fbpx

รวม 22 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดเกียวโต’ ที่ต้องไปโดนให้ได้สักครั้ง!

พ.ย. 09, 2020

รวม 22 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดเกียวโต’ ที่ต้องไปโดนให้ได้สักครั้ง!

จังหวัดเกียวโต Kyoto Prefecture

จังหวัดเกียวโต หรือ ‘นครพันปีเกียวโต’ เป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปลายศตวรรษที่ 8 เกียวโตเป็นเมืองทางตะวันตกของเกาะฮอนชูที่เจริญรุ่งเรืองมากในฐานะศูนย์กลางการปกครอง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม

เกียวโตได้สืบทอดประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานกว่า 1,100 ปี ก่อนที่ญี่ปุ่นจะย้ายเมืองหลวงไปที่เอโดะหรือโตเกียวในปัจจุบัน หลังจากการล่มสลายทางอำนาจของ ‘โทคุกาวะ โยชิโนบุ’ โชกุนคนสุดท้าย และเข้าสู่ยุคเมจิหรือยุคที่จักรพรรดิกลับมามีอำนาจอีกครั้งในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

นอกจากนี้ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ‘จังหวัดเกียวโต’ กับจังหวัดโยโกฮาม่าก็อยู่ในลิสต์อันดับต้นๆ ที่อเมริกาจะทิ้งระเบิดปรมาณูใส่! แต่ด้วยเหตุผลหรือสิ่งศักดิ์สิทธ์ประการใดก็ไม่รู้ อเมริกากลับเปลี่ยนใจไปทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิม่าแทนซะงั้น!

(ความจริงแล้วสาเหตุที่ไม่ทิ้งระเบิดลงที่โยโกฮาม่านั้น เป็นเพราะว่าเมืองนี้ได้รับความเสียหายมามากพอแล้วจากการทำสงครามภาคปกติ อเมริกาเลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปทิ้งระเบิดที่นี่ให้เสียเวลาหรอก ก็มันไม่อิมแพคนี่ ส่วนที่ตัดเกียวโตออกไปเป็นเพราะว่าเมืองนี้ยังคงเป็นศูนย์กลางของจักรพรรดิอยู่ หลังสงครามจบก็กลัวจะไม่ได้รับความนิยมจากคนญี่ปุ่นถ้าทิ้งระเบิดลงที่นี่)

ถ้าพูดถึง ‘จังหวัดเกียวโต’ ภาพในหัวของทุกคนก็คงจะเป็นวัดหรือศาลเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์และมีชื่อเสียงใช่ไหมล่ะ เพราะนอกจากจะมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ถึง 17 แห่งแล้ว เกียวโตยังเป็นเมืองที่เปรียบเสมือนต้นกำเนิดของวัฒนธรรมญี่ปุ่นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมาย ศาสนา การปกครอง และอื่นๆอีกมากมาย

นี่ยังไม่รวมถึงมรดกโลกอย่างวัดคิโยมิสึและปราสาทนิโจด้วยนะ ไหนจะเทศกาลหลักทั้ง 3 ของเกียวโตที่ทั่วโลกต่างรู้จัก คือ เทศกาลอาโออิที่จัดขึ้นช่วงต้นฤดูร้อน เทศกาลกิองที่จัดขึ้นกลางฤดูร้อน และเทศกาลจิไดที่จัดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วง

นอกจากนี้ยังมี ‘โกซัง โนะ โอคุริบิ’ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘ไดมอนจิ-ยากิ’ ซึ่งจัดขึ้นในคืนอุราบ้ง (หรือวันที่ 16 สิงหาคมของทุกปี) ในช่วงเทศกาลนี้จะมีการจุดคบไฟขึ้นเป็นจำนวนมากบนภูเขาทั้งห้าลูกที่ล้อมรอบเกียวโต และชาวเมืองจะนำคบไฟทั้งหมดไปวางเรียงเป็นตัวอักษรอย่างสวยงาม

ด้วยความที่เป็นเมืองหลวงมาอย่างยาวนาน จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าที่เที่ยวเกียวโตนั้นมีเพียบ! แถมยังมีสถานที่ที่สวยงามเป็นพิเศษในแต่ละฤดูกาลอย่างครบถ้วน

ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่าสถานที่ท่องเที่ยวในเกียวโตแห่งไหนบ้างที่น่าไปโดน และของกินอะไรบ้างที่เราจะพลาดไม่ได้เมื่อมาเที่ยวเกียวโต

สารบัญ (Index)

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดเกียวโต
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดเกียวโต

สถานที่ท่องเที่ยวประจำ ‘จังหวัดเกียวโต’

จังหวัดเกียวโต ตั้งอยู่บริเวณเกือบกึ่งกลางของเกาะฮอนชู จังหวัดแห่งนี้มีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบสลับหุบเขา ทิศเหนือติดกับทะเลญี่ปุ่น ทิศตะวันตกติดกับจังหวัดเฮียวโกะ ทิศใต้ติดกับจังหวัดโอซาก้าและจังหวัดนารา ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดฟุกุอิ และมีภูเขาทัมบะพาดผ่านบริเวณกึ่งกลางของจังหวัด ทำให้ตอนเหนือกับตอนใต้ของจังหวัดเกียวโตมีสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันมาก

ผู้คนที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดหรือบริเวณคาบสมุทรทังโกะนิยมประกอบอาชีพด้านการประมงหรือการขนส่งทางน้ำ ส่วนผู้คนที่อาศัยอยู่ตอนกลางของจังหวัดมักนิยมประกอบอาชีพเกษตรกรรม นอกจากนี้จังหวัดเกียวโตยังมีโบราณวัตถุมากมาย ชื่อเสียงด้านการทำผ้าไหมและผ้าแพรก็เป็นที่เลื่องลือเช่นกัน อีกทั้งยังโด่งดังเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวด้วย

เกียวโตเป็นจังหวัดที่เดินทางไปได้อย่างสะดวก หากโดยสารรถไฟชินคันเซ็นจะใช้เวลาเดินทางดังนี้

    • จากโตเกียว : 2 ชั่วโมง 8 นาที
    • จากฮิโรชิม่า : 1 ชั่วโมง 43 นาที

สำหรับใครที่มาจากโอซาก้า ถ้าเป็นรถไฟธรรมดาจะใช้เวลา 42 นาที ส่วนชินคันเซ็นใช้เวลาเพียง 13 นาที!

ส่วนการเดินทางในตัวเมืองเกียวโต ขอแนะนำตั๋วรถบัสรายวัน 600 เยน สามารถนั่งกี่รอบก็ได้

ต่อจากนี้เราจะเริ่มแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งชอปปิ้งในเกียวโตกันเลยนะครับ

1. สถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี

1.1 วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple)


วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple) หรือ วัดทอง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี 1994

เดิมทีวัดแห่งนี้เคยเป็นสถานที่พำนักของโชกุนอาชิคากะ โยชิมิสุ (Ashikaga Yoshimitsu) และจะใช้รับรองแขกคนสำคัญเท่านั้น ก่อนที่โชกุนคนดังกล่าวจะถึงแก่กรรมไป ได้มีการยกที่พักแห่งนี้ให้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของศาสนาพุทธนิกายเซน จนกลายเป็นวัดคินคะคุจิจนถึงปัจจุบัน

ด้วยสีทองเหลืองอร่ามของตัวอาคารหลักและความงดงามตระการตาของวัดคินคะคุจิ สถานที่แห่งนี้จึงเป็นต้นแบบของวัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple) หรือวัดเงินในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังเป็นวัดในการ์ตูนเรื่อง อิคคิวซัง ด้วยนะ

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานีรถไฟ Kyoto นั่งรถบัสสาย 101 หรือ 205 ไปลงที่ป้าย Kinkakujimichi (ใช้เวลา 40 นาที ค่าโดยสาร 230 เยน) แล้วเดินอีก 2 นาที
ที่อยู่
    • Kinkakuji, 1 Kinkakujicho, Kita Ward, Kyoto, 603-8361
    • โทร : 075-461-0013
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
    • 400 เยน
เว็บไซต์
แผนที่

Back To สถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี

Back To Index

1.2 วัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple)

วัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple) หรือ วัดเงิน เป็นวัดอีกแห่งหนึ่งในนิกายเซนที่โชกุนอาชิคากะ โยชิมาสะ (Ashikaga Yoshimasa) เป็นผู้สร้างขึ้น นอกจากวัดเงินจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของเกียวโตแล้ว วัดแห่งนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 1994 จากองค์การยูเนสโกอีกด้วย

