fbpx

รวม 10 ที่เที่ยวใน “จังหวัดคากาวะ” ที่ต้องไปโดนให้ได้สักครั้ง!

ก.ค. 12, 2021

บทนำ : ไปเที่ยว “จังหวัดคากาวะ” กันเถอะ!

จังหวัดคากาวะ Kagawa Prefecture

จังหวัดคากาวะ (Kagawa Prefecture) เป็น 1 ใน 4 จังหวัดของภูมิภาคชิโกกุ (Shikoku Region) โดยจังหวัดคากาวะจะตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะชิโกกุ ทั้งนี้ทางตะวันตกของจังหวัดนั้นมีอาณาเขตติดกับจังหวัดเอฮิเมะ (Ehime Prefecture) ส่วนทางทิศใต้อยู่ติดกับจังหวัดโทคุชิมะ (Tokushima Prefecture) ส่วนบริเวณชายฝั่งทางทิศเหนือจะติดกับทะเลในเซโตะ (Seto Inland Sea) และหันหน้าออกสู่พื้นที่ฝั่งตรงข้ามอย่างจังหวัดโอคายามะ (Okayama Prefecture) รวมถึงจังหวัดต่างๆในภูมิภาคคันไซ (Kansai Region) นอกจากนี้ยังมีภูเขาซานุกิ (Mt. Sanuki) ที่ทอดตัวผ่านทางทิศใต้ของจังหวัดด้วย

แม้ว่า ‘จังหวัดคากาวะ’ จะเป็นจังหวัดที่เล็กที่สุดในญี่ปุ่น แต่เสน่ห์ของที่นี่กลับไม่เล็กเลยค่ะ สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าไปโดนก็มีหลายแห่งเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นสวนริทสึริน (Ritsurin Garden) หรือแองเจิลโรด (Angel Road) ก็ล้วนแล้วแต่มีทิวทัศน์ที่สวยงาม นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อย่างปราสาทมารุกาเมะ (Marugame Castle) หรือเมืองโบราณบนเกาะฮอนจิมะ (Honjima Island) อีกด้วย และถ้าใครเป็นสายมูเตลูก็ต้องไม่พลาดการไปสักการะขอพรที่ศาลเจ้าคอมปิระ (Kompira Shrine) ด้วยนะคะ

เอาล่ะ! เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาดูกันเลยดีกว่าว่า 10 ที่เที่ยวใน จังหวัดคากาวะ ที่เราภูมิใจนำเสนอนั้นมีที่ไหนบ้าง ตามมาเลยค่ะ~

สารบัญ (Index) : จังหวัดคากาวะ (Kagawa Prefecture)

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดคากาวะ
    1. ศาลเจ้าโคโตฮิระกุ (Kotohira-gu shrine)
    2. แองเจิลโรด เกาะโชโดะชิมะ (Angel Road, Shodoshima Island)
    3. เกาะฮอนจิมะ (Honjima Island)
    4. หมู่บ้านภาพยนตร์นิจูชิโนะฮิโตมิ (Nijushi no Hitomi / Twenty-Four Eyes Movie Studio)
    5. หมู่บ้านชิโกกุมูระ (Shikoku Mura)
    6. สวนริทสึริน (Ritsurin Garden / Ritsurin Koen)
    7. ศูนย์บอนไซทาคามัตสึ (Takamatsu Bonsai Center)
    8. ปราสาทมารุกาเมะ (Marugame Castle)
    9. เกาะนาโอชิมะ (Naoshima Island)
    10. ศาลเจ้าทาคายะ (Takaya Shrine)
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดคากาวะ
    1. ซานุกิอุด้ง (Sanuki Udon)
    2. โฮเนทสึกิโดริ (Honetsuki Dori)
    3. มะกอกคากาวะ (Kagawa Olives)
    4. ปลาคุโรได (Kurodai / Black Sea Bream)
    5. สตรอว์เบอร์รีซานุกิฮิเมะ (Sanukihime Strawberry)

วิธีการเดินทางไป “จังหวัดคากาวะ”

จากโตเกียว —> คากาวะ
  • นั่งเครื่องบินของสายการบิน JAL หรือ ANA จากสนามบิน Haneda Airport ไปลงที่ Takamatsu Airport โดยใช้เวลาประมาณ 80 นาที
  • นั่งเครื่องบินของสายการบิน Jetstar Airways จาก Narita Airport ไปลงที่ Takamatsu Airport โดยใช้เวลาประมาณ 80 นาที
จากโอซาก้า —> คากาวะ
  • นั่งรถไฟชินคันเซ็น โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 50 นาที
จากเกียวโต —> คากาวะ
  • นั่งรถไฟชินคันเซ็น โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
จากฮิโรชิม่า —> คากาวะ
  • นั่งรถไฟชินคันเซ็น โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที
จากโอคายามะ —> คากาวะ
  • นั่งรถไฟชินคันเซ็น โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

สถานที่ท่องเที่ยวประจำ “จังหวัดคากาวะ”

