fbpx

10 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดนารา’ ที่ต้องไปโดนให้ได้สักครั้ง

ก.พ. 04, 2021

ไปเที่ยว ‘จังหวัดนารา’ กันเถอะ!

จังหวัดนารา (Nara Prefecture) แค่ได้ยินชื่อนี้ทุกคนก็คงนึกถึงเจ้ากวางน้อยที่อยู่ในสวนนารากันแล้วใช่ไหมล่ะ? แต่รู้หรือเปล่าว่านอกจากนาราจะอยู่ติดกับโอซาก้าและเกียวโตแล้ว จังหวัดนี้ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายอย่างสวนญี่ปุ่นสวยๆ พิพิธภัณฑ์ต่างๆ หรือจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ วัดวาอาราม รวมถึงศาลเจ้าที่ทั้งศักดิ์สิทธิ์และสวยงามด้วย

สำหรับคนที่มีแผนว่าจะไปโอซาก้าหรือเกียวโต เราขอแนะนำว่าควรแวะมาเที่ยวนาราด้วยนะ เพราะนี่เป็นการเดินทางข้ามจังหวัดที่แสนสะดวกและใช้เวลาไม่นานนั่นเอง~

เกริ่นมาพอเป็นพิธีแบบนี้อาจยังไม่พอจะโน้มน้าวใจให้ทุกคนมาเที่ยวนารา งั้นเราขอรับบทเป็นคนเล่าประวัติคร่าวๆของจังหวัดนาราให้ทุกคนฟังเอง!

จังหวัดนารา ตั้งอยู่บริเวณใจกลางฝั่งตะวันตกของเกาะฮอนชู และเป็นจังหวัดที่เริ่มก่อตั้งขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 3 โดยมีเขตยามาโตะ (Yamato Precinct) เป็นศูนย์กลาง เดิมทีเมืองหลวงเก่าของนารานั้นตั้งขึ้นที่เขตอาสึกะ (Asuka Precinct) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของที่ราบลุ่มนารา อันเป็นใจกลางการปกครองและเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจนถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 8 ก่อนที่เมืองหลวงจะย้ายไปยังเขตเฮโจเคียว (Heijokyo Precinct) ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองนาราในปัจจุบัน [1]

Yakushiji Temple

shikema / Shutterstock

ในปี 710 มีวัดและศาลเจ้ามากมายที่สร้างขึ้นภายใต้คำสั่งของราชวงศ์และขุนนางชั้นสูง จนทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นมหานครแห่งวัด นอกจากนี้ยังมี ไดบุทสึ (Daibutsu) หรือพระพุทธรูปหล่อทองแดงองค์ใหญ่ที่สุดในโลกเก็บรักษาไว้ใน ไดบุทสึเด็น (Daibutsuden) หรืออาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

แน่นอนว่าที่จังหวัดนารายังมีวัดที่มีชื่อเสียงเรื่องสถาปัตยกรรมไม้อย่าง วัดยาคุชิจิ (Yakushiji Temple) ที่ก่อตั้งโดยภิกษุชาวจีนรูปหนึ่งนามว่า กันจิน (Ganjin) โดยท่านได้ธุดงค์มายังญี่ปุ่นด้วยความอุตสาหะเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนา

ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมี วัดโฮริวจิ (Horyuji Temple) ที่ว่ากันว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 7 และเป็นที่รู้จักในฐานะพุทธศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น อีกทั้งตัววัดเองยังถือเป็นสถาปัตยกรรมไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย ภายในอาคารของวัดโฮริวจิเต็มไปภาพวาดและรูปปั้นมากมาย แถมยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยนะ

Yoshinoyama

Alexandre Kerbellec / Mt. Yoshinoyama

สำหรับคนที่อยากมาที่นี่ก็สามารถมาได้ตลอดทั้งปี เพื่อชมทิวทัศน์แสนงามของภูเขาโยชิโนะ (Mt. Yoshino) ซึ่งเป็นจุดชมซากุระที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น

10 amazing things to do in Nara, Japan!

และที่พลาดไม่ได้เลยสำหรับจังหวัดนี้ก็คือ สวนกวางนารา ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่ากวางน้อยแสนน่ารักที่ได้รับการดูแลอย่างดีในฐานะผู้ส่งสารของพระเจ้า!

สารบัญ

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดนารา
    1. ศาลเจ้าคาสึกะ (Kasuga Taisha Shrine)
    2. ป่าดึกดำบรรพ์คาสึกะ (Mt. Kasuga’s Primeval Forest)
    3. สวนนารา (Nara Park)
    4. วัดโทไดจิ (Todaiji Temple)
    5. สวนอิซุยเอ็น (Isuien Garden)
    6. ถนนชอปปิ้งฮิกาชิมุกิ (Higashimuki Shopping Street)
    7. วัดโคฟุคุจิ (Kofukuji Temple)
    8. ภูเขาคัตสึรางิ (Mt. Katsuragi)
    9. นารามาจิ (Naramachi)
    10. วัดโฮริวจิ (Horyuji Temple)
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดนารา
    1. คาคิโนะฮะซูชิ (Kakinoha Sushi)
    2. มิวะโซเมง (Miwa Somen)
    3. นาราซึเกะ (Narazuke)
    4. คุซึโมจิ (Kuzu Mochi)
    5. ข้าวปั้นเมฮาริ (Mehari Rice Balls)

สถานที่ท่องเที่ยวประจำ ‘จังหวัดนารา’

จังหวัดนารา (Nara Prefecture) เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีความสะดวกสบายต่อการเดินทาง เพราะมีพื้นที่ติดกับเกียวโตและโอซาก้า นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางจากโตเกียวด้วยรถไฟ JR หรือ Highway Bus ก็ย่อมได้ และถ้าเราอยากเดินทางไปที่นาราก็สามารถดูรายละเอียดได้ตามนี้เลย

จากเกียวโตไปนารา

    • เดินทางด้วยรถไฟ JR : เส้นทางตรงใช้เวลาประมาณ 45 นาที ราคา 710 เยน มีรถวิ่งทุกๆครึ่งชั่วโมงจากสถานีรถไฟ Kyoto Station กับ JR Nara Station สามารถใช้บัตร JR Pass ได้
    • เดินทางด้วยรถไฟเอกชนคินเท็ตสึ (Kintentsu) : มีทั้งแบบรถไฟด่วนที่วิ่งตรงไปถึงนาราและรถไฟธรรมดาที่ต้องต่อรถนิดหน่อย รถไฟคินเท็ตสึจะใช้เวลาประมาณ 35 – 45 นาที ราคาตั้งแต่ 620 – 1,130 เยน มีรถไฟวิ่งทุกๆครึ่งชั่วโมง รายละเอียดของรถไฟคินเท็ตสึทั้งสองแบบจะมีดังนี้
      1. รถไฟด่วน : ใช้เวลา 35 นาที ราคาจะอยู่ที่ 1,130 เยน วิ่งจากสถานี Kyoto Station ไปที่สถานี Kintetsu Nara Station
      2. รถไฟธรรมดา : ใช้เวลา 45 นาที ราคา 620 เยน ทั้งนี้ไม่สามารถใช้บัตร JR Pass ได้

