fbpx

10 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดฮอกไกโด’ ที่ต้องไปโดนให้ได้สักครั้ง

มี.ค. 17, 2021

บทนำ : ยินดีต้อนรับสู่ ‘จังหวัดฮอกไกโด’ ถิ่นเหนือสุดแห่งแดนอาทิตย์อุทัย

เที่ยวฮอกไกโด Hokkaido

จังหวัดฮอกไกโด (Hokkaido/北海道) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น และนับว่าเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของญี่ปุ่นด้วย แม้สภาพอากาศของฮอกไกโดในช่วงฤดูหนาวจะค่อนข้างเลวร้าย เนื่องด้วยมีปริมาณหิมะมากและอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์ แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน ที่นี่จะไม่ร้อนชื้นเหมือนพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ

แม้เกาะฮอกไกโดจะได้รับการพัฒนาน้อยที่สุดในบรรดาเกาะหลักทั้งสี่ของญี่ปุ่น แต่ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เองที่ช่วยปกป้องธรรมชาติส่วนใหญ่ไว้ให้คงความอุดมสมบูรณ์จวบจนปัจจุบัน อีกทั้งความสวยงามของธรรมชาติก็ยังดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั้งในและนอกประเทศให้มาเยี่ยมเยือน รวมไปถึงผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นนักเล่นสกี นักสโนว์บอร์ด นักปีนเขา และนักปั่นจักรยาน

เราเองก็มั่นใจว่าฮอกไกโดเป็นอีกหนึ่งจังหวัดของญี่ปุ่นที่นักท่องเที่ยวชาวไทยใฝ่ฝันอยากจะไปมากที่สุด ในครั้งนี้เราจึงได้รวบรวมข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆ รวมถึงอาหารท้องถิ่นของฮอกไกโดมาให้อย่างครบถ้วน หวังว่าทุกคนจะอิ่มเอมใจไปกับบทความฮอกไกโดที่นำมาฝากกันนะคะ

สารบัญ (Index)

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดฮอกไกโด
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดฮอกไกโด

สถานที่ท่องเที่ยวประจำ “จังหวัดฮอกไกโด”

เนื่องจากสภาพอากาศของ ‘จังหวัดฮอกไกโด’ ในช่วงฤดูหนาวนั้นหนาวจัดมาก จนบางทีถึงขั้นอุณหภูมิติดลบ! ดังนั้นถ้าใครได้ไปเที่ยวช่วงหน้าหนาวก็อย่าลืมเช็กอุณหภูมิกันด้วยล่ะ

เอาล่ะทุกคน! ถ้าพร้อมแล้วเราไปเที่ยวกันเถอะ~

1. หอนาฬิกาซัปโปโร (Sapporo Clock Tower)

หอนาฬิกาซัปโปโร (Sapporo Clock Tower) สร้างขึ้นในปี 1878 ที่นี่นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของหอประชุมประจำวิทยาลัยการเกษตรซัปโปโร ซึ่งได้กลายมาเป็นมหาวิทยาลัยฮอกไกโด (Hokkaido University) ในปัจจุบัน

แต่รู้หมือไร่… (หรือไม่!) ว่าตอนแรกหอนาฬิกาแห่งนี้เกือบจะไปสร้างที่ทำเนียบฮอกไกโด (Administrative Centre) เมื่อปี 1868 เนื่องในวันสถาปนาฮอกไกโด (Birth Of The City)

ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้นับว่าเป็นอาคารไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดฮอกไกโดค่ะ

ส่วนนาฬิกานั้นก็ได้ติดตั้งใหม่ในภายหลัง ซึ่งแล้วเสร็จไปเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 1881 โดยซื้อจาก E. Howard & Co. หนึ่งในบริษัทที่ร่วมก่อตั้ง Waltham Watch Company (Boston, USA) และในปี 1970 หอนาฬิกาซัปโปโรก็ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นสมบัติวัฒนธรรมทางของชาติ (Important Cultural Property) [1]

หลังจากได้รับความรู้กันจนเต็มอิ่มไปแล้ว เราจะพาทุกคนไปชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมไม้แห่งนี้กันค่ะ

เราจะเห็นว่าอาคารแห่งนี้สร้างแบบอเมริกันและเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกเพียงไม่กี่แห่งของเมืองซัปโปโร เนื่องจากในช่วงประมาณปี 1870 นั้น ฮอกไกโดได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลอเมริกาในการพัฒนาหลายด้าน นอกจากนี้หอนาฬิกาซัปโปโรเองก็เป็นจุดแลนด์มาร์กที่มีชื่อเสียงด้วย

ปัจจุบันบริเวณชั้นล่างของหอนาฬิกากลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงประวัติและความเป็นมาของวิทยาลัยการเกษตร (Agricultural College, ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยฮอกไกโด) รวมถึงประวัติการพัฒนาเมืองซัปโปโร และยังมีห้องเลคเชอร์ ห้องแล็บ และพื้นที่จัดแสดงตัวอย่างสิ่งมีชีวิตดอง ซึ่งมีความสำคัญทั้งในด้านสัตววิทยาและพฤกษศาสตร์ [2]

นอกจากนี้ หอประชุมขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณชั้น 2 ของหอนาฬิกาก็เป็นพื้นที่ประกอบพิธีทางศาสนาคริสต์ที่สำคัญด้วยค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับหอนาฬิกาซัปโปโร (Sapporo Clock Tower)

วิธีเดินทาง
    • เดินจากทางเข้าออกทิศใต้ของสถานีรถไฟ JR Sapporo Station โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที
    • เดินจากทางออกที่ 7 ของสถานี Odori Station โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที
วันและเวลาทำการ
    • 8:45 – 17:10 น. (เข้าได้จนถึงเวลา 17:00 น.)
    • ปิดทุกวันอาทิตย์ และช่วงวันปีใหม่ หรือ 1 – 3 มกราคมของทุกปี
ค่าเข้าชม
    • ผู้ใหญ่ : 200 เยน
    • เด็ก (ระดับมัธยมลงไป) : เข้าชมฟรี
เว็บไซต์
แผนที่

Back To Index

2. ศาลเจ้าฮอกไกโด (Hokkaido Shrine)

ศาลเจ้าฮอกไกโด (Hokkaido Shrine) เป็นศาลเจ้าชินโตอันเลื่องชื่อและแสนสำคัญของเมืองซัปโปโร จังหวัดฮอกไกโด ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดัง ศาลเจ้าแห่งนี้จึงได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งใกล้และไกล โดยเหล่าผู้มาเยือนนับพันคนต่อปีนั้นต่างก็คาดหวังกับทัศนียภาพแสนงามของศาลเจ้า รวมถึงรูปถ่ายสวยๆที่จะได้นำกลับไปอวดผองเพื่อนของพวกเขานั่นเอง อุวะฮะฮ่า!

