fbpx

รวม 17 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดเฮียวโกะ’ และข้อมูลอื่นๆที่น่าสนใจ

ต.ค. 22, 2020

รวม 17 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดเฮียวโกะ’ และข้อมูลอื่นๆที่น่าสนใจ


จังหวัดเฮียวโกะ (Hyogo Prefecture) เป็นจังหวัดหนึ่งในภูมิภาคคันไซซึ่งอยู่ติดกับจังหวัดโอซาก้า แม้จะเป็นที่รู้กันดีว่าจังหวัดโอซาก้านั้นได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างท่วมท้น แต่จังหวัดเฮียวโกะเองก็มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นอกจากจะอุดมไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอย่างภูเขาหรือทะเลแล้ว ‘จังหวัดเฮียวโกะ’ ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าค้นหาและมีอายุยาวนานนับพันปี

นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจและน่าไปแล้วนั้น ความอร่อยของ ‘เนื้อโกเบ’ ก็น่าลิ้มลองเช่นกัน เราขอเคลมตรงนี้เลยว่าเนื้อโกเบคือดีมาก >< สามารถให้คำนิยามว่า ‘สีแดงที่ดีต่อใจ’ หรือ ‘เข้าปากปุ๊บ ละลายปั๊บ’ ได้เลยล่ะ!

สำหรับการเดินทางมาที่จังหวัดเฮียวโกะก็ถือว่าสะดวกสบายไม่ใช่น้อย นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถไฟชินคันเซ็นจากจังหวัดใกล้เคียงมาที่เฮียวโกะได้ค่ะ

    • จากโอซาก้า : ใช้เวลา 12 นาที
    • จากเกียวโต : ใช้เวลา 27 นาที
    • จากฮิโรชิม่า : ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 7 นาที

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาดูกันเลยดีกว่าว่ามีที่ไหนใน จังหวัดเฮียวโกะ ที่น่าไปโดนบ้าง ฟอลโลว์มีเลยจ้า!

สารบัญ (Index) : จังหวัดเฮียวโกะ

สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดเฮียวโกะ
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดเฮียวโกะ

สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดเฮียวโกะ

จังหวัดเฮียวโกะขนาบข้างด้วยทะเลญี่ปุ่นกับทะเลเซโตะ อีกทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเมืองท่าโกเบที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันระหว่างความเป็นตะวันตกกับญี่ปุ่นโบราณ หรือแหล่งโบราณสถานที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ร่วมพันปี รวมถึงบ่อน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียง

1. เมืองโกเบ

1.1 โกเบพอร์ตทาวเวอร์ (Kobe Port Tower)

โกเบพอร์ตทาวเวอร์ (Kobe Port Tower) เป็นหอคอยที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1963 ด้วยการออกแบบของบริษัทก่อสร้างที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่นอย่าง Nikken Sekkei บริษัทดังกล่าวนี้นอกจากจะเป็นผู้ออกแบบ Kobe Port Tower แล้ว ก็ยังเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบหอโทรทัศน์ Tokyo Skytree ที่มีความสูงกว่า 600 เมตรด้วย รวมถึง Barcelona Camp Nou สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

ด้วยความแปลกแต่น่าสนใจของรูปทรงตึกที่คล้ายกับนาฬิกาทราย และการตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง สถานที่แห่งนี้จึงเป็นจุดแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองโกเบไปโดยปริยาย

ภายในอาคารมีจุดชมวิวที่สามารถชมวิวของเมืองโกเบได้ทั่วทั้งเมือง และความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของ Kobe Port Tower คือบนชั้น 3 จะมีคาเฟ่ที่หมุนรอบตัวเองด้วยอัตราเร็ว 20 นาทีต่อ 1 รอบ ! จึงทำให้เราได้สัมผัสกับวิวที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ของเมืองโกเบได้อย่างรื่นเริงบันเทิงใจ

ข้อมูลเกี่ยวกับโกเบพอร์ตทาวเวอร์ (Kobe Port Tower)

วิธีเดินทาง
    • เดินจากสถานี Minatomotomachi ไม่เกิน 10 นาที
พิกัด
    • Kobe Port Tower, 5-5 Hatobacho, Chuo Ward, Kobe, Hyogo
เวลาทำการ
    • 9:00 – 20:30 น. (เฉพาะเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ เปิดทำการเวลา 9:00 – 18:30 น.)
ค่าธรรมเนียม
    • Port Tower
      • ผู้ใหญ่ : 700 เยน
      • เด็ก : 300 เยน
    • Kobe Maritime Museum
      • ผู้ใหญ่ : 900 เยน
      • เด็ก : 400 เยน
    • Multi-use ticket
      • ผู้ใหญ่ : 1,300 เยน
      • เด็ก : 550 เยน
เว็บไซต์ 
แผนที่ Google Map

Back To เมืองโกเบ

Back To Index

1.2 ศาลเจ้าอิคุตะ (Ikuta-jinja Shrine)

Vichean Jinatakaweekul / Shutterstock

ศาลเจ้าอิคุตะ (Ikuta-jinja Shrine) เป็นหนึ่งในศาลเจ้าชินโตที่โด่งดังของโกเบ เพราะนอกจากจะมีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีอายุเกือบสองพันปี (เป็นการคาดคะเนอายุจากเรื่องเล่าที่ว่าศาลเจ้าอิคุตะสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 3) บริเวณศาลเจ้าก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นป่าอิคุตะหรือป่าไม้ไผ่เบ็งเกอิ

ไหนๆก็จะมาที่นี่กันแล้ว เพื่อนๆรู้ไหมคะว่าภายในบริเวณศาลเจ้าอิคุตะมีศาลเจ้าย่อยที่โด่งดังด้วยนะ ศาลเจ้าย่อยดังกล่าวตั้งอยู่ภายในศาลเจ้าหลักและเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘ศาลเจ้าประทานรัก’ เนื่องจากมีตำนานเล่าขานว่ามีเทพเจ้าแห่งการแต่งงานสถิตอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ ทำให้ใครก็ตามที่มาขอพรเกี่ยวกับความรักหรือขอพรให้ประสบความสำเร็จในชีวิตหลังแต่งงานมักจะได้รับความสมหวังดังพรปรารถนา ศาลเจ้าย่อยที่ว่านี้ก็คือ ‘ศาลเจ้า Matsuo-jinja’ นั่นเอง

นอกจากนี้ศาลเจ้าอิคุตะก็ยังมี ‘ต้นสนซีดาร์’ อันเลื่องชื่อเรื่องเสริมดวงความรักอีกด้วย ความสัมพันธ์ของใครดูใกล้จะพัง หรือใครที่ความรักยังดีอยู่แต่อยากให้ดีกว่าเดิม ก็ไปขอพรกันได้ที่นี่เลยจ๊ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าอิคุตะ (Ikuta-jinja Shrine)