1. ศาลเจ้าโคโตฮิระกุ (Kotohira-gu shrine)

gnohz / Shutterstock

ศาลเจ้าโคโตฮิระกุ (Kotohira-gu shrine) หรือ ศาลเจ้าคอมปิระ (Konpira Shrine) เป็นศาลเจ้าที่ชาวญี่ปุ่นให้ความศรัทธามาช้านาน นอกจากนี้ ศาลเจ้าโคโตฮิระกุก็ยังมีศาลเจ้าย่อยอีกหลายแห่งในประเทศ แต่สาขาหลักจะตั้งอยู่ที่ ‘จังหวัดคากาวะ’ แห่งนี้นี่เองค่ะ

ยิ่งไปกว่านั้น ศาลเจ้าแห่งนี้ยังเป็นที่รู้จักในเหล่าผู้ศรัทธาว่าเป็นสถานที่ที่มีไว้เพื่อบูชาเทพโอโมโนนุชิ (Omononushi no Kami) ผู้เป็นโพไซดอนในความเชื่อของลัทธิชินโต ว่ากันว่าใครก็ตามที่มาขอพรที่นี่จะมีโชคในเรื่องเกษตรกรรม การประมง ศิลปะ และการแพทย์

gnohz / Shutterstock

ในสมัยเอโดะจะมีกฎการเดินทางที่ว่า หากชาวบ้านหรือสามัญชนคนใดอยากเดินทางออกนอกเมือง พวกเขาจะต้องไปสวดมนต์หรือขอพรที่ศาลเจ้าแห่งนี้เสียก่อนถึงจะได้รับอนุญาตให้ออกจากเมืองได้ หรือถ้าใครไม่สะดวกเดินทางไปยังศาลเจ้าก็สามารถส่งสุนัขไปสวดมนต์แทนได้ ซึ่งพวกเขาเรียกสุนัขแบบนี้ว่า ‘คอมปิระอินุ (Konpira Inu)’

สำหรับสายอาร์ต เราขอแนะนำ Ometeshoin Drawing Room อาคารไม้ไซปรัสที่สร้างขึ้นในปี 1660 ภายในอาคารจะมีการจัดแสดงผลงานจิตรกรรมของศิลปินเลื่องชื่อในช่วงกลางถึงปลายศตวรรษที่ 18 ซึ่งก็คือมารุยามะ โอเคียว (Maruyama Okyo) และที่ Takahashi Yui Hall ก็เป็นสถานที่จัดแสดงภาพวาดสไตล์ญี่ปุ่นยุคใหม่ (Japanese Western Style) ด้วยค่ะ

หากเพื่อนๆคนไหนอยากไปสักการะศาลเจ้าแห่งนี้ก็อาจจะต้องทำใจกับทางขึ้นศาลที่เป็นบันได 700 กว่าขั้นกันด้วยนะ แต่ความสนุกของการเดินขึ้นไปก็คือร้านขายของฝากที่ตั้งอยู่ระหว่างทางนั่นเอง เพราะนอกจากจะได้พักเหนื่อยแล้ว เราก็ยังได้เพลิดเพลินไปกับสินค้า ขนม ของฝาก หรือถ้าใครเกิดท้องร้องจ๊อกๆขึ้นมาก็สามารถแวะทานซานุกิอุด้งได้ค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าโคโตฮิระกุ (Kotohira-gu Shrine)

ที่อยู่
  • Japan, 〒766-8501 Kagawa, Nakatado District, 県, 琴平町892-1
ติดต่อ
  • 087-775-2121
เวลาทำการ
  • เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง
  • Omoteshoin, Treasure Hall และ Art Museum เปิดทำการเวลา 08:30 – 17:00 น. (โปรดเข้าชมก่อนเวลาปิด 30 นาที)
ค่าเข้าชม
  • เฉพาะ Omoteshoin, Treasure Hall และ Art Museum : 800 เยน
วิธีเดินทาง
  • เดินจากสถานีรถไฟ JR Kotohira Station โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

2. แองเจิลโรด เกาะโชโดะชิมะ (Angel Road, Shodoshima Island)

Shodoshima

แองเจิลโรด (Angel Road) เป็นสันดอนทรายที่ทอดตัวยาวจาก เกาะโชโดะชิมะ (Shodoshima Island) ไปยังเกาะเล็กๆที่ตั้งอยู่กลางทะเล เนื่องด้วยอิทธิพลของน้ำขึ้นน้ำลง เราจึงเห็นแองเจิลโรดเพียง 2 ครั้งต่อวัน คือตอนเช้ากับตอนบ่าย โดยแองเจิลโรดจะปรากฏให้เห็นครั้งละ 3 ชั่วโมง

นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าถ้าได้ลองมาเดินจับมือไปกับคนพิเศษที่นี่ จะมีนางฟ้ามาปรากฏกายขึ้นตรงหน้าพร้อมกับอวยพรให้คนทั้งคู่มีความสุข หรือเรียกได้ว่าแองเจิลโรดแห่งนี้เป็น ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งความรัก’ เราจึงไม่แปลกใจเลยที่จะมีคู่รักหรือคู่แต่งงานหลายๆคู่เลือกเดินทางมาเที่ยวที่นี่ เพราะนอกจากจะเป็นสถานที่ยอดฮิตของการเดตแล้ว แองเจิลโรดก็ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการขอแต่งงานด้วย

หากคนโสดคนไหนได้ไปเดินชมวิวที่นี่ ไม่แน่หลังจบทริปอาจจะอยากเลิกโสดไปเลยก็ได้นะ~ 😉

