเจอกับป้อมปราการสุดแข็งแกร่งอย่าง สึสึอิมง (Tsutsuimon) แถมข้างๆป้อมยังมีประตูลับอย่าง คากุเระมง (Kakuremon) ที่ใช้จู่โจมศัตรูได้อีกด้วย ล้ำมากๆ!
ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ค่ะทุกคน เพราะส่วนประกอบของปราสาทแห่งนี้ยังมีหอคอยทิศใต้ (ด้านขวา) และหอคอยทิศเหนือ (ด้านซ้าย) ที่เชื่อมต่อกันด้วยทางเดิน โดยป้อมปืนของหอคอยทิศใต้มีชื่อเรียกว่า มินามิสึมิยากุระ (Minami Sumi Yagura) และป้อมปืนของหอคอยทิศเหนือจะมีชื่อเรียกว่า คิตะสึมิยากุระ (Kita Sumi Yagura)
นอกจากนี้ บนกำแพงหินทากะอิชิกากิ (Taka Ishigaki) จะมีหอกลองเตือนภัย เพราะถ้ามองจากข้างบนของหอ เราก็สามารถมองเห็นผู้บุกรุกที่เข้ามาทางประตูโทนาชิมงได้ด้วย เรียกได้ว่าปราสาทมัตสึยามะเป็นเหมือนกับปราการเหล็กที่แสนอลังการและยากต่อการตีให้แตกสุดๆ [7]
ถ้ามา ‘จังหวัดเอฮิเมะ’ แล้วไม่ได้มาเที่ยวปราสาทมัตสึยามะล่ะก็ ขอบอกเลยว่าพลาดมาก!
ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทมัตสึยามะ (Matsuyama Castle)
วิธีเดินทาง
- เดินจาก Okaido tram/bus stop โดยใช้เวลา 5 นาที
วันและเวลาทำการ
- 9:00 – 17:00 น. (เปิดถึง 17:30 น. ในเดือนสิงหาคม และเปิดถึง 16:30 น. ในเดือนธันวาคมกับมกราคม)
- หมายเหตุ : เปิดให้เข้าชมรอบสุดท้ายของวันก่อนเวลาปิด 30 นาที
- ปิดทุกวันพุธของสัปดาห์ที่ 3 ในเดือนธันวาคม
ค่าเข้าชม
- ผู้ใหญ่ : 520 เยน
- เด็กอายุไม่เกิน 11 ปี : 160 เยน
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
6. หมู่บ้านการิวซังโซ (Garyu Sanso Villa)
หมู่บ้านการิวซังโซ (Garyu Sanso Villa) สร้างขึ้นในปี 1907 เป็นหมู่บ้านลึกลับที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเมืองโอสึเก่า เนื่องด้วยรูปแบบของหมู่บ้านที่สร้างโดยอาศัยแบบของหมู่บ้านคัตสึระริกิว (Katsura Rikyu) และชูงะคุอินริกิว (Shugakuin Rikyu) ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดเกียวโต เราจึงสามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศย้อนยุคที่เรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความวิจิตรงดงาม
บริเวณอาคารหลักมีชื่อเรียกว่า การิวอิน (Garyu-in) เป็นบ้านหลังใหญ่ที่มุงหลังคาด้วยใบจาก ภายในตัวบ้านก็ประดับประดาด้วยงานอาร์ตสวยๆเต็มไปหมด~ นอกจากนี้ยังมีสวนกับบ้านน้ำชาหลังเล็กที่อยู่ด้านหลังของอาคารหลัก ซึ่งส่วนของบ้านน้ำชาจะไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม
เมื่อเดินไปถึงด้านในสุดของสวน เราก็จะพบกับแม่น้ำฮิจิกาวะ (Hijikawa River) ซึ่งตรงนี้เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามมากเลยล่ะ
ข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านการิวซังโซ (Garyu Sanso Villa)
วิธีเดินทาง
- เดินจากสถานี Iyo-Ozu Station โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที
เวลาทำการ
- เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09:00 – 17:00 น.