ไหนๆก็มาเที่ยวแล้ว ขอเล่าถึงความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้หน่อยเนอะ~

Mon_camera / Shutterstock

ศาลเจ้าฮอกไกโดนั้นสร้างขึ้นเมื่อราวๆปลายศตวรรษที่ 19 (ปี 1869) ภายใต้คำสั่งของจักรพรรดิเมจิที่ต้องการอัญเชิญเทพเจ้าทั้งสาม คือ เทพโอคุนินุชิ (Okuninushi) เทพโอคุนิทามะ (Okunitama) และเทพสึกุนาฮิโกนะ (Sukunahikona) ไปประดิษฐาน ณ ฮอกไกโด (แม้ว่าตอนแรกจะสร้างขึ้นที่โตเกียวไปแล้ว แต่เขาก็ทิ้งร้างอ่ะจ๊ะ 555) อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้จะสร้างที่ซัปโปโรด้วย แต่เป็นเพราะ ไคตาคุชิ (Kaitakushi) หรืออดีตรัฐบาลฮอกไกโดในยุคนั้นเป็นตัวตั้งตัวตีนั่นเอง

MR.Silaphop-Pongsai / Shutterstock

สองปีต่อมาศาลเจ้าก็สร้างจนเสร็จสมบูรณ์และมีชื่อเรียกว่า “ศาลเจ้าซัปโปโร” (Sapporo Jinja Shrine) พอเข้าสู่ปี 1889 ศาลเจ้าแห่งนี้ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นหนึ่งใน กัมเปไทฉะ (Kanpei Taisha) หรือ ศาลเจ้าเอก กล่าวคือเป็นศาลเจ้าที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะได้รับการดูแลและสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นอันดับแรก

ในปี 1964 มีการอัญเชิญดวงวิญญาณของจักรพรรดิเมจิที่สวรรคตไปเมื่อปี 1912 มาประดิษฐาน ณ ศาลเจ้าแห่งนี้ ทำให้ที่นี่มีเทพสถิตอยู่ถึง 4 องค์ด้วยกัน! นอกจากนี้ก็ได้มีการเปลี่ยนชื่อจากศาลเจ้าซัปโปโรมาเป็น ศาลเจ้าฮอกไกโด อย่างที่เราทราบกันดีในปัจจุบัน

และแม้ว่าจะเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นในอีก 10 ปีต่อมา แต่ศาลเจ้าฮอกไกโดก็ได้รับการซ่อมแซมและเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมได้อีกครั้งในปี 1978 [3]

Jedsada-Kiatpornmongkol / Shutterstock

ในวันที่ 14 – 16 มิถุนายนของทุกปี ที่ศาลเจ้าฮอกไกโดจะมีการจัดงานเทศกาลซัปโปโร (Sapporo Festival) หากเราไปเที่ยวในช่วงวันดังกล่าวก็จะได้เห็นขบวนพาเหรดที่เคลื่อนพลจากศาลเจ้าฮอกไกโดไปยังใจกลางเมืองซัปโปโร โดยผู้ร่วมเดินขบวนนับพันต่างสวมใส่เครื่องแต่งกายย้อนยุคฉบับเฮอันที่มีสีสันสดใสสวยงามแปลกตา

นอกจากนี้ภายในงานยังมีของกินอร่อยๆขายด้วยนะ แถมยังมีเกมช้อนปลาทองเหมือนที่เรามักจะเห็นกันในอนิเมะด้วย~ เรียกได้ว่าถ้าเทียบกับบ้านเราก็เหมือนเทศกาลงานวัดเลยล่ะ 555 รับรองว่าสนุกแน่นอน! [4]

Koki-Yamada / Shutterstock

ด้วยพื้นที่ของศาลเจ้าที่กว้างใหญ่มาก (180,000 ตารางเมตร) แถมยังติดกับสวนมารุยามะ (Maruyama Park) ศาลเจ้าฮอกไกโดจึงได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวที่ต้องการชมดอกซากุระ ซึ่งดอกซากุระที่นี่จะเริ่มบานพร้อมกันในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมของทุกปี ยิ่งถ้าข้ามไปช่วงวันปีใหม่ญี่ปุ่นแล้วนั้น ที่นี่ก็ยิ่งคึกคักอย่าบอกใครเลยล่ะ! [5]

  • หมายเหตุ : วันปีใหม่ญี่ปุ่นจะนับตามปฏิทินเท็มโป [6] (Tenpō Calendar หรือที่บ้านเราเรียกกันว่าแบบจันทรคตินั่นเอง) ปัจจุบันที่ญี่ปุ่นก็นับวันปีใหม่ตามหลักสากลค่ะ แต่จะมีบางท้องถิ่นที่จัดงานเทศกาลปีใหม่ตามวันที่ระบุบนปฏิทินเท็มโป ทั้งนี้ปฏิทินเท็มโปก็ใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วงยุคเท็มโปและยุคปลายของเอโดะ (1830-1872) [7]

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าฮอกไกโด (Hokkaido Shrine)

วิธีเดินทาง
    • นั่งรถไฟใต้ดินสายสีส้ม (Tozai Line) ไปลงที่สถานี Maruyama Koen แล้วออกตรงทางออกที่ 3 จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 15 นาทีก็จะถึงศาลเจ้า
เวลาทำการ
    • ฤดูร้อน : เปิดทำการเวลา 6:00 น. – 17:00 น.
    • ฤดูหนาว : เปิดทำการเวลา 7:00 น. – 16:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
แผนที่

Back To Index

3. หมู่บ้านประวัติศาสตร์ฮอกไกโด (Historical Village Of Hokkaido)