ข้อมูลเกี่ยวกับแองเจิลโรด เกาะโชโดะชิมะ (Angel Road, Shodoshima Island)

ที่อยู่
  • Japan, 〒761-4661 Kagawa, Shozu District, Tonosho, 銀波浦
ติดต่อ
  • 087-962-7000
เวลาทำการ
  • เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง
วิธีเดินทาง
  • เดินจากท่าเรือ Tonosho Port โดยใช้เวลาประมาณ 25 นาที
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

3. เกาะฮอนจิมะ (Honjima Island)

เกาะฮอนจิมะ (Honjima Island) เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของหมู่เกาะชิวากุ (Shiwaku Island) และยังเป็นเกาะที่มีการพัฒนามากที่สุดเมื่อเทียบกับเกาะอื่นๆอีกด้วย ทั้งนี้หมู่เกาะชิวากุนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของ ‘จังหวัดคากาวะ’ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่มีบทบาทสำคัญต่อการคมนาคมและการขนส่งทางทะเลในเขตน่านน้ำของทะเลในเซโตะมาตลอดหลายศตวรรษ นอกจากนี้เกาะฮอนจิมะยังเป็นศูนย์กลางการปกครองของหมู่เกาะทั้งหมดและยังมีโบราณสถานที่สำคัญด้วยค่ะ

ในยุคสมัยที่บริเวณนี้ยังรุ่งเรืองนั้น เกาะฮอนจิมะเป็นฐานทัพหลักของกองทัพเรือชิวากุ (Shiwaku Suigun) ซึ่งถือว่าเป็นกองกำลังที่ได้รับการยกย่องและมีประสบการณ์โชกโชนที่สุดในสมัยนั้น เพราะพวกเขาสามารถกุมอำนาจและปกครองหมู่เกาะชิวากุได้ พอเข้าสู่ช่วงปลายศตวรรษที่ 16 กองทัพเรือชิวากุก็ได้รับเลือกให้เข้าไปทำงานราชการโดยโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ไดเมียวผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเซ็งโงกุ (Sengoku period) และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็ได้อำนาจการปกครองหมู่เกาะแห่งนี้อย่างเป็นทางการ

ที่มา : www.japan-guide.com

สำหรับบทบาทการปกครองของกองทัพเรือชิวากุนั้น พวกเขาได้ทำคุณประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะด้านการค้าขายและการคมนาคม โดยสถานที่ทำงานของพวกเขานั้นอยู่ห่างจากท่าเรือฮอนจิมะไม่มากนัก คืออยู่ที่สำนักงานรัฐบาลเก่า (Shiwaku Kinbansho) ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ยังคงเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมค่ะ โดยภายในอาคารจะมีการจัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตราประทับทางการ สมุดบันทึกหรือคันรินมารุ (Kanrin Maru) ซึ่งเป็นเรือลำแรกของญี่ปุ่นที่เดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก

ที่มา : www.japan-guide.com

พอลองเดินเลียบไปตามแนวชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอนจิมะ เราจะเห็นเมืองท่าโบราณที่สวยงามมากอย่างเมืองคาซาชิมะ (Kasashima Town) โดยเมืองท่าแห่งนี้มีความสำคัญในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการค้าและเป็นอู่ต่อเรือในสมัยเอโดะ ทั้งนั้นเราจะเห็นบ้านไม้ที่ปลูกติดกันกว่า 20 หลังตั้งเรียงรายขนาบไปกับถนนหินที่คดเคี้ยวไปมา แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่อาศัยส่วนตัว แต่ก็มีบ้านอยู่จำนวน 3 หลังที่เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้ค่ะ

หากเดินไปทางทิศตะวันออกของเมืองคาซาชิมะ เราจะเห็นซากปรักหักพังของปราสาทคาซาชิมะ (Kasashima Castle Ruin) หรือเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อฮิกาชิมะโจ (Higashimajo) โดยปราสาทแห่งนี้เคยมียุครุ่งเรืองช่วงศตวรรษที่ 15 – 16 ในฐานะป้อมสำรวจทะเลในเซโตะ แม้ปัจจุบันจะเหลือเพียงผลพวงจากภัยสงคราม แต่อนุสาวรีย์ของปราสาทแห่งนี้ก็ยังคงถูกดำรงไว้เพื่อระลึกถึงป้อมปราการที่มีความสำคัญอย่างมากในอดีตค่ะ

ที่มา : www.japan-guide.com

นอกจากนี้บนเกาะฮอนจิมะยังมีสถานที่น่าสนใจอีกประมาณ 2-3 แห่งด้วยค่ะ โดยสองแห่งในนั้นก็คือโกดังคู่อันเป็นสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์อย่างเมโอโตงุระ (Meotogura) และโรงเรียนประถมมิสึมิอิโระ (Mizumiiro Elementary School) ซึ่งเคยปรากฏเป็นฉากในภาพยนตร์เรื่อง Kikansha Sensei (2004) อีกทั้งบริเวณรอบๆเกาะก็มีวัด ศาลเจ้า และหาดทรายอีกหลายแห่งกระจายอยู่รอบเกาะเลยค่ะ

ถ้าเพื่อนๆได้มาเกาะฮอนจิมะก็เที่ยวกันให้คุ้มสุดๆไปเลยน๊า~!

