รวม 17 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดเฮียวโกะ’ และข้อมูลอื่นๆที่น่าสนใจ
ต.ค. 22, 2020
รวม 17 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดเฮียวโกะ’ และข้อมูลอื่นๆที่น่าสนใจ
จังหวัดเฮียวโกะ (Hyogo Prefecture) เป็นจังหวัดหนึ่งในภูมิภาคคันไซซึ่งอยู่ติดกับจังหวัดโอซาก้า แม้จะเป็นที่รู้กันดีว่าจังหวัดโอซาก้านั้นได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างท่วมท้น แต่จังหวัดเฮียวโกะเองก็มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นอกจากจะอุดมไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอย่างภูเขาหรือทะเลแล้ว ‘จังหวัดเฮียวโกะ’ ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าค้นหาและมีอายุยาวนานนับพันปี
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจและน่าไปแล้วนั้น ความอร่อยของ ‘เนื้อโกเบ’ ก็น่าลิ้มลองเช่นกัน เราขอเคลมตรงนี้เลยว่าเนื้อโกเบคือดีมาก >< สามารถให้คำนิยามว่า ‘สีแดงที่ดีต่อใจ’ หรือ ‘เข้าปากปุ๊บ ละลายปั๊บ’ ได้เลยล่ะ!
สำหรับการเดินทางมาที่จังหวัดเฮียวโกะก็ถือว่าสะดวกสบายไม่ใช่น้อย นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถไฟชินคันเซ็นจากจังหวัดใกล้เคียงมาที่เฮียวโกะได้ค่ะ
-
- จากโอซาก้า : ใช้เวลา 12 นาที
- จากเกียวโต : ใช้เวลา 27 นาที
- จากฮิโรชิม่า : ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 7 นาที
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาดูกันเลยดีกว่าว่ามีที่ไหนใน จังหวัดเฮียวโกะ ที่น่าไปโดนบ้าง ฟอลโลว์มีเลยจ้า!
สารบัญ (Index) : จังหวัดเฮียวโกะ
สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดเฮียวโกะ
-
- 1. เมืองโกเบ
- 1.1 โกเบพอร์ตทาวเวอร์ (Kobe Port Tower)
- 1.2 ศาลเจ้าอิคุตะ (Ikuta-jinja Shrine)
- 1.3 โกเบฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland)
- 1.4 กระเช้าลอยฟ้าชินโกเบ (Shin-Kobe Ferris Wheel) และน้ำตกนุโนะบิกิ (Nunobiki Waterfall)
- 1.5 ย่านคิตาโนะ (Kobe Kitano Ijinkan-Gai)
- 1.6 โกเบลูมินาริเอะ (Kobe Luminarie)
- 1.7 อาริมะออนเซ็น (Arima Onsen)
- 1.8 เกาะอาวาจิ (Awaji Island)
- 2. เมืองฮิเมจิ
- 3. เมืองโทโยโอกะ
- 4. เมืองอาคาชิ
- 5. อื่นๆ
- 1. เมืองโกเบ
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดเฮียวโกะ
สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดเฮียวโกะ
จังหวัดเฮียวโกะขนาบข้างด้วยทะเลญี่ปุ่นกับทะเลเซโตะ อีกทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเมืองท่าโกเบที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันระหว่างความเป็นตะวันตกกับญี่ปุ่นโบราณ หรือแหล่งโบราณสถานที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ร่วมพันปี รวมถึงบ่อน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียง
1. เมืองโกเบ
- 1.1 โกเบพอร์ตทาวเวอร์ (Kobe Port Tower)
- 1.2 ศาลเจ้าอิคุตะ (Ikuta-jinja Shrine)
- 1.3 โกเบฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland)
- 1.4 กระเช้าลอยฟ้าชินโกเบ (Shin-Kobe Ferris Wheel) และน้ำตกนุโนะบิกิ (Nunobiki Waterfall)
- 1.5 ย่านคิตาโนะ (Kobe Kitano Ijinkan-Gai)
- 1.6 โกเบลูมินาริเอะ (Kobe Luminarie)
- 1.7 อาริมะออนเซ็น (Arima Onsen)
- 1.8 เกาะอาวาจิ (Awaji Island)
1.1 โกเบพอร์ตทาวเวอร์ (Kobe Port Tower)
โกเบพอร์ตทาวเวอร์ (Kobe Port Tower) เป็นหอคอยที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1963 ด้วยการออกแบบของบริษัทก่อสร้างที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่นอย่าง Nikken Sekkei บริษัทดังกล่าวนี้นอกจากจะเป็นผู้ออกแบบ Kobe Port Tower แล้ว ก็ยังเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบหอโทรทัศน์ Tokyo Skytree ที่มีความสูงกว่า 600 เมตรด้วย รวมถึง Barcelona Camp Nou สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
ด้วยความแปลกแต่น่าสนใจของรูปทรงตึกที่คล้ายกับนาฬิกาทราย และการตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง สถานที่แห่งนี้จึงเป็นจุดแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองโกเบไปโดยปริยาย
ภายในอาคารมีจุดชมวิวที่สามารถชมวิวของเมืองโกเบได้ทั่วทั้งเมือง และความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของ Kobe Port Tower คือบนชั้น 3 จะมีคาเฟ่ที่หมุนรอบตัวเองด้วยอัตราเร็ว 20 นาทีต่อ 1 รอบ ! จึงทำให้เราได้สัมผัสกับวิวที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ของเมืองโกเบได้อย่างรื่นเริงบันเทิงใจ
ข้อมูลเกี่ยวกับโกเบพอร์ตทาวเวอร์ (Kobe Port Tower)
วิธีเดินทาง
-
- เดินจากสถานี Minatomotomachi ไม่เกิน 10 นาที
พิกัด
-
- Kobe Port Tower, 5-5 Hatobacho, Chuo Ward, Kobe, Hyogo
เวลาทำการ
-
- 9:00 – 20:30 น. (เฉพาะเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ เปิดทำการเวลา 9:00 – 18:30 น.)
ค่าธรรมเนียม
-
- Port Tower
- ผู้ใหญ่ : 700 เยน
- เด็ก : 300 เยน
- Kobe Maritime Museum
- ผู้ใหญ่ : 900 เยน
- เด็ก : 400 เยน
- Multi-use ticket
- ผู้ใหญ่ : 1,300 เยน
- เด็ก : 550 เยน
- Port Tower
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
1.2 ศาลเจ้าอิคุตะ (Ikuta-jinja Shrine)