- หมายเหตุ : เข้าชมรอบสุดท้ายของวันได้ก่อนเวลาปิด 30 นาที
ค่าเข้าชม
- เฉพาะ Garyu Sanso : 550 เยน
- เข้าชมทั้ง Garyu Sanso และ Ozu Castle : 880 เยน
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
7. ศาลเจ้าโอยามะสึมิ (Oyamazumi Shrine)
ศาลเจ้าโอยามะสึมิ (Oyamazumi Shrine) ตั้งอยู่บนเกาะโอมิชิมะ (Omishima) ซึ่งอยู่ที่ทะเลในเซโตะ (Seto Inland Sea) อีกทั้งยังเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่สุดใน ‘จังหวัดเอฮิเมะ’ ด้วย! เพราะที่นี่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 549 ด้วยจุดประสงค์เพื่อสักการะบูชาเทพโอยามะสึมิ (Oyamazumi no Okami) ผู้เป็นเทพแห่งขุนเขา มหาสมุทร และสงคราม
เมื่อพูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าโอยามะสึมินั้น ชาวเอฮิเมะกล่าวขานกันว่าใครก็ตามที่มาสักการะขอพรเรื่องการทำสงครามที่ศาลเจ้านี้ก็มักจะประสบกับชัยชนะเสมอ ด้วยเหตุนี้ศาลเจ้าโอยามะสึมิจึงเป็นจุดแวะเที่ยวยอดฮิตของบรรดาไดเมียว ซามูไร และโจรสลัดในช่วงก่อนออกรบ(หรือออกปล้น)นั่นเอง แต่ถ้าตัดภาพมาที่คนยุคไอทีอย่างเราๆ คนเขียนคิดว่าศาลเจ้าแห่งนี้ก็น่าจะเหมาะกับการมาขอพรเรื่องการแข่งขันกีฬานะ
ส่วนความพิเศษของสถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าก็ต้องเป็นต้นการบูรศักดิ์สิทธิ์อายุมากกว่า 2,600 ปี! นอกจากนี้ยังมีการจัดจำหน่ายพวกชุดเกราะ เครื่องแต่งกายซามูไร และอื่นๆอีกมากมาย
ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าโอยามะสึมิ (Oyamazumi Shrine)
วิธีเดินทาง
- นั่งรถไฟ JR สาย Yosan Line ไปลงที่สถานี Imabari จากนั้นนั่งรถประจำทาง Setonaikai Kotsu Bus ที่มุ่งหน้าไปทาง Omishima ไปลงที่ป้าย Oyamazumi Jinja-mae โดยใช้เวลาประมาณ 60 นาที
เวลาทำการ
- เปิดตลอด 24 ชั่วโมง จะมีเฉพาะส่วนที่เป็นหอสมบัติเท่านั้นที่เปิดในเวลา 08:30 – 16:30 น.
ค่าเข้าชม (เฉพาะหอสมบัติ)
- ผู้ใหญ่ : 1,000 เยน
- นักศึกษาและนักเรียนมัธยมปลาย : 800 เยน
- นักเรียนมัธยมต้นและนักเรียนประถม : 400 เยน
แผนที่ Google Map
8. ศาลเจ้ายูเกะ (Yuge Shrine)
ศาลเจ้ายูเกะ (Yuge Shrine) เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นในสมัยมุโรมาจิ (Muromachi) หรือประมาณปี 1396
ที่จริงแล้วเราสามารถเรียกที่นี่ว่าเป็นอีกหนึ่ง Unseen ที่น่าไปโดนของเอฮิเมะเลยก็ว่าได้ เพราะจุดที่เป็นมุม Unseen ก็คือทัศนียภาพอันแสนงดงามของสะพานไทโกะบาชิ (Taiko Bashi Bridge) ที่อยู่เหนือสระน้ำยูเกะ (Yuge Pond) นั่นเอง ทั้งนี้สะพานไทโกะบาชินับเป็นทางเข้าของศาลเจ้าแห่งนี้ โดยทุกๆปีจะมีนักบวชเข้ามาสักการะและทำพิธีอธิษฐานให้ปีนั้นๆเป็นปีที่ดีของการเก็บเกี่ยว
นอกจากนี้ บรรยากาศของสถานที่แห่งนี้ยังเงียบสงบและเต็มไปด้วยความเรียบง่ายอีกด้วย ถ้าใครอยากปลีกตัวจากผู้คนมาชมดอกไม้ชิลล์ๆก็สามารถมาที่นี่กันได้นะ ดอกไม้ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดอกซากุระ ดอกบ๊วย หรือดอกไอริส ทั้งหมดก็ล้วนสวยงามไม่แพ้ที่อื่นเลยล่ะ
ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้ายูเกะ (Yuge Shrine)
วิธีเดินทาง
- นั่งแท็กซี่จาก Uchiko โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที (ทั้งนี้เราสามารถเช่ารถและขับไปเองได้)
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
9. เกาะอาโอชิมะ (Aoshima Island)
เกาะอาโอชิมะ (Aoshima Island) เป็นเกาะเล็กๆที่แสนเงียบสงบใน ‘จังหวัดเอฮิเมะ’ อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อของ ‘เกาะแมว’ อีกด้วย! โดยสัดส่วนของประชากรมนุษย์กับประชากรแมวบนเกาะแห่งนี้คิดเป็น 1:8 เลยทีเดียว
เรียกได้ว่าใครเป็นทาสแมวเนี่ย ห้ามพลาดเกาะแห่งนี้เลยเชียว!