ข้อมูลเกี่ยวกับเกาะฮอนจิมะ (Honjima Island)

ที่อยู่
  • Honjimacho, Marugame, Kagawa, Japan
เวลาทำการ
  • Former Government Office : 9:00 – 16:00 น.
  • Kasashima Town Residences : 9:00 – 16:00 น.
ค่าเข้าชม
  • Former Government Office : 200 เยน
  • Kasashima Town Residences : 200 เยน
วิธีเดินทาง
  • นั่งเรือข้ามฟากจากท่าเรือ Marugame Port (อยู่ติดกับสถานีรถไฟ JR Marugame Station) แล้วไปลงที่ Honjima Island โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที
  • นั่งเรือข้ามฟากจากท่าเรือ Kojima Port (อยู่ติดกับสถานีรถไฟ JR Kojima Station) แล้วไปลงที่ Honjima Island โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

4. หมู่บ้านภาพยนตร์นิจูชิโนะฮิโตมิ (Nijushi no Hitomi / Twenty-Four Eyes Movie Studio)

Twenty-Four Eyes Movie Studio-0

ที่มา : www.my-kagawa.jp

Nijushi no Hitomi หรือ Twenty-Four Eyes เป็นภาพยนตร์ที่ฉายในปี 1954 สถานที่ถ่ายทำก็คือเกาะโชโดะชิมะ (Shodoshima Island) ในจังหวัดคากาวะแห่งนี้นั่นเอง

ภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนสภาพสังคมญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ลัทธิชาตินิยมของญี่ปุ่นกำลังล่มสลาย โดยเรื่องราวทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านชีวิตของครูประจำชั้นคนหนึ่งและนักเรียนในชั้นเรียนของเธอ

Twenty-Four Eyes Movie Studio-1

ที่มา : www.my-kagawa.jp

หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกนำมารีเมคในปี 1987 สถานที่ต่างๆภายในหมู่บ้านที่ใช้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์ก็เปิดให้คนทั่วไปเข้าชม โดยใช้ชื่อว่า หมู่บ้านภาพยนตร์นิจูชิโนะฮิโตมิ (Nijushi no Hitomi Movie Studio หรือ Twenty-Four Eyes Movie Studio) โดยสถานที่เหล่านี้ประกอบไปด้วยอาคารเรียน บ้านหลายสิบหลัง ศาลเจ้า คลอง และทุ่งนาประมาณ 2-3 แห่ง นอกจากนี้ยังมีร้านค้า ร้านอาหาร และพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก พอมองดูบรรยากาศโดยรวมก็ชวนให้นึกถึงอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อนเลยค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านภาพยนตร์นิจูชิโนะฮิโตมิ (Nijushi no Hitomi / Twenty-Four Eyes Movie Studio)

ที่อยู่
  • 甲931 Tanoura, Shodoshima, Shozu District, Kagawa 761-4424, Japan
ติดต่อ
  • 087-982-2455
เวลาทำการ
  • 09:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
  • ค่าเข้าชม Movie Village : 790 เยน
  • ค่าเข้าชม Originak School House : 240 เยน
  • ค่าเข้าชมรวม Movie Village และ Original School House : 880 เยน
วิธีเดินทาง
  • นั่งรถประจำทางสาย Tanoura-Eigamura Line จากท่าเรือ Tonsho Port ไปลงที่ Eigamura-mae โดยใช้เวลา 70 นาที
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

5. หมู่บ้านชิโกกุมูระ (Shikoku Mura)

Sanga Park / Shutterstock

หมู่บ้านชิโกกุมูระ (Shikoku Mura) เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ตั้งอยู่ในเขตยาชิมะ (Yashima) มีลักษณะเป็นอุทยานบนเนินเขาอันสวยงาม ที่นี่ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดี โดยมีการจัดแสดงอาคารซึ่งมีโครงสร้างแบบดั้งเดิมที่นำมาจากทั่วภูมิภาคชิโกกุ (Shikoku Region)

อาคารที่จัดแสดงส่วนใหญ่ล้วนสร้างมาตั้งแต่สมัยเอโดะ (Edo Period) และสมัยเมจิ (Meiji Period) นอกจากนี้ยังมีบ้านไร่และโกดังอีกหลายแห่ง รวมถึงโรงงานแบบดั้งเดิมหลายแห่งที่ผลิตน้ำตาลและซีอิ๊ว

ส่วนสิ่งปลูกสร้างอื่นๆที่จัดแสดงในหมู่บ้านชิโกกุมูระนั้นก็มีทั้งสะพาน ประภาคาร และโรงละครคาบูกิกลางแจ้งซึ่งจัดแสดงเป็นครั้งคราว

Sanga Park / Shutterstock

หนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของหมู่บ้านชิโกุมูระคือ “สะพานเถาวัลย์” ค่ะ นอกจากนี้ยังมีหอศิลป์ขนาดเล็กที่จัดแสดงภาพวาดและงานประติมากรรมโดยศิลปินสมัยใหม่จากทั่วโลกด้วยค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านชิโกกุมูระ (Shikoku Mura)