Vichean Jinatakaweekul / Shutterstock
ศาลเจ้าอิคุตะ (Ikuta-jinja Shrine) เป็นหนึ่งในศาลเจ้าชินโตที่โด่งดังของโกเบ เพราะนอกจากจะมีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีอายุเกือบสองพันปี (เป็นการคาดคะเนอายุจากเรื่องเล่าที่ว่าศาลเจ้าอิคุตะสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 3) บริเวณศาลเจ้าก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นป่าอิคุตะหรือป่าไม้ไผ่เบ็งเกอิ
ไหนๆก็จะมาที่นี่กันแล้ว เพื่อนๆรู้ไหมคะว่าภายในบริเวณศาลเจ้าอิคุตะมีศาลเจ้าย่อยที่โด่งดังด้วยนะ ศาลเจ้าย่อยดังกล่าวตั้งอยู่ภายในศาลเจ้าหลักและเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘ศาลเจ้าประทานรัก’ เนื่องจากมีตำนานเล่าขานว่ามีเทพเจ้าแห่งการแต่งงานสถิตอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ ทำให้ใครก็ตามที่มาขอพรเกี่ยวกับความรักหรือขอพรให้ประสบความสำเร็จในชีวิตหลังแต่งงานมักจะได้รับความสมหวังดังพรปรารถนา ศาลเจ้าย่อยที่ว่านี้ก็คือ ‘ศาลเจ้า Matsuo-jinja’ นั่นเอง
นอกจากนี้ศาลเจ้าอิคุตะก็ยังมี ‘ต้นสนซีดาร์’ อันเลื่องชื่อเรื่องเสริมดวงความรักอีกด้วย ความสัมพันธ์ของใครดูใกล้จะพัง หรือใครที่ความรักยังดีอยู่แต่อยากให้ดีกว่าเดิม ก็ไปขอพรกันได้ที่นี่เลยจ๊ะ
- อ่านข้อมูลเจาะลึกเกี่ยวกับศาลเจ้าได้ที่นี่ >> ขอพรความรักที่ศาลเจ้าอิคุตะและชมวิวกลางคืนสวยติดอันดับที่ภูเขามายะ
ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าอิคุตะ (Ikuta-jinja Shrine)
วิธีเดินทาง
-
- เดินจากสถานี Sannomiya 10 นาที
พิกัด
-
- 1 Chome-2-1 Shimoyamatedori, Chuo Ward, Kobe, Hyogo
เวลาทำการ
-
- 9:00 – 17:00 น.
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
1.3 โกเบฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland)

beeboys / Shutterstock
โกเบฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland) เป็นย่านการค้าและสถานบันเทิงที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟ JR Kobe และริมน้ำของท่าเรือ Kobe ในพื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และสถานบันเทิงต่างๆมากมาย บรรยากาศยามเย็นที่สุดแสนโรแมนติกทำให้ Kobe Harbourland เป็นที่เที่ยวยอดนิยมสำหรับคู่รัก รวมไปถึงนักท่องเที่ยวด้วย
ศูนย์การค้าที่โดดเด่นที่สุดในย่านนี้คือ Umie ซึ่งแบ่งพื้นที่เป็นสามส่วนคือ Mosaic, South Mall และ North Mall
และถ้าพูดถึงความสวยงามของสถานที่แห่งนี้ จะเห็นว่าพื้นกระเบื้องบริเวณริมแม่น้ำได้นำเอาศิลปะแบบโมเสกมาตกแต่ง
ใน Kobe Harbourland แห่งนี้มีร้านอาหารหลายแห่งที่สามารถมองออกไปเห็นวิวของท่าเรือและตึก Kobe Port Tower ได้ นอกจากนี้ยังมี Kobe Maritime Museum และชิงช้าสวรรค์ที่พร้อมจะให้เราขึ้นไปนั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่แสนสวยงาม
สำหรับเด็กๆที่ชื่นชอบ Anpanman ต้องไม่พลาดพิพิธภัณฑ์ Anpanman นะ นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์มังงะและอนิเมะยอดนิยมอีกด้วย
ข้อมูลเกี่ยวกับโกเบฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland)
วิธีเดินทาง
-
- ใกล้สถานี Kobe และสถานี Harbor Land
พิกัด
-
- 1 Chome Higashikawasakicho, Chuo Ward, Kobe, Hyogo
เวลาทำการ
-
- แตกต่างกันในแต่ละสถานที่
ค่าธรรมเนียม
-
- แตกต่างกันในแต่ละสถานที่
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
1.4 กระเช้าลอยฟ้าชินโกเบ (Shin-Kobe Ferris Wheel) และน้ำตกนุโนะบิกิ (Nunobiki Waterfall)

Blanscape / Shutterstock
กระเช้าลอยฟ้าชินโกเบ (Shin-Kobe Ferris Wheel / Kobe Nunobiki Ropeway) เป็น 1 ใน 3 กระเช้าลอยฟ้าที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้ขึ้นเขาไปทางตอนใต้ของภูเขา Rokko ซึ่งจุดขึ้นกระเช้าลอยฟ้านี้อยู่บริเวณถัดจากสถานี Shin-Kobe
นักท่องเที่ยวสามารถชมวิวทิวทัศน์ที่แสนงดงามของโกเบได้ทั้งกลางวันและกลางคืนเลยทีเดียว
เส้นทางของกระเช้าลอยฟ้า Shin-Kobe จะผ่าน น้ำตกนุโนะบิกิ (Nunobiki Waterfall) และสวนสมุนไพร Nunobiki

Visun Khankasem / Shutterstock
สวนสมุนไพร Nunobiki เป็นสวนสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เพราะนอกจากจะมีสมุนไพรหลายร้อยชนิดแล้ว ยังมีดอกไม้ตามฤดูกาลอีกด้วย เราสามารถเข้าไปชมในเรือนกระจกหรือในสวนได้เลย
ข้อมูลเกี่ยวกับกระเช้าลอยฟ้าชินโกเบ (Shin-Kobe Ferris Wheel) และน้ำตกนุโนะบิกิ (Nunobiki Waterfall)
วิธีเดินทาง
-
- เดินจากสถานี Shin-Kobe ประมาณ 18 นาที หรือนั่งแท็กซี่ประมาณ 5 นาที
พิกัด
-
- Kobe Nunobiki Ropeway, Chūō-ku, Kobe, Hyogo
เวลาทำการ
-
- 9:30 – 20:30 น. (ขึ้นอยู่กับฤดูกาล สามารถเช็กได้ตามเว็บไซต์ด้านล่าง)
ค่าธรรมเนียมสำหรับกระเช้า (9:30 – 17:00 น.)
-
- เที่ยวเดียว
- ผู้ใหญ่ : 950 เยน
- เด็ก : 480 เยน
- ไป–กลับ
- ผู้ใหญ่ : 1,500 เยน
- เด็ก : 950 เยน
- เที่ยวเดียว
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
- Shin-Kobe Ferris Wheel / Kobe Nunobiki Ropeway
- Nunobiki Waterfall
1.5 ย่านคิตาโนะ (Kobe Kitano Ijinkan-Gai)