จากโอซาก้าไปนารา

    • เดินทางด้วยรถไฟ JR : รถไฟแบบด่วนวิ่งตรง ใช้เวลา 30 นาที ราคา 470 เยน จากสถานีเทนโนจิ (Tennoji) มีหลายขบวนต่อชั่วโมง หรือจะนั่งจากสถานี Shin-Osaka ไปที่ JR Nara Station ก็ได้เช่นกัน ใช้เวลา 45 นาที ราคา 800 เยน นอกจากนี้ยังสามารถใช้กับบัตร JR Pass ได้ด้วย
    • เดินทางด้วยรถไฟเอกชนคินเท็ตสึ (Kintetsu) : มี 2 แบบ คือ
      • 1. รถไฟด่วนจากสถานี Namba Station ไปที่สถานี Kintetsu Nara Station ใช้เวลา 30 นาที ราคา 1,070 เยน
      • 2. รถไฟธรรมดา ใช้เวลานานกว่านิดหน่อย แต่ราคาถูกกว่าเป็นเท่าตัวเลย

จากโตเกียวไปนารา

    • เดินทางด้วยรถไฟ : จากโตเกียว ให้โดยสารรถไฟมาที่เมืองโอซาก้าหรือเกียวโตก่อน จากนั้นค่อยนั่งไปนาราอีกต่อหนึ่ง
    • เดินทางด้วยรถบัส : จากเมืองโตเกียว จะมีรถบัสวิ่งช่วงกลางคืนแล้วไปถึงนาราตอนเช้าทุกๆคืน คืนหนึ่งมีรถออกหลายช่วงเวลา ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง ราคารถบัสแบบธรรมดาอยู่ที่ 4,500 เยน ถ้าเป็นแบบพิเศษ 8,500 เยน [2]

ต่อจากนี้เราจะเริ่มเข้าสู่การขายของ…เอ๊ย! การแนะนำสถานที่ที่น่าไปในจังหวัดนาราต่างหากล่ะ ^^ ตามมาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าจังหวัดนาราจะมีที่ไหนน่าไปโดนบ้าง~ 

1. ศาลเจ้าคาสึกะ (Kasuga Taisha Shrine)

Front of Kasuga Taisha

Kasuga Taisha Shrine

เมื่อประมาณ 1,300 ปีที่แล้ว ทันทีที่เมืองหลวงเก่าก่อตั้งขึ้นในนารา ก็มีตำนานหนึ่งเล่าขานว่าเทพทาเคมิคาซึจิ (Takemikazuchi-no-mikoto) หรือเทพเจ้าแห่งสายฟ้า ได้สัญจรผ่านเส้นทางจากศาลเจ้าคาชิมะ จังหวัดอิบารากิ ไปยังภูเขามิคาสะ จังหวัดนารา ทำให้เส้นทางดังกล่าวที่แสนจะธรรมดากลายเป็นเส้นทางศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา แถมบนยอดเขาลูกนี้ยังเต็มไปด้วยต้นอุคิกุโมโนมิเนะ (Ukigumo-no-mine) หรือต้นเมเปิลญี่ปุ่น อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองและความผาสุขทั้งปวงของมนุษย์

พอเข้าสู่ยุคนาราอย่างจริงจัง (Tenpyo culture) จำนวนของศาสนสถานก็เพิ่มขึ้นไปด้วย และ ศาลเจ้าคาสึกะ (Kasuga Taisha Shrine) ก็ได้รับการสร้าง ขยาย และต่อเติม จนมีหน้าตาเหมือนที่เห็นในปัจจุบัน ภายใต้คำสั่งของผู้นำทางการเมืองในตอนนั้น นั่นก็คือ ‘ฟูจิวาระ โนะ นากาเตะ’ (Fujiwara-no-Nagate)

นอกจากนี้เขายังได้อัญเชิญเทพเจ้าอีกหลายองค์มาประดิษฐานในสถานที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเทพฟุทสึนุชิ (Futsunushi-no-mikoto) จากศาลเจ้าคาโตริ จังหวัดชิบะ รวมไปถึงเทพอาเมโนะโกยาเนะ (Amenokoyane-no-mikoto) กับเทพฮิเมะกามิ (Himegami) จากศาลเจ้าฮิราโอกะ จังหวัดโอซาก้า

ทั้งนี้ ศาลเจ้าคาสึกะยังเป็นสถานที่ที่จักรพรรดินีโชโตกุ (Empress Shotoku) ผู้ติดตามคนสำคัญของฟูจิวาระ โนะ นากาเตะ ใช้เป็นที่สำหรับออกบวชในสมัยนั้นด้วย [3]

Kasuga-taisha-shrine

Mith Huang / Kasuga Taisha

บริเวณห้องโถงของศาลเจ้าประกอบด้วยเสาสีแดงสว่างสดใส ตัดกับสีขาวสะอาดของกำแพงและหลังคาสีเขียวที่ทำจากไม้ของต้นฮินาโกะไซเปรส (Hinoki Cypress) บวกกับต้นไม้โบราณที่ปลูกอยู่รอบๆ ทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกอันแสนสงบ

ประเด็นสำคัญอีกอย่างคือ ศาลเจ้าคาสึกะนั้นยังคงความงามตั้งแต่ตอนก่อตั้งครั้งแรกจนถึงปัจจุบันด้วย พิธีกรรมชิกิเน็นโซไต (Shikinen Zotai) ที่จะมีการบูรณะซ่อมแซมโครงสร้างที่สึกหรอของศาลเจ้าให้กลับมาสวยงามดังเดิม พิธีกรรมดังกล่าวจะจัดขึ้นทุกๆ 20 ปีและมีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกอย่างว่าการทำพิธีกรรมชิกิเน็นโซไตจะนำพาความสงบมาสู่สถานที่แห่งนี้

Inside Kasuga Taisha

ในเวลาต่อมาศาลเจ้าคาสึกะก็มีชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักสำหรับคนทั่วไป เมื่อศาลเจ้าเสริมทั่วประเทศกว่า 3,000 แห่งร่วมกันบริจาคโคมไฟจำนวน 3,000 ดวงเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใส ศรัทธา และความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าแห่งนี้

ท้ายที่สุดแล้ว ในปี 1998 โบราณสถานของนาราอย่างศาลเจ้าคาสึกะและป่าดึกดำบรรพ์คาสึกะก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO)

Part of Kasuga Taisha Shrine

Jim Thoburn / Kasuga Taisha Shrine

ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน เราจะเห็นนักท่องเที่ยวไปสักการะขอพรให้ชีวิตพวกเขารวมถึงโลกใบนี้มีแต่สันติภาพและความสงบสุข

ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากปลีกวิเวกหรือกำลังตามหาความเงียบสงบอยู่นั้น ศาลเจ้าคาสึกะแห่งนี้ก็น่าไปโดนไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ~

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าคาสึกะ (Kasuga Taisha Shrine)

วิธีเดินทาง
  • นั่งรถไฟ Kintetsu สาย Nara Line ไปลงที่สถานี Kintetsu Nara Station จากนั้นเดินไปอีกประมาณ 25 นาที
โทร
  • 0742-22-7788
แฟ็กซ์
  • 0742-27-2114
เวลาทำการ
  • เดือนเมษายน – กันยายน : 6:00 – 18:00 น.
  • เดือนตุลาคม – มีนาคม : 6:30 – 17:00 น.
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

2. ป่าดึกดำบรรพ์คาสึกะ (Mt. Kasuga’s Primeval Forest)

Mount Kasuga Primeval Forest

ไหนๆก็อุตส่าห์มาถึงศาลเจ้าคาสึกะแล้ว ลองเดินไปทางด้านหลังของศาลเจ้ากันหน่อยดีไหม เพราะเรามีสถานที่แห่งหนึ่งที่อยากให้ทุกคนเห็น นั่นก็คือ ป่าดึกดำบรรพ์คาสึกะ (Mt. Kasuga’s Primeval Forest) อันสวยงามแห่งนี้นี่เอง!