ที่อยู่
  • Japan, 〒761-0112 Kagawa, Takamatsu, Yashima Nakamachi, 91
ติดต่อ
  • 087-843-3111
เวลาทำการ
  • 08:30 – 18:00 น.
  • ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม : เปิดทำการเฉพาะเวลา 08:30 – 17:30 น. เท่านั้น
  • รอบเข้าชมสุดท้าย : ก่อนเวลาปิด 1 ชั่วโมง
ค่าเข้าชม
  • 1,000 เยน
วิธีเดินทาง
  • นั่งรถไฟ JR จากสถานี Takamatsu Station ไปลงที่สถานี Yashima Station โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที จากนั้นเดินต่อไปอีก 15 นาทีก็จะถึงหมู่บ้านชิโกกุมูระ
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

6. สวนริทสึริน (Ritsurin Garden)

Ritsurin Garden

สวนริทสึริน (Ritsurin Garden / Ritsurin Koen) เป็นสวนแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ตั้งอยู่ในเมืองทาคามัตสึ (Takamatsu) สวนแห่งนี้สร้างขึ้นโดยขุนนางท้องถิ่นในสมัยเอโดะตอนต้น ว่ากันว่าสวนริทสึรินเป็นหนึ่งในสวนที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น โดยมักจะมีคนกล่าวชื่นชมสวนแห่งนี้ว่า “สวนริทสึรินควรจะถูกยกย่องให้เป็น 1 ใน 3 สวนที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ร่วมกับสวนเค็นโรคุเอ็น (Kenrokuen) สวนไคราคุเอ็น (Kairakuen) และสวนโคราคุเอ็น (Korakuen)”

bridge of Ritsurin Garden

ภายในสวนที่กว้างขวางแห่งนี้มีสระน้ำ เนินเขา ต้นไม้เก่าแก่ และศาลาที่สวยงาม อีกทั้งยังแบ่งออกเป็น 2 โซน คือโซนสวนญี่ปุ่นและโซนสวนตะวันตก ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งที่ตั้งของสวนยังอยู่ใกล้กับภูเขาชิอุน (Mt. Shiun) ด้วย เราจึงสามารถชมทัศนียภาพอันแสนงดงามได้อย่างเต็มที่

Kikugetsu-tei Teahouse

ที่มา : www.my-kagawa.jp

นอกจากนี้ภายในสวนริทสึรินก็ยังมีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน ร้านค้า และสถานที่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็คือ โรงน้ำชาคิคุเกทสึเต (Kikugetsu Tei Teahouse) ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสวน เพราะนอกจากจะดื่มชาแสนอร่อยแล้ว เรายังจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศของสวนริมน้ำด้วย~

ข้อมูลเกี่ยวกับสวนริทสึริน (Ritsurin Garden)

ที่อยู่
  • 1丁目-20-16 栗林町 Takamatsu, Kagawa 760-0073, Japan
ติดต่อ
  • 087-833-7411
เวลาทำการ
  • ธันวาคม – มกราคม : 07:00 – 17:00 น.
  • กุมภาพันธ์ : 07:00 – 17:30 น.
  • มีนาคม : 06:30 – 18:00 น.
  • เมษายน – พฤษภาคม และกันยายน : 05:30 – 18:30 น.
  • มิถุนายน – กรกฎาคม และสิงหาคม : 05:30 – 19:00 น.
  • ตุลาคม : 06:00 – 17:30 น.
  • พฤศจิกายน : 06:30 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
  • ผู้ใหญ่ : 410 เยน (หากมาเป็นกลุ่ม 20 คนขึ้นไป ค่าเข้าชมจะอยู่ที่คนละ 330 เยน)
  • เด็ก : 170 เยน (หากมาเป็นกลุ่ม 20 คนขึ้นไป ค่าเข้าชมจะอยู่ที่คนละ 140 เยน)
  • หากจองตั๋วเป็นกลุ่มจำนวน 11 ใบ ราคารวมจะอยู่ที่ 4,100 เยน
  • ตั๋วรายปี
      • สำหรับ 1 คน : 2,610 เยน
      • สำหรับกลุ่ม 3 คนขึ้นไป : 5,230 เยน
วิธีเดินทาง
  • เดินจากสถานีรถไฟ JR Ritsurin Koen Kitaguchi Station โดยใช้เวลา 3 นาที
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

7. ศูนย์บอนไซทาคามัตสึ (Takamatsu Bonsai Center)

Takamatsu Bonsai Center-3

ที่มา : www.my-kagawa.jp

ใครชอบบอนไซบ้างยกมือขึ้น~! ครั้งนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับ ศูนย์บอนไซทาคามัตสึ (Takamatsu Bonsai Center) กันค่ะ

Takamatsu Bonsai Center-1

ที่มา : www.my-kagawa.jp

เมืองทาคามัตสึนั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ผลิตบอนไซชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น เนื่องด้วยสภาพอากาศท้องถิ่นที่ค่อนข้างอบอุ่นและมีปริมาณน้ำฝนต่ำ เมืองนี้จึงเหมาะสำหรับการปลูกต้นสนสีดำ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่พบได้ทั่วไปตามบริเวณชายฝั่งของทะเลในเซโตะ ด้วยเหตุนี้อุตสาหกรรมบอนไซของเมืองทาคามัตสึจึงเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19

นอกจากนี้ ศูนย์บอนไซทาคามัตสึยังมีกิจกรรมเวิร์กชอปให้คนทั่วไปได้เรียนรู้เรื่องศิลปะการปลูกบอนไซเพิ่มเติมด้วย

ชมรมคนรักบอนไซห้ามพลาดที่นี่เลย!เชียว!