Shawn.ccf / Shutterstock
ในช่วงศตวรรษที่ 19 มีชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งเข้ามาตั้งรกรากและทำการค้าที่เมืองคิตาโนะ จังหวัดเฮียวโกะ ด้วยภูมิประเทศที่ตั้งอยู่ในบริเวณเชิงเขา Rokko ซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพของอ่าวโกเบได้อย่างทั่วถึง เหล่าพ่อค้าชาวต่างชาติจึงนิยมมาสร้างบ้านในย่านคิตาโนะ เพราะพวกเขาเล็งเห็นประโยชน์ของทำเลทองแห่งนี้นั่นเอง
นับจากนั้นเป็นต้นมา ย่านคิตาโนะ (Kobe Kitano Ijinkan-Gai) จึงกลายเป็นเมืองท่าของโกเบที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ รวมถึงการผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตกกับความเป็นญี่ปุ่นย้อนยุคได้อย่างลงตัว โดยจะเห็นได้จากบ้านเรือนในบริเวณนี้ที่มีความสวยงาม โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ในย่านคิตาโนะมีคฤหาสน์โบราณ (Ijinkan) ที่ยังคงตั้งอยู่ภายในพื้นที่นี้หลายหลัง ปัจจุบันบ้านเหล่านี้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมได้ สำหรับค่าใช้จ่ายในการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ก็จะอยู่ระหว่าง 550 – 750 เยน
นอกจากเราจะได้ชมบ้านเรือนสไตล์ย้อนยุคแล้ว ที่นี่ก็ยังมีคาเฟ่ ร้านอาหาร และร้านบูติกอีกมากมาย ให้เราได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศที่มีความเป็นตะวันตกผสมกับความเป็นญี่ปุ่น ย่านคิตาโนะจึงเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นและคู่รักชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก
ข้อมูลเกี่ยวกับย่านคิตาโนะ (Kobe Kitano Ijinkan-Gai)
วิธีเดินทาง
-
- เดินจากสถานี Sannomiya หรือสถานี Shin-Kobe ประมาณ 10 – 15 นาที
พิกัด
-
- Kitanocho, Chuo Ward, Kobe, Hyogo
เวลาทำการ
-
- 9:30 – 18:00 น.
ค่าธรรมเนียม
-
- ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
1.6 โกเบลูมินาริเอะ (Kobe Luminarie)

Mariia Semenova / Shutterstock
โกเบลูมินาริเอะ (Kobe Luminarie) คือเทศกาลชมไฟประดับที่จัดขึ้นเป็นประจำในช่วงฤดูหนาวของเมืองโกเบ การจัดแสดงไฟอันสวยงามนี้มีจุดประสงค์เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่โกเบ (Great Hanshin Earthquake) เมื่อวันที่ 17 มกราคม 1995
ผลกระทบของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในบริเวณตอนใต้ของจังหวัดเฮียวโกะครั้งนั้น ทำให้ชาวเมืองได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเป็นอย่างมาก
ขณะที่ทุกคนตกอยู่ในความมืดมิดและความสิ้นหวัง แสงไฟประดับที่สุกสว่างขึ้นก็เป็นเสมือนตัวแทนแห่งความหวังและความฝันที่รอคอยการหวนกลับมาอีกครั้ง
นอกจากจุดประสงค์ของการจัดงาน Kobe Luminarie จะเป็นการถ่ายทอดความทรงจำเกี่ยวกับภัยพิบัติครั้งนี้ให้แก่คนรุ่นหลังแล้ว งานเทศกาลดังกล่าวยังเป็นเสมือนการจุดไฟส่งดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นให้ไปสู่สุคติอีกด้วย
ในปีเดียวกันนั้นเอง เมืองโกเบได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลอิตาลีในการบริจาคหลอดไฟ โดยคำว่า ‘Luminarie’ เป็นภาษาอิตาเลียนที่มีความหมายว่า การจัดแสดงแสงไฟด้วยหลอดไฟดวงเล็ก
ด้วยเสียงตอบรับและคำชื่นชมจากสาธารณชน เมืองโกเบจึงจัดเทศกาล Kobe Luminarie ขึ้นอีกในปีถัดไป และจัดต่อเนื่องมาจวบจนปัจจุบัน สำหรับผู้เข้าชมงานในแต่ละปีนั้นมีจำนวนมากถึงประมาณ 4 ล้านคนเลยทีเดียว!
ข้อมูลเกี่ยวกับโกเบลูมินาริเอะ (Kobe Luminarie)
วิธีเดินทาง
-
- เดินจากสถานี Motomachi 6 นาที หรือจากสถานี Sannomiya 12 นาที
พิกัด
-
- Kobe Luminarie Place, 神戸御幸ビル 44 Akashimachi, Chuo Ward, Kobe, Hyogo
ช่วงเวลาจัดงาน
-
- ประมาณช่วงเดือนธันวาคม (โปรดตรวจสอบทางเว็บไซต์อีกครั้ง)
เว็บไซต์
1.7 อาริมะออนเซ็น (Arima Onsen)
อาริมะออนเซ็น (Arima Onsen) เป็นเมืองน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงในเมืองโกเบ ที่ตั้งของเมืองออนเซ็นแห่งนี้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับภูเขา Rokko
นอกจากเราจะสามารถตีตั๋วรถไฟมาที่นี่แบบไปเช้าเย็นกลับ (โอซาก้า–โกเบ) ได้แล้ว บรรยากาศอันแสนสงบของอาริมะออนเซ็นยังให้ความรู้สึกผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติอีกด้วย สถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่นิยมในวันหยุดของญี่ปุ่น