สำหรับกิจกรรมหลักของคนบนเกาะก็คือการทำประมง แต่เนื่องด้วยประชากรแมวน้อยแสนน่ารักที่มีจำนวนมาก การเลี้ยงแมวจึงกลายเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมหลักของคนบนเกาะด้วย
ใครที่อยากมาเล่นกับน้องเหมียวก็สามารถให้อาหารน้องๆได้ตรงบริเวณที่เขาจัดไว้ให้ ซึ่งจะอยู่ใกล้กับท่าเรือ แน่นอนว่าแมวน้อยพวกนี้ล้วนคุ้นเคยกับเหล่าทาสเป็นอย่างดี แต่ก็จะมีบางตัวที่แอบดุอยู่นะ ควรเล่นกับน้องอย่างระมัดระวังด้วยล่ะ
ข้อมูลเกี่ยวกับเกาะอาโอชิมะ (Aoshima Island)
วิธีเดินทาง
- นั่งเรือเฟอร์รีจากท่าเรือ Nagahama Port ไปยัง Aoshima Port โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที
- หมายเหตุ : เรือจะออกจากท่าเวลา 08:00 น. และ 14:30 น.
เวลาทำการ
- 07:00 – 17:00 น.
แผนที่ Google Map
10. ฟาร์มยามาโมโตะ (Yamamoto Farm)
ฟาร์มยามาโมโตะ (Yamamoto Farm) เป็นฟาร์มที่สร้างขึ้นโดยสามีภรรยาคู่หนึ่งที่อยู่ร่วมกันมากว่า 40 ปี ความพิเศษของฟาร์มแห่งนี้คือการเลี้ยงสัตว์ทุกตัวด้วยอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นน้องวัว แพะ หรือไก่ ก็ล้วนแล้วแต่ได้รับการเอาใจใส่ที่ดีทั้งนั้น
นอกจากนี้ภายในฟาร์มเองยังมีหลากหลายกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวอย่างเราทำ ซึ่งกิจกรรมก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละฤดูกาล แถมภายในพื้นที่ฟาร์มยังมีคาเฟ่ที่รอคอยให้พวกเราไปชิมซอฟต์ครีมนมสดที่แสนอร่อยด้วยนะ
พอเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ เราก็สามารถชมความสวยงามของดอกชิบะซากุระ (Shibazakura) และดอกลาเวนเดอร์สีขาวที่นี่ได้ด้วย รับรองเลยว่าเสน่ห์ของท้องฟ้าสีครามที่ตัดกับสีเขียวขจีของทุ่งหญ้า รวมถึงสีสันสดใสของดอกไม้ ทั้งหมดนี้จะต้องทำให้ทุกคนตกหลุมรักฟาร์มยามาโมโตะอย่างแน่นอน
ข้อมูลเกี่ยวกับฟาร์มยามาโมโตะ (Yamamoto Farm)
วิธีเดินทาง
- นั่งแท็กซี่จาก Uwajima โดยใช้เวลาประมาณ 27 นาที ทั้งนี้เราสามารถเช่ารถและขับไปเองได้ โดยใช้ทางด่วน Makigawa National Highway, Tsushima-cho ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 27 นาทีเช่นกัน
- [รายละเอียดย่อย] จากทางหลวงหมายเลข 56 ให้ใช้ถนนประจำจังหวัดเอฮิเมะ หมายเลข 4 สาย Yado Motsushima วิ่งไปตามเส้นทางของแม่น้ำ Iwamatsu ใน Prefectural Yokobuki Valley เมื่อเข้าสู่เขต Maki District จะมีป้ายบอกทางไป Sasayama → ที่ชายแดนจังหวัด (prefectural border) ให้เลี้ยวขวาที่ด้านหน้าออนเซ็น Haraigawa Onsen และขึ้นไปตามถนนลูกรัง
วันทำการ
- เปิดทุกวันในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายนเท่านั้น
- เปิดเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ในเดือนพฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม ตุลาคม และพฤศจิกายนเท่านั้น
ติดต่อ
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดเอฮิเมะ
จังหวัดเอฮิเมะ นั้นมีของกินแสนอร่อยมากมาย แต่ของขึ้นชื่อประจำจังหวัดนี้ที่เลื่องชื่อลือชามากที่สุด เห็นจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก มิกัง (Mikan) หรือส้มแมนดารินนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีวัตถุดิบชั้นเยี่ยมจากความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอีกด้วย
ว่าแต่ของกินขึ้นชื่อที่เรานำมาฝากกันจะมีอะไรบ้างน๊า~ ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ
1. เอฮิเมะมิกัง (Ehime Mikan)
หากได้มาเยือน ‘จังหวัดเอฮิเมะ’ แล้วไม่ได้กินส้มมิกัง เดาได้เลยว่ามาไม่ถึงแน่ๆ!