วิธีเดินทาง
    • เดินจากสถานี Sannomiya 10 นาที
พิกัด
    • 1 Chome-2-1 Shimoyamatedori, Chuo Ward, Kobe, Hyogo
เวลาทำการ
    • 9:00 – 17:00 น.
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To เมืองโกเบ

Back To Index

1.3 โกเบฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland)

beeboys / Shutterstock

โกเบฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland) เป็นย่านการค้าและสถานบันเทิงที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟ JR Kobe และริมน้ำของท่าเรือ Kobe ในพื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และสถานบันเทิงต่างๆมากมาย บรรยากาศยามเย็นที่สุดแสนโรแมนติกทำให้ Kobe Harbourland เป็นที่เที่ยวยอดนิยมสำหรับคู่รัก รวมไปถึงนักท่องเที่ยวด้วย

ศูนย์การค้าที่โดดเด่นที่สุดในย่านนี้คือ Umie ซึ่งแบ่งพื้นที่เป็นสามส่วนคือ Mosaic, South Mall และ North Mall

และถ้าพูดถึงความสวยงามของสถานที่แห่งนี้ จะเห็นว่าพื้นกระเบื้องบริเวณริมแม่น้ำได้นำเอาศิลปะแบบโมเสกมาตกแต่ง

ใน Kobe Harbourland แห่งนี้มีร้านอาหารหลายแห่งที่สามารถมองออกไปเห็นวิวของท่าเรือและตึก Kobe Port Tower ได้ นอกจากนี้ยังมี Kobe Maritime Museum และชิงช้าสวรรค์ที่พร้อมจะให้เราขึ้นไปนั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่แสนสวยงาม

สำหรับเด็กๆที่ชื่นชอบ Anpanman ต้องไม่พลาดพิพิธภัณฑ์ Anpanman นะ นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์มังงะและอนิเมะยอดนิยมอีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับโกเบฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland)

วิธีเดินทาง
    • ใกล้สถานี Kobe และสถานี Harbor Land
พิกัด
    • 1 Chome Higashikawasakicho, Chuo Ward, Kobe, Hyogo
เวลาทำการ
    • แตกต่างกันในแต่ละสถานที่
ค่าธรรมเนียม
    • แตกต่างกันในแต่ละสถานที่
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To เมืองโกเบ

Back To Index

1.4 กระเช้าลอยฟ้าชินโกเบ (Shin-Kobe Ferris Wheel) และน้ำตกนุโนะบิกิ (Nunobiki Waterfall)

Blanscape / Shutterstock

กระเช้าลอยฟ้าชินโกเบ (Shin-Kobe Ferris Wheel / Kobe Nunobiki Ropeway) เป็น 1 ใน 3 กระเช้าลอยฟ้าที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้ขึ้นเขาไปทางตอนใต้ของภูเขา Rokko ซึ่งจุดขึ้นกระเช้าลอยฟ้านี้อยู่บริเวณถัดจากสถานี Shin-Kobe

นักท่องเที่ยวสามารถชมวิวทิวทัศน์ที่แสนงดงามของโกเบได้ทั้งกลางวันและกลางคืนเลยทีเดียว

เส้นทางของกระเช้าลอยฟ้า Shin-Kobe จะผ่าน น้ำตกนุโนะบิกิ (Nunobiki Waterfall) และสวนสมุนไพร Nunobiki

Visun Khankasem / Shutterstock

สวนสมุนไพร Nunobiki เป็นสวนสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เพราะนอกจากจะมีสมุนไพรหลายร้อยชนิดแล้ว ยังมีดอกไม้ตามฤดูกาลอีกด้วย เราสามารถเข้าไปชมในเรือนกระจกหรือในสวนได้เลย

ข้อมูลเกี่ยวกับกระเช้าลอยฟ้าชินโกเบ (Shin-Kobe Ferris Wheel) และน้ำตกนุโนะบิกิ (Nunobiki Waterfall)

วิธีเดินทาง
    • เดินจากสถานี Shin-Kobe ประมาณ 18 นาที หรือนั่งแท็กซี่ประมาณ 5 นาที
พิกัด
    • Kobe Nunobiki Ropeway, Chūō-ku, Kobe, Hyogo
เวลาทำการ
    • 9:30 – 20:30 น. (ขึ้นอยู่กับฤดูกาล สามารถเช็กได้ตามเว็บไซต์ด้านล่าง)
ค่าธรรมเนียมสำหรับกระเช้า (9:30 – 17:00 น.)
    • เที่ยวเดียว
      • ผู้ใหญ่ : 950 เยน
      • เด็ก : 480 เยน
    • ไป–กลับ
      • ผู้ใหญ่ : 1,500 เยน
      • เด็ก : 950 เยน
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
  • Shin-Kobe Ferris Wheel / Kobe Nunobiki Ropeway

  • Nunobiki Waterfall

Back To เมืองโกเบ

Back To Index

1.5 ย่านคิตาโนะ (Kobe Kitano Ijinkan-Gai)

Shawn.ccf / Shutterstock

ในช่วงศตวรรษที่ 19 มีชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งเข้ามาตั้งรกรากและทำการค้าที่เมืองคิตาโนะ จังหวัดเฮียวโกะ ด้วยภูมิประเทศที่ตั้งอยู่ในบริเวณเชิงเขา Rokko ซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพของอ่าวโกเบได้อย่างทั่วถึง เหล่าพ่อค้าชาวต่างชาติจึงนิยมมาสร้างบ้านในย่านคิตาโนะ เพราะพวกเขาเล็งเห็นประโยชน์ของทำเลทองแห่งนี้นั่นเอง

นับจากนั้นเป็นต้นมา ย่านคิตาโนะ (Kobe Kitano Ijinkan-Gai) จึงกลายเป็นเมืองท่าของโกเบที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ รวมถึงการผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตกกับความเป็นญี่ปุ่นย้อนยุคได้อย่างลงตัว โดยจะเห็นได้จากบ้านเรือนในบริเวณนี้ที่มีความสวยงาม โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

ในย่านคิตาโนะมีคฤหาสน์โบราณ (Ijinkan) ที่ยังคงตั้งอยู่ภายในพื้นที่นี้หลายหลัง ปัจจุบันบ้านเหล่านี้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมได้ สำหรับค่าใช้จ่ายในการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ก็จะอยู่ระหว่าง 550 – 750 เยน

นอกจากเราจะได้ชมบ้านเรือนสไตล์ย้อนยุคแล้ว ที่นี่ก็ยังมีคาเฟ่ ร้านอาหาร และร้านบูติกอีกมากมาย ให้เราได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศที่มีความเป็นตะวันตกผสมกับความเป็นญี่ปุ่น ย่านคิตาโนะจึงเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นและคู่รักชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก

ข้อมูลเกี่ยวกับย่านคิตาโนะ (Kobe Kitano Ijinkan-Gai)