glen photo / Shutterstock
ด้วยประวัติความเป็นมาที่ยาวนานกว่า 1,000 ปีของอาริมะออนเซ็น สถานที่แห่งนี้จึงเป็นหนึ่งในเมืองออนเซ็นที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น
โซนน้ำพุร้อนที่นี่แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- 1. บ่อคินเซ็น (Kinsen) : น้ำสีทอง
- น้ำในบ่อคินเซ็น (Kinsen) มีเฉดสีน้ำตาลเกือบทอง อันเป็นผลมาจากคราบเหล็กและเกลือที่ผสมกันอยู่ในนั้น มีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังดีต่อผิวหนังเพราะสามารถรักษารอยแผลเป็นหรือรอยน้ำร้อนลวกได้ด้วย
- 2. บ่อกินเซ็น (Ginsen) : น้ำสีเงิน
- น้ำจากบ่อกินเซ็น (Ginsen) จะประกอบด้วยธาตุเรเดียมอ่อนๆและคาร์บอเนต ทำให้เราเห็นน้ำในบ่อเป็นสีเงิน ทั้งนี้น้ำจากบ่อกินเซ็นยังได้รับการกล่าวขานว่าสามารถบรรเทาอาการปวดเมื่อยและความเหนื่อยล้า ช่วยเรื่องการกระตุ้นเซลล์ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
นักท่องเที่ยวที่มาเยือนอาริมะออนเซ็นสามารถเพลิดเพลินไปกับการแช่บ่อน้ำพุร้อนได้ที่แหล่งอาบน้ำสาธารณะทั้งสองแห่ง หรือจะไปแช่น้ำร้อนในเรียวกังก็ได้ เพราะที่นี่มีเรียวกังหลายแห่งเลยทีเดียวที่เปิดห้องอาบน้ำให้กับนักท่องเที่ยวขาจร โดยค่าบริการจะอยู่ที่ประมาณ 500 – 2,500 เยน
- อ่านรีวิวเจาะลึกเกี่ยวกับ Arima Onsen ได้ที่นี่ >> รีวิวออนเซ็น Taiko-no-yu ที่ Arima Onsen หมู่บ้านออนเซ็นเก่าแก่อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น
ข้อมูลเกี่ยวกับอาริมะออนเซ็น (Arima Onsen)
วิธีเดินทาง
-
- จากสถานี Sannomiya หรือสถานี Shin-Kobe ให้ขึ้นรถไฟใต้ดินไปยังสถานี Tanigami (ใช้เวลา 10 – 15 นาที) จากนั้นต่อรถไฟสาย Shintetsu Arima-Sanda ไปยัง Arima-guchi แล้วเปลี่ยนรถไฟเป็นสาย Arima ไปลงที่สถานี Arima Onsen (ใช้เวลา 20 นาที) การเดินทางทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที
พิกัด
-
- Arimacho, Kita Ward, Kobe, Hyogo
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
1.8 เกาะอาวาจิ (Awaji Island)
เกาะอาวาจิ (Awaji island) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของทะเลเซโตะ เกาะแห่งนี้อยู่ระหว่างเกาะฮอนชูกับเกาะชิโกกุ โดยมีช่องแคบอากาชิและช่องแคบนารูโตะคั่นระหว่างเกาะทั้งสองกับเกาะอาวาจิ นอกจากเราจะสามารถเดินทางจากเมืองโกเบไปยังเกาะอาวาจิได้ด้วยสะพานอากาชิไคเกียว บริเวณช่องแคบนารูโตะยังเป็นแหล่งน้ำวนที่มีชื่อเสียงด้วย
คำว่า อาวาจิ มีความหมายว่า เส้นทางสู่อาวะ และอาวะก็คือชื่อมณฑลเก่าแห่งหนึ่งบนเกาะชิโกกุ ปัจจุบันอาวะเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดโทคุชิมะ
สำหรับความเชื่อและวัฒนธรรมของสถานที่แห่งนี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเกาะอาวาจิเป็นหนึ่งในหมู่เกาะโอยาชิมะที่กำเนิดจากอิซานางิและอิซานามิ เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าและผืนดิน ผู้ให้กำเนิดโลกตามคติความเชื่อของลัทธิชินโต
สำหรับสถานที่ที่น่าสนใจและต้องไปให้ได้สักครั้งบนเกาะอาวาจินั้นมีหลายแห่งมาก ไม่ว่าจะเป็นออนเซ็น แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อย่างปราสาทสุโมโตะที่ตั้งบนเขามิกุมะยามะ รวมไปถึงเทศกาลอาวาจิที่จัดขึ้นทุกปี ภายในงานเทศกาลจะมีขบวนพาเหรดรวมถึงการแสดงเชิดสิงโตด้วย
อีกหนึ่งสถานที่ที่จัดว่าเป็นแลนด์มาร์กของเกาะอาวาจิคือรูปปั้นหัวหอมยักษ์ หรือ โอตตะมาเนกิ (ottamanegi) รูปปั้นนี้ตั้งอยู่ที่อนุสรณ์สถานสะพานแขวนนารุโตะ อุซุโนะโอกะ (Uzu no Oka, The Great Naruto Bridge Memorial Museum)
หัวหอมอาวาจิเป็นผลิตภัณฑ์เลื่องชื่อของเกาะอาวาจิ เพราะมีรสสัมผัสนุ่มชุ่มฉ่ำและหวานหอม หากใครอยากสัมผัสรสชาติอันแสนอร่อยนี้ก็ลองทานอาวาจิเบอร์เกอร์ได้นะ เพราะนอกจากจะได้ลิ้มรสของหัวหอมอาวาจิแล้ว เรายังได้ชิมเนื้อวัวอาวาจิอีกด้วย นอกจากนี้อาวาจิเบอร์เกอร์ยังได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดแฮมเบอร์เกอร์ในระดับประเทศมาด้วยนะ ถ้าไม่ได้ลองก็เท่ากับพลาดแล้วล่ะ
สำหรับนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ รักน้ำ รักปลา และสายลม ก็สามารถไปชมความงามของดอกไม้ตามฤดูกาลได้ ไม่ว่าจะเป็นดอกซากุระที่วัดอนโจจิ แปลงดอกไม้ที่สวนอาวาจิฮานะสะจิกิ หรือทิวทัศน์ที่งดงามของเขื่อนยูสุรุฮะ
ข้อมูลเกี่ยวกับเกาะอาวาจิ (Awaji Island)
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
2. เมืองฮิเมจิ
- 2.1 ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)
- 2.2 สวนโคโคะเอ็น (Koko-en)
- 2.3 วัดเอ็นเกียวจิ (Shoshazan Engyoji Temple)
2.1 ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)
ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่ในเมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโกะ ปราสาทแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เหลือรอดจากระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง รวมไปถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในโกเบเมื่อปี พ.ศ. 2538
ปราสาทฮิเมจิได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น ร่วมกับปราสาทมัตสึโมโตะและปราสาทคุมาโมโตะ นอกจากจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมมากที่สุดในญี่ปุ่นแล้ว ปราสาทฮิเมจิก็มีความสง่างามเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากสีขาวสว่างของตัวปราสาททั้งหลัง จนได้รับฉายาว่า ปราสาทนกกระสาขาว
ปัจจุบันปราสาทฮิเมจิได้รับการจดทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติของญี่ปุ่น อีกทั้งองค์การยูเนสโกยังยกย่องให้สถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในมรดกโลกที่สำคัญอีกด้วย
- อ่านข้อมูลเจาะลึกเรื่องปราสาทฮิเมจิได้ที่นี่ >> ชมซากุระฟูลบลูมที่ ‘ปราสาทฮิเมจิ’ ปราสาทดั้งเดิมสุดอลังการ
ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)
วิธีเดินทาง
-
- เดินจากสถานี Himeji ใช้เวลาประมาณ 20 นาที หรือนั่งแท็กซี่ประมาณ 10 นาที
พิกัด
-
- 68 Honmachi, Himeji, Hyogo 670-0012
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
2.2 สวนโคโคะเอ็น (Koko-en)
สวนโคโคะเอ็น (Koko-en) เป็นจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมในเมืองฮิเมจิ ไฮไลต์ของที่นี่เห็นจะเป็นจุดชมวิวซึ่งสามารถชมความสวยงามของปราสาทฮิเมจิได้ในมุมกว้าง เพราะสวนนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทฮิเมจิ
ภายในสวนโคโคะเอ็นนั้นยังมีสวนย่อยอีก 9 แห่ง การจัดแต่งของสวนย่อยแต่ละแห่งก็จะมีสไตล์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป เช่น สวนย้อนยุคเอโดะ สวนสำหรับทำพิธีชงชา เป็นต้น ด้วยเหตุนี้สวนโคโคะเอ็นจึงมักจะถูกใช้เป็นฉากถ่ายทำละครทีวีและภาพยนตร์ย้อนยุค
นักท่องเที่ยวที่มาเยือนสวนโคโคะเอ็นสามารถเพลิดเพลินไปกับอาหารญี่ปุ่นแสนอร่อยตามฤดูกาล พร้อมๆกับชมทัศนียภาพที่แสนงามตาของสวนแห่งนี้ได้ที่ ร้านอาหารญี่ปุ่นคัทสุอิเค็น (Kassui-ken)
ข้อมูลเกี่ยวกับสวนโคโคะเอ็น (Koko-en)
วิธีเดินทาง
-
- เดินจากสถานี Himeji ประมาณ 10 นาที
พิกัด
-
- Honmachi 68, Himeji City, Hyogo
เวลาทำการ
-
- 27 เมษายน – 31 สิงหาคม : 9:00 – 17:30 น.
- 1 กันยายน – 26 เมษายน : 9: 00 – 16:30 น.
ค่าธรรมเนียม
-
- ผู้ใหญ่ : 310 เยน
- เด็ก : 150 เยน
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
2.3 วัดเอ็นเกียวจิ (Shoshazan Engyoji Temple)