Various-images / Shutterstock

ป่าที่มีอายุมากกว่า 1,100 ปีแห่งนี้คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามมุมมองแบบลัทธิชินโต กล่าวคือความเชื่อที่ว่าในสถานที่ตามแหล่งธรรมชาติจะมีเทพเจ้าสถิตอยู่ [4] แต่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา ที่นี่กลับกลายเป็นป่าต้องห้ามขึ้นมาซะงั้น เนื่องมาจากปัญหาเรื่องการตัดไม้ทำลายป่ารวมไปถึงการล่าสัตว์ในยุคนั้น เขาจึงตัดปัญหาด้วยการไม่ให้ใครเข้าไปซะเลย

อย่างไรก็ตาม ในสมัยศักดินาของญี่ปุ่นที่ปกครองโดยโชกุนโทโยโตมิ ฮิเดโยชินั้น ได้มีการนำต้นซีดาร์จำนวน 10,000 ต้นมาปลูกเพื่อทดแทนในส่วนที่โดนตัดไปในช่วงศตวรรษที่ 16 [5]

上の祢宜道/春日大社(Kasuga-Taisha Shrine / Nara City)

masato_photo / Kasuga Primeval Forest

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือประมาณปี 1955 ป่าแห่งนี้ก็ได้กลับมาเปิดให้ตาสีตาสาหรือชาวบ้านตาดำๆเข้าไปเก็บผักป่ากันอีกครั้ง ในฐานะของอุทยานแห่งชาติที่เต็มไปด้วยพืชและสัตว์หายากกว่า 800 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นกระรอกบินแก้มขาว (white-cheeked flying squirrels) กบป่าสีเขียว (forest green tree frog) จั๊กจั่นฮิเมะฮารุ (hime-haru cicada) หรือซาลาแมนเดอร์ลายเมฆ (clouded salamander)

หลังจากนั้นอีกประมาณ 40 ปีให้หลัง ป่าดึกดำบรรพ์คาสึกะก็ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกร่วมกับศาลเจ้าคาสึกะ [6]

ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน ป่าคาสึกะแห่งนี้ได้กลายมาเป็นความฝันของนักเดินเขาหลายๆคนที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องมาที่นี่ให้ได้สักครั้ง โดยเส้นทางเดินเขาที่เราอยากแนะนำนั้นเริ่มต้นจากศาลเจ้าคาสึกะ ผ่านป่าดึกดำบรรพ์ และไปสิ้นสุดที่โรงน้ำชาซึ่งตั้งอยู่บริเวณประตูทางทิศเหนือ

Myokengu shrine

Chris Gladis / Myokengu shrine

ถ้ามาเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ทุกคนก็จะเห็นเหล่าต้นเมเปิลที่ขึ้นเรียงรายตามทางพร้อมใจกันผลัดใบเป็นสีแดงด้วยค่ะ จุดชมวิวในฤดูนี้ที่เราอยากแนะนำคือบริเวณศาลเจ้าเมียวเก็งงุ (Myokengu Shrine)

Kasuga Primeval Forest

Guilhem Vellut / Kasuga Primeval Forest

ด้วยความที่เป็นป่าดึกดำบรรพ์อายุนับพันปี เราจะเห็นสิ่งมีชีวิตยุคบุกเบิกอย่างมอสได้ที่นี่ด้วย ดูความปุกปุยน่ารักของน้องมอสที่ขึ้นปกคลุมหลังคาตะเกียงหินนั่นสิ!

และหากโชคดีเราจะได้เห็นแรร์ไอเทมที่หาตัวจับยากมากอย่างเจ้าผีเสื้อปีกสีน้ำเงินสดใสด้วย เรียกได้ว่าเราสามารถดื่มด่ำไปกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่เลยจริงๆค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับป่าดึกดำบรรพ์คาสึกะ (Mt. Kasuga’s Primeval Forest)

วิธีเดินทาง
  • นั่งรถประจำทาง Nara Kotsu (สาย Outer City Loop Line) จากสถานีรถไฟ JR Nara และสถานีรถไฟ Kintetsu-Nara ไปลงที่ป้าย Wariishi-cho และใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาทีเพื่อไปยังจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินเขา Mt. Kasuga
โทร
  • 0742-22-0375
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

3. สวนนารา (Nara Park)

Deer at Nara-Koen Park

สวนนารา (Nara Park) เป็นสวนสาธารณะใจกลางเมืองนาราซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1880 สวนแห่งนี้มีพื้นที่กว้างถึง 660 เฮกเตอร์ หรือ 6.6 ล้านตารางเมตร!

นอกจากจะห้อมล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆอย่างวัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดโคฟุคุจิ (Kohfukuji Temple) ศาลเจ้าคาสึกะ (Kasuga Taisha Shrine) พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมแห่งชาตินารา (Cultural Institutions of Nara National Museum) และโกดังสินค้าโชโซอิน (Shosoin Repository) แล้ว สวนกวางนารายังเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวอันเกิดจากต้นไม้หลากสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นต้นเชอร์รี่ ต้นเมเปิล ต้นซีดาร์ขาว และอื่นๆอีกมากมาย เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่สวยงามจนหาตัวจับได้ยากเลยทีเดียว [7]

และที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือ การไปเล่นกับเจ้ากวางน้อยนั่นเอง!

เป็นที่รู้กันดีว่าสวนกวางนาราแห่งนี้มีกวางซิก้า (Sika deer) ที่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ แถมยังมีมากถึง 1,200 ตัวเลยทีเดียว

หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเจ้ากวางพวกนี้ถึงมีความสำคัญจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดนาราได้ ดังนั้นเราจะเล่าถึงความเป็นมาของเจ้ากวางนาราให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ

ย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณต้นศตวรรษที่ 8 หรือช่วงที่เมืองหลวงถาวรแห่งแรกของญี่ปุ่นอย่าง ‘นารา’ ได้ถือกำเนิดขึ้น [8]  ในช่วงเวลานั้นได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น คือผู้ครองเมืองมีความคิดที่จะย้ายเทวรูปในศาลเจ้าคาชิมะ จังหวัดอิบารากิไปประดิษฐานที่ภูเขาคาสึกะ จังหวัดนารา เพื่อนำมาประกอบพิธีบวงสรวงเทพเจ้า และในจังหวะที่กำลังเดินทางอยู่นั้น เทพทาเคมิคาซึจิซึ่งเป็นเทพแห่งสายฟ้าก็ปรากฏกายขึ้นอย่างกะทันหันโดยขี่กวางผ่านมา [9]

ด้วยเหตุนี้เอง กวางจึงกลายเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และมีความสำคัญในฐานะที่เป็นผู้ส่งสารของเทพเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 หรือสมัยมุโรมาจิ ได้มีกฎหมายข้อหนึ่งบัญญัติไว้ว่า หากผู้ใดฆ่ากวางโดยเจตนาหรือไม่ได้ตั้งใจจะต้องได้รับโทษประหารชีวิตทันที แต่กฎดังกล่าวก็ยกเลิกไปเมื่อประมาณกลางศตวรรษที่ 17 พอเข้าสู่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการลดความสำคัญของกวางในฐานะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ลง จนเหลือเพียงตำแหน่งสมบัติแห่งชาติ [10]

สำหรับใครที่อยากจะไปเล่นกับเจ้ากวางน้อย อย่าลืมล่ะว่าน้องๆทุกตัวล้วนเป็นกวางป่า ดังนั้นถึงแม้ว่าน้องกวางในสวนนาราจะหน้าตาน่ารักแสนรู้ แต่ก็ยังมีความดุอยู่ดีนะ เวลาเล่นกับน้องก็ระมัดระวังกันด้วยนะคะ เรื่องอะไรที่แผลงๆก็อย่าได้หาทำเชียว