วิธีเดินทาง
    • เดินจากสถานี Sannomiya หรือสถานี Shin-Kobe ประมาณ 10 – 15 นาที
พิกัด
    • Kitanocho, Chuo Ward, Kobe, Hyogo
เวลาทำการ
    • 9:30 – 18:00 น.
ค่าธรรมเนียม
    • ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To เมืองโกเบ

Back To Index

1.6 โกเบลูมินาริเอะ (Kobe Luminarie)

Mariia Semenova / Shutterstock

โกเบลูมินาริเอะ (Kobe Luminarie) คือเทศกาลชมไฟประดับที่จัดขึ้นเป็นประจำในช่วงฤดูหนาวของเมืองโกเบ การจัดแสดงไฟอันสวยงามนี้มีจุดประสงค์เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่โกเบ (Great Hanshin Earthquake) เมื่อวันที่ 17 มกราคม 1995

ผลกระทบของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในบริเวณตอนใต้ของจังหวัดเฮียวโกะครั้งนั้น ทำให้ชาวเมืองได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเป็นอย่างมาก

ขณะที่ทุกคนตกอยู่ในความมืดมิดและความสิ้นหวัง แสงไฟประดับที่สุกสว่างขึ้นก็เป็นเสมือนตัวแทนแห่งความหวังและความฝันที่รอคอยการหวนกลับมาอีกครั้ง

นอกจากจุดประสงค์ของการจัดงาน Kobe Luminarie จะเป็นการถ่ายทอดความทรงจำเกี่ยวกับภัยพิบัติครั้งนี้ให้แก่คนรุ่นหลังแล้ว งานเทศกาลดังกล่าวยังเป็นเสมือนการจุดไฟส่งดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นให้ไปสู่สุคติอีกด้วย

ในปีเดียวกันนั้นเอง เมืองโกเบได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลอิตาลีในการบริจาคหลอดไฟ โดยคำว่า ‘Luminarie’ เป็นภาษาอิตาเลียนที่มีความหมายว่า การจัดแสดงแสงไฟด้วยหลอดไฟดวงเล็ก

ด้วยเสียงตอบรับและคำชื่นชมจากสาธารณชน เมืองโกเบจึงจัดเทศกาล Kobe Luminarie ขึ้นอีกในปีถัดไป และจัดต่อเนื่องมาจวบจนปัจจุบัน สำหรับผู้เข้าชมงานในแต่ละปีนั้นมีจำนวนมากถึงประมาณ 4 ล้านคนเลยทีเดียว!

ข้อมูลเกี่ยวกับโกเบลูมินาริเอะ (Kobe Luminarie)

วิธีเดินทาง
    • เดินจากสถานี Motomachi 6 นาที หรือจากสถานี Sannomiya 12 นาที
พิกัด
    • Kobe Luminarie Place, 神戸御幸ビル 44 Akashimachi, Chuo Ward, Kobe, Hyogo
ช่วงเวลาจัดงาน
    • ประมาณช่วงเดือนธันวาคม (โปรดตรวจสอบทางเว็บไซต์อีกครั้ง)
เว็บไซต์

Back To เมืองโกเบ

Back To Index

1.7 อาริมะออนเซ็น (Arima Onsen)

อาริมะออนเซ็น (Arima Onsen) เป็นเมืองน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงในเมืองโกเบ ที่ตั้งของเมืองออนเซ็นแห่งนี้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับภูเขา Rokko

นอกจากเราจะสามารถตีตั๋วรถไฟมาที่นี่แบบไปเช้าเย็นกลับ (โอซาก้า–โกเบ) ได้แล้ว บรรยากาศอันแสนสงบของอาริมะออนเซ็นยังให้ความรู้สึกผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติอีกด้วย สถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่นิยมในวันหยุดของญี่ปุ่น

glen photo / Shutterstock

ด้วยประวัติความเป็นมาที่ยาวนานกว่า 1,000 ปีของอาริมะออนเซ็น สถานที่แห่งนี้จึงเป็นหนึ่งในเมืองออนเซ็นที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น

โซนน้ำพุร้อนที่นี่แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

  • 1. บ่อคินเซ็น (Kinsen) : น้ำสีทอง
    • น้ำในบ่อคินเซ็น (Kinsen) มีเฉดสีน้ำตาลเกือบทอง อันเป็นผลมาจากคราบเหล็กและเกลือที่ผสมกันอยู่ในนั้น มีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังดีต่อผิวหนังเพราะสามารถรักษารอยแผลเป็นหรือรอยน้ำร้อนลวกได้ด้วย
  • 2. บ่อกินเซ็น (Ginsen) : น้ำสีเงิน
    • น้ำจากบ่อกินเซ็น (Ginsen) จะประกอบด้วยธาตุเรเดียมอ่อนๆและคาร์บอเนต ทำให้เราเห็นน้ำในบ่อเป็นสีเงิน ทั้งนี้น้ำจากบ่อกินเซ็นยังได้รับการกล่าวขานว่าสามารถบรรเทาอาการปวดเมื่อยและความเหนื่อยล้า ช่วยเรื่องการกระตุ้นเซลล์ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

นักท่องเที่ยวที่มาเยือนอาริมะออนเซ็นสามารถเพลิดเพลินไปกับการแช่บ่อน้ำพุร้อนได้ที่แหล่งอาบน้ำสาธารณะทั้งสองแห่ง หรือจะไปแช่น้ำร้อนในเรียวกังก็ได้ เพราะที่นี่มีเรียวกังหลายแห่งเลยทีเดียวที่เปิดห้องอาบน้ำให้กับนักท่องเที่ยวขาจร โดยค่าบริการจะอยู่ที่ประมาณ 500 – 2,500 เยน

ข้อมูลเกี่ยวกับอาริมะออนเซ็น (Arima Onsen)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Sannomiya หรือสถานี Shin-Kobe ให้ขึ้นรถไฟใต้ดินไปยังสถานี Tanigami (ใช้เวลา 10 – 15 นาที) จากนั้นต่อรถไฟสาย Shintetsu Arima-Sanda ไปยัง Arima-guchi แล้วเปลี่ยนรถไฟเป็นสาย Arima ไปลงที่สถานี Arima Onsen (ใช้เวลา 20 นาที) การเดินทางทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที
พิกัด
    • Arimacho, Kita Ward, Kobe, Hyogo
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To เมืองโกเบ

Back To Index

1.8 เกาะอาวาจิ (Awaji Island)

เกาะอาวาจิ (Awaji island) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของทะเลเซโตะ เกาะแห่งนี้อยู่ระหว่างเกาะฮอนชูกับเกาะชิโกกุ โดยมีช่องแคบอากาชิและช่องแคบนารูโตะคั่นระหว่างเกาะทั้งสองกับเกาะอาวาจิ นอกจากเราจะสามารถเดินทางจากเมืองโกเบไปยังเกาะอาวาจิได้ด้วยสะพานอากาชิไคเกียว บริเวณช่องแคบนารูโตะยังเป็นแหล่งน้ำวนที่มีชื่อเสียงด้วย