tera.ken / Shutterstock
วัดเอ็นเกียวจิ (Shoshazan Engyoji Temple) เป็นวัดในเมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโกะที่ก่อตั้งขึ้นในปี 966 บนยอดเขาโชฉะ (Shoshazan) อันกว้างขวางซึ่งทอดตัวยาวเป็นระยะทางหนึ่งกิโลเมตร
ภายในวัดแห่งนี้มีอาคารและรูปปั้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาคารไม้ Daikodo, Jikido และ Jogyodo หรือจะเป็นรูปปั้นไม้ของ Shitenno ก็ดี ทรัพย์สินเหล่านี้ล้วนขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศ ทำให้ได้รับการทะนุบำรุงอย่างดีเสมอมา
นอกจากนี้วัดเอ็นเกียวจิยังเคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Last Samurai และ Musashi รวมถึงละครโทรทัศน์ที่ออกอากาศโดย NHK อย่างเรื่อง Gunshi-Kanbei อีกด้วย
ข้อมูลเกี่ยวกับวัดเอ็นเกียวจิ (Shoshazan Engyoji Temple)
วิธีเดินทาง
-
- นั่งรถบัสหมายเลข 8 จากสถานี Himeji ไปลงที่ป้าย Mount Shosha Ropeway (書写山ロープウェイ) ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
พิกัด
-
- 2968 Shosha, Himeji, Hyogo 671-2201
เวลาทำการ
-
- 8:30 – 17:00 น.
ค่าธรรมเนียม
-
- 500 เยน
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
3. เมืองโทโยโอกะ (Toyooka)
- 3.1 คิโนะซากิออนเซ็น (Kinosaki Onsen)
- 3.2 ภูเขาคันนาเบะ (Mt. Kannabe)
- 3.3 เมืองปราสาทอิซุชิ (Izushi Castle Town)
- 3.4 สวนอนุรักษ์พันธุ์นกกระสาขาวเฮียวโกะ (Hyogo Park of the Oriental White Stork)
3.1 คิโนะซากิออนเซ็น (Kinosaki Onsen)
คิโนะซากิออนเซ็น (Kinosaki Onsen) เป็นเมืองออนเซ็นที่มีชื่อเสียงในแถบคันไซ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ ‘จังหวัดเฮียวโกะ’ ตามตำนานเล่ากันว่าชาวญี่ปุ่นค้นพบเมืองคิโนะซากิออนเซ็นตั้งแต่สมัยอาซึกะ โดยค้นพบจากการเห็นนกกระสาขาวบาดเจ็บหนัก แต่กลับหายดีเป็นปลิดทิ้งหลังจากบินไปรักษาตัวที่เมืองคิโนะซากิออนเซ็น
แต่ประวัติความเป็นมาจากข้อมูลทางการกล่าวไว้ว่า เมืองคิโนะซากิออนเซ็นเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในสมัยนารา น้ำพุแห่งแรกในเมืองคิโนะซากิออนเซ็นได้พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินหลังจากที่นักบวช (Dochi Shonin) รับคำพยากรณ์จากเทพประจำหมู่บ้าน (Shisho Myojin) และบำเพ็ญเพียรเป็นเวลา 1,000 ปี
ดังนั้นผู้คนในสมัยก่อนจึงมีความเชื่อที่ว่า หากได้มาเยือนบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้สุขภาพของเราก็จะดี เพราะนอกจากสถานที่แห่งนี้จะมีศาสนสถานคู่บ้านคู่เมืองอย่าง วัดออนเซ็นจิ (Onsenji Temple) แล้ว หากมาที่นี่เราก็จะได้สักการะดวงวิญญาณของนักบวชคนดังกล่าวด้วย
ต่อมาคิโนะซากิออนเซ็นได้กลายมาเป็นสถานที่เลื่องชื่อในยุคเอโดะ เพราะที่นี่ได้รับคำชมจาก ‘คากาวะ ชูโทคุ’ นายแพทย์ที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นว่า “คิโนะซากิออนเซ็นเป็นสุดยอดเมืองน้ำพุร้อนของญี่ปุ่น” ยิ่งไปกว่านั้น ในปี 1909 ทางการได้ขยายทางรถไฟสายซันอิน (JR San’in Main Line) ความนิยมของเมืองคิโนะซากิจึงพุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดจวบจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม เมืองคิโนะซากิออนเซ็นไม่ได้มีดีแค่เรื่องราวและความเก่าแก่เท่านั้น แต่เมืองนี้ยังเป็นที่นิยมด้วยบรรยากาศย้อนยุคสุดชิลล์อีกด้วย ไม่ว่ามองไปทางไหนเราก็จะพบบ้านไม้หลังเก่าตามทางเลียบไปกับคลองสายเล็ก ต้นหลิวที่ขึ้นเรียงรายเป็นริ้วทิวทัศน์ที่สวยงาม ผู้คนมากมายเดินอยู่ตามถนนในชุดยูกาตะ อีกทั้งสีสันในยามพลบค่ำก็มีเสน่ห์น่าดึงดูดไม่แพ้กัน
และสำหรับนักท่องเที่ยวสายกินที่มีโอกาสได้มาเที่ยวเมืองคิโนะซากิออนเซ็น อย่าลืมลองไปทานเมนูเด็ดอย่างปูมัตสึบะกับสเต็กเนื้อทาจิมะด้วยนะคะ
ข้อมูลเกี่ยวกับคิโนะซากิออนเซ็น (Kinosaki Onsen)
วิธีเดินทาง
-
- หากเริ่มเดินทางจากสถานี JR Shin-Osaka ให้ขึ้นรถไฟ Limited Express Konotori ไปลงที่สถานี JR Kinosaki Onsen ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 50 นาที
- หากเริ่มเดินทางจากสถานี JR Osaka ให้ขึ้นรถไฟ Limited Express Konotori หรือ Limited Express Hamakaze ไปลงที่สถานี JR Kinosaki Onsen ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที
ที่อยู่
-
- Kinosakicho Yushima, Toyooka, Hyogo 669-6101
เบอร์โทรศัพท์
-
- 0796-32-3663
เวลาทำการ
-
- 09:00 – 17:00 น.
- ปิดทุกวันพุธ
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
3.2 ภูเขาคันนาเบะ (Mt. Kannabe)