ข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์บอนไซทาคามัตสึ (Takamatsu Bonsai Center)

ที่อยู่
  • 353-1 Kokubunjichō Kokubu, Takamatsu, Kagawa 769-0102, Japan
เวลาทำการ
  • 08:30 – 17:00 น.
  • ปิดทำการช่วงวันหยุดปีใหม่
ค่าเข้าชม
  • เข้าชมฟรี
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

8. ปราสาทมารุกาเมะ (Marugame Castle)

ปราสาทมารุกาเมะ (Marugame Castle) หรือ ปราสาทคาเมยามะ (Kameyama Castle) เป็น 1 ใน  12 ปราสาทดั้งเดิมที่ตั้งอยู่บนยอดเขาในเมืองมารุกาเมะ เดิมทีปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อการสำรวจทางทะเลและเพื่อควบคุมเส้นทางเดินเรือหลักของภูมิภาค

สำหรับความเป็นมานั้น ปราสาทมารุกาเมะสร้างขึ้นในช่วงปี 1597-1602 โดยอิโกมะ ชิกามาสะ (Ikoma Chikamasa) แต่เพราะมีคำสั่งของโชกุนที่จำกัดจำนวนปราสาทให้เหลือเพียงจังหวัดละ 1 แห่ง ปราสาทมารุกาเมะจึงเคยถูกรื้อถอนมาแล้วครั้งหนึ่งในช่วงที่สร้างเสร็จมาแล้ว 13 ปี แต่สุดท้ายก็ได้มีการสร้างปราสาทขึ้นใหม่ในปี 1660 อย่างไรก็ตาม หลายร้อยปีต่อมาปราสาทแห่งนี้ก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้น เหลือไว้เพียงประตูปราสาทและโครงสร้างดั้งเดิมเท่านั้น

นอกจากนี้ปราสาทมารุกาเมะยังเป็นจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงอย่างมากของภูมิภาคชิโกกุด้วย พอเข้าสู่ช่วงฤดูใบผลิ (ช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงเมษายน) ซากุระนับพันต้นจะผลิบานพร้อมกัน เป็นทัศนียภาพที่สวยงามมากเลยค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทมารุกาเมะ (Marugame Castle)

ที่อยู่
  • Ichibancho, Marugame, Kagawa 763-0025, Japan
ติดต่อ
  • 087-725-3881
เวลาทำการ
  • 9:00 – 16:30 น. (เปิดให้เข้าชมรอบสุดท้ายก่อนเวลาปิด 30 นาที)
ค่าเข้าชม
  • 200 เยน
วิธีเดินทาง
  • เดินจากสถานีรถไฟ Marugame Station ไปทางทิศใต้ โดยใช้เวลา 15 นาที
แผนที่ Google Map

Back To Index

9. เกาะนาโอชิมะ (Naoshima Island)

ที่มา (Reference) : Takayuki Ohama / Shutterstock

เกาะนาโอชิมะ (Naoshima Island) เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะ “เกาะแห่งศิลปะ” เกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ทะเลในเซโตะ และใช้เวลานั่งเรือข้ามฟากเพียงหนึ่งชั่วโมงจากท่าเรือทาคามัตสึ (Takamatsu Port)

Naoshima Island-3

ที่มา : www.my-kagawa.jp

แลนด์มาร์กที่มีชื่อเสียงอย่างมากของเกาะนาโอชิมะคือ Red pumpkin หรือฟักทองสีแดงลายจุดของ ยาโยอิ คุซามะ (Yayoi Kusama) ศิลปินชาวญี่ปุ่นชื่อดังที่คนไทยสายอาร์ตรู้จักกันดีนั่นเอง ฟักทองลายจุดดังกล่าวนี้เป็นหนึ่งในงานศิลปะกลางแจ้งที่มีอยู่มากมายบนเกาะ แต่ผลงานชิ้นนี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นสัญลักษณ์ของนาโอชิมะค่ะ

Yayoi Kusama’s Red Pumpkin

งานศิลปะที่ยอดนิยมอีกชิ้นหนึ่งก็คือ Yellow Pumpkin หรือฟักทองลายจุดสีเหลือง เป็นผลงานของคุณ ยาโยอิ คุซามะ เช่นเดียวกันค่ะ

Yellow Pumpkin

หลายๆคนอาจจะจำข่าวที่งานศิลปะชิ้นนี้เสียหายจากพายุไต้ฝุ่นเมื่อเดือนสิงหาคม 2021 ได้ ซึ่งถ้าหากว่าใครจะมาชมเจ้าฟักทองลายจุดในตอนนี้ก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2022 ทางจังหวัดคากาวะได้ซ่อมแซม Yellow Pumpkin และนำมาตั้งไว้ใหม่อีกครั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ หากใครจะเดินทางมาชมฟักทองสีเหลือง ผลงานชิ้นนี้จะอยู่ใกล้กับป้ายรถประจำทาง Tsusujiso นะคะ

นอกจากงานศิลปะของยาโยอิ คุซามะแล้ว เกาะนาโอชิมะยังเป็นที่ตั้งของงานศิลปะอื่นๆอย่าง The Benesse House, Chichu Art Museum และ Lee Ufan Museum อีกด้วย ทั้งหมดนี้ได้รับการออกแบบโดยทาดาโอะ อันโด (Tadao Ando) สถาปนิกที่มีชื่อเสียงระดับโลกค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับเกาะนาโอชิมะ (Naoshima Island)