แต่ทั้งนี้เหล่าบรรดากวางน้อยที่นาราก็คุ้นเคยกับพวกเราชาวมนุษย์เป็นอย่างดี ดังนั้นเรื่องที่เราควรระวังอีกอย่างคือห้ามให้อาหารอื่นๆนอกจากแครกเกอร์ข้าวกับน้องเด็ดขาดเลย เพราะอาหารอาจจะทำให้น้องป่วย หรือที่เลวร้ายที่สุดคืออาจทำให้น้องตายได้เลยค่ะ T^T

นอกจากนี้เรายังมีคำแนะนำในการเล่นกับเจ้ากวางน้อยมาฝากทุกคนกันด้วยนะจ๊ะ

    1. ห้ามตี ไล่ หรือใช้ความรุนแรงใดๆกับน้อง
    2. หากพาเด็กเล็กมาด้วยต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเด็กอาจโดนกวางทำร้ายได้
    3. ห้ามให้อาหารน้องกวางเด็ดขาด แต่สามารถให้แครกเกอร์ข้าวกับน้องได้ มีร้านแผงลอยขายอยู่แถวนั้นค่ะ
    4. เวลาให้อาหารน้อง ห้ามแกล้งน้องเด็ดขาด ใครทำตัวยึกยักไม่ยอมให้น้องกินสักทีเนี่ย ระวังโดนน้องโกรธนะ
    5. ห้ามทิ้งขยะเรี่ยราดเด็ดขาด เพราะน้องกวางอาจจะกินขยะเหล่านี้จนกลายเป็นสาเหตุของการป่วยได้ [11]

Walking with little deer at Nara-Koen Park

ส่วนกิจกรรมที่เราอยากแนะนำให้ทุกคนไปทำกันที่สวนนาราก็คือ การแต่งชุดกิโมโนไปเดินเล่นกับเจ้ากวางนั่นเอง

หากใครอยากรู้ว่าสวนนาราจะมีกิจกรรมอะไรให้ทำอีกบ้าง สามารถตามไปอ่านกันได้ที่บทความนี้นะคะ >> 10 กิจกรรมห้ามพลาด! เมื่อไปเที่ยวสวนนาราและบริเวณโดยรอบ

ข้อมูลเกี่ยวกับสวนนารา (Nara Park)

วิธีเดินทาง
  • เดินจากสถานีรถไฟ Kintetsu Nara Station โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที และเดินจากสถานีรถไฟ JR Nara Station โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

4. วัดโทไดจิ (Todaiji Temple)

Todaiji Temple

พระพุทธรูปหล่อองค์ใหญ่ที่สุดในโลกจะอยู่ที่ไหนไปไม่ได้เลย นอกจากวัดโทไดจิแห่งนี้นี่เอง!

วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีชื่อเสียงและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นจุดแลนด์มาร์กที่สำคัญของ ‘จังหวัดนารา’ แน่นอนว่าถ้ามานาราแล้วไม่ได้ไปวัดโทไดจิก็เท่ากับมาไม่ถึงนะ

เนื่องด้วยเราเกริ่นไว้ว่าที่นี่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ดังนั้นยังไงก็คงเล่าข้ามที่นี่ไปไม่ได้แน่ๆล่ะ ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความรู้จักกับวัดโทไดจิไปพร้อมๆกันเลยดีกว่า!

วัดโทไดจิ เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเทมเปียว (Tenpyo) หรือประมาณช่วงศตวรรษที่ 8 ภายใต้คำสั่งของจักรพรรดิโชมุ แต่ก่อนที่จะมีวัดโทไดจิมาให้เราเห็นจนถึงปัจจุบันนั้น จักรพรรดิโชมุได้สร้างวัดคินโซเซ็นจิ (Kinshosen-ji complex) ขึ้นเพื่อรำลึกถึงเจ้าชายโมโตอิผู้ล่วงลับหลังจากลืมตาดูโลกนี้ได้เพียง 1 ปี

และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เหตุการณ์สำคัญที่ควรกล่าวถึงคงไม่หนีพ้นประเด็นเรื่องความอดอยากของประชาชนอันเนื่องมาจากการขาดแคลนผลผลิตทางเกษตร มิหนำซ้ำไข้ทรพิษยังระบาดไปทั่วถ้วนอีกด้วย จักรพรรดิโชมุจึงมีคำสั่งให้สร้างวัดตามรอบเมือง เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปัดเป่าเพศภัยให้พ้นไป (ก็ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ยังไปไม่ถึงยุคนั้นเนอะ เขาคงต้องพึ่งความมูเตลูไปก่อนล่ะนะทุกคน 555)

ด้วยคำสั่งดังกล่าว การก่อสร้างวัดโทไดจิจึงได้เริ่มต้นขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุการณ์การก่อกบฏขึ้นโดยฟุจิวาระ โนะ ฮิโรสึกุ (Fujiwara no Hirotsugu) เสถียรภาพทางการเมืองจึงย่ำแย่ลงจนถึงกับต้องย้ายเมืองหลวงไป 4 ครั้งเลยทีเดียว [12]  ในขณะเดียวกันคำสั่งสร้างวัดก็ลดลงตามไปด้วย ซึ่งความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเองก็คิดว่าเหตุก่อกบฏครั้งนี้อาจเป็นเพราะรัฐเรียกเก็บส่วย(ที่มากเกินความจำเป็น)จากประชาชนเพื่อเอาไปสร้างวัดนี่แหละ

Corentin-Damas / Shutterstock

ไม่ว่าในตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเพราะเหตุการณ์เดียวกันนี้เอง เราจึงมีโอกาสได้เห็นความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมโบราณแห่งนี้ โดยเฉพาะวิหารของวัดที่ชื่อว่า ไดบุทสึเด็น (Daibutsuden / the Great Buddha Hall)

วิหารแห่งนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าที่พวกเราเห็นอยู่จะมีขนาดเพียง 7 ใน 10 จากของเดิมเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้วิหารไดบุทสึเด็นได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ไฟไหม้และแผ่นดินไหวในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ทางการจึงบูรณะวิหารขึ้นใหม่เพื่อรักษาสภาพไว้ให้คงเดิม

The Great Buddha at Todaiji Temple

และวิหารไดบุทสึเด็นแห่งนี้ก็เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง ไดบุทสึ (Daibutsu / หลวงพ่อโต) อันเป็นพระปฏิมาแทนองค์พระไวโรจนพุทธเจ้าด้วย พระพุทธรูปไดบุทสึนั้นมีความสูงถึง 15 เมตรเลยทีเดียว

Surachet-Jo / Shutterstock

แน่นอนว่าสิ่งที่น่าสนใจในวิหารไดบุทสึเด็นคงไม่ได้มีเพียงแค่ไดบุทสึเท่านั้น เพราะเสาเคลือบสีชาดขนาดใหญ่ที่มีรูโบ๋ตรงฐานเสานั้น คงทำให้เราสะดุดตาได้ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะ?