PixHound / Shutterstock

หมู่บ้านประวัติศาสตร์ฮอกไกโด (Historical Village Of Hokkaido/Kaitaku no Mura/開拓の村) เป็นหมู่บ้านที่มีลักษณะเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งซึ่งตั้งอยู่บริเวณชานเมืองซัปโปโร หมู่บ้านแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1983 โดยใช้เป็นที่จัดแสดงสิ่งก่อสร้างและวิถีชีวิตของชาวฮอกไกโดในช่วงปี 1868 – 1920 หรือประมาณช่วงต้นยุคเมจิจนถึงปลายยุคโชวะ ด้วยจุดประสงค์เพื่อต้องการสืบทอดวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของชาวฮอกไกโดให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนรุ่นหลัง

Various-images / Shutterstock

ถ้ามาเดินเล่นที่นี่ เราจะได้ชมสถาปัตยกรรมยุคเมจิและยุคไทโชที่มีจำนวนอาคารมากกว่า 50 หลัง โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน คือ ตัวเมือง หมู่บ้านชาวประมง หมู่บ้านเกษตร และหมู่บ้านบนภูเขา อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และการประกอบกิจการของชาวฮอกไกโดในสมัยนั้นอีกด้วย

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ต้องมาให้ได้หากมาเยือนฮอกไกโดเลยนะทุกคน! [8]

ข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านประวัติศาสตร์ฮอกไกโด (Historical Village Of Hokkaido)

วิธีเดินทาง
    • นั่งรถไฟจากสถานี Shinrin Koen Station โดยใช้เวลา 15 นาที จากนั้นให้ใช้ทางออกทิศตะวันออก (East Exit) แล้วนั่งรถบัสสาย 22 ต่ออีกประมาณ 5 นาที หรือจะเดินจากสถานีไปเลยก็ได้นะ ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีค่ะ
    • นั่งรถบัสสาย 22 จากสถานี Shin-Sapporo Station โดยใช้เวลา 15 นาที
เวลาทำการ
    • เดือนพฤษภาคม – กันยายน : เปิดทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น. (เข้าได้จนถึงเวลา 16:30 น.)
    • เดือนตุลาคม-เมษายน : เปิดวันอังคารถึงวันอาทิตย์ เวลา 9:00 – 16:30 น. (เข้าได้จนถึงเวลา 16:00 น.) / ปิดวันจันทร์ หรือถ้าวันจันทร์เป็นวันหยุดทางการ หมู่บ้านจะปิดในวันอังคารถัดจากวันจันทร์นั้น และปิดในช่วงเทศกาลปีใหม่ (29 ธันวาคม – 3 มกราคม)
ค่าเข้าชม
    • ผู้ใหญ่ : 800 เยน (มาเป็นกลุ่ม 10 คนขึ้นไป ค่าเข้าชมจะอยู่ที่คนละ 700 เยน)
    • นักเรียนมัธยมและนักศึกษามหาวิทยาลัย : 600 เยน (มาเป็นกลุ่ม 10 คนขึ้นไป ค่าเข้าชมจะอยู่ที่คนละ 500 เยน)
เว็บไซต์
แผนที่

Back To Index

4. โรงงานขนมหวานชิโรอิ โคอิบิโตะ พาร์ค (Shiroi Koibito Park)

ถ้าพูดถึงของฝากสุดฮิตจากญี่ปุ่นแล้ว เพื่อนๆหลายคนก็คงคิดถึงคุกกี้ ชิโรอิ โคอิบิโตะ (Shiroi Koibito) หรือเจ้าแซนด์วิชคุกกี้เนยสอดไส้ไวต์ช็อกโกแลตแสนอร่อยกันใช่ไหมล่ะคะ แต่ครั้งนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับแหล่งที่มาของเจ้าขนมแสนอร่อยนี้ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของฮอกไกโดด้วยนะ~

Shawn.ccf / Shutterstock

และที่เห็นอยู่ตอนนี้ก็คือ โรงงานขนมหวานชิโรอิ โคอิบิโตะ พาร์ค (Shiroi Koibito Park) สถานที่แห่งนี้เป็นธีมพาร์คที่สร้างขึ้นโดยบริษัทอิชิยะ (Ishiya Co., Ltd) ผู้ผลิตคุกกี้ชิโรอิ โคอิบิโตะนั่นเอง

MR.Silaphop-Pongsai / Shutterstock

ภายในสถานที่แห่งนี้จะมีทั้งร้านค้า คาเฟ่ และร้านอาหาร ที่น่าสนใจสุดๆเลยก็คือบริเวณที่แสดงไลน์ผลิตคุกกี้ กล่าวคือเราจะได้ชมกันชัดๆเลยว่ากว่าจะมาเป็นคุกกี้แสนอร่อยนั้น ทางโรงงานเขาต้องทำอะไรยังไงกันบ้าง ยิ่งไปกว่านั้น โรงงานแห่งนี้ยังมีเวิร์กชอปให้เราได้ลองทำคุกกี้ชิโรอิ โคอิบิโตะกันด้วยนะ~

daykung / Shutterstock

แล้วถ้าใครเป็นแฟนบอลของสโมสรคอนซาโดเล ซัปโปโร (Consadole Sapporo) ซึ่งเป็นอดีตทีมฟุตบอลของพี่ ‘เจ ชนาธิป’ ขวัญใจแฟนบอลชาวไทยล่ะก็ คุณสมควรมาที่นี่อย่างยิ่งเลย! เพราะว่าสนามฝึกซ้อมของสโมสรฟุตบอลดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโรงงานขนมหวานชิโรอิ โคอิบิโตะนั่นเองค่ะ [9]

ข้อมูลเกี่ยวกับโรงงานขนมหวานชิโรอิ โคอิบิโตะ (Shiroi Koibito Park)