ส่วนชื่อที่เรียกกันว่า ‘วัดเงิน’ นั้น เป็นการตั้งให้พ้องไปกับ ‘วัดทอง’ หรือ ‘วัดคินคะคุจิ’ (Kinkakuji Temple) โดยวัดทองนั้นถือเป็นต้นแบบในการสร้างวัดกินคะคุจิหรือวัดเงินแห่งนี้นั่นเอง (ดูจากหน้าตาคงเดาได้ไม่ยากเท่าไหร่ เพราะเหมือนกันเป๊ะซะขนาดนี้)

เดิมทีจุดประสงค์ของการสร้างสถานที่แห่งนี้คือเพื่อให้เป็นที่พำนักหลังเกษียณอายุของโชกุนอาชิคากะ โยชิมาสะ หลังจากที่ท่านโชกุนถึงแก่กรรม ที่นี่จึงได้กลายมาเป็นวัดกินคะคุจิหรือวัดเงินอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน

แต่ทุกคนคงเห็นจากรูปแล้วว่าวัดนี้สร้างขึ้นจากไม้ชัดๆ ไม่เห็นจะมีส่วนไหนเป็นเงินเลยนี่? หลายๆคนคงสงสัยแบบนี้กันใช่ไหมล่ะครับ

ขอตอบให้เลยแล้วกันนะครับว่าจริงๆแล้วท่านโชกุนตั้งใจจะหุ้มวัดนี้ด้วยเงินเหมือนกัน แต่ท่านกลับถึงแก่กรรมไปเสียก่อน วัดกินคะคุจิจึงเป็นวัดไม้อย่างที่เราเห็น

แต่เมื่อแสงจันทร์ยามค่ำคืนตกกระทบกับตัววัด เราก็จะมองเห็นวัดกินคะคุจิเป็นสีเงิน ดูสง่างามแม้จะยังไม่ได้หุ้มด้วยเงินเลยทีเดียว

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานีรถไฟ Kyoto นั่งรถบัสสาย 17 ไปลงที่ป้าย Ginkakuji-michi  (ใช้เวลา 35 นาที ค่าโดยสาร 230 เยน) แล้วเดินอีก 8 นาที (ถ้าใครอยากเดินจากถนนสายนักปราชญ์ก็ได้เช่นกัน ใช้เวลารวมราวๆ 15 นาที)
ที่อยู่
    • Ginkakuji, 2 Ginkakujicho, Sakyo Ward, Kyoto, 606-8402
    • โทร : 075-771-5725
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8:30 – 17:00 น.
    • ในเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ เปิดให้เข้าชมเวลา 9:00 – 16:30 น.
ค่าเข้าชม
    • ค่าเข้าชม 500 เยน
เว็บไซต์
แผนที่

Back To สถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี

Back To Index

1.3 วัดโทฟุคุจิ (Tofukuji Temple)

วัดโทฟุคุจิ (Tofukuji Temple) สร้างขึ้นในปี 1236 เป็นวัดนิกายเซนขนาดใหญ่ใน ‘จังหวัดเกียวโต’ ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในแง่ของจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีอันสวยงาม

ที่มาของชื่อวัดแห่งนี้มาจากการนำชื่อของวัด Todaiji และวัด Kofukuji ในจังหวัดนารามารวมกัน โดยนำตัวอักษร ‘東’ (อ่านว่า โท แปลว่า ตะวันออก) ของวัดโทไดจิ และตัวอักษร ‘福’ (อ่านว่า ฟุคุ แปลว่า โชคลาภ) ของวัดโคฟุคุจิมารวมกัน

แต่เดิมวัดโทฟุคุจิก่อตั้งขึ้นจากการเปิดสำนักสงฆ์โดยพระภิกษุเอ็นนิ เบ็นเอ็น (円爾弁円 / ENNI Ben-en) ภายใต้คำสั่งของตระกูลฟูจิวาระ และมีจุดประสงค์เพื่อเปิดเป็นวัดประจำตระกูลคุโจ (九條) โดยคุโจ มิจิอิเอะ (九條道家 / KUJO Michiei) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในเวลานั้น

สำหรับจุดถ่ายรูปที่สวยที่สุด เห็นจะเป็น สะพานซึเทนเคียว (Tsutenkyo Bridge) เพราะมีใบไม้สีแดงสลับเหลืองของต้นเมเปิลปกคลุมไปถึง 100 เมตรตามความยาวของสะพาน เรียกได้ว่าเหมือนได้อยู่ท่ามกลางทะเลเมเปิลเลยทีเดียว

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดโทฟุคุจิ (Tofukuji Temple)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานีรถไฟ Kyoto ให้นั่งรถบัสสาย 88 หรือ 208 ไปลงที่ป้าย  Tofukuji (ใช้เวลา 15 นาที ค่าโดยสาร 230 เยน) แล้วเดินอีก 5 นาที
    • นอกจากนี้ ยังสามารถนั่งรถไฟ JR สาย Nara ไปลงที่สถานี Tofukuji (ใช้เวลา 2 นาที ค่าโดยสาร 150 เยน) แล้วเดินต่ออีก 2 นาทีได้ (เหมาะกับผู้ใช้ JR pass) สำหรับผู้ใช้ Kansai thru pass ให้นั่งรถไฟสาย Keihan
ที่อยู่
    • Tofukuji Temple, 15 Chome-778 Honmachi, Higashiyama Ward, Kyoto, 605-0981
    • โทร : 075-561-0087
เวลาทำการ
    • เดือนเมษายน – เดือนตุลาคม : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9:00 – 16:30 น. 
    • เดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8:30 – 16:30 น.
    • ต้นเดือนธันวาคม – เดือนมีนาคม : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9:00 – 16:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ค่าเข้าชมสวน : 400 เยน
    • ค่าเข้าชมอาคารด้านใน : 400 เยน
เว็บไซต์
แผนที่

Back To สถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี

Back To Index

1.4 วัดเอคังโด (Eikando Temple)

วัดเอคังโด (永観堂 : Eikando Temple) หรือชื่อเต็มคือ ‘วัดเอคังโด เซ็นรินจิ’ (Eikando Zenrin-Ji Temple) เป็นวัดพุทธมหายานนิกายโจโดที่มีชื่อเสียงอย่างมาก เนื่องจากเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีอันสวยงาม

ในปี 853 ซึ่งตรงกับยุคเฮอัน ได้มีการสร้างสถานปฏิบัติธรรม ณ ตำแหน่งเดียวกันกับวัดเอคังโดในปัจจุบัน ต่อมาจักรพรรดิเซวะ (Emperor Seiwa) ได้อนุญาตให้ก่อตั้งวัดเซ็นรินจิ (Zenrin-ji) ขึ้น วัดแห่งนี้เป็นวัดในพุทธนิกายชินกอน

เมื่อเวลาผ่านไปได้มีเจ้าอาวาสท่านหนึ่งได้รับการเลื่อมใสจากชาวบ้านเป็นจำนวนมาก เจ้าอาวาสท่านนี้มีนามว่า เอคัง (Eikan) ตั้งแต่ช่วงนั้นเป็นต้นมาก็มีการเรียกชื่อวัดแห่งนี้ใหม่ว่า “วัดเอคังโด” (Eikando)

และในช่วงศตวรรษที่ 13 เจ้าอาวาสก็ได้เปลี่ยนวัดนี้จากวัดพุทธนิกายชินกอนเป็นวัดพุทธนิกายโจโด

ในช่วงปี 1467 – 1469 ได้เกิดสงครามโอนินขึ้น ผลกระทบจากสงครามครั้งนี้คือตัวอาคารวัดเกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก เมื่อสงครามสิ้นสุดลงจึงได้มีการบูรณะซ่อมแซมและสร้างอาคารต่างๆขึ้นใหม่เป็นจำนวนมากดังที่เห็นในปัจจุบัน

สำหรับจุดที่สวยงามที่สุดของวัดเอคังโดคือ เจดีย์ทาโฮโต (Tahoto Pagoda) ที่สร้างขึ้นในปี 1928 มีลักษณะเป็นเจดีย์ 2 ชั้น ตั้งอยู่บนเนินเขาซึ่งเป็นจุดที่ตั้งอยู่บริเวณสูงสุดของวัด

นอกจากเจดีย์องค์นี้จะเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของวัดแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถขึ้นไปบนเจดีย์เพื่อชมทัศนียภาพของเมืองเกียวโตในมุมสูงได้อีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดเอคังโด (Eikando Temple)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานีรถไฟ Kyoto ให้นั่งรถบัสสาย 5 ไปลงที่ป้าย Nanzenji-Eikando-michi (ใช้เวลา 35 นาที ค่าโดยสาร 230 เยน) แล้วเดินอีก 5 นาที
ที่อยู่
    • Eikando, 48 Eikandocho, Sakyo Ward, Kyoto, 606-8445
    • โทร : 075-761-0007
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น.
    • ช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะมีการจัดแสดงไฟกลางคืนในช่วงเวลาประมาณ 18:00 – 21:00 น.
ค่าเข้าชม
    • วัดมีค่าเข้าชม 600 เยน
    • มีค่าเข้าชมการจัดแสดงไฟ 600 เยน (แยกต่างหากจากเวลาปกติ)
เว็บไซต์
แผนที่

Back To สถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี

Back To Index

1.5 วัดคิโยมิสึและศาลเจ้าจิชู (Kiyomizu Temple and Jishu-Jinja Shrine)

วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu Temple/Kiyomizu-dera) หรือที่เรียกติดปากกันว่า ‘วัดน้ำใส’ (และชื่อวัดก็แปลได้เป็นคำนี้เลย) เป็นวัดพุทธสายฮตโซที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และน่าจะเรียกได้ว่าเป็นวัดที่โด่งดังที่สุดในญี่ปุ่นเลยล่ะครับ!

วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 780 ที่มาของชื่อวัดมาจากบริเวณวัดที่สร้างขึ้นตรงบริเวณน้ำตกโอโตวะ หรือน้ำตกศักดิ์สิทธิ์ที่มีน้ำบริสุทธิ์ ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น ว่ากันว่าหากใครได้ดื่มน้ำจากน้ำตกโอโตวะจะประสบความสำเร็จในชีวิต 3 เรื่อง คือความรัก การเรียน และการมีชีวิตยืนยาว

จุดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘อาคารหลักของวัดที่ตั้งอยู่เหนือแนวต้นไม้’ ที่เราเห็นเหมือนกับว่าตัวอาคารลอยอยู่ในอากาศ เป็นเพราะอาคารแห่งนี้สร้างแบบญี่ปุ่นโบราณ กล่าวคือเป็นวิธีสร้างอาคารที่อาศัยการล็อกข้อต่อไม้และไม่มีการใช้ตะปูในโครงสร้างอาคารเลยนั่นเอง

สำหรับสถาปัตยกรรมที่ก่อสร้างแบบญี่ปุ่นโบราณนั้น นอกจากวัดน้ำใสแล้วก็ยังมี ศาลเจ้าอิเสะ ในจังหวัดมิเอะอีกที่หนึ่งด้วยครับ

ส่วนความสวยงามอลังการของสถานที่แห่งนี้นั้น แม้ไม่บรรยายทุกคนก็คงจะรับรู้กันดีแล้ว แต่อยากแนะนำให้ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวตอนกลางคืนดูบ้าง เพราะสวยงามไม่แพ้กับตอนกลางวันเลยทีเดียว

Jasonyan_Shutterstock

และโซนย่อยอีกโซนหนึ่งที่ต้องไปในวัดน้ำใสก็คือ ศาลเจ้าจิชู (Jishu-Jinja Shrine) ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโอคุนินูชิ หรือ เทพเจ้าแห่งสายสัมพันธ์และความรักของศาสนาชินโต ทำให้ศาลเจ้าจิชูเป็นที่นิยมของผู้ที่มาสักการะเพื่อขอให้มีความรักและความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่แค่ความรักของคนหนุ่มสาวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ในเชิงมิตรภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรากับเหล่าผองเพื่อน หรือเจ้านายกับลูกน้อง

ที่พลาดไม่ได้อย่างแรงคือ หินเสี่ยงทายรัก ที่มีเสียงเล่าลือมาตั้งแต่สมัยเอโดะว่าใครก็ตามที่มาเสี่ยงทายความรักกับหิน 2 ก้อนนี้ ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง จะประสบกับความรักที่สมหวัง

ส่วนวิธีการที่ว่าก็ไม่มีอะไรมาก เราแค่ต้องหลับตาเดินจากก้อนหินฝั่งเริ่มต้นไปจนถึงหินก้อนที่อยู่ปลายทาง ขอย้ำเลยว่าห้ามแอบปรือตามองทางเด็ดขาดเลยนะ เดี๋ยวไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้วจะทำให้พรไม่สมหวังเอา

ทั้งนี้เราสามารถให้เพื่อนช่วยบอกทางได้ แต่จะมีผลต่อคำทำนายคือ ถ้าเราเดินไปถึงหินปลายทางได้ในครั้งแรกครั้งเดียว ความรักของเราจะไม่มีอุปสรรคและสมหวังได้อย่างรวดเร็ว

แต่ถ้าเราต้องให้เพื่อนช่วยบอกทาง ความรักของเราก็สมหวังแหละ แต่ต้องให้เพื่อนเป็นคนชง

ถ้าเราต้องเดินหลายครั้งแต่สุดท้ายก็เดินถึงหินปลายทาง แสดงว่าความรักครั้งนี้จะสมหวังเมื่อเราพยายาม

แต่ถ้าเดินยังไงก็ไปไม่ถึงหินอีกก้อนสักที อันนี้อาจจะต้องตัดใจแล้วล่ะ ถ้าไม่อยากยอมแพ้ก็ต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เยอะหน่อยนะ

อ่านข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับวัดคิโยมิสึได้ที่นี่ > Must See Place! ชมวัดน้ำใส Kiyomizu และพื้นที่โดยรอบ

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดคิโยมิสึและศาลเจ้าจิชู (Kiyomizu Temple and Jishu-Jinja Shrine)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 205, 206 หรือ 207 ไปลงที่ป้าย Kiyomizumichi ใช้เวลา 20 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 12 นาที
ที่อยู่
    • Kiyomizudera, 1-294, Kiyomizu, Higashiyama-ku, Kyoto-shi, Kyoto, 605-0862, Japan
    • โทร : 075-551-1234
เวลาทำการ
    • เปิดทำการทุกวัน เวลา 6:00 – 18:00 น. (ปิดทำการเวลา 18:30 น. สำหรับวันธรรมดาและวันหยุดนักขัตฤกษ์ในช่วงเดือนกลางเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม และทุกวันในเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายน)
    • สำหรับการเปิดไฟช่วงกลางคืน ไฟจะเปิดเวลา 18:00 – 21:00 น. ในช่วงเวลาดังต่อไปนี้ ฤดูใบไม้ผลิจะเปิดไฟในวันที่ 3 – 17 มีนาคม และวันที่ 29 มีนาคม – 7 เมษายน ฤดูร้อนเปิดไฟวันที่ 14 – 16 สิงหาคม ฤดูใบไม้ร่วงเปิดไฟวันที่ 16 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม
ค่าเข้าชม
    • ค่าเข้าชมเวลาปกติ : 400 เยน
    • ค่าเข้าชมช่วงเปิดไฟกลางคืน : 400 เยน
เว็บไซต์
แผนที่

Back To สถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี

Back To Index

1.6 ศาลเจ้าคิตาโนะเทนมังกุ (Kitano Tenmangu)

ศาลเจ้าคิตาโนะเทนมังกุ (Kitano Tenmangu) เป็นศาลเจ้าสายเทนมังกุที่สำคัญเคียงคู่กับดาไซฟุเทนมังกุของฟุกุโอกะ และยังเป็น 1 ใน 3 ศาลเจ้าใหญ่ของเกียวโต ร่วมกับศาลเจ้าฟูชิมิอินาริและศาลเจ้ายาซากะ

แต่เดิมศาลเจ้านี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่ดวงวิญญาณของ ‘สึกาวาระ โนะ มิจิซาเนะ’ นักการเมืองและนักปราชญ์ที่มีความสามารถ แต่กลับโดนกลั่นแกล้งทางการเมืองจนถูกเนรเทศไปอยู่ดาไซฟุ และสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจจบชีวิตลงที่นั่น

หลังจากที่มิจิซาเนะสิ้นชีพไปก็ได้เกิดมหาภัยพิบัติและโรคระบาดต่างๆขึ้นมากมาย ทำให้ผู้คนเชื่อกันว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นผลจากความโกรธแค้นของดวงวิญญาณมิจิซาเนะ ต่อมาในปี 947 จึงได้มีการสร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อให้ดวงวิญญาณมิจิซาเนะสงบลง

ศาลเจ้าดังกล่าวคือ “ศาลเจ้าคิตาโนะเทนมังกุ” แห่งนี้นั่นเอง

ในขณะที่มิจิซาเนะยังมีชีวิตอยู่เขาเป็นนักปราชญ์ที่เก่งกาจ หลังจากสิ้นชีวิตลง มิจิซาเนะจึงได้รับการยกย่องให้เป็นเทพแห่งการศึกษา (เทนจิน) ด้วยเหตุนี้ศาลเจ้าคิตาโนะเทนมังกุจึงกลายเป็นศาลเจ้าแห่งการศึกษา

นอกจากจะเป็น power spot ชื่อดังด้านการเรียนแล้ว ศาลเจ้าแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงอย่างมากเรื่องธรรมชาติที่สวยงามในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ดอกบ๊วยบานสะพรั่ง