เพราะ เอฮิเมะมิกัง หรือ ส้มแมนดารินเอฮิเมะ นั้นเป็นของกินประจำจังหวัดเอฮิเมะที่เลื่องชื่อที่สุดในญี่ปุ่น! ขนาดโลโก้กับมาร์สคอตของจังหวัดเขายังเป็นส้มเลย แสดงว่ามันก็ต้องอร่อยจริงจังสินะ
ว่ากันว่าส้มแมนดารินของที่นี่มีสัดส่วนของรสหวานกับรสเปรี้ยวที่เพอร์เฟ็คสุดๆ! แถมยังมีรสสัมผัสที่นุ่มและชุ่มฉ่ำด้วย
สาเหตุที่ทำให้ส้มแมนดารินเอฮิเมะอร่อยล้ำได้ขนาดนี้ก็คือสภาพอากาศของเอฮิเมะนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นความเข้มของแสงแดด ลมทะเล และอากาศที่แสนเย็นสบาย ทุกปัจจัยก็ล้วนเหมาะแก่การเพาะปลูกส้มแมนดารินทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น ผลไม้รสเปรี้ยวกว่า 40 ชนิดก็สามารถเจริญเติบโตได้ดีในเอฮิเมะอีกด้วย เราจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเอฮิเมะถึงเป็นแหล่งผลิตและส่งออกผลไม้รายใหญ่ของญี่ปุ่นอีกแห่งหนึ่ง
พอถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ส้มมิกังหลากหลายสายพันธุ์ในเอฮิเมะก็จะออกผลให้เราได้เอร็ดอร่อยกันตลอดทั้งปี แถมของหวานที่ทำจากมิกังก็น่าอร่อยใช่เล่น ไม่ว่าจะนำไปทำเป็นน้ำคั้นผลไม้สด ไอศกรีม เจลลี โซดา หรือทอปปิ้งบนพาร์เฟต์ ทุกอย่างก็ล้วนดีต่อใจทั้งสิ้นค่ะ
2. ไทเมชิ (Taimeshi or Sea Bream Rice)
ในเมื่อเอฮิเมะเป็นแหล่งปลาไทชั้นเยี่ยมแล้ว ไทเมชิ จึงเป็นอีกหนึ่งเมนูท้องถิ่นประจำจังหวัดเอฮิเมะที่เราจะต้องไปกินให้ได้สักครั้ง! พระเอกของจานนี้คงเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากปลาไทนั่นเอง อีกทั้งชาวเอฮิเมะยังแบ่งสูตรการทำไทเมชิออกเป็น 2 สูตรตามท้องถิ่น คือสูตรตะวันออก (Imabari กับ Matsuyama) และสูตรใต้ (Uwajima)
สำหรับสูตรตะวันออกนั้น เขาจะนำข้าวไปอบกับปลาไททั้งตัว ส่วนสูตรใต้หรือสูตรอุวาจิมะนั้นจะเป็นข้าวหน้าซาชิมิปลาไท โดยเขาจะแล่เนื้อปลาไทสดๆ ก่อนจะนำไปวางเรียงกันบนจานข้าวสวยร้อนๆ จากนั้นก็ตีไข่ดิบกับโชยุให้เข้ากันแล้วนำมาราดบนข้าว เท่านี้เราก็จะได้ไทเมชิแสนอร่อยฉบับอุวาจิมะแล้ว
นอกจากสูตรการทำไทเมชิ 2 สูตรดังกล่าวแล้วก็ยังมีแบบไทโซเม็ง (Tai Somen) ด้วยนะ หน้าตาเท่าที่เห็นก็ละม้ายคล้ายคลึงกับเมี่ยงปลาบ้านเราไม่มีผิด โดยเขาจะนำปลาไทไปนึ่งกับซอสรสหวานเค็มก่อนจะเสิร์ฟพร้อมกับเส้นหมี่โซเม็งนั่นเอง
3. ยากิโทริ (Yakitori)
ยากิโทริทั่วไปจะต้องเสียบไม้ก่อนย่าง แต่ ยากิโทริของ ‘จังหวัดเอฮิเมะ’ นั้นมีวิธีการทำที่ต่างออกไป!