คำว่า อาวาจิ มีความหมายว่า เส้นทางสู่อาวะ และอาวะก็คือชื่อมณฑลเก่าแห่งหนึ่งบนเกาะชิโกกุ ปัจจุบันอาวะเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดโทคุชิมะ

สำหรับความเชื่อและวัฒนธรรมของสถานที่แห่งนี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเกาะอาวาจิเป็นหนึ่งในหมู่เกาะโอยาชิมะที่กำเนิดจากอิซานางิและอิซานามิ เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าและผืนดิน ผู้ให้กำเนิดโลกตามคติความเชื่อของลัทธิชินโต

สำหรับสถานที่ที่น่าสนใจและต้องไปให้ได้สักครั้งบนเกาะอาวาจินั้นมีหลายแห่งมาก ไม่ว่าจะเป็นออนเซ็น แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อย่างปราสาทสุโมโตะที่ตั้งบนเขามิกุมะยามะ รวมไปถึงเทศกาลอาวาจิที่จัดขึ้นทุกปี ภายในงานเทศกาลจะมีขบวนพาเหรดรวมถึงการแสดงเชิดสิงโตด้วย

อีกหนึ่งสถานที่ที่จัดว่าเป็นแลนด์มาร์กของเกาะอาวาจิคือรูปปั้นหัวหอมยักษ์ หรือ โอตตะมาเนกิ (ottamanegi) รูปปั้นนี้ตั้งอยู่ที่อนุสรณ์สถานสะพานแขวนนารุโตะ อุซุโนะโอกะ (Uzu no Oka, The Great Naruto Bridge Memorial Museum)

หัวหอมอาวาจิเป็นผลิตภัณฑ์เลื่องชื่อของเกาะอาวาจิ เพราะมีรสสัมผัสนุ่มชุ่มฉ่ำและหวานหอม หากใครอยากสัมผัสรสชาติอันแสนอร่อยนี้ก็ลองทานอาวาจิเบอร์เกอร์ได้นะ เพราะนอกจากจะได้ลิ้มรสของหัวหอมอาวาจิแล้ว เรายังได้ชิมเนื้อวัวอาวาจิอีกด้วย นอกจากนี้อาวาจิเบอร์เกอร์ยังได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดแฮมเบอร์เกอร์ในระดับประเทศมาด้วยนะ ถ้าไม่ได้ลองก็เท่ากับพลาดแล้วล่ะ

สำหรับนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ รักน้ำ รักปลา และสายลม ก็สามารถไปชมความงามของดอกไม้ตามฤดูกาลได้ ไม่ว่าจะเป็นดอกซากุระที่วัดอนโจจิ แปลงดอกไม้ที่สวนอาวาจิฮานะสะจิกิ หรือทิวทัศน์ที่งดงามของเขื่อนยูสุรุฮะ

ข้อมูลเกี่ยวกับเกาะอาวาจิ (Awaji Island)

เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To เมืองโกเบ

Back To Index

2. เมืองฮิเมจิ

2.1 ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)

ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่ในเมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโกะ ปราสาทแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เหลือรอดจากระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง รวมไปถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในโกเบเมื่อปี พ.ศ. 2538

ปราสาทฮิเมจิได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น ร่วมกับปราสาทมัตสึโมโตะและปราสาทคุมาโมโตะ นอกจากจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมมากที่สุดในญี่ปุ่นแล้ว ปราสาทฮิเมจิก็มีความสง่างามเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากสีขาวสว่างของตัวปราสาททั้งหลัง จนได้รับฉายาว่า ปราสาทนกกระสาขาว

ปัจจุบันปราสาทฮิเมจิได้รับการจดทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติของญี่ปุ่น อีกทั้งองค์การยูเนสโกยังยกย่องให้สถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในมรดกโลกที่สำคัญอีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)

วิธีเดินทาง
    • เดินจากสถานี Himeji ใช้เวลาประมาณ 20 นาที หรือนั่งแท็กซี่ประมาณ 10 นาที
พิกัด
    • 68 Honmachi, Himeji, Hyogo 670-0012
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To เมืองฮิเมจิ

Back To Index

2.2 สวนโคโคะเอ็น (Koko-en)

สวนโคโคะเอ็น (Koko-en) เป็นจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมในเมืองฮิเมจิ ไฮไลต์ของที่นี่เห็นจะเป็นจุดชมวิวซึ่งสามารถชมความสวยงามของปราสาทฮิเมจิได้ในมุมกว้าง เพราะสวนนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทฮิเมจิ

ภายในสวนโคโคะเอ็นนั้นยังมีสวนย่อยอีก 9 แห่ง การจัดแต่งของสวนย่อยแต่ละแห่งก็จะมีสไตล์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป เช่น สวนย้อนยุคเอโดะ สวนสำหรับทำพิธีชงชา เป็นต้น ด้วยเหตุนี้สวนโคโคะเอ็นจึงมักจะถูกใช้เป็นฉากถ่ายทำละครทีวีและภาพยนตร์ย้อนยุค

นักท่องเที่ยวที่มาเยือนสวนโคโคะเอ็นสามารถเพลิดเพลินไปกับอาหารญี่ปุ่นแสนอร่อยตามฤดูกาล พร้อมๆกับชมทัศนียภาพที่แสนงามตาของสวนแห่งนี้ได้ที่ ร้านอาหารญี่ปุ่นคัทสุอิเค็น (Kassui-ken)

ข้อมูลเกี่ยวกับสวนโคโคะเอ็น (Koko-en)

วิธีเดินทาง
    • เดินจากสถานี Himeji ประมาณ 10 นาที
พิกัด
    • Honmachi 68, Himeji City, Hyogo
เวลาทำการ
    • 27 เมษายน – 31 สิงหาคม : 9:00 – 17:30 น.
    • 1 กันยายน – 26 เมษายน : 9: 00 – 16:30 น.
ค่าธรรมเนียม
    • ผู้ใหญ่ : 310 เยน
    • เด็ก : 150 เยน
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To เมืองฮิเมจิ

Back To Index

2.3 วัดเอ็นเกียวจิ (Shoshazan Engyoji Temple)

tera.ken / Shutterstock

วัดเอ็นเกียวจิ (Shoshazan Engyoji Temple) เป็นวัดในเมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโกะที่ก่อตั้งขึ้นในปี 966 บนยอดเขาโชฉะ (Shoshazan) อันกว้างขวางซึ่งทอดตัวยาวเป็นระยะทางหนึ่งกิโลเมตร

ภายในวัดแห่งนี้มีอาคารและรูปปั้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาคารไม้ Daikodo, Jikido และ Jogyodo หรือจะเป็นรูปปั้นไม้ของ Shitenno ก็ดี ทรัพย์สินเหล่านี้ล้วนขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศ ทำให้ได้รับการทะนุบำรุงอย่างดีเสมอมา