ว่ากันว่าถ้าใครสามารถลอดรูที่ปรากฎบนเสาดังกล่าวได้จะสามารถตรัสรู้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้ในชาติหน้า! [13] แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่ารูมันเล็กอยู่นะ เด็กน้อยและคนตัวเล็กอาจจะลอดได้สบาย แต่ถ้าเป็นคนตัวใหญ่อาจจะต้องพยายามหน่อยเน้อ

Unique-Shutter / Shutterstock

นอกจากนี้ภายในวิหารยังมีไฮไลต์อีกจุดเป็นประตูไม้ขนาดใหญ่อย่าง นันไดมง (Nandaimon Gate) ซึ่งมีรูปปั้นยักษ์เฝ้าประตู (Nio Guardian King) ตั้งอยู่ด้วย

ถ้าเดินเที่ยวในวัดจนไม่มีอะไรที่อยากดูแล้ว ลองออกไปซื้อแครกเกอร์ข้าวให้น้องกวางที่ชอบเดินไปมาหน้าวัดก็เป็นทางเลือกที่ดีนะ

VICHAILAO / Shutterstock

  • หมายเหตุ : วัดโทไดจิเป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือประมาณกลางศตวรรษที่ 20

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดโทไดจิ (Todaiji Temple)

วิธีเดินทาง
  • เดินจากสถานีรถไฟ Kintetsu Nara Station โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที
โทร
  • 0742-22-5511
เวลาทำการ
  • เดือนเมษายน – ตุลาคม : 7:30 – 17:30 น.
  • เดือนพฤศจิกายน – มีนาคม : 8:00 – 16:30 น.
ค่าเข้าชม
  • 500 เยน สำหรับการเข้าชมพระพุทธรูปไดบุทสึ
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

5. สวนอิซุยเอ็น (Isuien Garden)

GagliardiPhotography / Shutterstock

มารู้จักสถานที่ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นอีกแห่งหนึ่งอย่าง สวนอิซุยเอ็น (Isuien Garden) กันเถอะ!

รู้หมือไร่?… (หลายๆคนที่ทันมุกคงแก้ได้ทันทีว่า รู้หรือไม่! 555) ว่าทิวทัศน์ของสวนอิซุยเอ็นนั้นสวยงามมากซะจนที่นี่ได้รับการดูแลโดยรัฐบาลแห่งชาติภายใต้กฎหมายคุ้มครองสิทธิ์ทางวัฒนธรรมเลยทีเดียว

สวนอิซุยเอ็นตั้งอยู่ใกล้กับวัดโทไดจิ โดยประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ

  • สวนด้านหน้า (Front Garden) หรือสวนสไตล์ยุคเอโดะ
  • สวนด้านหลัง (Back Garden) หรือสวนสไตล์ยุคเมจิ

นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยือนสวนอิซุยเอ็นแห่งนี้จะได้สัมผัสกับบรรยากาศของสวนแต่ละแบบที่มีเสน่ห์แตกต่างกัน [14]

Various-images / Shutterstock

สำหรับกิจกรรมที่เราอยากให้เพื่อนๆลองทำกันก็คือการนั่งจิบชาเขียวไปพลางชมวิวไปพลางค่ะ เพราะนอกจากสวนสวยๆแล้วที่นี่ก็ยังมีบ้านน้ำชาอีกด้วย สายเที่ยวคาเฟ่ที่ชักจะเบื่อๆการนั่งคาเฟ่แล้ว หรือสายเที่ยวเนือยๆสโลว์ไลฟ์อย่างผู้เขียนเองเนี่ย เป็นกลุ่มบุคคลที่เหมาะกับความนิ่งสงบของสวนอิซุยเอ็นที่สุดเลยล่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับสวนอิซุยเอ็น (Isuien Garden)

วิธีเดินทาง
  • เดินจากสถานีรถไฟ Kintetsu Nara Station โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที
เวลาทำการ
  • 9:30 – 16:30 น. (ประตูเปิดถึงเวลา 16:00 น.)
ค่าเข้าชม
  • 650 เยน
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

6. ถนนชอปปิ้งฮิกาชิมุกิ (Higashimuki Shopping Street)

Tang-Yan-Song / Shutterstock

ถนนชอปปิ้งฮิกาชิมุกิ (Higashimuki Shopping Street) คือย่านชอปปิ้งยอดนิยมของจังหวัดนารา สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสินค้าและของฝากมากมายให้เราจับจ่ายกันอย่างเพลินใจ

Photographer253 / Shutterstock

ทั้งนี้คำว่า ฮิกาชิมุกิ (Higashimuki) นั้นมีความหมายว่า หันหน้าไปทางทิศตะวันออก (East-faced) และที่มาของชื่อนี้ก็มาจากช่วงศตวรรษที่ 8 หรือยุคสมัยนารา ซึ่งได้มีการก่อสร้างวัดโคฟุคุจิขึ้นทางตะวันออกของตัวเมือง ภายใต้คำสั่งของตระกูลฟุจิวาระซึ่งเป็นตระกูลผู้ปกครองที่เรืองอำนาจมาก ณ ขณะนั้น นอกจากนี้ก็ยังมีธรรมเนียมปฏิบัติอีกข้อหนึ่งที่น่าสนใจของยุคนั้น คือสิ่งก่อสร้างทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ร้านค้า หรือโรงน้ำชา จะต้องสร้างโดยหันหน้าไปทางตำแหน่งที่ตั้งของวัดโคฟุคุจิ [15]

แน่นอนว่าความบันเทิงก็จะเกิดขึ้นตามมา เพราะอาคารบ้านเรือนในละแวกนี้ต่างก็หันหน้าไปสู่ทางทิศตะวันออก อันเป็นที่ตั้งของวัดโคฟุคุจิทั้งหมด ผู้คนจึงเรียกชื่อย่านนี้ว่า ฮิกาชิมุกิ มาจนถึงปัจจุบัน

Higashimuki Shopping Street

2p2play / Shutterstock

เกริ่นสตอรี่กันมาพอสมควรแล้ว เราไปเดินช้อปชิลล์ๆกันดีกว่าค่ะ อยากบอกว่านอกจากของฝากประจำท้องถิ่นสไตล์ Nara only แล้ว ที่นี่ก็ยังมีสินค้าเบ็ดเตล็ด รวมถึงของกระจุกกระจิกเยอะแยะเลย แบบนี้ทุกคนคงต้องเตรียมกระเป๋าสตางค์มาให้แน่นๆกันหน่อยแล้วล่ะ ><!

ข้อมูลเกี่ยวกับถนนชอปปิ้งฮิกาชิมุกิ (Higashimuki Shopping Street)

วิธีเดินทาง
  • เดินจากสถานีรถไฟ Kintetsu Nara Station โดยใช้เวลาประมาณ 2 นาที
เวลาทำการ
  • ขึ้นอยู่กับร้านค้าแต่ละแห่ง
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

7. วัดโคฟุคุจิ (Kofukuji Temple)

วัดโคฟุคุจิ (Kofukuji Temple) เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ถ้าไม่ไปก็เท่ากับว่ามาไม่ถึงนารา!

เพราะนอกจากวัดโคฟุคุจิแห่งนี้จะหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นแล้ว (เนื่องด้วยมีอายุถึง 1,300 ปีเลยทีเดียว) วัดแห่งนี้ก็ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกด้วย [16]

หากกล่าวถึงความเป็นมาของวัดแห่งนี้ เราคงต้องย้อนเวลากลับไปยังอดีตในช่วงสมัยนาราและเฮอัน ซึ่งเป็นช่วงที่มีการก่อสร้างวัดโคฟุคุจิขึ้นภายใต้คำสั่งของตระกูลขุนนางที่เรืองอำนาจมากที่สุดในตอนนั้น ซึ่งก็คือตระกูลฟุจิวาระนั่นเอง โดยวัดโคฟุคุจิสร้างเสร็จในปี 710 เป็นเวลาที่ประจวบเหมาะพอดีกับช่วงที่สร้างเมืองหลวงเสร็จเช่นกัน

หากถามว่าในตอนนั้นตระกูลฟูจิวาระเรืองอำนาจมากแค่ไหน เราก็สามารถตอบทุกคนได้จากจำนวนของอาคารภายในวัดที่คนตระกูลนี้สั่งให้สร้างถึง 150 หลัง! คิดดูสิว่าจะต้องใหญ่แค่ไหนถึงจะทำอะไรแบบนี้ได้