วิธีเดินทาง
    • รถไฟใต้ดิน
      • นั่งรถไฟใต้ดินสาย Tosai Line จากสถานี Shin Sapporo Station ไปลงที่สถานี Miyanosawa Station โดยใช้เวลาประมาณ 35 นาที จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 7 นาทีก็จะถึงที่หมาย
      • นั่งรถไฟใต้ดินสาย Nanboku Line จากสถานี Sapporo Station ไปลงที่สถานี Odori Station โดยใช้เวลาประมาณ 2 นาที จากนั้นให้ไปเปลี่ยนขบวน โดยขึ้นสาย Tosai Line เพื่อไปลงที่สถานี Miyanosawa Station ตรงนี้จะใช้เวลาประมาณ 16 นาที จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 7 นาทีก็จะถึงโรงงานขนมหวานชิโรอิ โคอิบิโตะ
    • รถบัส
      • นั่งรถบัส JR Expressway Bus (ไป Otaru) จากสถานีขนส่ง Sapporo ชานชาลาที่ 1 ไปลงที่ป้าย Nishisho Kita 20-jō จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 7 นาทีก็จะถึงโรงงานขนมหวานชิโรอิ โคอิบิโตะ
    • รถยนต์
      • จากสนามบิน New Chitose Airport หากขึ้นทางด่วน Chitose-Shinkawa จะใช้เวลาประมาณ 60 นาที และถ้าใช้เส้นทางหลักจะใช้เวลาประมาณ 100 นาทีในการไปถึงที่หมาย
      • หมายเหตุ : มีบริการที่จอดรถฟรี แต่ไม่สามารถจองล่วงหน้าได้ สำหรับรถตู้นั้นมีที่จอดรถด้านนอก
    • สำหรับผู้ที่โดยสารรถไฟ JR มาจากสนามบิน New Chitose Airport
      • นั่งรถไฟ JR Rapid Train จากสถานีรถไฟ JR ของสนามบิน New Chitose Airport ไปลงที่สถานีรถไฟ JR Shin Sapporo Station โดยใช้เวลาประมาณ 40 นาที สถานี JR ดังกล่าวจะเชื่อมกับรถไฟใต้ดินสถานี Shin Sapporo Station เราจะต้องไปขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Tosai Line ของสถานีนี้เพื่อไปลงที่สถานี Miyanosawa Station โดยใช้เวลาประมาณ 35 นาที จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 7 นาที ก็จะถึงโรงงานขนมหวานชิโรอิ โคอิบิโตะ
เวลาทำการ
    • Shiroi Koibito Park : 10:00 น. – 18:00 น.
    • ทัวร์โรงงานขนมหวานชิโรอิ โคอิบิโตะ : 10:00 น. – 16:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ผู้ใหญ่ (อายุ 16 ปีขึ้นไป) : 800 เยน
    • เด็กอายุ 4-15 ปี : 400 เยน
    • เด็กอายุ 0-3 ปี : ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
แผนที่

Back To Index

5. พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโอตารุ (Otaru Aquarium)

Thanes.Op / Shutterstock

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโอตารุ (Otaru Aquarium) เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่ที่มีผู้เข้าชมเฉลี่ยปีละ 350,000 คน! อควาเรียมแห่งนี้หันหน้าออกสู่ทะเลญี่ปุ่นและอยู่ด้านตะวันตกของภูมิภาคฮอกไกโด ด้านในมีสัตว์น้ำรวมกันถึง 250 สายพันธุ์ รวมแล้วเป็นจำนวน 5,000 ตัว

retirementbonus / Shutterstock

ถ้ามาเที่ยวในช่วงหน้าหนาว เราจะได้ชมพาเหรดเพนกวินสุดน่ารักด้วยน๊า~

นอกจากนี้ยังมีการแสดงโลมาและวอลรัส แถมยังได้ดูเจ้าแมวน้ำตัวกลมกินข้าวด้วย ❤️

ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโอตารุ (Otaru Aquarium)

วิธีเดินทาง
    • นั่งรถบัสจากชานชาลาที่ 3 ตรงหน้าสถานีรถไฟ JR Otaru ไปลงที่สถานีสุดท้าย โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที
เวลาทำการ
      • วันที่ 18 มีนาคม – 15 ตุลาคม : 9:00 – 17:00 น.
      • วันที่ 16 ตุลาคม – 26 พฤศจิกายน : 9:00 – 16:00 น.
      • ช่วงวันที่ขยายเวลาเปิด
        • 15 – 17 กรกฎาคม / 16 – 18 กันยายน / 23-24 กันยายน : 9:00 – 20:00 น.
      • ฤดูหนาว (16 ธันวาคม – 25 กุมภาพันธ์) : 10:00 – 16:00 น.
ค่าเข้าชม
  • ฤดูกาลทั่วไป (18 มีนาคม – 26 พฤศจิกายน)
      • ผู้ใหญ่ : 1,800 เยน
      • นักเรียนชั้นประถมและมัธยมต้น : 700 เยน
      • เด็กอายุมากกว่า 3 ขวบ : 350 เยน
  • ฤดูหนาว (16 ธันวาคม – 25 กุมภาพันธ์)
      • ผู้ใหญ่ : 1,300 เยน
      • นักเรียนชั้นประถมและมัธยมต้น : 500 เยน
      • เด็กอายุมากกว่า 3 ขวบ : 300 เยน
เว็บไซต์
แผนที่

Back To Index

6. เขื่อนโฮเฮเคียว (Hoheikyo Dam)

เขื่อนโฮเฮเคียว (Hoheikyo Dam) เป็นเขื่อนขนาดใหญ่ในจังหวัดฮอกไกโดที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ปี 1965 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 1972 จุดประสงค์หลักของการสร้างเขื่อนแห่งนี้คือการปรับแต่งเส้นทางน้ำในแม่น้ำโทโยฮิระ (Toyohira River) ให้ไหลไปในทิศทางที่ต้องการ ทั้งนี้เป็นเพราะแม่น้ำดังกล่าวมีความคดเคี้ยวมาก มิหนำซ้ำยังสร้างความเสียหายให้เมืองซัปโปโรจากเหตุน้ำท่วมอยู่บ่อยครั้ง

เนื่องจากตัวเมืองมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขื่อนโฮเฮเคียวจึงกลายเป็นหนึ่งในเขื่อนที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าไปด้วย เขื่อนแห่งนี้ได้ใช้ทะเลสาบโจซัง (Jozan Lake) เป็นพื้นที่กักเก็บน้ำ ทั้งนี้ทะเลสาบดังกล่าวสามารถจุน้ำได้เยอะมาก! หากนำสนามกีฬาซัปโปโรโดมไปใส่ในทะเลสาบแห่งนี้ก็จะจุได้ถึง 30 โดมเลยทีเดียว (OMG! เชื่อแล้วว่าใหญ่มว้ากกก)

นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นอีกหนึ่งจุดชมใบไม้เปลื่ยนสีที่มีชื่อเสียงของจังหวัดฮอกไกโดอีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับเขื่อนโฮเฮเคียว (Hoheikyo Dam)

วิธีเดินทาง
    • ขับรถจากซัปโปโรประมาณ 1 ชั่วโมง
    • ขับรถจากโจซังเคออนเซ็นประมาณ 8 นาที
เวลาทำการ
    • 9:00 – 22:00 น. ของทุกวัน
เว็บไซต์
แผนที่