นอกจากนี้วัดเอ็นเกียวจิยังเคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Last Samurai และ Musashi รวมถึงละครโทรทัศน์ที่ออกอากาศโดย NHK อย่างเรื่อง Gunshi-Kanbei อีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดเอ็นเกียวจิ (Shoshazan Engyoji Temple)

วิธีเดินทาง
    • นั่งรถบัสหมายเลข 8 จากสถานี Himeji ไปลงที่ป้าย Mount Shosha Ropeway (書写山ロープウェイ) ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
พิกัด
    • 2968 Shosha, Himeji, Hyogo 671-2201
เวลาทำการ
    • 8:30 – 17:00 น.
ค่าธรรมเนียม 
    • 500 เยน
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To เมืองฮิเมจิ

Back To Index

3. เมืองโทโยโอกะ (Toyooka)

3.1 คิโนะซากิออนเซ็น (Kinosaki Onsen)

Rei Imagine / Shutterstock.com

คิโนะซากิออนเซ็น (Kinosaki Onsen) เป็นเมืองออนเซ็นที่มีชื่อเสียงในแถบคันไซ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ ‘จังหวัดเฮียวโกะ’ ตามตำนานเล่ากันว่าชาวญี่ปุ่นค้นพบเมืองคิโนะซากิออนเซ็นตั้งแต่สมัยอาซึกะ โดยค้นพบจากการเห็นนกกระสาขาวบาดเจ็บหนัก แต่กลับหายดีเป็นปลิดทิ้งหลังจากบินไปรักษาตัวที่เมืองคิโนะซากิออนเซ็น

แต่ประวัติความเป็นมาจากข้อมูลทางการกล่าวไว้ว่า เมืองคิโนะซากิออนเซ็นเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในสมัยนารา น้ำพุแห่งแรกในเมืองคิโนะซากิออนเซ็นได้พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินหลังจากที่นักบวช (Dochi Shonin) รับคำพยากรณ์จากเทพประจำหมู่บ้าน (Shisho Myojin) และบำเพ็ญเพียรเป็นเวลา 1,000 ปี

ดังนั้นผู้คนในสมัยก่อนจึงมีความเชื่อที่ว่า หากได้มาเยือนบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้สุขภาพของเราก็จะดี เพราะนอกจากสถานที่แห่งนี้จะมีศาสนสถานคู่บ้านคู่เมืองอย่าง วัดออนเซ็นจิ (Onsenji Temple) แล้ว หากมาที่นี่เราก็จะได้สักการะดวงวิญญาณของนักบวชคนดังกล่าวด้วย

ต่อมาคิโนะซากิออนเซ็นได้กลายมาเป็นสถานที่เลื่องชื่อในยุคเอโดะ เพราะที่นี่ได้รับคำชมจาก ‘คากาวะ ชูโทคุ’ นายแพทย์ที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นว่า “คิโนะซากิออนเซ็นเป็นสุดยอดเมืองน้ำพุร้อนของญี่ปุ่น” ยิ่งไปกว่านั้น ในปี 1909 ทางการได้ขยายทางรถไฟสายซันอิน (JR San’in Main Line) ความนิยมของเมืองคิโนะซากิจึงพุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดจวบจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม เมืองคิโนะซากิออนเซ็นไม่ได้มีดีแค่เรื่องราวและความเก่าแก่เท่านั้น แต่เมืองนี้ยังเป็นที่นิยมด้วยบรรยากาศย้อนยุคสุดชิลล์อีกด้วย ไม่ว่ามองไปทางไหนเราก็จะพบบ้านไม้หลังเก่าตามทางเลียบไปกับคลองสายเล็ก ต้นหลิวที่ขึ้นเรียงรายเป็นริ้วทิวทัศน์ที่สวยงาม ผู้คนมากมายเดินอยู่ตามถนนในชุดยูกาตะ อีกทั้งสีสันในยามพลบค่ำก็มีเสน่ห์น่าดึงดูดไม่แพ้กัน

และสำหรับนักท่องเที่ยวสายกินที่มีโอกาสได้มาเที่ยวเมืองคิโนะซากิออนเซ็น อย่าลืมลองไปทานเมนูเด็ดอย่างปูมัตสึบะกับสเต็กเนื้อทาจิมะด้วยนะคะ

ข้อมูลเกี่ยวกับคิโนะซากิออนเซ็น (Kinosaki Onsen)

วิธีเดินทาง
    • หากเริ่มเดินทางจากสถานี JR Shin-Osaka ให้ขึ้นรถไฟ Limited Express Konotori ไปลงที่สถานี JR Kinosaki Onsen ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 50 นาที
    • หากเริ่มเดินทางจากสถานี JR Osaka ให้ขึ้นรถไฟ Limited Express Konotori หรือ Limited Express Hamakaze ไปลงที่สถานี JR Kinosaki Onsen ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที
ที่อยู่
    • Kinosakicho Yushima, Toyooka, Hyogo 669-6101
เบอร์โทรศัพท์
    • 0796-32-3663
เวลาทำการ
    • 09:00 – 17:00 น.
    • ปิดทุกวันพุธ
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To  เมืองโทโยโอกะ

 Back To Index

3.2 ภูเขาคันนาเบะ (Mt. Kannabe)

ที่มา : https://visitkinosaki.com

ในช่วงหน้าหนาวที่เฮียวโกะนั้น ภูเขาคันนาเบะ (Mt. Kannabe) เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่น่าไปเที่ยวมาก ด้วยสีขาวโพลนของหิมะหนานุ่มซึ่งปกคลุมพื้นที่แห่งนี้ยาวไปจนถึงปากปล่องภูเขาไฟ ภาพที่ปรากฏจึงสร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ภูเขาคันนาเบะยังมี Kannabe Nature School เปิดให้บริการอีกด้วย เราสามารถจ้างสตาฟนำทางจากที่นี่ได้ หรือเราจะเดินทางด้วยตัวเองก็ย่อมได้ แต่ถ้าได้สตาฟนำทางเราก็จะได้เห็นเส้นทางลับที่สวยงาม อย่างไรก็ตาม เราจะต้องลงทะเบียนและฟังคำแนะนำก่อนเพื่อความปลอดภัยในการเดินชมสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้

หากเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆจนถึงปากปล่องภูเขาไฟคันนาเบะแล้ว เราจะได้สัมผัสกับความสดชื่นและทัศนียภาพอันสวยงามตระการ โดยเราสามารถพักจิบชาข้างบนนี้ได้ด้วย ส่วนตอนลงเขานั้น เราขอแนะนำว่าให้สไลเดอร์ลงไปโลดจ้า แต่ขอเตือนว่าถ้าจะมาเที่ยวที่นี่ต้องฟิตร่างกายมาหน่อยนะ เพราะการเดินขึ้นเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็คุ้มมากสำหรับวิวสวยๆที่ได้เห็นและประสบการณ์ดีๆที่ได้รับค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาคันนาเบะ (Mt. Kannabe)