RnDmS / Shutterstock

พอเดินเข้ามาถึงตัวอาคารของวัดโคฟุคุจิแล้ว เราจะเห็นสถาปัตยกรรมไม้ที่สวยงามอย่าง เจดีย์ 5 ชั้น (Fived-Storied Pagoda) รวมถึงวิหารไม้แบบดั้งเดิมอันแสนตระการตาอย่าง โทคนโดะ (Tokondo, The East Golden Hall)

หรือถ้าใครชอบงานปฏิมากรรมพระพุทธรูปต่างๆ เราขอแนะนำว่าไม่ควรพลาด พิพิธภัณฑ์ Kofukuji National Treasure Museum เลยนะ เพราะที่นี่จะมีการจัดแสดงพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงค่ะ

Sanga-Park / Shutterstock

ส่วนสถาปัตยกรรมที่เราชอบเป็นการส่วนตัวเลยจริงๆก็คือความสวยงามของโบสถ์รูปทรงแปดเหลี่ยมสุดคลาสสิคอย่าง Octagonal Halls นั่นเอง [17]

Octagonal Halls ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นก็สวยงามไม่แพ้กันค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดโคฟุคุจิ (Kofukuji Temple)

วิธีเดินทาง
  • หากมาจากสถานีรถไฟ JR Nara station ให้เดินไปทางทิศตะวันออกบนถนน Sanjodori Street ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
  • หากมาจากสถานีรถไฟ Kintetsu Nara station ให้เดินไปทางทิศตะวันออกบนถนน Noborioji ใช้เวลาประมาณ 5 นาที
เบอร์
  • 0742-22-7755
เวลาทำการ
  • 09:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
  • Kofukuji National Treasure Hall : 700 เยน
  • Eastern Golden Hall : 300 เยน
  • Kofukuji National Treasure Hall และ Eastern Golden Hall : 900 เยน
  • Central Golden Hall : 500 เยน
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

8. ภูเขาคัตสึรางิ (Mt. Katsuragi)

หลังจากเอาใจสายเที่ยวจอมเนิร์ดกันมาพอกรุบกริบ มาเอาใจสายรักธรรมชาติกันบ้างดีกว่าเนอะ 555

รู้หรือไม่ว่าในเดือนพฤษภาคมของทุกปีที่ ภูเขาคัตสึรางิ (Mt. Katsuragi) ดอกอาเซเลียนับพันจะพร้อมใจกันผลิบานจนเต็มทุ่ง ราวกับมีใครนำผ้าสีแดงสลับชมพูสดผืนใหญ่มาคลุมลงบนยอดเขาแห่งนี้เลยล่ะ

สีของท้องฟ้าที่ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้าและสีแดงของดอกอาเซเลีย เป็นทัศนียภาพที่งามตาจนหาตัวจับยากเลยทีเดียว ภูเขาคัตสึรางิจึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ช่างภาพและนักปีนเขาหลายคนอยากมาให้ได้สักครั้ง

สำหรับวิธีขึ้นมาบนยอดเขาแห่งนี้ เราจะต้องขึ้นกระเช้าจาก The Base Ropeway แต่ถ้าใครอยากจะปีนเขาขึ้นมาเองก็สามารถทำได้โดยเริ่มปีนจากจุดขึ้นกระเช้า ทั้งนี้ไม่ว่าจะปีนเขาหรือขึ้นกระเช้าต่างก็ใช้เวลาเกือบเท่ากัน ซึ่งก็คือ 90 นาที

ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากการเที่ยวชมเมืองเก่ามาเป็นการดื่มด่ำกับธรรมชาติและวิวทิวทัศน์อันสวยงาม ภูเขาคัตสึรางิก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ตอบโจทย์คุณได้อย่างมากเลยค่ะ [18]

ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาคัตสึรางิ (Mt. Katsuragi)

วิธีเดินทาง
  • นั่งรถบัสจาก Kintetsu Gose Station มาลงที่ป้าย Tozanguchi station โดยใช้เวลา 15 – 20 นาที จากนั้นให้ขึ้นกระเช้าลอยฟ้าจาก The Ropeway Base Station มายังบนเขา
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

9. นารามาจิ (Naramachi)

Naramachi

Magdanatka / Shutterstock

เราเชื่อว่าคงมีใครหลายๆคนอยากลองย้อนเวลากลับไปยังอดีต ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หนึ่งในนั้นคงเป็นความอยากรู้ว่าคนสมัยก่อนใช้ชีวิตยังไง หรือบ้านเมืองในสมัยนั้นเป็นแบบไหน

แต่การย้อนเวลาคงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แล้วสถานที่ที่จะทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปยังอดีตล่ะ…จะมีที่ไหนบ้างนะ?

เราว่าย่าน นารามาจิ (Naramachi) เนี่ยแหละตอบโจทย์ได้ดีที่สุดเลย!

ย่านนารามาจิจะทำให้คุณหลงเสน่ห์ไปกับบรรยากาศย้อนยุคที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความน่าค้นหาอย่างแน่นอน

RedCap / Shutterstock

หากเดินไปตามถนนสายเล็กของย่านนารามาจิแห่งนี้ เราจะเห็นอาคารดั้งเดิมตามแบบฉบับนาราเรียงรายไปตลอดทาง อีกทั้งที่นี่ยังเป็นย่านการค้าที่คึกคักมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ด้วยนะ [19]

Various-images / Shutterstock

แม้ว่าช่วงศตวรรศที่ 15 พื้นที่แห่งนี้จะเคยเป็นส่วนหนึ่งของวัดกังโกจิ (Gangoji Temple) [20] แต่ในปัจจุบันนารามาจิคือย่านชอปปิ้งที่น่ามาเดินเล่นกินลมชมวิวสุดๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่ ร้านเบเกอรี ร้านอาหาร หรือร้านเสื้อผ้า ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนคุมโทนวินเทจทั้งสิ้น

Opasbbb / Shutterstock

Opasbbb / Shutterstock

ไหนๆก็มาถึงนารามาจิแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ลองไปตามสถานที่ที่เราแนะนำด้านล่างนี้เลยก็ได้นะ [21]

    • วัดกังโกจิ (Gangoji Temple) >>> วัดที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น!
    • Koshi-no-Ie Residence / Naramachi Lattic House >>> อาคารแบบดั้งเดิมและเป็นจุดชมวิวที่ดีมาก
    • Nara Craft Museum / Nara Kogeikan >>> สถานที่จัดแสดงงานคราฟต์
    • Naramachi Shiryokan >>> สถานที่จัดแสดงสิ่งประดิษฐ์พื้นเมืองของนารา

ข้อมูลเกี่ยวกับนารามาจิ (Naramachi)