ที่มา : https://visitkinosaki.com
ในช่วงหน้าหนาวที่เฮียวโกะนั้น ภูเขาคันนาเบะ (Mt. Kannabe) เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่น่าไปเที่ยวมาก ด้วยสีขาวโพลนของหิมะหนานุ่มซึ่งปกคลุมพื้นที่แห่งนี้ยาวไปจนถึงปากปล่องภูเขาไฟ ภาพที่ปรากฏจึงสร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ภูเขาคันนาเบะยังมี Kannabe Nature School เปิดให้บริการอีกด้วย เราสามารถจ้างสตาฟนำทางจากที่นี่ได้ หรือเราจะเดินทางด้วยตัวเองก็ย่อมได้ แต่ถ้าได้สตาฟนำทางเราก็จะได้เห็นเส้นทางลับที่สวยงาม อย่างไรก็ตาม เราจะต้องลงทะเบียนและฟังคำแนะนำก่อนเพื่อความปลอดภัยในการเดินชมสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้
หากเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆจนถึงปากปล่องภูเขาไฟคันนาเบะแล้ว เราจะได้สัมผัสกับความสดชื่นและทัศนียภาพอันสวยงามตระการ โดยเราสามารถพักจิบชาข้างบนนี้ได้ด้วย ส่วนตอนลงเขานั้น เราขอแนะนำว่าให้สไลเดอร์ลงไปโลดจ้า แต่ขอเตือนว่าถ้าจะมาเที่ยวที่นี่ต้องฟิตร่างกายมาหน่อยนะ เพราะการเดินขึ้นเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็คุ้มมากสำหรับวิวสวยๆที่ได้เห็นและประสบการณ์ดีๆที่ได้รับค่ะ
ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาคันนาเบะ (Mt. Kannabe)
พิกัด
-
- Mt. Kannabeyama, Hidaka-cho, Toyooka-shi, Hyogo
เบอร์
-
- 0796-45-0800
เวลาทำการ
-
- 09:00 – 17:00 น.
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
3.3 เมืองปราสาทอิซุชิ (Izushi Castle Town)

beeboys / Shutterstock
เมื่อประมาณ 200 – 300 ปีที่แล้ว เมืองปราสาทอิซุชิ (Izushi Castle Town) เป็นเมืองปราสาทที่เคยเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยเอโดะ สถานที่แห่งนี้มีการจัดแสดงสถาปัตยกรรมโบราณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นซากปราสาทอิซุชิ ศาลเจ้า และหอนาฬิกาเก่าชินโคโร ด้วยเหตุนี้เมืองปราสาทอิซุชิจึงได้รับการกำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์อาคารแห่งชาติ
นอกจากเมืองปราสาทอิซุชิจะขึ้นชื่อเรื่องสถาปัตยกรรมแล้ว โซบะของที่นี่ก็ขึ้นชื่อไม่แพ้กัน ดังนั้นหากได้มาเยือนเมืองนี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยก็คือการชิมโซบะแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า ซาระโซบะ นอกจากเมนูนี้จะหาซื้อได้ง่ายแล้ว เราก็ขอการันตีเลยว่ารสชาติของโซบะนั้นอร่อยเด็ดสุดๆ!
ทีนี้มาดูประวัติของปราสาทอิซุชิกันบ้าง ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1604 ที่นี่จึงเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และเรื่องราวมากมาย อีกทั้งปราสาทยังได้รับการปรับปรุงดูแลเป็นอย่างดีจากเหล่าซามูไรที่เคยมาพำนักที่นี่ในอดีตด้วย ปัจจุบันเขตเมืองที่ตั้งของปราสาทอิซุชิจึงได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘กลุ่มอาคารเก่าแก่ดั้งเดิมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ของญี่ปุ่น’
เนื่องจากปราสาทอิซุชินั้นอยู่ในบริเวณเชิงเขา การเดินชมความร่มรื่นของธรรมชาติหรือเงี่ยหูฟังเสียงนกร้องจึงเป็นกิจกรรมที่เหมาะที่สุดที่จะทำเลยก็ว่าได้

beeboys / Shutterstock
ศาลเจ้าอาริโกะยามะ อินาริ (Arikoyama-inari) ที่ตั้งอยู่ภายในเมืองปราสาทแห่งนี้มีบันไดหินทอดขึ้นไปยังภูเขาสูง ทั้งยังมีเสาโทริอิสีแดงสดเรียงรายตลอดเส้นทางไปศาลเจ้า นอกจากนี้ ทันทีที่เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงเราก็จะได้ชมทัศนียภาพของใบไม้สีแดงเหลืองที่ตัดกับโทนสีของสถานที่แห่งนี้อย่างสวยงาม

Sergey / Shutterstock
อีกหนึ่งไฮไลต์ของเมืองปราสาทอิซุชิก็คือ สิ่งก่อสร้างในยุคโชวะซึ่งสร้างขึ้นตามแนวถนนที่ทอดยาวจรดตัวปราสาท นอกจากนี้เราจะเห็นหอนาฬิกาชินโคโรที่ตั้งตระหง่านเป็นฉากหลังของถนนอีกด้วย ช่างเป็นวิวที่สวยงามคลาสสิคมากจริงๆ
ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองปราสาทอิซุชิ (Izushi Castle Town)
วิธีเดินทาง
-
- จากสถานีรถไฟ Toyooka Station ให้นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Izushi โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที
พิกัด
-
- Izushi Tourist Association 104-7 Uchimachi Izushi-cho, Toyooka-shi, Hyogo
เวลาทำการ
-
- 9:00 – 17:00 น.
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
3.4 ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์นกกระสาขาวเฮียวโกะ (Hyogo Park of the Oriental White Stork)

ที่มา : https://th.tripadvisor.com
แม้ชาวญี่ปุ่นจะมีความเชื่อว่า นกกระสาขาว หรือ โคโนะโทริ เป็นนกที่นำพาความสุขและความโชคดีมาให้ แต่ในปี 1971 นกกระสาขาวตัวสุดท้ายที่พบในเมืองโทโยโอกะก็ได้ตายไป เพราะช่วงนั้นการทำเกษตรกรรมในญี่ปุ่นนิยมใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงอย่างหนัก ทำให้นกกระสาขาวญี่ปุ่นสูญพันธุ์ไปในที่สุด
หลังจากนั้นไม่กี่ปีต่อมา ประเทศญี่ปุ่นก็ได้รับพ่อพันธุ์แม่พันธุ์นกกระสาขาวมาจากประเทศรัสเซีย และในปี 1989 การคืนชีพนกกระสาขาวก็ประสบผลสำเร็จในญี่ปุ่น โดยเป็นผลงานการศึกษาและความช่วยเหลือจากทีมนักวิจัยรวมถึงหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง
ต่อมาในปี 2005 ได้มีการเพิ่มจำนวนนกกระสาขาวในญี่ปุ่นจนถึง 200 ตัวโดย ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์นกกระสาขาวเฮียวโกะ (Hyogo Park of the Oriental White Stork)
หากใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่เมืองโทโยโอกะ นอกจากจะได้สัมผัสกับความอุดมสมบูรณ์ของศูนย์อนุรักษ์นกแห่งนี้แล้ว เราก็ยังจะได้รับความรู้เชิงสารคดีและได้ชมนกกระสาขาวตัวจริงเสียงจริงอีกด้วย
แน่นอนว่านักท่องเที่ยวสายธรรมชาติหรือสายส่องสัตว์โลกน่ารักย่อมไม่ควรพลาดศูนย์อนุรักษ์พันธุ์นกกระสาขาวเฮียวโกะด้วยประการทั้งปวง
ข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์อนุรักษ์พันธุ์นกกระสาขาวเฮียวโกะ (Hyogo Park of the Oriental White Stork)
วิธีเดินทาง
-
- จากสถานีรถไฟ JR Toyooka ให้นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Kounotori no Sato Kouen
ที่อยู่
-
- Jiniketani (字二ケ谷), Shounji, Toyooka, Hyogo, 〒668-0814
เวลาทำการ
-
- 9:00 – 17:00 น. (หยุดทุกวันจันทร์)
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
4. เมืองอาคาชิ (Akashi)
4.1 ปราสาทอาคาชิ (Akashi Castle)
ปราสาทอาคาชิ (Akashi Castle) เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นในสมัยเอโดะตอนต้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นด่านหน้าในการรับมือและป้องกันข้าศึกที่เข้ามารุกรานจากทางตะวันตกของโอซาก้า แม้ว่าตัวปราสาทจะถูกทำลายลงในปี 1874 แต่หอคอยทั้งสองแห่งและผนังปราสาทส่วนใหญ่ก็ยังคงสภาพสมบูรณ์
ปัจจุบันปราสาทอาคาชิตั้งอยู่กลางสวนสาธารณะอาคาชิ และยังเป็นจุดชมซากุระที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย
นอกจากนี้บริเวณโดยรอบก็ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุดหรืออุปกรณ์ออกกำลังกาย
ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทอาคาชิ (Akashi Castle)
วิธีเดินทาง
-
- เดินจากสถานี Akashi ประมาณ 10 นาที
ที่อยู่
-
- 1-27 Akashikoen, Akashi-shi, Hyogo
เวลาทำการ
-
- เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
4.2 สะพานอาคาชิไคเคียว (Akashi-Kaikyo Bridge)
สะพานอาคาชิไคเคียว (Akashi-Kaikyo Bridge) เป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก สะพานแห่งนี้เชื่อมระหว่างเมืองโกเบกับเมืองอิวายะที่อยู่บนเกาะอาวาจิ อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงฮอนชู–ชิโกกุ (Honshu–Shikoku) ซึ่งเริ่มก่อสร้างเมื่อปี 1986 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 1998
นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยัง Maiko Marine Promenade ซึ่งเป็นจุดชมวิวสะพานอาคาชิไคเคียวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีทัวร์นำเที่ยวของบริษัท Bridge World ที่จะมีมัคคุเทศก์คอยให้ความรู้เกี่ยวกับส่วนต่างๆของสะพาน โดยเราสามารถปีนขึ้นไปยังด้านบนสุดของสะพานซึ่งมีความสูงถึง 300 เมตรได้ด้วย
ข้อมูลเกี่ยวกับสะพานอาคาชิไคเคียว (Akashi-Kaikyo Bridge)
วิธีเดินทาง
-
- เดินจากสถานี Maiko ไปยัง Akashi-Kaikyo Bridge Exhibition Center ใช้เวลาประมาณ 5 นาที
ที่อยู่
-
- 4-115 Higashi-Maiko-cho, Tarumi-ku, Kobe
เว็บไซต์
เว็บไซต์บริษัท Bridge World
แผนที่ Google Map
5. อื่นๆ
- 5.1 ห้าง KOBE-SANDA PREMIUM OUTLETS®
- 5.2 Kobe Anpanman Children’s Museum & Mall
- 5.3 Miyuki-dori Shopping Street
5.1 ห้าง KOBE-SANDA PREMIUM OUTLETS®