พิกัด
    • Mt. Kannabeyama, Hidaka-cho, Toyooka-shi, Hyogo
เบอร์
    • 0796-45-0800
เวลาทำการ
    • 09:00 – 17:00 น.
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To  เมืองโทโยโอกะ

Back To Index

3.3 เมืองปราสาทอิซุชิ (Izushi Castle Town)

beeboys / Shutterstock

เมื่อประมาณ 200 – 300 ปีที่แล้ว เมืองปราสาทอิซุชิ (Izushi Castle Town) เป็นเมืองปราสาทที่เคยเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยเอโดะ สถานที่แห่งนี้มีการจัดแสดงสถาปัตยกรรมโบราณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นซากปราสาทอิซุชิ ศาลเจ้า และหอนาฬิกาเก่าชินโคโร ด้วยเหตุนี้เมืองปราสาทอิซุชิจึงได้รับการกำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์อาคารแห่งชาติ

นอกจากเมืองปราสาทอิซุชิจะขึ้นชื่อเรื่องสถาปัตยกรรมแล้ว โซบะของที่นี่ก็ขึ้นชื่อไม่แพ้กัน ดังนั้นหากได้มาเยือนเมืองนี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยก็คือการชิมโซบะแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า ซาระโซบะ นอกจากเมนูนี้จะหาซื้อได้ง่ายแล้ว เราก็ขอการันตีเลยว่ารสชาติของโซบะนั้นอร่อยเด็ดสุดๆ!

ทีนี้มาดูประวัติของปราสาทอิซุชิกันบ้าง ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1604 ที่นี่จึงเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และเรื่องราวมากมาย อีกทั้งปราสาทยังได้รับการปรับปรุงดูแลเป็นอย่างดีจากเหล่าซามูไรที่เคยมาพำนักที่นี่ในอดีตด้วย ปัจจุบันเขตเมืองที่ตั้งของปราสาทอิซุชิจึงได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘กลุ่มอาคารเก่าแก่ดั้งเดิมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ของญี่ปุ่น’

เนื่องจากปราสาทอิซุชินั้นอยู่ในบริเวณเชิงเขา การเดินชมความร่มรื่นของธรรมชาติหรือเงี่ยหูฟังเสียงนกร้องจึงเป็นกิจกรรมที่เหมาะที่สุดที่จะทำเลยก็ว่าได้

beeboys / Shutterstock

ศาลเจ้าอาริโกะยามะ อินาริ (Arikoyama-inari) ที่ตั้งอยู่ภายในเมืองปราสาทแห่งนี้มีบันไดหินทอดขึ้นไปยังภูเขาสูง ทั้งยังมีเสาโทริอิสีแดงสดเรียงรายตลอดเส้นทางไปศาลเจ้า นอกจากนี้ ทันทีที่เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงเราก็จะได้ชมทัศนียภาพของใบไม้สีแดงเหลืองที่ตัดกับโทนสีของสถานที่แห่งนี้อย่างสวยงาม

Sergey / Shutterstock

อีกหนึ่งไฮไลต์ของเมืองปราสาทอิซุชิก็คือ สิ่งก่อสร้างในยุคโชวะซึ่งสร้างขึ้นตามแนวถนนที่ทอดยาวจรดตัวปราสาท นอกจากนี้เราจะเห็นหอนาฬิกาชินโคโรที่ตั้งตระหง่านเป็นฉากหลังของถนนอีกด้วย ช่างเป็นวิวที่สวยงามคลาสสิคมากจริงๆ

ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองปราสาทอิซุชิ (Izushi Castle Town)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานีรถไฟ Toyooka Station ให้นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Izushi โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที
พิกัด
    • Izushi Tourist Association 104-7 Uchimachi Izushi-cho, Toyooka-shi, Hyogo
เวลาทำการ
    • 9:00 – 17:00 น.
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To  เมืองโทโยโอกะ

Back To Index

3.4 ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์นกกระสาขาวเฮียวโกะ (Hyogo Park of the Oriental White Stork)

ที่มา : https://th.tripadvisor.com

แม้ชาวญี่ปุ่นจะมีความเชื่อว่า นกกระสาขาว หรือ โคโนะโทริ เป็นนกที่นำพาความสุขและความโชคดีมาให้ แต่ในปี 1971 นกกระสาขาวตัวสุดท้ายที่พบในเมืองโทโยโอกะก็ได้ตายไป เพราะช่วงนั้นการทำเกษตรกรรมในญี่ปุ่นนิยมใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงอย่างหนัก ทำให้นกกระสาขาวญี่ปุ่นสูญพันธุ์ไปในที่สุด

หลังจากนั้นไม่กี่ปีต่อมา ประเทศญี่ปุ่นก็ได้รับพ่อพันธุ์แม่พันธุ์นกกระสาขาวมาจากประเทศรัสเซีย และในปี 1989 การคืนชีพนกกระสาขาวก็ประสบผลสำเร็จในญี่ปุ่น โดยเป็นผลงานการศึกษาและความช่วยเหลือจากทีมนักวิจัยรวมถึงหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง

ที่มา : http://orientalbirdimages.org

ต่อมาในปี 2005 ได้มีการเพิ่มจำนวนนกกระสาขาวในญี่ปุ่นจนถึง 200 ตัวโดย  ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์นกกระสาขาวเฮียวโกะ (Hyogo Park of the Oriental White Stork)

หากใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่เมืองโทโยโอกะ นอกจากจะได้สัมผัสกับความอุดมสมบูรณ์ของศูนย์อนุรักษ์นกแห่งนี้แล้ว เราก็ยังจะได้รับความรู้เชิงสารคดีและได้ชมนกกระสาขาวตัวจริงเสียงจริงอีกด้วย

แน่นอนว่านักท่องเที่ยวสายธรรมชาติหรือสายส่องสัตว์โลกน่ารักย่อมไม่ควรพลาดศูนย์อนุรักษ์พันธุ์นกกระสาขาวเฮียวโกะด้วยประการทั้งปวง

ข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์อนุรักษ์พันธุ์นกกระสาขาวเฮียวโกะ (Hyogo Park of the Oriental White Stork)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานีรถไฟ JR Toyooka ให้นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Kounotori no Sato Kouen
ที่อยู่
    • Jiniketani (字二ケ谷), Shounji, Toyooka, Hyogo, 〒668-0814
เวลาทำการ
    • 9:00 – 17:00 น. (หยุดทุกวันจันทร์)
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To  เมืองโทโยโอกะ

Back To Index

4. เมืองอาคาชิ (Akashi)

4.1 ปราสาทอาคาชิ (Akashi Castle)

ปราสาทอาคาชิ (Akashi Castle) เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นในสมัยเอโดะตอนต้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นด่านหน้าในการรับมือและป้องกันข้าศึกที่เข้ามารุกรานจากทางตะวันตกของโอซาก้า แม้ว่าตัวปราสาทจะถูกทำลายลงในปี 1874 แต่หอคอยทั้งสองแห่งและผนังปราสาทส่วนใหญ่ก็ยังคงสภาพสมบูรณ์