Back To Index

7. น้ำตกชิราฮิเกะ & บ่อน้ำสีฟ้าแห่งเมืองบิเอะ (Shirahige Waterfall & Shirogane Blue Pond)

น้ำตกชิราฮิเกะ (Shirahige Waterfall) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติของจังหวัดฮอกไกโดที่มีความงดงามมาก ที่ตั้งของน้ำตกแห่งนี้คือเมืองบิเอะ (Biei) ซึ่งเป็นเมืองทางตะวันออกเฉียงใต้ของอาซาฮิกาวะ (Asahikawa) ยิ่งไปกว่านั้น น้ำตกชิราฮิเกะยังอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 600 เมตรเลยทีเดียว [10]

ม่านน้ำสีขาวที่ไหลผ่านช่องว่างของหน้าผานั้นเป็นที่มาของชื่อ ชิราฮิเกะ ซึ่งแปลว่า น้ำตกเคราขาว นอกจากนี้ต้นน้ำของน้ำตกชิราฮิเกะก็มาจากแม่น้ำใต้ดิน ซึ่งเป็นต้นน้ำที่พบได้ยากสำหรับน้ำตกในญี่ปุ่น

หากถามว่าควรไปเที่ยวน้ำตกชิราฮิเกะในช่วงไหน เราขอแนะนำว่าในช่วงฤดูใบไม้ร่วงน้ำตกแห่งนี้จะสวยงามมากๆ เพราะสีแดงเหลืองของใบไม้ในช่วงนั้นจะตัดกับสีฟ้าสดของผืนน้ำด้านล่างอย่างสวยงาม

นอกจากนี้ฤดูหนาวยังเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่น่าสนใจ เพราะในยามที่เหล่าต้นไม้ปกคลุมด้วยหยาดน้ำค้างที่จับตัวกันเป็นน้ำแข็ง มันจะส่องประกายกระทบผืนน้ำสีฟ้าเบื้องล่าง ดูระยิบระยับสวยงามราวกับคริสตัลเลยล่ะ ขอบอกเลยว่าเหมือนอยู่ในสวรรค์!

นอกจากนี้ ที่น้ำตกชิราฮิเกะยังมีงานเทศกาลไฟประดับเพื่อเพิ่มความสวยงามให้กับสถานที่แห่งนี้ด้วย โดยช่วงที่จัดงานจะอยู่ในเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน ถ้าใครอยากเข้าชมก็อย่าลืมสวมเสื้อผ้าให้อบอุ่นด้วยล่ะ เพราะสภาพอากาศช่วงนั้นหนาวมาก อุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเลยทีเดียว หากเตรียมเสื้อผ้าไปสวมใส่ให้อบอุ่น เราจะได้เดินดูไฟอย่างสบายใจค่ะ

หลังจากชมน้ำตกกันจนอิ่มใจแล้ว ลองแวะไปที่ บ่อน้ำสีฟ้าแห่งเมืองบิเอะ หรือ Shirogane Blue Pond กันนะคะ บ่อน้ำสีฟ้าใสอันโด่งดังแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับน้ำตกชิราฮิเกะ โดยเป็นบ่อน้ำที่เปิดให้เข้าชมมาตั้งแต่ปี 1950 เหตุผลที่น้ำในบ่อแห่งนี้เป็นสีฟ้าก็เพราะว่ามันอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม (Magnesium) และแคลเซียมซัลเฟต (Calciumsulfate) นั่นเอง

นักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพอันสวยงามของบ่อน้ำ Shirogane Blue Pond ได้ทุกฤดูกาล ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนเราจะได้ชมบ่อน้ำที่เป็นสีฟ้าสดใส ในฤดูใบไม้ร่วงเราจะได้เห็นต้นไม้รอบๆกลายเป็นสีส้มแดงตัดกับสีของน้ำในบ่อ ส่วนในช่วงฤดูหนาวเราจะได้ชมวิวบ่อน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งและรายล้อมไปด้วยหิมะขาวโพลน

ได้เที่ยวน้ำตกสวยๆแล้วยังมาเจอความงดงามราวกับสรวงสวรรค์ของบ่อน้ำสีฟ้าแห่งนี้อีก คงไม่มีอะไรจะฟินไปมากกว่านี้อีกแล้วใช่ไหมล่ะทุกคน~ 💙

ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำตกชิราฮิเกะ & บ่อน้ำสีฟ้าแห่งเมืองบิเอะ (Shirahige Waterfall & Shirogane Blue Pond)

วิธีเดินทาง
    • นั่งรถยนต์หรือรถบัส Dohoku Bus จากสถานี JR Biei Station ไปลงที่ Shirahige Waterfall และ Shirogane Blue Pond โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที
    • บ่อน้ำสีฟ้าแห่งเมืองบิเอะอยู่ในบริเวณใกล้ๆกับน้ำตกชิราฮิเกะ
วันและเวลาทำการ
    • เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
เว็บไซต์
แผนที่ของ Shirahige Waterfall

แผนที่ของ Shirogane Blue Pond

Back To Index

8. ทะเลสาบทั้งห้าของชิเรโทโกะ (Shiretoko Goko Lake)

ทะเลสาบชิเรโทโกะ โกโกะ (Shiretoko Goko Lake) หรือ ทะเลสาบทั้งห้าของชิเรโทโกะ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ ‘จังหวัดฮอกไกโด’ ความพิเศษของทะเลสาบแห่งนี้คือที่นี่เป็นส่วนใต้สุดของขั้วโลกเหนือ เราจึงได้เห็นแผ่นน้ำแข็งลอยอยู่บนผืนน้ำด้วย

นอกจากนี้ทะเลสาบชิเรโทโกะยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย และที่ญี่ปุ่นเองก็ยกให้ทะเลสาบแห่งนี้เป็นสถานที่ unseen สุดลึกลับด้วยนะ แม้จะเพิ่งถูกค้นพบในปี 2005 ก็ตามที

ด้วยทิวเขาที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ป่าขนาดใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของพวกนกกาน้ำ (Cormorant) นกอินทรีหางขาว (White-tailed Eagle) หงส์ (Swan) และเหล่าสัตว์ป่าทั้งหลาย เราจึงกล่าวได้ว่าทะเลสาบแห่งนี้เป็นระบบนิเวศที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

อีกหนึ่งกิจกรรมที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ การเดินชมทะเลสาบทั้งห้าที่แสนงดงามบนสะพานไม้ที่ยาวถึง 1.6 กิโลเมตร!