beeboys / Shutterstock
KOBE-SANDA PREMIUM OUTLETS® เป็นแหล่งชอปปิ้งขนาดใหญ่ใน ‘จังหวัดเฮียวโกะ’ ที่รวบรวมสินค้าไว้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแบรนด์ดัง ของใช้ในชีวิตประจำวัน หรือของเบ็ดเตล็ดมากมาย
และที่พิเศษไปกว่านั้นคือศูนย์อาหารของสถานที่แห่งนี้ เพราะเราสามารถลิ้มรสอาหารพื้นเมืองของโกเบอย่างสเต็กเนื้อโกเบ อาหารยอดฮิตที่ครองใจผู้คนทุกเพศทุกวัยได้ที่นี่ด้วย
ข้อมูลเกี่ยวกับห้าง KOBE-SANDA PREMIUM OUTLETS®
วิธีเดินทาง
-
- นั่งรถบัสจากสถานี Shin Kobe ประมาณ 40 นาที ลงที่ป้าย Kozudai 1 Chome Nishi
ที่อยู่
-
- KOBE-SANDA PREMIUM OUTLETS®, 7-3 Kozudai, Kita Ward, Kobe, Hyogo
เวลาทำการ
-
- 10:00 – 20:00 น.
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
5.2 Kobe Anpanman Children’s Museum & Mall