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าคิตาโนะเทนมังกุ (Kitano Tenmangu)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 50 หรือ 101 ไปลงที่ป้าย Kitanotenmangu mae ใช้เวลา 30 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 1 นาที
ที่อยู่
    • Kitano Tenmangu, Bakurocho, Kyogyo-ku, Kyoto, Kyoto 602-8386, Japan
    • โทร : 075-461-0005
    • แฟ็กซ์ : 075-461-6556
เวลาทำการ
    • ศาลเจ้า : เปิดทำการทุกวัน เวลา 5:00 – 18:00 น. (เดือนเมษายนถึงกันยายน) และเวลา 5:30 – 17:30 น. (เดือนเมษายนถึงกันยายน)
    • สวนดอกบ๊วย : เปิดให้เข้าชมช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม เปิดทำการ เวลา 9:00 – 16:00 น.
    • สวนเมเปิล : เปิดให้เข้าชมในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เปิดทำการ เวลา 9:00 – 20:00 น. (มีเปิดไฟตอนกลางคืน)
ค่าเข้าชม
    • ศาลเจ้า : ไม่มีค่าเข้าชมสำหรับการเข้าไปสักการะศาลเจ้า
    • สวนดอกบ๊วย : มีค่าเข้าชม 800 เยน
    • สวนเมเปิล : มีค่าเข้าชม 1,000 เยน
เว็บไซต์
แผนที่

Back To สถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี

Back To Index

2. สถานที่ชมซากุระบานสะพรั่ง

2.1 ถนนสายนักปราชญ์ (Philosopher’s Path)

ถนนสายนักปราชญ์ (Philosopher’s Path) สร้างขึ้นในปี 1890 ถนนเส้นนี้เป็นทางเดินเท้าเล็กๆที่มีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร โดยยาวเลียบไปตามคลองส่งน้ำบิวะที่ส่งน้ำมาจากทะเลสาบบิวาโกะ จุดเริ่มต้นของถนนจะอยู่ที่บริเวณหน้าวัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple) และไปสิ้นสุดลงที่หน้าวัดนันเซ็นจิ

ส่วนที่มาของชื่อ ‘ถนนสายนักปราชญ์’ นั้นได้มาจากเหตุการณ์ในอดีตที่ นิชิดะ คิตาโระ (Nishida Kitaro) นักปราชญ์ชื่อดังในยุคเมจิ-ยุคโชวะมักจะมาเดินที่นี่ เพื่อให้ตนมีสมาธิและสงบจิตใจไปในเวลาเดียวกัน พอชาวบ้านละแวกนี้เห็นว่าคิตาโระเดินผ่านอยู่เป็นประจำ สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นถนนสายนักปราชญ์จนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ถนนสายนักปราญช์ยังเป็นอีกหนึ่งจุดชมซากุระที่สวยงามมากของจังหวัดเกียวโตอีกด้วย

อ่านเรื่องถนนสายนักปราชญ์เพิ่มเติมได้ที่นี่ > ตามรอยนักปราชญ์ชมซากุระที่ถนนสายนักปราชญ์

ข้อมูลเกี่ยวกับถนนสายนักปราชญ์ (Philosopher’s Path)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานีรถไฟ Kyoto นั่งรถบัสสาย 17 ไปลงที่ป้าย Jodoji (ใช้เวลา 30 นาที ค่าโดยสาร 230 เยน) แล้วเดินอีก 6 นาที
ที่อยู่
    • The Philosopher’s Path (哲学の道, Tetsugaku no Michi), Shishigatani Honenin Nishimachi, Sakyo Ward, Kyoto, 606-8427
วันเวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
แผนที่

Back To สถานที่ชมซากุระบานสะพรั่ง

Back To Index

2.2 ศาลเจ้าเฮอัน (Heian Shrine)

ศาลเจ้าเฮอัน (Heian Shrine) เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 1,100 ปีของเมืองเกียวโต รวมทั้งเพื่อระลึกถึงจักรพรรดิคามมุ (Emperor Kammu) จักรพรรดิคนแรกของเกียวโต และจักรพรรดิโคเมอิ (Emperor Komei) จักรพรรดิคนสุดท้ายของเกียวโต

แน่นอนว่าจุดเด่นของสถานที่แห่งนี้คือประตูโทริอิยักษ์สีแดงที่ตั้งอยู่ด้านหน้าวัด นอกจากนี้ศาลเจ้าเฮอันยังสร้างขึ้นโดยใช้แบบจำลองของพระราชวังในสมัยเฮอัน โดยมีขนาดย่อส่วน 5:8 จากของจริง

สีแดงสดของเสาที่ตัดกับหลังคาสีเขียวมรกตเข้มให้ความรู้สึกสดใสแก่ผู้ที่พบเห็นได้เป็นอย่างดี

หากมาที่ศาลเจ้าเฮอันในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เราอยากให้ทุกคนได้เดินไปทางสวนด้านหลังศาลเจ้า เพราะนั่นเป็นจุดชมดอกซากุระที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเกียวโตเลยทีเดียว

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าเฮอัน (Heian Shrine)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 5 หรือสาย 100 ไปลงที่ป้าย Okazaki Koen [Bijutsukan] ใช้เวลา 26 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 1 นาที
ที่อยู่
    • Heian Shrine, Okazaki Nishitennocho, Sakyo Ward, Kyoto, 606-8341
    • โทร : 075-761-0221
เวลาทำการ
    • เปิดทำการทุกวัน เวลา 6:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ศาลเจ้า : ไม่มีค่าเข้าชม
    • สวน : มีค่าเข้าชม 600 เยน
เว็บไซต์
แผนที่

Back To สถานที่ชมซากุระบานสะพรั่ง

Back To Index

3. จุดท่องเที่ยวที่สวยงามทุกฤดูกาล

3.1 ศาลเจ้าคิฟุเนะ (Kifune Shrine)

ที่มา : https://koyo.walkerplus.com

ศาลเจ้าคิฟุเนะ (Kifune Shrine) เป็นศาลเจ้าที่ได้ชื่อว่าเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าแห่งสายน้ำ ความรัก และการแต่งงาน สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนเขาทางตอนเหนือของจังหวัดเกียวโต โดยเป็นศาลเจ้าชินโตที่มีอายุถึง 1,300 ปี !

ชื่อเสียงของศาลเจ้าคิฟุเนะมาจากตำนานที่เล่าต่อๆกันมาว่า กวีเอกหญิงในยุคเฮอันที่มีนามว่า อิสุมิ ชิคิบุ ได้เดินทางมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้าแห่งนี้และขอพรในเรื่องความรัก (ไม่รู้เหมือนกันว่าสมหวังหรือเปล่า แต่คิดว่าน่าจะสมหวัง เพราะสุดท้ายแล้วศาลเจ้าคิฟุเนะถึงได้ดังขึ้นมายังไงล่ะ 555)

นอกจากตำนานความศักด์สิทธิ์ต่างๆแล้ว ในเรื่องของความสวยงามนั้นศาลเจ้าคิฟุเนะก็ไม่เป็นสองรองใคร เพราะในช่วงเวลากลางคืน ทุกคนจะได้ชมความสวยงามของบันไดโคมไฟที่ส่องสว่างตลอดสองข้างทาง และในแต่ละฤดูกาลบรรยากาศก็จะสวยงามในแบบที่แตกต่างกันไป

นอกจากนี้เรายังสามารถเพลิดเพลินไปกับอาหารท้องถิ่นแสนอร่อยท่ามกลางสายลมโชยอ่อนได้อีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าคิฟุเนะ (Kifune Shrine)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 17 ไปลงที่สถานี Demachi-Yanagi ใช้เวลา 25 นาที จากนั้นนั่งรถไฟไปลงที่ Kibune guchi (ใช้เวลา 30 นาที ค่าโดยสาร 430 เยน) แล้วนั่งรถบัส (ใช้เวลา 5 นาที ค่าโดยสาร  170 เยน) แล้วเดินอีกประมาณ 5 นาที
ที่อยู่
    • Kifune Shrine, 180, Kurama-Kifunecho, Sakyo-ku, Kyoto, Kyoto 601-1112
    • โทร : 075-741-2016
วันเวลาทำการ
    • เปิดทำการทุกวัน เวลา 6:00 – 20:00 น. (เดือนธันวาคมถึงเมษายน เปิดถึง 18:00 น.)
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
แผนที่

Back To จุดท่องเที่ยวที่สวยงามทุกฤดูกาล

Back To Index

3.2 ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine/Fushimi Inari Taisha)

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine/Fushimi Inari Taisha) เป็น 1 ใน 3 ศาลเจ้าใหญ่ของเกียวโต ร่วมกับศาลคิตาโนะเทนมังกุและศาลเจ้ายาซากะ อีกทั้งยังเป็นศาลเจ้าที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาศาลเจ้าสายอินาริ หรือศาลที่มีไว้เพื่อบูชาเทพอินาริซึ่งเป็นเทพแห่งการเกษตร