นอกจากนี้ทะเลสาบชิเรโทโกะยังถูกโอบล้อมด้วยภูเขาชิเรโทโกะและป่าขนาดใหญ่ ทำให้เราได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามของผืนน้ำที่สะท้อนความสวยงามของภูเขาและป่าไม้

แต่หากใครต้องการใช้เส้นทางเดินเขาเพื่อเยี่ยมชมทะเลสาบจะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนนะคะ เพราะถ้าไปในช่วงฤดูล่าสัตว์ของเจ้าหมีสีน้ำตาล (ช่วงเดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม) เราอาจจะอดเดินได้ ( TT ^ TT )

ถ้าใครอยากลองมาเที่ยวชมสถานที่สุด unseen ของญี่ปุ่นอย่างทะเลสาบชิเรโทโกะ เราแนะนำให้มาช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมค่ะ เพราะถึงแม้ว่าอากาศจะหนาวหน่อย แต่ก็คุ้มค่ากับทิวทัศน์อันสวยงามของทะเลสาบน้ำแข็งตรงหน้านะ [11]

ข้อมูลเกี่ยวกับทะเลสาบทั้งห้าของชิเรโทโกะ (Shiretoko Goko Lake)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี JR Shiretoko-Shari Station ให้ขึ้นรถบัส Shari Bus โดยใช้เวลา 85 นาที
    • ระหว่างช่วงปลายเดือนเมษายน-ตุลาคม จะมีรถบัสให้บริการจาก Utoro ถึง Shiretoko Goko Lake โดยใช้เวลา 25 นาที
เวลาทำการ
    • ตามปกติเส้นทางไปทะเลสาบชิเรโทโกะจะปิดในช่วงฤดูหนาว ทั้งนี้เราสามารถเช็กเวลาล่วงหน้าได้ตามเว็บไซต์ทางการที่ให้ไว้ด้านล่าง
เว็บไซต์
แผนที่

Back To Index

9. เนินเขาเซรุบุฮิลล์ (Zerubu Hill)

หากใครมาฮอกไกโดในช่วงเดือนพฤษภาคมจนถึงตุลาคม เราขอแนะนำว่าห้ามพลาดการไปเที่ยวเมืองบิเอะ (Biei) เลยค่ะ เพราะทุกคนจะได้เห็นหมู่ดอกไม้หลากสีสันที่พร้อมใจกันบานสะพรั่งเต็ม เนินเขาเซรุบุฮิลล์ (Zerubu Hill)

เนินเขาแห่งนี้มีทุ่งลาเวนเดอร์ขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้ฝรั่งเศสนานาพันธุ์ อีกทั้งยังมีดอกดาวกระจายและดอกไม้ชนิดอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งถ้ามองในมุมพาโนราม่าก็จะเป็นภาพที่สวยงามมากๆ

เมื่อเข้ามาด้านในจะมีจุดชมวิวที่ตั้งอยู่บนเส้นทาง Patchwork Road ของเมืองบิเอะ สิ่งที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชมในเส้นทางนี้ก็คือ ต้นไม้ของ Ken & Mary (Ken & Mary Tree)

จุดท่องเที่ยวดังกล่าวนี้เป็นวิวทิวทัศน์ที่ปรากฏให้เห็นในภาพยนตร์โฆษณา Skyline ของบริษัทนิสสันมอเตอร์ (Nissan Motor’s) ซึ่งฉายในปี 1972 [12] 

  • ชมโฆษณา Skyline ของ Nissan Motor’s ได้ที่นี่ >> คลิก

และนี่ก็คือ “เนินเขาเซรุบุฮิลล์” อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในฮอกไกโดที่เราอยากให้ทุกคนลองไปเที่ยวกันค่ะ เราสามารถไปปั่นจักรยานเล่นชมทัศนียภาพอันสวยงามของทุ่งดอกไม้ขนาดใหญ่กันได้อย่างเพลิดเพลิน และที่สำคัญคือที่นี่เข้าชมได้ฟรีค่ะ! ดีขนาดนี้ไม่ไปไม่ได้แล้วล่ะ 😊

สำหรับร้านอาหารหรือร้านขายของฝากที่อยู่ใกล้ๆเนินเขาเซบุรุฮิลล์ ทุกคนสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ตามเว็บไซต์ที่ให้ไว้ด้านล่างนะคะ~

ข้อมูลเกี่ยวกับเนินเขาเซรุบุฮิลล์ (Zerubu Hill)

วันและเวลาทำการ
    • 8:30 – 17:00 น.
    • เฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน – มีนาคม เปิดตั้งแต่ 9 โมงเป็นต้นไป
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
แผนที่

Back To Index

10. พิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโร (Sapporo Beer Museum)

Sean-Pavone / Shutterstock

สายสุราปลาปิ้งต้องไม่พลาดสิ่งนี้! เพราะแม้แต่สามัญชนคนไม่เคยแตะสุราก็ยังต้องไปให้ได้สักครั้ง (เธอเองใช่ไหมที่อยากไป ยัยคนเขียน! 5555555)

fromJapan ภูมิใจนำเสนอ…พิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโร (Sapporo Beer Museum) !!!

พิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโรเป็นอาคารอิฐสีแดงสดใสที่ตั้งตระหง่านอยู่ในบริเวณสวน Sapporo Garden Park แต่จริงๆแล้วตอนที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างเสร็จในปี 1890 ที่นี่ได้เปิดตัวครั้งแรกในฐานะของโรงงานผลิตน้ำตาล (Sapporo Sugar Company) เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงปี 1987 สถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโรอย่างที่ทุกคนเห็นกันนี่แหละจ้า

เราตามมาดูความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้กันเถอะ~

SWS-Kanpop / Shutterstock

ย้อนไปในสมัยเมจิ เมื่อ วิลเลียม สมิธ คลาร์ก (William Smith Clark) ศาสตราจารย์ชาวอเมริกันผู้เชี่ยวชาญด้านเคมี พฤกษศาสตร์ และสัตววิทยาได้เดินทางมายังฮอกไกโดในฐานะ O-yatoi gaikokujin กล่าวคือเป็นชาวต่างชาติผู้เป็นที่ปรึกษาให้แก่รัฐ ในเวลานั้นศาสตราจารย์คลาร์กได้บุกเบิกการทำเบียร์ขึ้น มิหนำซ้ำเขายังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลฮอกไกโดในการสร้างโรงเบียร์ขึ้นหลายแห่งในซัปโปโร