วิธีเดินทาง
    1. จากสถานีรถไฟ Kintetsu Nara Station สามารถเดินไปโดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที
    2. จากสถานีรถไฟ JR Nara Station สามารถเดินไปโดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที
    3. นั่ง รถบัสสาย 5 หรือ 6 ไปลงที่ Naramachi
เวลาทำการ
    • Gangoji Temple
      • เปิดทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น. (ปิดขายตั๋วเวลา 16:30 น.)
    • Koshi-no-Ie Residence / Naramachi Lattic House :
      • วันเปิดทำการ : เปิดทุกวันเวลา 9:00 – 17:00 น.
      • วันปิดทำการ : ปิดทุกวันจันทร์ หรืออาจปิดวันอังคารแทนหากว่าวันจันทร์เป็นวันหยุดประจำชาติ / ปิดช่วงเทศกาลปีใหม่
    • Nara Craft Museum / Nara Kogeikan :
      • วันเปิดทำการ : เปิดเวลา 10:00 – 18:00 น. (เข้าได้จนถึงเวลา 17:30 น.)
      • วันปิดทำการ : ปิดทุกวันจันทร์ หรืออาจปิดวันอังคารแทนหากว่าวันจันทร์เป็นวันหยุดประจำชาติ / ปิดช่วงเทศกาลปีใหม่ และระหว่างจัดนิทรรศการ
    • Naramachi Shiryokan
      • เปิดทุกวัน เวลา 10:00 – 16:00 น.
    • Imanishike Shoin Residence :
      • วันเปิดทำการ : เปิดเวลา 10:00 – 16:00 น. (เข้าได้จนถึงเวลา 15:30 น.)
      • วันปิดทำการ : ปิดทุกวันจันทร์, วันหยุดฤดูร้อน, วันหยุดฤดูหนาว
ค่าเข้าชม
    • Gangoji Temple : 500 เยน
    • Koshi-no-Ie Residence / Naramachi Lattic House : เข้าชมฟรี
    • Nara Craft Museum / Nara Kogeikan : เข้าชมฟรี
    • Naramachi Shiryokan : เข้าชมฟรี
    • Imanishike Shoin Residence : มีค่าเข้าชม 350 เยน
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

10. วัดโฮริวจิ (Horyuji Temple)

RPBaiao / Shutterstock

อีกหนึ่งสถานที่ของจังหวัดนาราอันเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานถึง 1,400 ปี [22] และทุกคนควรลองไปกันสักครั้งก็คือ วัดโฮริวจิ (Horyuji Temple)

การก่อสร้างวัดโฮริวจิครั้งแรกนั้นเริ่มต้นมาจากความต้องการของเจ้าชายโชโตกุที่อยากสนับสนุนการเผยแพร่ศาสนาพุทธในญี่ปุ่น องค์ชายจึงต้องการสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นเพื่อให้เป็นสถานที่ศึกษาศาสนา

เดิมทีวัดโฮริวจิเคยมีชื่อว่า วาคาคุสะเดระ (Wakakusadera) และสร้างเสร็จสิ้นครั้งแรกเมื่อปี 607 [23]

เนื่องด้วยวัดโฮริวจิแห่งนี้เต็มไปด้วยอาคารไม้โบราณที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก ทางองค์การยูเนสโกจึงได้กำหนดให้วัดแห่งนี้เป็นมรดกโลกในปี 1993 [24]

บริเวณที่กว้างขวางของวัดโฮริวจินั้นแบ่งออกเป็น 2 เขตคือ เขตตะวันตกและเขตตะวันออก โดยทั้งสองเขตมีงานสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

อย่างเขตตะวันตกของวัดจะมีเจดีย์ 5 ชั้นที่เชื่อกันว่าสร้างมาตั้งแต่ยุคอาสึกะ หรือประมาณช่วงกลางศตวรรษที่ 6 ถึงต้นศตวรรษที่ 8 แถมยังเป็นสิ่งก่อสร้างแห่งหนึ่งที่ผ่านกาลเวลามาได้โดยรอดพ้นจากทุกภัยพิบัติอีกด้วย! อย่างไรก็ตามสิ่งก่อสร้างที่ว่านี้ก็ผ่านการบูรณะมาแล้วหลายครั้งเช่นกัน เพื่อคงสภาพให้สมบูรณ์ดังที่เห็นในปัจจุบัน

ส่วนเขตตะวันออกมีสถาปัตยกรรมไม้ทรงแปดเหลี่ยมอย่าง ยูเมะโดโนะ (Yumedono) ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเจ้าชายโชโตกุ นอกจากนี้ยังเป็นที่จัดแสดงของงานปฏิมากรรมรูปปั้นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปฏิมากรรมแทนเจ้าชายโชโตกุ พระพุทธเจ้า หรือพระสงฆ์

74587-Nara

xiquinhosilva / Chuguji Temple

และอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดหากได้มาเที่ยววัดโฮริวจิก็คือ วัดชูกุจิ (Chuguji Temple) วัดที่สร้างแยกจากวัดใหญ่ โดยที่นี่มีชื่อเสียงในหมู่ผู้ที่ศรัทธาในศาสนาพุทธของญี่ปุ่น ภายในวัดนี้จะมีพระพุทธรูปแกะสลักปางสมาธิด้วยค่ะ [25]

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดโฮริวจิ (Horyuji Temple)

วิธีเดินทาง
  • นั่งรถไฟ JR จากสถานี Nara มาลงที่สถานี Horyuji Station โดยใช้เวลา 12 นาที และเดินต่อจากสถานีไปยังวัดโฮเรียวจิโดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที
โทร
  • 0745-75-2555
เวลาทำการ
  • เปิดทุกวัน เวลา 8:00 – 17:00 น.
  • เฉพาะเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ : เปิดทำการเวลา 8:00 – 16:30 น.
ค่าเข้าชม
  • 1,000 เยน
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดนารา

สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้โบราณสถานหรือเมืองเก่าแก่ในนารา คงหนีไม่พ้นความอร่อยของอาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดนาราอย่างแน่นอน

ว่าแต่เมนูเด็ดของจังหวัดนี้จะมีอะไรบ้าง เราตามมาดูกันเลยดีกว่า~

1. คาคิโนะฮะซูชิ (Kakinoha Sushi)

Kakinoha sushi in Nara

หลายๆคนอาจจะสงสัยว่า คาคิโนะฮะซูชิ (Kakinoha Sushi) แตกต่างจากซูชิแบบอื่นยังไง? ก่อนจะตอบคำถามนี้ เราลองมาทำความรู้จักกับขั้นตอนการถนอมอาหารกันเถอะ

อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าซูชิเป็นอีกหนึ่งเมนูที่เราควรกินให้หมดภายในวันที่ทำเสร็จ หรือถ้าจะเก็บไว้กินวันหลังก็ควรแช่เย็นให้ดี เพื่อรักษาความอร่อยและความสดของปลาทะเล

แต่คาคิโนะฮะซูชิล้ำไปกว่านั้นจ๊ะ! เพราะนี่เป็นซูชิที่สามารถเก็บไว้ได้หลายวัน แถมไม่ต้องแช่เย็นด้วย! และความลับของการถนอมอาหารที่เสียง่ายอย่างซูชิก็คงหนีไม่พ้นเจ้าใบไม้ปริศนาที่เห็นดังภาพ นั่นก็คือใบลูกพลับนี่เอง

ส่วนสาเหตุที่ทำให้อาหารเสียนั้น คิดว่าทุกคนคงทราบกันดีว่านอกจากอุณหภูมิแล้วก็ยังมีแบคทีเรียอีกด้วย จากงานวิจัยของ BioMed Research International กล่าวว่าสารฟีนอลิก (phenolic compound) ในใบลูกพลับเป็นสารแอนติแบคทีเรียชนิดหนึ่ง (Antibacterial) [26] เราจึงสามารถปกป้องเจ้าซูชิน้อยให้พ้นมือวายร้ายอย่างแบคทีเรียได้ เพียงแค่ใช้ใบลูกพลับห่อนั่นเอง

ถือเป็นภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนเลยนะเนี่ย

นอกจากคาคิโนะฮะซูชิจะเก็บได้นานแล้ว อาหารชนิดนี้ก็ยังคงความสดใหม่เอาไว้ได้ด้วย ถ้าเพื่อนๆมีโอกาสไปนารา ลองไปหาชิมกันดูนะ!