เขาจะนำเนื้อไก่ไปย่างบนกระทะร้อน แล้วเอากระทะร้อนใบที่ 2 กดทับเจ้าเนื้อไก่อีกที ดูไปดูมาก็จะเห็นว่าวิธีนี้คล้ายกับการทำพานินี แค่เปลี่ยนจากขนมปังที่สอดไส้ชีสกับเบคอนเป็นเนื้อไก่ล้วนแทน แต่ก็ด้วยวิธีการนี้แหละนะ ที่ทำให้เนื้อไก่มีรสสัมผัสกรุบกรอบเฉพาะผิวด้านนอก (crispy curst) นั่นก็เพราะว่าตรงบริเวณหนังไก่ได้สูญเสียน้ำมันไปบางส่วนจากการสัมผัสกับกระทะทั้งสองด้านโดยตรงนั่นเอง
ถ้าถามว่าเมนูนี้ควรกินคู่กับอะไรดี สายสุราปลาปิ้งอย่างคนเขียนก็ต้องบอกว่าเบียร์น่ะสิคุณขา จัดไป๊!
4. จัมปง (Champon)
จัมปง (Champon) หมายถึงเมนูที่มีส่วนผสมอันหลากหลาย ด้วยเหตุนี้จัมปงจึงเป็นราเมนที่ประกอบด้วยวัตถุดิบเยอะแยะมากมาย
แน่นอนที่สุดว่าจัมปงเป็นอีกหนึ่งเมนูขึ้นชื่อของ ‘จังหวัดเอฮิเมะ’ อาหารชนิดนี้มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นที่คิดค้นขึ้นว่า ยาวาทาฮามะจัมปง (Yawatahama Champon)
ความพิเศษของเมนูนี้คือ น้ำซุปใส ที่ทำมาจากการเคี่ยวกระดูกไก่ ปลาโบนิโตะ (Bonito Fish) และสาหร่ายคอมบุ (Kombu) เข้าด้วยกัน ก่อนจะนำไปราดบนเส้นราเมน ตกแต่งด้วยทอปปิ้งอย่างเนื้อทอดและผักทอด
ถ้าไปเอฮิเมะแล้วอยากกินจัมปงอร่อยๆก็ต้องไปที่เมืองยาวาทาฮามะ (Yawatahama) กันนะทุกคน
5. ทาร์ตอิจิโรคุ (Ichiroku Tart)
มาปิดท้ายกันที่ของหวานแสนนุ่มฟูอย่าง ทาร์ตอิจิโรคุ (Ichiroku Tart) ดีกว่า!
ทาร์ตอิจิโรคุเป็นหนึ่งในขนมหวานญี่ปุ่นที่ได้รับอิทธิพลมาจากโปรตุเกส คนญี่ปุ่นเรียกขนมหวานประเภทนี้ว่า นัมบังกาชิ (Nanbangashi) ซึ่งแปลว่า ขนมที่ได้รับอิทธิพลจากโลกตะวันตก
พออ่านมาถึงตรงนี้แล้วทุกคนก็น่าจะสงสัยเหมือนกับเราหรือเปล่านะ ว่าทำไมเจ้าขนมที่หน้าตาเหมือนโรลเค้กชิ้นนี้ถึงมีชื่อเรียกว่าทาร์ต?