ที่สำคัญคือศาลเจ้าฟูชิมิอินารินั้นมีมาตั้งแต่สมัยที่เกียวโตเพิ่งได้รับการสถาปนาขึ้นมาด้วย เพราะว่าศาลเจ้าแห่งนี้สร้างเสร็จในปี 794 ดังนั้นศาลเจ้าฟูชิมิอินาริจึงนับว่าเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ของเกียวโต

ผู้คนส่วนมากที่มาสักการะศาลเจ้าแห่งนี้ นอกจากจะมาขอพรเรื่องการเงินแล้ว อีกเหตุผลหลักๆก็คือมาชมเสาโทริอิสีแดงสดที่ตั้งเรียงรายไปตามทางขึ้นศาลเจ้านับพันต้น! คนญี่ปุ่นเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า เซ็มบงโทริอิ (Senbon Torii) หรือ ประตูโทริอิพันเสา (thousands of torii gates)

เหตุผลที่มีเสาโทริอิมากมายขนาดนี้เป็นเพราะว่ามีบุคคลหรือองค์กรต่างๆร่วมบริจาคเงินในการก่อสร้างเป็นจำนวนมาก โดยนามของผู้บริจาคและวันที่บริจาคจะถูกสลักไว้ที่ด้านหลังเสาแต่ละต้น สำหรับรายละเอียดในการบริจาคนั้นก็จะมีตั้งแต่เสาต้นเล็กที่มีมูลค่า 4 แสนเยน ไปจนถึงเสาต้นใหญ่ที่มีมูลค่ามากกว่าล้านเยนเลยทีเดียว

อ่านเรื่องศาลเจ้าฟูชิมิอินาริเพิ่มเติม > ไหว้ท่านเทพจิ้งจอก&เทพแห่งน้ำที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ ศาลเจ้าชิโมกาโมะ และศาลเจ้าคามิกาโมะ

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine/Fushimi Inari Taisha)

วิธีเดินทาง
    • รถบัส : หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 5 minami ไปลงที่ป้าย Fushimiinaritaisha mae โดยใช้เวลา 10 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 7 นาที
    • รถไฟ : จากสถานี  Kyoto นั่งรถไฟ JR ไปลงที่สถานี Fushimi-inari (ใช้เวลา 5นาที ค่าโดยสาร 120 เยน) แล้วเดินอีก 2 นาที
ที่อยู่
    • Fushimi Inari Taisha, 68 Fukakusa Minanouchi-cho, Fushimi-ku, Kyoto 612-0882, Kyoto Prefecture
    • โทร : 075-641-7331
เวลาทำการ
    • ศาลเจ้า : เปิดให้มาไหว้สักการะทุกวันและเข้าได้ตลอดเวลา
    • สำนักงานศาลเจ้า : เปิดทำการทุกวัน เวลา 7:00 – 18:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
แผนที่

Back To จุดท่องเที่ยวที่สวยงามทุกฤดูกาล

Back To Index

3.3 ศาลเจ้าชิโมกาโมะ (Shimogamo Shrine)

ศาลเจ้าชิโมกาโมะ (Shimogamo Shrine) เป็นศาลเจ้าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในลัทธิชินโต ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดเกียวโต นอกจากจะเป็นหนึ่งในศาลเจ้าพี่น้องกับศาลเจ้าคามิกาโมะแล้ว ศาลเจ้าแห่งนี้ก็เป็น 1 ใน 17 แหล่งมรดกโลกของเกียวโตอีกด้วย

คำว่า ‘ชิโมกาโมะ’ หมายถึง ‘คาโมะเบื้องล่าง’ เป็นชื่อที่เรียกตามสถานที่ตั้งของศาลเจ้าแห่งนี้ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของจุดที่ไหลมาบรรจบกันของแม่นํ้าทาคาโนะและแม่น้ำคาโมะ

สำหรับความเป็นมาของศาลเจ้าชิโมกาโมะนั้น ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเทมมู หรือช่วงปี 675 – 686 เพื่อบูชาเทพเจ้า 3 องค์ คือเทพยาตะการาสุ (Kamo Taketsunuminomikoto) เทพทามะโยริฮิเมะ (Tamayori-hime) และเทพคามิมุสึบิ (Kamimusubi)

Various images / Shutterstock

เนื่องจากสถานที่แห่งนี้บูชาเทพเจ้าแห่งความรักถึง 2 องค์ด้วยกันคือ เทพทามะโยริฮิเมะ (Tamayori-hime) และเทพคามิมุสึบิ (Kamimusubi) ที่นี่จึงมีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะ power spot ด้านความรัก

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าชิโมกาโมะ (Shimogamo Shrine)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 4 หรือสาย 5 ไปลงที่ป้าย Shimogamojinja mae โดยใช้เวลา 25 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 2 นาที
ที่อยู่
    • Shimogamo Shrine, 59 Shimogamo Izumikawacho, Sakyo-ku, Kyoto, Kyoto 606-0807, Japan
    • โทร : 075-781-0010
เวลาทำการ
    • ศาลเจ้าเปิดให้มาไหว้สักการะทุกวัน เวลา 6:30 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
แผนที่

Back To จุดท่องเที่ยวที่สวยงามทุกฤดูกาล

Back To Index

3.4 ศาลเจ้าคามิกาโมะ (Kamigamo Shrine)

ศาลเจ้าคามิกาโมะ (Kamigamo Shrine) เป็นศาลเจ้าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในลัทธิชินโต ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดเกียวโต นอกจากจะเป็นหนึ่งในศาลเจ้าพี่น้องกับศาลเจ้าชิโมะกาโมะแล้ว ศาลเจ้าแห่งนี้ก็เป็น 1 ใน 17 แหล่งมรดกโลกของเกียวโตอีกด้วย

คามิกาโมะ หมายถึง ‘คาโมะเบื้องบน’ เป็นชื่อที่เรียกตามสถานที่ตั้งของศาลเจ้าแห่งนี้ ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของจุดที่ไหลมาบรรจบกันของแม่น้ำคาโมะ

เชื่อกันว่าศาลเจ้าคามิกาโมะสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเทมมูช่วงปี 675 – 686 เพื่อบูชาแด่เทพคาโมะวาเกะ อิกะสึจิ (Kamo Wake-Ikazuchi) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งไฟและเทพชัยชนะ เพราะชาวญี่ปุ่นเองมีความเชื่อมาแต่โบราณกาลว่าแม่น้ำคาโมะที่ไหลมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั้นเปรียบเสมือนการนำเหล่าปีศาจเข้าสู่เมือง และเทพคาโมะวาเกะ อิกะสึจินี่แหละที่เป็นผู้ปัดเป่าความชั่วร้ายและปกป้องประชาชนจากปีศาจทั้งปวง

ปัจจุบันผู้คนที่นิยมมาสักการะที่ศาลเจ้าแห่งนี้จึงมักจะมาขอพรให้ชนะอุปสรรคต่างๆ หรือมาแก้ชงนั่นเอง

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าคามิกาโมะ (Kamigamo Shrine)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 4 หรือสาย 5 ไปลงที่ป้าย Kamigamojinja mae ใช้เวลา 35 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 2 นาที
ที่อยู่
    • Kamigamo Shrine, 339 Kamigamomotoyama, Kita-ku, Kyoto, Kyoto 603-8047, Japan
    • โทร : 075-781-0011
วันเวลาทำการ
    • ศาลเจ้าเปิดให้มาไหว้สักการะทุกวัน เวลา 5:30 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
แผนที่

Back To จุดท่องเที่ยวที่สวยงามทุกฤดูกาล

Back To Index

3.5 ศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine)

Milan Rademakers / Shutterstock

ศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine) หรือที่รู้จักกันในชื่อหนึ่งว่า ‘ศาลเจ้ากิอง’ ตั้งอยู่ระหว่างย่านกิองกับย่านฮิกาชิยามะ นับเป็นศาลเจ้าเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเกียวโต และเป็น 1 ใน 3 ศาลเจ้าใหญ่ในเกียวโต ร่วมกับศาลเจ้าคิตาโนะเทนมังกุและศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ

นอกจากจะสวยเด่นเป็นศรีเกียวโตแล้ว ความขลังของศาลเจ้ากิองแห่งนี้ก็ไม่แพ้ศาลเจ้าใดๆในญี่ปุ่น เพราะที่นี่เป็น power spot แบบสารพัดนึก สามารถขอพรได้ทุกเรื่อง อยากขออะไรก็ขอโลดเด้อ

อ่านเรื่องศาลเจ้ายาซากะเพิ่มเติมได้ที่ > สัมผัสเสน่ห์เมืองเก่าย่านกิอง ถ่ายรูปไม่ได้ไม่เป็นไร ทัวร์ศาลเจ้าสุดยิ่งใหญ่ในเกียวโตแทนก็ได้