ที่อยู่
  • Naoshima, Kagawa District, Kagawa 761-3110, Japan
วิธีเดินทาง
  • นั่งเรือเฟอร์รีจากท่าเรือ Takamatsu Port ไปลงที่ท่าเรือ Miyanoura Port โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

10. ศาลเจ้าทาคายะ (Takaya Shrine)

Takayajinja Shrine-0

ที่มา : www.my-kagawa.jp

ศาลเจ้าทาคายะ (Takaya Shrine) เป็นสถานที่บูชาเทพเจ้าแห่งการเกษตรกรรมมาตั้งแต่โบราณกาล บนยอดเขาที่มีระดับความสูงไม่ต่ำกว่า 400 เมตรนั้น นอกจากจะเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแล้วก็ยังเป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงของ ‘จังหวัดคากาวะ’ อีกด้วย โดยเฉพาะเสาโทริอิที่หันหน้าออกสู่ผาอันกว้างใหญ่ มีพื้นหลังเป็นท้องฟ้าและความสวยงามของทิวเขาในภูมิภาคชิโกกุ ยิ่งไปกว่านั้นเราสามารถชมวิวทะเลในเซโตะได้จากที่นี่ด้วย

ด้วยเหตุนี้เอง เสาโทริอิที่ศาลเจ้าทาคายะจึงได้รับการขนานนามว่า โทริอิแห่งนภา (Torii in the Sky)

Takayajinja Shrine-1

ที่มา : www.my-kagawa.jp

แต่ความพิเศษของศาลเจ้าทาคายะไม่ได้มีเพียงจุดชมวิวที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังมีเทศกาลอันแสนครื้นเครงอย่างเทศกาลโชสะ (Chosa Festival) อีกด้วย เทศกาลดังกล่าวนี้จะจัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิของทุกปี ในช่วงเวลานั้นนอกจากเราจะได้ชมซากุระอย่างจุใจแล้วก็ยังจะได้ชมการเชิดสิงโตด้วยค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าทาคายะ (Takaya Shrine)

ที่อยู่
  • 2800 Takayacho, Kanonji, Kagawa 768-0002, Japan
ติดต่อ
  • 087-524-3957
เวลาทำการ
  • เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง
วิธีเดินทาง
  • นั่งแท็กซี่จากสถานีรถไฟ JR Konaji Station ไปลงที่ทางขึ้นศาลเจ้า (ใช้เวลา 15 นาที) หลังจากนั้นจะใช้เวลาประมาณ 50 นาทีในการเดินขึ้นไปยังศาลเจ้าหลักของศาลเจ้าทาคายะ
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

อาหารท้องถิ่นประจำ “จังหวัดคากาวะ”

แม้ว่า จังหวัดคากาวะ จะเป็นจังหวัดที่เล็กที่สุดในบรรดา 4 จังหวัดประจำภูมิภาคชิโกกุ แต่สถานที่น่าเที่ยวของจังหวัดนี้ก็มีเยอะไม่แพ้ที่อื่นเลย แน่นอนว่ารวมไปถึงของกินด้วย~

เมนูเลื่องชื่อของคากาวะที่ควรไปโดนให้ได้ก็คือ ซานุกิอุด้ง (Sanuki Udon) ซึ่งเป็นเส้นอุด้งแฮนด์เมดท้องถิ่นของเขาที่อร่อยอย่างมีเอกลักษณ์ และเนื่องด้วยจังหวัดคากาวะมีพื้นที่ติดทะเลในเซโตะ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่คุณภาพและรสชาติของอาหารทะเลที่นี่จะดีเลิศมาก แถมยังมีสตรีทฟู้ดหน้าตาน่าอร่อยอย่างโฮเนทสึกิโดริ (Honetsuki Dori) ด้วย

เอาล่ะ! เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาดูกันเลยว่าอาหารเมนูไหนของคากาวะที่ควรค่าแก่การไปโดนบ้าง!

1. ซานุกิอุด้ง (Sanuki Udon)

Sanuki udon

ซานุกิอุด้ง (Sanuki Udon) เป็นเส้นอุด้งประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากใน ‘จังหวัดคากาวะ’ ซานุกิอุด้งนั้นมีความแตกต่างจากอุด้งทั่วไปตรงที่เส้นของมันมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยม นอกจากนี้ยังมีรสสัมผัสเหนียวนุ่มและเคี้ยวเพลิน อันเป็นผลมาจากวัตถุดิบที่ใช้ทำเส้นอุด้งอย่างแป้งสาลีท้องถิ่นของคากาวะ

เมนูซานุกิอุด้งที่ได้รับความนิยมจะมีดังนี้

  • คาเกะอุด้ง (Kake Udon) : อุด้งในน้ำซุปดาชิร้อน
  • ซารุอุด้ง (Zaru Udon) : อุด้งเย็นที่เสิร์ฟพร้อมน้ำซอสถั่วเหลือง
  • คามาทามะอุด้ง (Kamatama Udon) : อุด้งแห้งที่มีท็อปปิ้งเป็นไข่แดงดิบ

ไม่ว่าจะเป็นเมนูไหนก็น่าทานไปหมดทุกอย่างเลยจริงๆ!