ถ้างั้นเราขอย้อนกลับไปยังช่วงเอโดะที่วัฒนธรรมตะวันตกเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อชาวญี่ปุ่นกันก่อนเลย สำหรับคนสมัยนั้นขนมฝรั่งที่มีหน้าตาสวยงามแปลกตานับว่าเป็นของแปลกที่น่าลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็นขนมสัญชาติโปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน หรืออังกฤษ ทุกประเทศต่างก็ขนขนมบ้านเขามาขายเสียจนเต็มลำเรือ
แต่มีขนมอยู่ชนิดหนึ่งที่ทุกๆประเทศต่างพร้อมใจกันนำมาขายที่นี่ ก็คือ ‘ทาร์ต’ นั่นเอง พอคนญี่ปุ่นได้ยินคำว่าทาร์ตจากปากของเหล่าพ่อค้าขนมหวานชาวตะวันตกหลายเชื้อชาติ นานวันเข้าจึงพลอยเข้าใจไปว่า เจ้าขนมฝรั่งทุกชนิดที่พบเห็นมีชื่อเรียกว่า ‘ทาร์ต ‘ทั้งหมด !
แล้วความบันเทิงก็เกิดขึ้นจากจุดนั้นแหละค่ะท่านผู้ชม เพราะไม่ว่าจะเป็นเค้ก พาย ขนมปัง ชูครีม โรล หรือขนมที่มีหน้าตาเหมือนของนำเข้าจากตะวันตก พี่แกก็เรียกว่าทาร์ตหมดเลย
แน่นอนว่าความญี่ปุ่นไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เพราะเวลาที่เขาคิดค้นขนมสูตรใหม่ที่เกิดจากการฟิวชั่นกันระหว่างญี่ปุ่นกับตะวันตกขึ้นมา คนญี่ปุ่นก็จะตั้งชื่อขนมชิ้นนั้นไว้ก่อน แล้วต่อท้ายด้วยคำว่าทาร์ต เพื่อให้ดูเหมือนว่าขนมชิ้นนี้เป็นขนมแบบใหม่ รวมถึง ทาร์ตอิจิโรคุ ที่เราแนะนำด้วยนั่นเอง
ไขข้อข้องใจกันจบไปหนึ่งอย่าง เรามาดูกันต่อเลยดีกว่าว่าใครกันนะที่เป็นคนคิดค้นเจ้าขนมชิ้นนี้?
ย้อนกลับไปในสมัยต้นเอโดะ (ย้อนบ่อยเหลือเกิ๊น 555) เจ้าครองแคว้นมัตสึยามะนามว่า มัตสึไดระ ซาดายูกิ (Matsudaira Sadayuki) ได้รับคำสั่งจากโชกุนให้เดินทางไปที่นางาซากิ และในตอนนั้นเอง เขาก็ได้พบกับพ่อค้าหาบเร่ชาวโปรตุเกสที่กำลังขายขนมหวานอยู่ ทันทีที่สายตาของซาดายูกิจับจ้องไปยังขนมหวานหน้าตาน่าอร่อย เขาก็ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปซื้อและลิ้มลองมัน โดยขนมที่ทำให้เขาเกิดความประทับใจในรสชาติอย่างรุนแรงก็คือ โรลเค้กไส้แยม (Cake Roll With Yam)
หลังจากที่ซาดายูกิเดินทางกลับมัตสึยามะแล้ว เขาก็ได้คิดค้นขนมสูตรใหม่ขึ้น โดยนำถั่วแดงกวนมาทาลงบนแผ่นเค้กฟองน้ำ จากนั้นก็ม้วนมันให้มีลักษณะเหมือนกับสวิสโรล (Swiss roll) พอตัดเป็นชิ้นๆแล้วขนมก็จะมีหน้าตาเหมือนกับโรลเค้กอย่างที่เราเห็นกันค่ะ
หมดข้อสงสัยไปอีกหนึ่งข้อแล้วว่าทำไมทาร์ตอิจิโรคุถึงได้มีหน้าตาเหมือนโรลเค้กนัก 555 ส่วนความฮอตของทาร์ตอิจิโรคุนั้นคงอยู่มาตั้งแต่ก่อนเข้ายุคเมจิ จนปัจจุบันมันก็ยังคงเป็นขนมหวานยอดฮิตประจำภูมิภาคชิโกกุ
สำหรับทาร์ตอิจิโรคุของเอฮิเมะนั้นก็จะผสมน้ำส้มลงไปในตัวแป้งด้วย เวลาทานเราจึงได้รสหวานของถั่วแดงกวน บวกกับกลิ่นส้มอ่อนๆจากเนื้อเค้ก นี่ถ้าได้ชาสักถ้วยด้วยล่ะก็ คงเป็นเรื่องที่ดีต่อใจที่สุดเลย!
มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!
รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!
ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