หลังจากที่วิลเลียม สมิธ คลาร์กกลับไปยังอเมริกาบ้านเกิดของเขาแล้ว การพัฒนาเบียร์ของฮอกไกโดยังคงดำเนินต่อไป ด้วยเทคนิคการปลูกบีต (Beet) หรือหัวผักกาดหวานอันยอดเยี่ยมของศาสตราจารย์คลาร์ก การผลิตน้ำตาลจากบีตอันเป็นวัตถุดิบแสนสำคัญของการทำเบียร์จึงประสบผลสำเร็จ

การก่อตั้งโรงงานผลิตน้ำตาลมอนเบ็ทสึ (Monbetsu Sugar Factory) ตลอดจนการเปลี่ยนให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์เบียร์และลานเบียร์ ทั้งหมดล้วนอยู่ในการดูแลของรัฐบาลฮอกไกโดและบริษัทซังเงอร์เฮาเซิน (Sangerhausen, Germany) นอกจากนี้ชาวฮอกไกโดยังได้รับเทคนิคการทำเบียร์ดีๆมาจากเยอรมันด้วย

และในปี 2004 พิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโรแห่งนี้ก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในมรดกอันทรงคุณค่าของฮอกไกโด (Hokkaido Heritage Sites) [13]

ThamKC / Shutterstock

จบประวัติไปหนึ่งกรุบ ทีนี้เราไปทัวร์กันดีกว่าว่าภายในพิพิธภัณฑ์เบียร์แห่งนี้จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง~

อาคารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีทั้งหมด 3 ชั้น โดยมีทั้งโซนบอกเล่าประวัติความเป็นมาของเบียร์ฮอกไกโด โซนจัดแสดงขวดเบียร์ โปสเตอร์ รวมถึงเครื่องมือการผลิตเบียร์ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

BonStock / Shutterstock

twoKim-studio / Shutterstock

twoKim-studio / Shutterstock

นอกจากนี้ที่บริเวณชั้น 2 ของอาคารยังเป็นฮอลล์สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากลองดื่มเบียร์ของที่นี่ด้วย

BonStock / Shutterstock

ส่วนชั้น 1 จะเป็นร้านขายของฝากกับร้านอาหารที่ชื่อว่า “สตาร์ฮอลล์” (Star Hall) เมนูเด็ดที่ควรไปลองก็คือ Genghis Khan ถ้าอยากรู้ว่าเมนูเด็ดนี้คืออะไร โปรดติดตามกันต่อที่พาร์ท อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดฮอกไกโด นะคะ 555

สำหรับคนที่ยังไหวและอยากไปต่อ เราขอแนะนำให้ออกไปเดินเล่นกันต่อที่สวน Sapporo Garden Park สวนแห่งนี้อยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้าอาริโอะซัปโปโร (Ario Sapporo) ด้วยค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโร (Sapporo Beer Museum)

วิธีเดินทาง
    • รถไฟ
      • นั่งรถไฟ JR สาย Hakodate Main Line ไปลงที่สถานี Naebo Station จากนั้นให้เดินออกมาที่ทางออกทิศเหนือ ทั้งนี้จะใช้เวลาเดินจากสถานีดังกล่าวประมาณ 8 นาที
      • เดินจาก Higashi-Kuyakusho-Mae Station ไปทาง Toho Subway Line โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที
      • หมายเหตุ : สามารถตรวจสอบรอบการเดินรถได้ตามลิงก์นี้เลยจ๊ะ Click Here!
    • รถบัส
      • นั่งรถบัส Loop 88 Factory Line bus จาก Odori Station หรือหน้าห้างสรรพสินค้า Seibu โดยทั้งสองสถานที่ดังกล่าวจะอยู่ใกล้กับ Sapporo Station
    • เดิน
      • เดินจาก JR Sapporo Station โดยใช้เวลาประมาณ 25 นาที
เวลาทำการ
    • พิพิธภัณฑ์เปิดเวลา 11:00 – 18:00 น. (เปิดให้เข้าได้จนถึงเวลา 17:30 น.)
    • พิพิธภัณฑ์ปิดทุกวันจันทร์ และช่วงวันหยุดปีใหม่
    • ร้านค้าภายในพิพิธภัณฑ์เปิดจนถึงเวลา 17:30 น.
    • หมายเหตุ : หากวันจันทร์ตรงกับวันหยุด พิพิธภัณฑ์จะปิดวันอังคารแทน
ค่าเข้าชม
    • เข้าชมฟรี (แต่ถ้าต้องการไกด์ต้องชำระค่าใช้จ่ายเพิ่ม 500 เยน)
เว็บไซต์
แผนที่

Back To Index

อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดฮอกไกโด

แม้ว่า ‘จังหวัดฮอกไกโด’ เป็นเหมือนจังหวัดน้องใหม่ของญี่ปุ่นเมื่อเทียบกับจังหวัดที่เป็นเมืองเก่าอย่างนารา ชิมาเนะ หรือเกียวโต แต่อาหารของฮอกไกโดก็มีความน่าสนใจและน่าอร่อยมาก! ว่าแต่จะมีอะไรบ้างน๊า ตามมาดูกันเลยค่ะ

1. ไคเซ็นด้ง (Kaisendon)

เปิดมาเมนูแรกก็ชวนให้ท้องร้องโครกครากแล้ว >< เพราะอาหารทะเลสดๆจากฮอกไกโดเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การไปโดนเป็นอย่างยิ่ง!

และเมนูที่ตอบโจทย์คนรักซีฟู้ดก็คือ~ ไคเซ็นด้ง (Kaisendon) หรือ ข้าวหน้าทะเล จานนี้นี่เอง!

เมนูนี้มีทีเด็ดอยู่ตรงที่ว่าเราจะได้กินอาหารทะเลหลายๆอย่างในคราเดียว ไม่ว่าจะเป็นปู กุ้ง มากุโระ แซลมอน หมึก หอยเชลล์ และถ้าใครอยากสัมผัสกับความสดอย่างแท้จริงของอาหารทะเลฮอกไกโด เราขอแนะนำให้ลองสั่งไคเซ็นด้งที่ตลาดอาหารทะเลดูค่ะ เช่นตลาด Otaru Sankaku Market รับรองว่าอร่อยจนฟินลืม!