Cowardlion / Shutterstock
Kobe Anpanman Children’s Museum & Mall เป็นพิพิธภัณฑ์เด็กและห้างสรรพสินค้าในจังหวัดเฮียวโกะที่เป็นเสมือนโลกของ อันปังแมน (Anpanman) ตัวการ์ตูนที่ครองใจเด็กๆทั่วประเทศญี่ปุ่น
การตกแต่งของสถานที่แห่งนี้จะเป็นธีมอันปังแมนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่หรือร้านอาหาร
สำหรับบริเวณชั้น 1 จะมีร้านเบเกอรี่ที่เราสามารถเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศอันแสนน่ารักและอบอุ่น พร้อมกับลิ้มรสขนมปังอบใหม่จากอันปังแมนและเหล่าผองเพื่อนได้ ส่วนชั้น 2 จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เด็กๆจะได้เปิดประสบการณ์กับโลกของอันปังแมน
ข้อมูลเกี่ยวกับ Kobe Anpanman Children’s Museum & Mall
วิธีเดินทาง
-
- เดินจากสถานี Kobe ประมาณ 8 นาที
ที่อยู่
-
- Kobe Anpanman Children’s Museum & Mall, 1 Chome – 6 -2 Higashikawasakicho, Chuo Ward, Kobe, Hyogo
เวลาทำการ
-
- 10:00 – 18:00 น.
ค่าธรรมเนียม
-
- ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ 1,800 เยน
- เด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ ไม่มีค่าธรรมเนียม
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
5.3 Miyuki-dori Shopping Street
ไหนๆก็มาถึง ‘จังหวัดเฮียวโกะ’ กันแล้ว หากใครได้ไปเยือนปราสาทฮิเมจิก็ต้องไม่พลาดการแวะไปเดินช้อปในย่านมิยุกิโดริ!
ย่านการค้ามิยุกิโดริ (Miyuki-dori Shopping Street) เป็นแหล่งชอปปิ้งที่รวบรวมร้านค้าเอาไว้มากมาย โดยจะเห็นได้ว่าจำนวนร้านค้าที่เปิดอยู่นั้นยาวขนานไปกับถนนโอเตะมาเอะโดริ (Otemae-dori) ไกลสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว
นอกจากจะมีร้านขายของฝากให้เลือกซื้ออย่างหลากหลายแล้ว ย่านมิยุกิโดริยังมีร้านอาหารจำนวนมากอีกด้วย แถมเรายังจะได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมจากรูปแบบการปลูกสร้างร้านค้าแต่ละร้าน ซึ่งมีการยืนพื้นด้วยเสาไม้แบบญี่ปุ่นและเพดานไม้ บรรยากาศดีๆเช่นนี้ทำให้เราสามารถเดินจับจ่ายซื้อของได้อย่างไม่มีเบื่อ
ข้อมูลเกี่ยวกับ Miyuki-dori Shopping Street
วิธีเดินทาง
-
- เดินจากสถานี Himeji ทางประตูทิศเหนือ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที
ที่อยู่
-
- Hyogo, Himeji, Konyamachi, 39
เวลาทำการ
-
- 10:00 – 23:30 น. (ขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน)
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
อาหารท้องถิ่นประจำ จังหวัดเฮียวโกะ
จังหวัดเฮียวโกะ เป็นจังหวัดที่อุดมไปด้วยอาหารทะเลและอาหารพื้นบ้าน เราจึงสามารถเพลิดเพลินไปกับการตะลุยหาของอร่อยทานได้อย่างสนุกสนาน
เรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าจังหวัดเฮียวโกะจะมีเมนูอาหารอะไรน่าสนใจบ้าง
1. โซบะเมชิ (Soba Meshi)
โซบะเมชิ (Soba Meshi) เป็นเมนูอาหารที่เกิดจากการนำโซบะมาผัดกับข้าวบนกระทะร้อน จากนั้นก็ใส่ผักหรือเนื้อสัตว์และปรุงรสด้วยซอสต่างๆ หน้าตาของอาหารจานนี้จะมีกลิ่นอายความเป็นอาหารจีน
หลายคนอาจจะแปลกใจกับส่วนผสมของโซบะเมชิ เพราะทั้งโซบะและข้าวต่างก็เป็นแป้งเหมือนกัน พอเอามากินด้วยกันมันจะไม่แน่นไปหน่อยเหรอ? แต่รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วนั้นโซบะเมชิเป็นอาหารจานพิเศษที่ชาวเมืองโกเบชื่นชอบมานานกว่าครึ่งศตวรรษเลยล่ะ
สำหรับคนที่อยากลิ้มรสโซบะเมชิก็สามารถไปลองทานกันได้ตามร้านโอโคโนมิยากิทั่วไปในเมืองโกเบและเมืองใกล้เคียงค่ะ
2. เนื้อวัวทาจิมะ (Tajima Wagyu)
วัวทาจิมะนั้นถือเป็นต้นกำเนิดของเนื้อวากิวคุณภาพดี เพราะกว่าจะมาเป็น เนื้อวัวทาจิมะ (Tajima Wagyu) ได้ก็ต้องผ่านกระบวนการคัดสรรและเลี้ยงดูมาอย่างดีจากฟาร์มคุณภาพที่ตั้งอยู่ในเมืองทาจิมะ
ลักษณะพิเศษของเนื้อวัวทาจิมะคือมีไขมันแทรกพอประมาณ เมื่อวางในปากปุ๊บเนื้อก็จะละลายปั๊บ! รสสัมผัสของมันช่างนุ่มละมุนลิ้นจนเกินจะบรรยาย แต่ถึงยังไงเราก็ต้องรีบย่างรีบทานทันทีนะ ไม่งั้นไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อจะละลายจนหมดเสียก่อนจ้า
3. อาคาชิยากิ (Akashiyaki)
หลายคนคงรู้จักทาโกยากิกันดีอยู่แล้ว วันนี้เราจึงมาแนะนำ อาคาชิยากิ (Akashiyaki) หรืออาหารที่มีส่วนคล้ายกับทาโกยากิกันบ้างค่ะ
ความคล้ายกันของอาหารสองอย่างนี้ก็คือรูปทรงที่เป็นก้อนกลมๆและการสอดไส้ด้วยปลาหมึก (แต่อาคาชิยากิอาจดูไม่กลมเท่ากับทาโกยากิสักเท่าไหร่)
ส่วนความแตกต่างคือตัวแป้งของอาคาชิยากิมีส่วนผสมของไข่มากกว่า อีกทั้งเวลาทานเราจะต้องนำแป้งไปจุ่มกับน้ำซุปร้อนๆด้วย
นอกจากนี้อาคาชิยากิยังเป็นเมนูขึ้นชื่อของเมืองอาคาชิอีกด้วย หากใครอยากไปลิ้มลองรสชาติของอาคาชิยากิ ก็สามารถหาได้ตามร้านอาหารทั่วไปในเมืองอาคาชิเลยค่ะ
4. ปูมัตสึบะ (Matsuba Crab)
ปูมัตสึบะ (Matsuba Crab) เป็นปูที่มีลักษณะพิเศษคือตัวใหญ่และมีเนื้อที่หวานอร่อย ปูชนิดนี้จึงเป็นอาหารยอดฮิตอีกอย่างหนึ่งของจังหวัดเฮียวโกะ
ในช่วงฤดูหนาวของทุกๆปีจะมีเทศกาลจับปูครั้งยิ่งใหญ่ ภายในงานนักท่องเที่ยวจะได้ชิมสารพัดเมนูปูมัตสึบะ ไม่ว่าจะเป็นซาชิมิหรือนาเบะ (หม้อไฟ) ทุกเมนูก็ล้วนแล้วแต่อร่อยเลิศค่ะ!
5. เนื้อโกเบ (Kobe Beef)
ถ้าไปโกเบแล้วไม่ได้กิน เนื้อโกเบ (Kobe Beef) ก็เท่ากับไปไม่ถึง! เพราะนอกจากเนื้อโกเบจะเป็นของขึ้นชื่อประจำ ‘จังหวัดเฮียวโกะ’ แล้ว มันยังเป็นวัตถุดิบเลื่องชื่อของประเทศญี่ปุ่นด้วยนะ
เนื้อโกเบเป็นวากิว(วัวญี่ปุ่น)อีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีความโดดเด่นเรื่องไขมันน้อย แต่กลับเต็มไปด้วยความนุ่มและชุ่มฉ่ำ อีกทั้งยังให้รสชาติที่กลมกล่อมโดยไม่ต้องพึ่งซอสหรือเครื่องปรุงแต่อย่างใด
สำหรับรูปแบบการรับประทานเนื้อโกเบนั้น ชาวเฮียวโกะนิยมทานเป็นสเต็ก ชาบู หรือสุกี้ แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเห็นจะเป็นเนื้อโกเบแบบ ‘เทปันยากิ’ หรือกรรมวิธีที่ทำให้อาหารสุกด้วยการนำวัตถุดิบไปจี่บนกระทะเหล็กนั่นเอง
ที่ร้านเทปันยากิ เชฟจะย่างเนื้อบนกระทะร้อนหน้าเคาน์เตอร์ที่ลูกค้านั่งอยู่เพื่อให้ลูกค้าได้ทานทันทีหลังจากปรุงเสร็จ ราคาของเนื้อวากิวในร้านอาหารเทปันยากิจะอยู่ที่ 8,000 ถึง 30,000 เยนต่อคน ซึ่งอาจจะดูแพงสักหน่อยสำหรับคนไทย แต่ขอรับประกันความอร่อยและคุ้มค่า เข้าปากทีเหมือนไปสู่นิพพานเลยจ้า!
เรามีรีวิวร้านสเต๊กเนื้อโกเบชื่อดังอย่าง Steakland ด้วยนะ ถ้าใครสนใจสามารถอ่านได้ที่นี่เลย >> ชมวิวอ่าวโกเบที่ Kobe Harbour Land & ทานเนื้อโกเบที่ร้านสเต๊กในตำนาน Steakland
อ่านบทความอื่นๆเกี่ยวกับจังหวัดเฮียวโกะ
- ชมซากุระฟูลบลูมที่ ‘ปราสาทฮิเมจิ’ ปราสาทดั้งเดิมสุดอลังการ
- ‘เกาะอาวาจิ’ และศาลเจ้าต้นกำเนิดประเทศญี่ปุ่นตามตำนาน
- รีวิวออนเซ็น Taiko-no-yu ที่ Arima Onsen หมู่บ้านออนเซ็นเก่าแก่อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น
มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!
รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!
ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