ปัจจุบันปราสาทอาคาชิตั้งอยู่กลางสวนสาธารณะอาคาชิ และยังเป็นจุดชมซากุระที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย

นอกจากนี้บริเวณโดยรอบก็ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุดหรืออุปกรณ์ออกกำลังกาย

ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทอาคาชิ (Akashi Castle)

วิธีเดินทาง
    • เดินจากสถานี Akashi ประมาณ 10 นาที
ที่อยู่
    • 1-27 Akashikoen, Akashi-shi, Hyogo
เวลาทำการ
    • เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To เมืองอาคาชิ

Back To Index

4.2 สะพานอาคาชิไคเคียว (Akashi-Kaikyo Bridge)

สะพานอาคาชิไคเคียว (Akashi-Kaikyo Bridge) เป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก สะพานแห่งนี้เชื่อมระหว่างเมืองโกเบกับเมืองอิวายะที่อยู่บนเกาะอาวาจิ อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงฮอนชู–ชิโกกุ (Honshu–Shikoku) ซึ่งเริ่มก่อสร้างเมื่อปี 1986 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 1998

นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยัง Maiko Marine Promenade ซึ่งเป็นจุดชมวิวสะพานอาคาชิไคเคียวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีทัวร์นำเที่ยวของบริษัท Bridge World ที่จะมีมัคคุเทศก์คอยให้ความรู้เกี่ยวกับส่วนต่างๆของสะพาน โดยเราสามารถปีนขึ้นไปยังด้านบนสุดของสะพานซึ่งมีความสูงถึง 300 เมตรได้ด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับสะพานอาคาชิไคเคียว (Akashi-Kaikyo Bridge)

วิธีเดินทาง
    • เดินจากสถานี Maiko ไปยัง Akashi-Kaikyo Bridge Exhibition Center ใช้เวลาประมาณ 5 นาที
ที่อยู่
    • 4-115 Higashi-Maiko-cho, Tarumi-ku, Kobe
เว็บไซต์
เว็บไซต์บริษัท Bridge World
แผนที่ Google Map

Back To เมืองอาคาชิ

Back To Index

5. อื่นๆ

5.1 ห้าง KOBE-SANDA PREMIUM OUTLETS®

beeboys / Shutterstock

KOBE-SANDA PREMIUM OUTLETS® เป็นแหล่งชอปปิ้งขนาดใหญ่ใน ‘จังหวัดเฮียวโกะ’ ที่รวบรวมสินค้าไว้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแบรนด์ดัง ของใช้ในชีวิตประจำวัน หรือของเบ็ดเตล็ดมากมาย

และที่พิเศษไปกว่านั้นคือศูนย์อาหารของสถานที่แห่งนี้ เพราะเราสามารถลิ้มรสอาหารพื้นเมืองของโกเบอย่างสเต็กเนื้อโกเบ อาหารยอดฮิตที่ครองใจผู้คนทุกเพศทุกวัยได้ที่นี่ด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับห้าง KOBE-SANDA PREMIUM OUTLETS®

วิธีเดินทาง
    • นั่งรถบัสจากสถานี Shin Kobe ประมาณ 40 นาที ลงที่ป้าย Kozudai 1 Chome Nishi
ที่อยู่
    • KOBE-SANDA PREMIUM OUTLETS®, 7-3 Kozudai, Kita Ward, Kobe, Hyogo
เวลาทำการ
    • 10:00 – 20:00 น.
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To อื่นๆ

Back To Index

5.2 Kobe Anpanman Children’s Museum & Mall

Cowardlion / Shutterstock

Cowardlion / Shutterstock

Kobe Anpanman Children’s Museum & Mall เป็นพิพิธภัณฑ์เด็กและห้างสรรพสินค้าในจังหวัดเฮียวโกะที่เป็นเสมือนโลกของ อันปังแมน (Anpanman) ตัวการ์ตูนที่ครองใจเด็กๆทั่วประเทศญี่ปุ่น

การตกแต่งของสถานที่แห่งนี้จะเป็นธีมอันปังแมนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่หรือร้านอาหาร

สำหรับบริเวณชั้น 1 จะมีร้านเบเกอรี่ที่เราสามารถเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศอันแสนน่ารักและอบอุ่น พร้อมกับลิ้มรสขนมปังอบใหม่จากอันปังแมนและเหล่าผองเพื่อนได้ ส่วนชั้น 2 จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เด็กๆจะได้เปิดประสบการณ์กับโลกของอันปังแมน

ข้อมูลเกี่ยวกับ Kobe Anpanman Children’s Museum & Mall

วิธีเดินทาง
    • เดินจากสถานี Kobe ประมาณ 8 นาที
ที่อยู่
    • Kobe Anpanman Children’s Museum & Mall, 1 Chome – 6 -2 Higashikawasakicho, Chuo Ward, Kobe, Hyogo
เวลาทำการ
    • 10:00 – 18:00 น.
ค่าธรรมเนียม
    • ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ 1,800 เยน
    • เด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ ไม่มีค่าธรรมเนียม
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To อื่นๆ

Back To Index

5.3 Miyuki-dori Shopping Street

ไหนๆก็มาถึง ‘จังหวัดเฮียวโกะ’ กันแล้ว หากใครได้ไปเยือนปราสาทฮิเมจิก็ต้องไม่พลาดการแวะไปเดินช้อปในย่านมิยุกิโดริ!

ย่านการค้ามิยุกิโดริ (Miyuki-dori Shopping Street) เป็นแหล่งชอปปิ้งที่รวบรวมร้านค้าเอาไว้มากมาย โดยจะเห็นได้ว่าจำนวนร้านค้าที่เปิดอยู่นั้นยาวขนานไปกับถนนโอเตะมาเอะโดริ (Otemae-dori) ไกลสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว

นอกจากจะมีร้านขายของฝากให้เลือกซื้ออย่างหลากหลายแล้ว ย่านมิยุกิโดริยังมีร้านอาหารจำนวนมากอีกด้วย แถมเรายังจะได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมจากรูปแบบการปลูกสร้างร้านค้าแต่ละร้าน ซึ่งมีการยืนพื้นด้วยเสาไม้แบบญี่ปุ่นและเพดานไม้ บรรยากาศดีๆเช่นนี้ทำให้เราสามารถเดินจับจ่ายซื้อของได้อย่างไม่มีเบื่อ

ข้อมูลเกี่ยวกับ Miyuki-dori Shopping Street

วิธีเดินทาง
    • เดินจากสถานี Himeji ทางประตูทิศเหนือ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที
ที่อยู่
    • Hyogo, Himeji, Konyamachi, 39
เวลาทำการ
    • 10:00 – 23:30 น. (ขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน)
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To อื่นๆ

Back To Index

อาหารท้องถิ่นประจำ จังหวัดเฮียวโกะ

จังหวัดเฮียวโกะ เป็นจังหวัดที่อุดมไปด้วยอาหารทะเลและอาหารพื้นบ้าน เราจึงสามารถเพลิดเพลินไปกับการตะลุยหาของอร่อยทานได้อย่างสนุกสนาน

เรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าจังหวัดเฮียวโกะจะมีเมนูอาหารอะไรน่าสนใจบ้าง

1. โซบะเมชิ (Soba Meshi)

โซบะเมชิ (Soba Meshi) เป็นเมนูอาหารที่เกิดจากการนำโซบะมาผัดกับข้าวบนกระทะร้อน จากนั้นก็ใส่ผักหรือเนื้อสัตว์และปรุงรสด้วยซอสต่างๆ หน้าตาของอาหารจานนี้จะมีกลิ่นอายความเป็นอาหารจีน

หลายคนอาจจะแปลกใจกับส่วนผสมของโซบะเมชิ เพราะทั้งโซบะและข้าวต่างก็เป็นแป้งเหมือนกัน พอเอามากินด้วยกันมันจะไม่แน่นไปหน่อยเหรอ? แต่รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วนั้นโซบะเมชิเป็นอาหารจานพิเศษที่ชาวเมืองโกเบชื่นชอบมานานกว่าครึ่งศตวรรษเลยล่ะ

สำหรับคนที่อยากลิ้มรสโซบะเมชิก็สามารถไปลองทานกันได้ตามร้านโอโคโนมิยากิทั่วไปในเมืองโกเบและเมืองใกล้เคียงค่ะ

Back To Index

2. เนื้อวัวทาจิมะ (Tajima Wagyu)

วัวทาจิมะนั้นถือเป็นต้นกำเนิดของเนื้อวากิวคุณภาพดี เพราะกว่าจะมาเป็น เนื้อวัวทาจิมะ (Tajima Wagyu) ได้ก็ต้องผ่านกระบวนการคัดสรรและเลี้ยงดูมาอย่างดีจากฟาร์มคุณภาพที่ตั้งอยู่ในเมืองทาจิมะ

ลักษณะพิเศษของเนื้อวัวทาจิมะคือมีไขมันแทรกพอประมาณ เมื่อวางในปากปุ๊บเนื้อก็จะละลายปั๊บ! รสสัมผัสของมันช่างนุ่มละมุนลิ้นจนเกินจะบรรยาย แต่ถึงยังไงเราก็ต้องรีบย่างรีบทานทันทีนะ ไม่งั้นไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อจะละลายจนหมดเสียก่อนจ้า

Back To Index

3. อาคาชิยากิ (Akashiyaki)

หลายคนคงรู้จักทาโกยากิกันดีอยู่แล้ว วันนี้เราจึงมาแนะนำ อาคาชิยากิ (Akashiyaki) หรืออาหารที่มีส่วนคล้ายกับทาโกยากิกันบ้างค่ะ

ความคล้ายกันของอาหารสองอย่างนี้ก็คือรูปทรงที่เป็นก้อนกลมๆและการสอดไส้ด้วยปลาหมึก (แต่อาคาชิยากิอาจดูไม่กลมเท่ากับทาโกยากิสักเท่าไหร่)

ส่วนความแตกต่างคือตัวแป้งของอาคาชิยากิมีส่วนผสมของไข่มากกว่า อีกทั้งเวลาทานเราจะต้องนำแป้งไปจุ่มกับน้ำซุปร้อนๆด้วย

นอกจากนี้อาคาชิยากิยังเป็นเมนูขึ้นชื่อของเมืองอาคาชิอีกด้วย หากใครอยากไปลิ้มลองรสชาติของอาคาชิยากิ ก็สามารถหาได้ตามร้านอาหารทั่วไปในเมืองอาคาชิเลยค่ะ

Back To Index

4. ปูมัตสึบะ (Matsuba Crab)

ปูมัตสึบะ (Matsuba Crab) เป็นปูที่มีลักษณะพิเศษคือตัวใหญ่และมีเนื้อที่หวานอร่อย ปูชนิดนี้จึงเป็นอาหารยอดฮิตอีกอย่างหนึ่งของจังหวัดเฮียวโกะ

ในช่วงฤดูหนาวของทุกๆปีจะมีเทศกาลจับปูครั้งยิ่งใหญ่ ภายในงานนักท่องเที่ยวจะได้ชิมสารพัดเมนูปูมัตสึบะ ไม่ว่าจะเป็นซาชิมิหรือนาเบะ (หม้อไฟ) ทุกเมนูก็ล้วนแล้วแต่อร่อยเลิศค่ะ!

Back To Index

5. เนื้อโกเบ (Kobe Beef)

ถ้าไปโกเบแล้วไม่ได้กิน เนื้อโกเบ (Kobe Beef) ก็เท่ากับไปไม่ถึง! เพราะนอกจากเนื้อโกเบจะเป็นของขึ้นชื่อประจำ ‘จังหวัดเฮียวโกะ’ แล้ว มันยังเป็นวัตถุดิบเลื่องชื่อของประเทศญี่ปุ่นด้วยนะ

เนื้อโกเบเป็นวากิว(วัวญี่ปุ่น)อีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีความโดดเด่นเรื่องไขมันน้อย แต่กลับเต็มไปด้วยความนุ่มและชุ่มฉ่ำ อีกทั้งยังให้รสชาติที่กลมกล่อมโดยไม่ต้องพึ่งซอสหรือเครื่องปรุงแต่อย่างใด

สำหรับรูปแบบการรับประทานเนื้อโกเบนั้น ชาวเฮียวโกะนิยมทานเป็นสเต็ก ชาบู หรือสุกี้ แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเห็นจะเป็นเนื้อโกเบแบบ ‘เทปันยากิ’ หรือกรรมวิธีที่ทำให้อาหารสุกด้วยการนำวัตถุดิบไปจี่บนกระทะเหล็กนั่นเอง

ที่ร้านเทปันยากิ เชฟจะย่างเนื้อบนกระทะร้อนหน้าเคาน์เตอร์ที่ลูกค้านั่งอยู่เพื่อให้ลูกค้าได้ทานทันทีหลังจากปรุงเสร็จ ราคาของเนื้อวากิวในร้านอาหารเทปันยากิจะอยู่ที่ 8,000 ถึง 30,000 เยนต่อคน ซึ่งอาจจะดูแพงสักหน่อยสำหรับคนไทย แต่ขอรับประกันความอร่อยและคุ้มค่า เข้าปากทีเหมือนไปสู่นิพพานเลยจ้า!

เรามีรีวิวร้านสเต๊กเนื้อโกเบชื่อดังอย่าง Steakland ด้วยนะ ถ้าใครสนใจสามารถอ่านได้ที่นี่เลย >> ชมวิวอ่าวโกเบที่ Kobe Harbour Land & ทานเนื้อโกเบที่ร้านสเต๊กในตำนาน Steakland

Back To Index

อ่านบทความอื่นๆเกี่ยวกับจังหวัดเฮียวโกะ

มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!

รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!

ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ

Back To Top