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 100 หรือ 206 ไปลงที่ป้าย Gion โดยใช้เวลา 20 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 5 นาที
    • นอกจากนี้สามารถนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Gion Shijo หรือสถานี Kawaramachi ได้เช่นกัน
ที่อยู่
    • Yasaka Shrine, 25, Gion-cho, Higashiyama-ku, Kyoto 605-0073, Kyoto
    • โทร : 075-561-6155
    • แฟ็กซ์ : 075-531-1126
เวลาทำการ
    • ศาลเจ้า : เปิดให้เข้าไหว้สักการะทุกวัน และเข้าได้ตลอดเวลา
    • สำนักงานศาลเจ้า : เปิดทำการทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
แผนที่

Back To จุดท่องเที่ยวที่สวยงามทุกฤดูกาล

Back To Index

3.6 วัดเคนนินจิ (Kennin-ji Temple)

วัดเคนนินจิ (Kennin-ji Temple) เป็นวัดพุทธนิกายเซนสายรินไซที่เก่าแก่ที่สุดในเกียวโต ก่อตั้งขึ้นโดยหลวงพ่อเอไซในปี 1202

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของวัดนี้เห็นจะเป็นงานศิลปะภาพวาดมังกรที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ต้องเจอ โดยเฉพาะเพดานของโถงหลัก

นอกจากนี้วัดเคนนินจิยังมีสวนหินแบบเซนที่ใหญ่และสวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งอีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดเคนนินจิ (Kennin-ji Temple)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 206 ไปลงที่ป้าย Kiyomizu Michi ใช้เวลา 23 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 3 นาที
ที่อยู่
    • Kennin-ji Temple, 584 Komatsucho, Higashiyama-ku, Kyoto, Kyoto 605-0811
    • โทร : 075-561-0190
เวลาทำการ
    • เปิดทำการทุกวัน ในช่วงเวลา 10:00 – 17:00 น. (ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์เปิดถึง 16:30 น.)
    • มีวันหยุดประจำปีคือวันที่ 28 – 31 ธันวาคม
ค่าเข้าชม
    • ค่าเข้าชม 500 เยน
เว็บไซต์
แผนที่

Back To จุดท่องเที่ยวที่สวยงามทุกฤดูกาล

Back To Index

3.7 ปราสาทนิโจ (Nijo Castle)

ปราสาทนิโจ (Nijo Castle/二条城) สร้างขึ้นในปี 1603 เพื่อเป็นที่พักของโชกุน โทคุกาวะ อิเอยาสึ (Tokugawa Ieyasu) ต่อมา อิเอมิตสึ (Iemitsu) ผู้เป็นหลานได้สานต่อการสร้างปราสาทจนแล้วเสร็จในอีก 23 ปีให้หลัง นอกจากนี้ยังมีส่วนที่ก่อสร้างเพิ่มเติมคือหอปราสาทห้าชั้น

หลังจากการล่มสลายของโชกุนและเข้าสู่ช่วงปฏิรูปเมจิในปี 1867 ปราสาทนิโจกลายเป็นพระราชวังของจักรพรรดิและราชวงศ์อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ภายหลังได้อยู่ภายใต้การดูแลของเทศบาลเมือง เพราะจักรพรรดิได้ย้ายไปประทับที่เอโดะแทน

Abhijeet Khedgikar / Shutterstock

นอกจากจะเปิดเป็นสถานที่เชิงประวัติศาสตร์ให้ประชาชนเข้าชมแล้ว ตัวอาคารของวังในปราสาทนิโจก็นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมปราสาทในยุคศักดินาของญี่ปุ่นที่ยังคงหลงเหลือในปัจจุบัน และในปี 1994 ปราสาทนิโจก็ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกที่สำคัญยิ่งจากยูเนสโก

ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทนิโจ (Nijo Castle)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 9 ไปลงที่ป้าย Horikawa Oike โดยใช้เวลา 14 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 2 นาที
ที่อยู่
    • Nijō Castle, 541 Nijojocho, Nakagyo Ward, Kyoto, 604-8301
    • โทร : 075-841-0096
    • แฟ็กซ์ : 075-802-6181
เวลาทำการ
    • เดือนตุลาคม – มิถุนายน : เปิดทำการทุกวัน ในเวลา 8:45 – 17:00 น.
    • เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม : เปิดทำการทุกวัน ในเวลา 8:00 – 18:00 น.
    • เดือนกันยายน : เปิดทำการทุกวัน ในเวลา 8:00 – 17:00 น.
    • วันปิดทำการ : 29 – 31 ธันวาคม
ค่าเข้าชม
    • ค่าเข้าชม 620 เยน และส่วน Ninomaru อีก 410 เยน
เว็บไซต์
แผนที่

Back To จุดท่องเที่ยวที่สวยงามทุกฤดูกาล

Back To Index

3.8 อาราชิยามะ (Arashiyama)

อาราชิยามะ (Arashiyama) เป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังที่ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองฝั่งทิศตะวันตกของจังหวัดเกียวโต ห่างจากตัวเมืองหลักไปประมาณ 30 นาที ชื่อ อาราชิยามะ นั้นมีความหมายว่า ภูเขาพายุ

พื้นที่แห่งนี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอนุสรณ์สถานของประเทศที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และเรื่องราวมากมาย เพราะที่จริงแล้วอาราชิยามะนั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 9

ด้วยธรรมชาติที่สวยงามและความร่มรื่นของอาราชิยามะ เหล่าขุนนางจึงนิยมมาพักผ่อนหย่อนใจกัน ณ สถานที่แห่งนี้ หลังจากนั้นความนิยมของอาราชิยามะก็พุ่งทะยานข้ามผ่านกาลเวลามายาวนานจวบจนปัจจุบันเลยทีเดียว

สำหรับกิจกรรมการท่องเที่ยวอาราชิยามะนั้น เราขอแนะนำให้ไปชมวิวหุบเขาบนสะพานโทเก็ทสึเคียวที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเฮอัน สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดเท็นริวจิ หรือจะไปปั่นจักรยานในป่าไผ่ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กที่มีชื่อเสียงของอาราชิยามะก็ดีเช่นกัน

ข้อมูลเกี่ยวกับอาราชิยามะ (Arashiyama)

วิธีเดินทาง
    • นั่งรถไฟ JR สาย Sagano จากสถานี Kyoto (ใช้เวลา 15 นาที ค่าโดยสาร 240 เยน) (เหมาะกับคนมี JR Pass)
    • นั่งรถไฟสาย Hankyu จากสถานี Kawaramachio (ใข้เวลา 20 นาที ค่าโดยสาร 230 เยน) (เหมาะกับคนมี Kansai Thru Pass)
    • นั่งรถบัส (ใช้เวลาประมาณ 20 – 25 นาที แต่เวลาจะไม่แน่นอนเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับการจราจร / เหมาะกับตั๋วรถบัสรายวัน)
ที่อยู่
    • Togetsukyo Bridge, Saganakanoshimacho, Ukyo Ward, Kyoto, 616-8383
    • Tenryuji, 68 Susukinobaba-cho, Saga-Tenryuji, Ukyo-ku, Kyoto-shi, 616-8385 Japan
    • โทร : (075) 881-1235
    • แฟ็กซ์ : (075) 864-2424
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน
ค่าเข้าชม
    • วัด Tenryuji มีค่าเข้าชม 500 เยน
    • หากต้องการเข้าชมภายในวัด มีค่าเข้าชมเพิ่มเติมอีก 300 เยน
เว็บไซต์
แผนที่

Back To จุดท่องเที่ยวที่สวยงามทุกฤดูกาล

Back To Index

3.9 อามาโนะฮาชิดาเตะ (Amanohashidate)

อามาโนะฮาชิดาเตะ (Amanohashidate) เป็นสถานที่ซึ่งติดอันดับว่าเป็นหนึ่งใน “จุดชมวิวที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น (日本三景 / Nihon Sankei)” ร่วมกับมิยาจิมะ (Miyajima) จังหวัดฮิโรชิม่า และมัตสึชิมะ (Matsushima) จังหวัดมิยากิ

อ่านเรื่องของเกาะมิยาจิมะได้ที่นี่ > ชมหนึ่งในสามวิวที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นที่ ‘เกาะมิยาจิมะ’
อ่านเรื่องของมัตสึชิมะได้ที่นี่ > นั่งเรือชมอ่าวมัตสึชิมะ 1 ใน 3 วิวที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น & เดินเล่นบนเกาะโดยรอบ

 

คำว่า ‘อามาโนะฮาชิดาเตะ’ แปลว่า ‘สะพานสู่แดนสวรรค์’ เพราะสะพานแห่งนี้สร้างขึ้นจากธรรมชาติอย่างแท้จริง โดยเกิดจากแนวสันทรายที่ทอดตัวอยู่กลางอ่าวมิยาซุเป็นแนวยาว 3.6 กิโลเมตร เชื่อมแผ่นดินของเกาะทั้งสองไว้ด้วยกัน

นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่ากันว่า มีเทวดาแห่งดินแดนสรวงสรรค์ได้หลงรักเทพธิดาองค์หนึ่งที่อาศัยในโลกมนุษย์ จึงสร้างสะพานที่ทอดตัวยาวลงมายังโลกมนุษย์เพื่อจะมาพบกับเทพธิดา แต่สะพานที่ว่ากลับพังลงมาแล้วกลายเป็นหาดทรายสีขาวสะอาดพาดผ่านทะเล ซึ่งก็คืออามาโนะฮาชิดาเตะนั่นเอง

เมื่อเราไปยังจุดชมวิวก็จะเห็นความสวยงามของอามาโนะฮาชิดาเตะที่ราวกับเป็นสะพานสู่ดินแดนสวรรค์จริงๆ

ข้อมูลเกี่ยวกับอามาโนะฮาชิดาเตะ (Amanohashidate)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Kyoto สามารถโดยสารรถบัสไปได้โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง (จองได้ที่นี่ :  willerexpress.com)
ที่อยู่
    • Amanohashidate, Monju, Miyazu, Kyoto 626-0001
    • โทร : 0772-22-8030
เวลาทำการ
    • เปิดทำการทุกวันและตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
แผนที่

Back To จุดท่องเที่ยวที่สวยงามทุกฤดูกาล

Back To Index

3.10 หมู่บ้านอิเนะ (Ine Village)

หมู่บ้านอิเนะ (Ine Village) เป็นเมืองเล็กๆที่เรียงรายไปด้วยบ้านเรือนของชาวท้องถิ่นที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น หมู่บ้านนี้ทอดตัวไปตามแนวยาวของอ่าวอิเนะ (Ine Bay) และตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ ‘จังหวัดเกียวโต’

ลักษณะของบ้านแต่หลังจะมีชั้นล่างเป็นอู่เก็บเรือ ส่วนชั้นบนเป็นห้องรับรองอเนกประสงค์ ลักษณะของการสร้างบ้านที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้เรียกว่า ‘ฟุนายะ’ หรือสถาปัตยกรรมดั้งเดิมที่ออกแบบมาเพื่อความสะดวกต่อการนำเรือออกไปหาปลา ด้วยเหตุนี้เอง อิเนะจึงเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองในด้านอุตสาหกรรมประมงมาตั้งแต่อดีต

ส่วนบ้านที่ผู้คนใช้อาศัยจริงๆ จะอยู่สร้างบนบกโดยมีถนนสายเล็กทอดตัวผ่านบ้านที่มีมากกว่า 200 หลังคาเรือน และแน่นอนว่าบ้านแต่ละหลังก็คงความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้

ว่ากันว่าเพียงเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ในฤดูกาลต่างๆ เราก็จะได้เห็นเสน่ห์ที่แตกต่างกันของหมู่บ้านอิเนะในแต่ละฤดูกาล

นักท่องเที่ยวที่มาพักแรมที่นี่ไม่เพียงแต่จะได้สัมผัสกับบรรยากาศของการพักในฟุนายะเท่านั้น แต่ยังได้เพลิดเพลินไปกับอาหารทะเลสดๆจากอ่าวอิเนะอีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านอิเนะ (Ine Village)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Amanohashidate โดยสารรถบัส Tankai Bus ลงที่ Ine bus stop (400 เยน) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
ที่อยู่
    • Ine Funaya, 〒626-0423 Kyoto, Yoza District, Ine, Hirata, 77
    • โทร : 0772-32-0277
เวลาทำการ
    • เปิดทำการทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม (อัตราค่าเข้าพักโปรดดูที่เว็บไซต์)
เว็บไซต์
แผนที่

Back To จุดท่องเที่ยวที่สวยงามทุกฤดูกาล

Back To Index

3.11 วัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple)

วัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple) เป็นวัดพุทธที่ตั้งอยู่ในเมืองอุจิ จังหวัดเกียวโต ปัจจุบันได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก แรกเริ่มเดิมทีสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่วัด แต่เป็นที่พักตากอากาศของตระกูลฟูจิวาระที่สร้างขึ้นในปี 998

สถานที่แห่งนี้ได้เปลี่ยนเป็นวัดในปี 1053 และในปีเดียวกันนี้ได้มีการก่อสร้างอาคารนกฟีนิกซ์ขึ้น ซึ่งอาคารดังกล่าวเป็นสถาปัตยกรรมหนึ่งเดียวที่เหลือรอดจากภัยธรรมชาติและสงครามในตอนนั้น วัดเบียวโดอินจึงคงความเป็นเอกลักษณ์และความดั้งเดิมนี้ไว้จนถึงปัจจุบัน

สาเหตุที่เรียกว่า ‘อาคารนกฟีนิกซ์’ เป็นเพราะโทนสีอบอุ่นของตัววัด และรูปทรงอาคารที่สง่างาม ทำให้เราเห็นว่าอาคารมีลักษณะคล้ายนกที่กำลังกางปีก เมื่อได้เห็นเงาของตัวอาคารที่ปรากฏบนผิวน้ำในสระขนาดใหญ่ ก็เหมือนกับเราได้เห็นนกฟินิกซ์ยักษ์โผบินสู่ฟากฟ้า

นอกจากนี้วัดเบียวโดอินยังปรากฏอยู่บนเหรียญ 10 เยนด้วยนะ ไม่เชื่อก็ลองหยิบเหรียญขึ้นมาดูสิ!

อ่านข้อมูลเจาะลึกเกี่ยวกับวัดเบียวโดอินและเมืองอุจิได้ที่นี่ > เยือนแดนชาเขียว เมืองอุจิ

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple)

วิธีเดินทาง
    • สำหรับท่านที่มี Kintetsu Rail Pass แบบ 5 day หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถไฟ Kintetsu ได้ โดยให้ขึ้นรถไฟไปที่สถานี Okubo (ใช้เวลา 23 นาที) เมื่อถึงสถานี Okubo แล้วให้นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Ujibashi Nishizume (ใช้เวลา 12 นาที) แล้วเดินอีกประมาณ 4 นาที (ใช้ Kintetsu Rail Pass เพื่อนั่งรถบัสฟรีได้)
    • ส่วนคนที่โดยสารรถไฟ JR ให้นั่งรถไฟตรงมาที่สถานี Uji เลย (ใช้เวลา 33 นาที ค่าโดยสาร 240 เยน) แล้วเดินอีก 12 นาที
ที่อยู่
    • Byodoin Temple, 116 Uji Renka, Uji City, Kyoto 611-0021, Japan
    • โทร : 0774-21-2861
เวลาทำการ
    • เปิดทำการทุกวัน ในเวลา 8:30 – 17:30 น.
    • สามารถทัวร์อาคารนกฟีนิกซ์ได้ทุกวัน ในเวลา 9:30 – 16:10 น.
    • ส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดทำการทุกวัน ในเวลา 9:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ผู้ใหญ่ : 600 เยน
    • นักเรียนมัธยมต้น : 400 เยน
    • นักเรียนประถม : 300 เยน
เว็บไซต์
แผนที่

Back To จุดท่องเที่ยวที่สวยงามทุกฤดูกาล

Back To Index

4. ย่านชอปปิ้ง

4.1 ย่านกิอง (Gion)

กิอง (Gion) เป็นย่านเมืองเก่าในเมืองเกียวโต (Kyoto City) ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของบ้านเรือนเก่าแก่สไตล์ญี่ปุ่นโบราณ และเป็นย่านที่หลายๆคนปักหมุดเอาไว้ในแผนท่องเที่ยวว่าจะต้องมาเยือนให้ได้ เพราะทุกคนจะได้ชมความสวยงามของ เกอิชา ในชุดกิโมโนแบบดั้งเดิมอันแสนประณีต

pptara / Shutterstock

เกอิชาเป็นหญิงสาวที่มีความชำนาญในงานศิลปะและทำหน้าที่ดูแลแขกในร้านน้ำชา นอกจากนี้เกอิชายังเป็นอาชีพเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน

  • หมายเหตุ : ปัจจุบันมีกฎห้ามถ่ายรูปภายในบริเวณย่านกิอง

ข้อมูลเกี่ยวกับย่านกิอง (Gion)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 100 หรือ 206 ไปลงที่ป้าย Gion ได้ โดยใช้เวลา 20 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 5 นาที
    • นอกจากนี้สามารถนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Gion Shijo หรือสถานี Kawaramachi ก็ได้เช่นกัน
ที่อยู่
    • Gion, 570-2 Gionmachi Minamigawa, Higashiyama Ward, Kyoto, 605-0074
    • โทร : 0755611119
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
แผนที่