Back To Index

2. มิวะโซเมง (Miwa Somen)

Miwa Somen in Nara

มิวะโซเมง (Miwa Somen) เป็นเมนูต้นตำรับของเมืองมิวะ จังหวัดนารา ด้วยความที่มิวะเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องคุณภาพของน้ำ เพราะเมืองนี้มีต้นน้ำที่ดีอย่างภูเขามิวะ (Mt. Miwa) ชาวเมืองจึงได้บริโภคน้ำที่สะอาดและบริสุทธิ์กันทุกวัน

สำหรับการทำเส้นมิวะโซเมงก็ต้องมีส่วนผสมอย่างแป้ง เกลือ และน้ำจากภูเขามิวะนี่ล่ะค่ะ รสชาติอ่อนๆอันแสนกลมกล่อมที่ช่วยเติมเต็มความอร่อยให้กับเส้นโซเมงบางๆนี้ นับว่าเป็นอะไรที่ดีต่อใจมากเลยล่ะ ไม่ว่าจะกินแบบร้อนหรือเย็นก็เอ็นจอยได้หมดจ๊ะ!

Back To Index

3. นาราซึเกะ (Narazuke)

Narazuke in Nara

เราผ่านเมนูจานหลักมาถึง 2 จานกันแล้ว ลองมาดูเครื่องเคียงกันบ้างดีกว่าเนอะ

เมื่อคิดถึงเครื่องเคียงของญี่ปุ่น ภาพผักดองคงฟุ้งกระจายจางๆในความคิดของใครหลายคน ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังคิดถึงผักดองอยู่นั้น เราก็ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะว่าคุณมาถูกทางแล้วค่ะ อาหารจานนี้ก็คือ นาราซึเกะ (Narazuke) หรือผักดองต้นตำรับของจังหวัดนารานั่นเอง!

เนื่องจากว่านาราซึเกะเป็นอีกหนึ่งเมนูต้นตำรับของนารา เราจึงสามารถคาดหวังกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของอาหารจานนี้ได้ โดยนาราซึเกะเป็นเมนูที่ถูกคิดค้นขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 และมักจะทำจากมะระยูริ แตงโมอ่อน หัวไชเท้าไดคง และแตงกวา

ชาวนาราจะนำสิ่งเหล่านี้ไปดองกับสาเก เราจึงเห็นว่าหน้าตาของนาราซึเกะเมื่อดองจนได้ที่จะมีสีน้ำตาลเข้ม ถึงแม้ว่าจะมีกลิ่นฉุน แต่กลับหอมด้วยกลิ่นสาเกอันบางเบา

ถ้าใครอยากลองชิมก็ตามหาได้ไม่ยากนะ เพราะเราสามารถพบเจ้านาราซึเกะได้ตามเครื่องเคียงของร้านอาหารทั่วไปในนาราค่ะ

Back To Index

4. คุซึโมจิ (Kuzu Mochi)

Kuzumochi in Nara

หากพูดถึง วากาชิ หรือขนมหวานญี่ปุ่น คงไม่มีใครไม่รู้จักขนมโมจิ วากาชิที่ครองใจชาวญี่ปุ่นมาแสนนานหรอกใช่ไหม?

และ ‘จังหวัดนารา’ เองก็มีโมจิที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง คุซึโมจิ (Kuzu Mochi) อยู่ด้วยค่ะ ว่าแต่ขนมชิ้นนี้จะมีความพิเศษแตกต่างจากโมจิแบบอื่นยังไงกันนะ? เราจะมาให้คำตอบคุณเอง!

โดยปกติแล้วโมจิทั่วไปจะทำมาจากเค้กข้าวที่มีส่วนประกอบของโมจิโกเมะ (Mochigome) หรือแป้งกลูเตนญี่ปุ่น ก่อนเสิร์ฟเชฟจะโรยผงถั่วเหลืองคั่วบดละเอียดหรือผงคินาโกะ (Kinako) ลงบนตัวโมจิ นอกจากนี้ยังมีถั่วแดงกวนเป็นท็อปปิ้งอีกด้วย

แต่คุซึโมจินั้นทำจากแป้งรากถั่วคุซึ (Kuzu starch or Japanese arrowroot) จึงทำให้มีรสสัมผัสของเจลาตินมากกว่าความหนึบหนับของแป้งกลูเตน

แน่นอนว่าก่อนเสิร์ฟก็ต้องโรยด้วยผงคินาโกะที่มีความหอมหวานเฉพาะตัว ส่วนรสชาติน่ะเหรอ? ก็ต้องอร่อยเลิศอยู่แล้ว!

ถ้าเพื่อนๆสายของหวานคนไหนมาที่นารา ต้องไม่พลาดคุซึโมจิเด็ดขาดเลยนะ!

Back To Index

5. ข้าวปั้นเมฮาริ (Mehari Rice Balls)

Mehari rice balls in Nara

แล้วก็มาถึงหมู่บ้านทตสึคาวามุระ สถานที่อันเป็นต้นตำรับของอาหารจานหลักอีกเมนูหนึ่งของจังหวัดนารา นั่นก็คือ ข้าวปั้นเมฮาริ (Mehari Rice Balls)

สำหรับวิธีการทำนั้นเขาจะนำข้าวอุ่นๆมาห่อกับใบมัสตาร์ดดอง โดยการทำใบมัสตาร์ดดองนั้น เขาจะไปเก็บใบมัสตาร์ดที่ขึ้นอยู่ในแถบโยชิโนะมาต้มกับสาเกผสมมิริน (เหล้าหวานญี่ปุ่น) ก่อนจะเติมอุสึคุจิโชยุลงไป (Usukuchishoyu) พอเดือดแล้วก็จะนำใบมัสตาร์ดขึ้นมาพักให้เย็น ก่อนนำไปชะเกลือส่วนเกินออกด้วยวิธีล้างผ่านน้ำไหล พอสะเด็ดน้ำออกแล้ว ให้นำใบมัสตาร์ดที่ได้มาใส่ในกล่องเดียวกันกับที่มีใบมัสตาร์ดดองอันเก่า จากนั้นให้หมักไว้ในตู้เย็นโดยใช้เวลาประมาณหนึ่งวัน [27]

อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะมีคนสงสัยว่าทำไมถึงไม่ทำแยกกล่องกันไปเลยล่ะ จะเอาไปรวมกับกล่องเก่าทำไม คำตอบคือเพราะเขาต้องการเชื้อหมักที่อยู่ในใบมัสตาร์ดอันเก่านั่นเอง ยิ่งถ้าเป็นเชื้อหมักที่อยู่มานานก็ยิ่งแข็งแกร่งและทำให้ใบมัสตาร์ดดองมีรสชาติล้ำลึกมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งเรื่องเล่าที่น่าสนใจเกี่ยวกับข้าวปั้นเมฮาริ ว่ากันว่าความอร่อยของข้าวปั้นเมฮารินั้นสามารถทำให้คนออกอาการเบิกตากว้าง พร้อมกับอุทานออกมาว่า “อร่อยสุดๆ!” ได้ด้วย นี่จึงกลายมาเป็นที่มาของชื่อ เมฮาริ ซึ่งแปลว่า ดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น (Me wo Haru) [28] นั่นเอง

แม้ว่าเดิมทีข้าวปั้นเมฮาริจะเป็นข้าวกล่องสำหรับชาวบ้านที่ต้องขึ้นไปทำไร่บนเขา แต่ปัจจุบันได้มีการปรับสูตรให้ข้าวปั้นเมฮาริมีขนาดเล็กพอดีคำ จนในที่สุดมันก็กลายมาเป็นของฝากยอดนิยมประจำจังหวัดนาราค่ะ

ข้าวปั้นเมฮาริจะอร่อยจนเราต้องเบิกตากว้างมากแค่ไหน ต้องไปลองพิสูจน์กันเอาเองที่นาราน๊า!

Back To Index

อ่านบทความอื่นๆเกี่ยวกับจังหวัดนารา

มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!

รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!

ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ

Back To Top