Back To Index

2. ซุปแกงกะหรี่ (Soup Curry)

อีกหนึ่งเมนูอาหารซิกเนเจอร์ของฮอกไกโดที่ควรค่าแก่การไปโดนก็คือ ซุปแกงกะหรี่

ปกติแล้วแกงกะหรี่ญี่ปุ่นจะมีลักษณะข้นและหนืด แต่ซุปแกงกะหรี่ของฮอกไกโดจะมีลักษณะค่อนไปทางซุปใส กลิ่นและรสชาติก็ค่อนข้างอ่อน

ส่วนประกอบของอาหารจานนี้ก็คือเนื้อสัตว์และผัก โดยปกติแล้วเมนูนี้จะเสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ แถมยังสามารถเลือกระดับความเผ็ดได้ด้วย

แน่นอนว่าซุปแกงกะหรี่ฮอกไกโดที่ดีที่สุดก็ต้องเป็น ซุปแกงกะหรี่ซัปโปโร (Sapporo Soup Curry) เพราะมีรสชาติเฉพาะและมีกลิ่นของสมุนไพรอ่อนๆด้วย

Back To Index

3. เจงกิสข่าน (Jingisukan)

เจงกิสข่าน หรือ ‘จิงกิสึคัน’ ตามการออกเสียงของคนญี่ปุ่น คือเนื้อย่างสไตล์มองโกเลียน โดยเป็นการนำเนื้อแกะไปย่างบนเตาถ่านที่วางทับด้วยกระทะทรงหมวก (ถ้าใครนึกไม่ออก มันจะคล้ายๆกระทะที่ใช้กินหมูกระทะบ้านเรานั่นแหละจ๊ะ)

แต่ที่เราภูมิใจนำเสนอมากๆเลยก็คือความฉ่ำของเนื้อแกะย่าง ซึ่งจะรับประทานคู่กับผักกาดขาวย่าง ฟักทองย่าง ถั่วงอกย่าง หอมหัวใหญ่ย่าง

ถือเป็นความดีงามอีกอย่างหนึ่งของการมาเที่ยวฮอกไกโดเลยล่ะ ยิ่งถ้ามีเบียร์ซัปโปโรด้วยนะ ฟินเฟ่อร์~

Back To Index

4. ซัปโปโรราเมน (Sapporo Ramen)

ไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหน ‘ราเมน’ ก็ยังคงเป็นเมนูที่ครองใจคนญี่ปุ่น แถมราเมนในแต่ละจังหวัดก็มีเอกลักษณ์ของตัวเองที่ต่างกันไป แน่นอนว่าที่ฮอกไกโดก็เช่นกัน โดยเฉพาะ “ซัปโปโรราเมน” ที่เรานำมาเสนอทุกคน รับรองว่าอร่อยไม่แพ้ราเมนที่ไหนๆเลยล่ะ

ซัปโปโรราเมนคือมิโสะราเมนชนิดหนึ่งที่มีจุดเด่นอยู่ตรงความหอมของกลิ่นกระเทียม แถมราเมนที่นี่ยังใส่ผักเยอะมาก!

ร้านแรกที่ขายซัปโปโรราเมนในปี 1950 มีชื่อว่า Aji no Sanpei ร้านราเมนแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาในระยะเวลาหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปี ทั้งนี้มิโสะราเมนนับว่าเป็นราเมนที่อร่อยและดีต่อสุขภาพด้วยค่ะ

ถ้าเพื่อนๆได้ไปเที่ยวซัปโปโรก็อย่าลืมไปลิ้มลอง “ซัปโปโรราเมน” กันนะ!

Back To Index

5. เลอทาโอะ (LeTAO)

พูดถึงฮอกไกโดแล้วก็ต้องนึกถึงนมหรือ Dairy Product อย่างชีสหรือโยเกิร์ตกันใช่ไหมล่ะ

ยิ่งถ้าพูดถึง เลอทาโอะ (LeTAO) ร้านขนมหวานชื่อดังของเมืองโอตารุ เชื่อว่าสาวกของหวานต้องรู้จักชื่อร้านขนมแห่งนี้เป็นอย่างดีแน่นอน

LeTAO: Why Are Japan's Northern Sweets so Good?! (Warning: Don't Look If You're Hungry!) | LIVE JAPAN travel guide

ที่มา (Photo Credit) : https://livejapan.com/en/

นอกจาก LeTAO จะมีสาขาอยู่ทั่วฮอกไกโดและมีชื่อเสียงในญี่ปุ่นแล้ว เฉพาะในเมืองโอตารุเองก็มี LeTAO ทั้งหมด 6 สาขาด้วยกัน โดยแต่ละสาขาจะมีซิกเนเจอร์เป็นของตัวเอง อย่างสาขาหลักก็จะมี Deux Fromage Roll หรือโรลเค้กไส้ครีมชีส ส่วนเนื้อเค้กจะเป็นแบบฟองน้ำซึ่งนุ่มละมุนลิ้นเป็นที่สุด ส่วนสาขา Nouvelle Vague LeTAO Chocolatier Otaru Main Shop ที่สามารถเดินไปจากสาขาหลักได้ภายใน 3 นาทีนั้นจะโด่งดังเรื่องช็อกโกแลตมาก โดยเฉพาะเมนูดังอย่าง Adele ที่เป็นดาร์กช็อกโกแลตมูสสลับชั้นกับช็อกโกแลตนม ใครเป็น Chocolate Lover บอกได้เลยว่าห้ามพลาด!

ที่มา (Photo Credit) : https://www.rokkatei.co.jp/

แต่ถ้าใครไม่ได้ไปโอตารุก็สามารถตามหา Marusei Butter Sandwich ซึ่งเป็นขนมอีกอย่างหนึ่งที่มีชื่อเสียงของ LeTAO ได้ที่สาขา Rokkatei และ Obihio ขนมดังกล่าวมีลักษณะเป็นบิสกิตสอดไส้ครีม นักท่องเที่ยวจะนิยมซื้อเจ้าขนมชนิดนี้กลับบ้านไปเป็นของฝากด้วยค่ะ

ส่วนแซนด์วิชคุกกี้แบบอื่นๆของ LeTAO นั้นก็ล้วนมีหน้าตาน่าอร่อยไม่แพ้กันเลย

Back To Index

อ่านบทความอื่นๆเกี่ยวกับฮอกไกโด

มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!

รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!

ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ

 

Back To Top