Back To ย่านชอปปิ้ง

Back To Index

4.2 ถนน Kiyomizu-Zaka Street

ถนน Kiyomizu-Zaka Street คือถนนที่มุ่งตรงสู่วัดคิโยมิสึ ซึ่งมีร้านรวงแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมตลอดเส้นทาง ถ้านับจากวัดคิโยมิสึไปจนถึงศาลเจ้ายาซากะ ถนนเส้นนี้จะมีระยะทางรวมประมาณ 2 กิโลเมตร จึงใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นในการเดินให้ทั่ว

ตลอดทางเราจะเห็นร้านค้าต่างๆเรียงรายไปตามแนวถนน ด้วยบรรยากาศแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม รวมถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของบ้านเรือนใน ‘จังหวัดเกียวโต’ อีกทั้งยังมีอาหารพื้นเมืองและขนมท้องถิ่นหลากหลายชนิดให้ได้ลองลิ้มชิมรสอยู่เป็นระยะๆ ถนนสายนี้จึงได้รับความนิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยว

ข้อมูลเกี่ยวกับถนน Kiyomizu-Zaka Street

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 205, 206 หรือ 207 ไปลงที่ป้าย Kiyomizumichi ได้ โดยใช้เวลา 20 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 3 นาที
ที่อยู่
    • Kiyomizu-Zaka Street, Kiyomizu, Higashiyama-ku, Kyoto 605-0862, Kyoto Prefecture
เวลาทำการ
    • ร้านค้าส่วนใหญ่เปิดทำการทุกวัน ในเวลา 10:00 – 18:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
แผนที่

Back To ย่านชอปปิ้ง

Back To Index

4.3 ตลาดนิชิกิ (Nishiki Market)

Phanu D Pongvanit / Shutterstock

ตลาดนิชิกิ (Nishiki Market/錦市場) เป็นตลาดเก่าแก่ของ ‘จังหวัดเกียวโต’ มีอายุหลายร้อยปี เพราะก่อตั้งมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เดิมที่นี่เป็นตลาดขายส่งปลา ต่อมามีสินค้าปลีกอื่นๆอีกเป็นจำนวนมากที่จำหน่ายในตลาดแห่งนี้

ตลาดนิชิกินั้นเรียกว่าเป็นเหมือนครัวของ ‘จังหวัดเกียวโต เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะมีอาหารสด อาหารทะเล และผลไม้สดหลากชนิดแล้ว ตลอดแห่งนี้ยังมีของกินอื่นๆอีกเยอะแยะเต็มไปหมดเลยล่ะ

ช่างเป็นตลาดที่อุดมสมบูรณ์จริงๆ!

ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดนิชิกิ (Nishiki Market)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Kyoto นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Shijo หรือสถานี Karasuma แล้วเดินอีก 5 นาที
ที่อยู่
    • Nishiki Market, 609 Nishidaimonjicho, Nakagyo Ward, Kyoto, 604-8054
    • โทร : 075-211-3882
เวลาทำการ
    • เปิดทำการทุกวัน เวลา 9.00 – 17.30 น.
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
แผนที่

Back To ย่านชอปปิ้ง

Back To Index

อาหารท้องถิ่นประจำ ‘จังหวัดเกียวโต’

1. ชาเขียว

อุตส่าห์มาถึง ‘จังหวัดเกียวโต’ เมืองแห่งชาเขียวทั้งที ของกินที่พลาดไม่ได้คงต้องเป็น ชาเขียว นี่ล่ะ

ว่าแต่มีเมนูชาเขียวแบบไหนที่ควรลองบ้างนะ?

ที่มา : https://jw-webmagazine.com

เมนูแรกที่จะแนะนำเป็นเมนูของหวานที่มีชื่อว่า “Gion Tsujiri” เป็นพาร์เฟ่ต์ชาเขียวของร้านคาเฟ่ชาเขียวชื่อดังในย่านกิองอย่าง Saryo Tsujiri (ซาเรียว สึจิริ)

เว็บไซต์

ที่มา : https://media.sharing-kyoto.com

ไปต่อที่ของคาวกันบ้าง โซบะชาเขียวของร้าน Shofukutei ก็เป็นตัวเลือกที่ดีนะ

อยากแหวกแนวให้สุดต้อง ราเมนชาเขียว! จากร้านราเมนทานากะคิวโช (ラーメン田中九商店) ซึ่งอยู่ในละแวกอุจิ ใกล้กับวัดเบียวโดอินนั่นเอง

อ่านบทความเจาะลึกเรื่องชาเขียวในย่านอุจิ > Uji ย่านสีเขียวของเกียวโตที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมเก่าแก่และของอร่อย -Part II เมืองแห่งชาเขียว

Back To อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดเกียวโต

Back To Index

2. นิชินโซบะ (Nishin Soba)

นิชินโซบะ (Nishin Soba) เป็นคาเคะโซบะหน้าปลานิชินแห้งต้มน้ำตาล หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับคำว่า ปลานิชิน แต่ถ้าพูดว่า ปลาแฮร์ริง ก็คงถึงบางอ้อไปตามๆกันเลยทีเดียว

นิชินโซบะเป็นอีกเมนูที่ได้รับความนิยมมากในเกียวโต เพราะนอกจากปลานิชินจะเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายจากสถานที่แห่งนี้แล้ว ทั้งเส้นโซบะและปลาแห้งยังสามารถเก็บไว้ได้นานอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่นอกจากในจังหวัดเกียวโตแล้ว นิชินโซบะก็ยังเป็นเมนูฮอตฮิตในจังหวัดฮอกไกโดด้วย

ส่วนเรื่องรสชาติคงไม่ต้องบรรยายกันให้มากความ เพราะนอกจากจะไม่คาวแล้ว เนื้อปลานิชินยังมีรสออกหวานเค็มตัดกับน้ำซุปที่มีความกลมกล่อม ลงตัวอย่างพอดิบพอดีกับเส้นโซบะนุ่มลื่นปรึ๊ดเคี้ยวเพลิน อร่อยฟินอย่าบอกใครเชียว!

Back To อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดเกียวโต

Back To Index

3. ยัทสึฮาชิ (Yatsuhashi)

ยัทสึฮาชิ (Yatsuhashi) เป็นขนมกล่องเล็กๆที่มีส่วนผสมของข้าว น้ำตาล และอบเชย นอกจากจะเป็นของฝากขึ้นชื่อของ ‘จังหวัดเกียวโต’ แล้ว ยัทสึฮาชิยังมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจอีกด้วย

ว่ากันว่าคนที่ให้กำเนิดขนมยัทสึฮาชิคือพระภิกษุตาบอดรูปหนึ่งนามว่า ยัทสึฮาชิ เค็งเกียว (Yatsuhashi Kengyo) ถึงแม้ว่าท่านจะพิการทางกาย แต่ท่านก็มีความสามารถด้านการประพันธ์ดนตรี นอกจากนี้ท่านยังชื่นชอบการเล่นเครื่องดนตรีประเภทสายอย่าง โกโตะ (Koto) ด้วย

แต่สิ่งที่น่านับถือยิ่งกว่าความสามารถของยัทสึฮาชิ เค็งเกียวก็คืออุปนิสัยที่ถ่อมตน เรียบง่าย และสมถะ เมื่อถึงเวลาฉันอาหาร ท่านก็จะพิถีพิถันในการฉันโดยไม่ให้มีอาหารเหลือทิ้งหรือเสียเปล่า หากวันไหนมีข้าวเหลือติดก้นหม้อก็จะนำมาทำของว่าง ซึ่งขนมยัทสึฮาชิก็ได้ถือกำเนิดขึ้นจากการนำเศษข้าวที่ติดก้นหม้อมาผสมกับน้ำตาลและอบเชยนั่นเอง

ก่อนที่ยัทสึฮาชิจะมีรูปร่างเป็นสามเหลี่ยมสอดไส้ต่างๆและให้รสสัมผัสนุ่มนิ่มเหมือนเช่นปัจจุบัน ขนมชนิดนี้เคยมีรูปร่างโค้งเหมือนโกโตะ และยังให้สัมผัสกรุบกรอบคล้ายขนมเซมเบ้อีกด้วย เพียงแต่แข็งกว่าและบางกว่าด้วยกรรมวิธีการอบ เพราะการทำยัทสึฮาชิในสมัยก่อนจะต้องคำนึงถึงการเก็บรักษา ส่วนรูปร่างที่เหมือนโกโตะนั้นเป็นการทำขึ้นเพื่อให้เกียรติแก่ผู้ให้กำเนิดของว่างชื่อดังชนิดนี้อย่าง ยัทสึฮาชิ เค็งเกียว

สำหรับวิธีการรับประทานขนมยัทสึฮาชิ คนเกียวโตนิยมทานคู่กับชาเขียวร้อนครับ หรือจะกินเล่นเปล่าๆก็อร่อยนะ

Back To อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดเกียวโต

Back To Index

อ่านบทความอื่นๆจาก fromJapan

มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!

รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!

ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ

Back To Top