Back To Index

2. โฮเนทสึกิโดริ (Honetsuki Dori)

Honetsuki dori

โฮเนทสึกิโดริ (Honetsuki Dori) เป็นเมนูไก่ต้นตำรับของเมืองมารุกาเมะ (Marugame) วิธีการทำคือเชฟจะนำส่วนสะโพกติดขาของไก่ไปอบด้วยเครื่องเทศและซอสสูตรพิเศษ ทำให้ไก่นั้นมีความหอมและอร่อยอย่างมีเอกลักษณ์

สำหรับคนที่ไปโดนเมนูนี้ เราขอกระซิบบอกหน่อยแล้วกันว่าเราสามารถเลือกไก่ได้นะ คือจะมีไก่แก่ (Oyadori) ที่เนื้อแน่น เคี้ยวเพลิน และเข้มข้น กับไก่เด็ก (Wakadori) ที่เนื้อนุ่มเคี้ยวง่าย

ใครชอบแบบไหนก็สั่งได้ตามศรัทธาเลยจ้า~

Back To Index

3. มะกอกคากาวะ (Kagawa Olive)

Olive products

จังหวัดคากาวะนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ผลิตมะกอกรายใหญ่ของญี่ปุ่น! เพราะคากาวะเป็นสถานที่แรกของญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จในการปลูกมะกอก นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์จากมะกอกอย่างน้ำมันมะกอก เส้นราเมนมะกอก และมะกอกบด (Olive paste) ก็ล้วนเป็นของฝากที่น่าซื้อกลับบ้านมากเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้นที่คากาวะยังมีเนื้อวัวมะกอก (Olive Beef) และหมูดำมะกอก (Olive Yume Buta Pork) ที่ได้จากการเลี้ยงวัวและหมูด้วยมะกอกนั่นเอง ว่ากันว่าทั้งเนื้อวัวและหมูดำมะกอกนั้นมีรสสัมผัสที่นุ่มละมุนและหวานด้วย!

แบบนี้ต้องไปลองกันให้ได้แล้วนะทุกคน!

Back To Index

4. ปลาคุโรได (Kurodai / Black Sea Bream)

Black sea bream

เมื่อลองสำรวจทะเลในเซโตะบริเวณน่านน้ำของคากาวะ เราจะเห็นว่าพื้นที่แห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์มากเลยทีเดียว เพราะสามารถทำการประมงได้ตลอดทั้งปี แถมยังจับปลาได้ตามฤดูกาลด้วย ดังนั้นในช่วงเวลาหนึ่งปี ชาวคากาวะจึงสามารถเพลิดเพลินไปกับการทานปลาและอาหารทะเลที่หลากหลายได้อย่างไม่รู้จักเบื่อเลยล่ะ

ส่วนชนิดของปลาที่นิยมทานกันนั้น นอกจากพวกปลาเนื้อขาวแล้วก็ยังมี ปลาคุโรได (Kurodai หรือ Black Sea Bream) ถ้าใครเป็นสายซาชิมิก็ต้องไปลองกันให้ได้นะคะ เพราะปลาชนิดนี้ที่มาจากทะเลในเซโตะมีเนื้อสดอร่อยมากเลย

ช่วงที่เจ้าปลาคุโรไดมีความสดอร่อยมากที่สุดคือฤดูใบไม้ร่วงยาวไปจนถึงฤดูหนาวค่ะ เพราะเป็นช่วงที่ปลาสะสมไขมันเอาไว้ มันจึงอร่อยเป็นพิเศษเลยล่ะ

Back To Index

5. สตรอว์เบอร์รีซานุกิฮิเมะ (Sanukihime Strawberry)

Sanukihime strawberry

เป็นที่รู้กันดีว่าสตรอว์เบอร์รีของญี่ปุ่นนั้นมีรสชาติหวานและฉ่ำน้ำมาก แต่รู้หรือไม่ว่าสุดยอดสตรอว์เบอร์รีแสนอร่อยอยู่ที่ ‘จังหวัดคากาวะ’ แห่งนี้นี่เอง สตรอว์เบอร์รีของจังหวัดนี้มีชื่อเรียกว่า สตรอว์เบอร์รีซานุกิฮิเมะ (Sanukihime Strawberry)

สำหรับความอร่อยของเจ้าซานุกิฮิเมะนั้นก็บอกได้เลยว่าลึกล้ำกว่าสตรอว์เบอร์รีทั้งปวงค่ะ! เพราะนอกจากจะมีขนาดผลที่ใหญ่กว่าสตรอว์เบอร์รีปกติแล้ว รสชาติก็ยังหวานมากด้วย! ช่างเป็นเหมือนสตรอว์เบอร์รีในฝันจริงๆ

เอาเป็นว่าถ้าใครได้มาที่นี่ก็อย่าลืมไปลองกันนะ เพราะหาทานจากที่อื่นได้ไม่ง่ายเลย ถือว่าเป็นของดีอีกหนึ่งอย่างของจังหวัดคากาวะจริงๆค่ะ

Back To Index

เว็บไซต์ทางการของจังหวัดคากาวะ

อ่านบทความอื่นๆจาก fromJapan

มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!

รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!

ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ

Back To Top