fbpx

ส่องประวัติ! “หมูดำคาโกชิม่า” หมูดำพันธุ์ดีที่ไม่ได้มีดีแค่ชื่อพันธุ์

มิ.ย. 26, 2023

ส่องประวัติ! “หมูดำคาโกชิม่า” หมูดำพันธุ์ดีที่ไม่ได้มีดีแค่ชื่อพันธุ์

หากเพื่อนๆคนไหนเคยได้มาเที่ยวที่ ‘คาโกชิม่า’ สักครั้งแล้ว เราเชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จักของอร่อยประจำจังหวัดอย่าง “หมูดำคาโกชิม่า (Kagoshima Kurobuta) หรือ “หมูดำคุโรบุตะ” กันแน่นอนค่ะ เพราะหมูดำคาโกชิม่านั้นเรียกได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของจังหวัดคาโกชิม่าเลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เนื้อคุณภาพดี’ ของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วยค่ะ

แต่ทุกคนทราบหรือไม่ว่า กว่าหมูดำคาโกชิม่าจะกลายมาเป็นหมูดำเกรดพรีเมี่ยมระดับประเทศนั้น ชาวคาโกชิม่าเขาฝ่าฟันและพัฒนาหมูสายพันธุ์นี้ให้กลายมาเป็นแบรนด์เนื้อหมูที่มีชื่อเสียงจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร

วันนี้เราจะพาทุกคนมาเจาะลึกทำความรู้จักกับ ‘หมูดำคาโกชิม่า’ หมูดำพันธุ์ดีที่ไม่ได้มีดีแค่ชื่อพันธุ์กันค่ะ

ที่มา : http://www.k-kurobuta.com/

รากฐานทางประวัติศาสตร์กว่า 400 ปี จากอาณาจักรริวกิวสู่แคว้นซัตสึมะ

“หมูดำคุโรบุตะ” หรือ “หมูดำคาโกชิม่า” เป็นหมูดำพันธุ์เบอร์กเชียร์ที่มีรากฐานมาจากประเทศจีน โดยนำเข้ามาทางอาณาจักรริวกิว (โอกินาว่า) ว่ากันว่าหมูดำคุโรบุตะนั้นเข้ามาสู่คาโกชิม่าครั้งแรกเมื่อประมาณ 400 ปีก่อน โดยไดเมียวชั้นสูงแห่งตระกูลชิมาสึเป็นผู้นำเข้ามาจากเกาะริวกิวนั่นเองค่ะ

ต่อมาในช่วงยุคสมัยเมจิ ชาวคาโกชิม่าได้เริ่มปรับปรุงพันธุ์หมูดำอย่างจริงจัง โดยทำการผสมแบบข้ามสายพันธุ์ระหว่างหมูพื้นเมืองและหมูพันธุ์เบอร์กเชียร์ที่นำเข้ามาจากประเทศอังกฤษ หลังจากทดลองผสมหมูข้ามสายพันธุ์แล้วปรากฏว่าเนื้อหมูมีคุณภาพดีเกินคาด อีกทั้งรสชาติยังอร่อยยิ่งขึ้นด้วย ต่อมาได้มีการส่งออกหมูดำไปยังเขตชิบะอุระ โตเกียวในช่วงสมัยโชวะทศวรรษที่ 20 ด้วยคุณภาพและความอร่อยของเนื้อหมูดำคาโกชิม่า มันจึงกลายเป็นที่รู้จักและโด่งดังตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ต่อมาในปี 1955 ยุคทองของหมูดำคาโกชิม่าก็ได้เดินมาถึง เนื่องจากหมูสายพันธุ์นี้ได้รับความนิยมที่โตเกียวเป็นอย่างมาก จนมีการเรียกชื่อหมูดำที่ผลิตในจังหวัดนี้ว่าหมูดำคาโกชิม่า จากนั้นชื่อของหมูดำคาโกชิม่าก็ได้กลายมาเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในฐานะ ‘เนื้อหมูคุณภาพสูง’

หมูดำคาโกชิม่า เคยตกอยู่ในภาวะสูญพันธุ์ชั่วคราว? ได้รับการฟื้นฟูคืนกลับมาได้อย่างปาฏิหาริย์ จากแรงผลักดันของผู้ผลิตที่อยู่เบื้องหลัง

นับตั้งแต่มีการนำเข้าหมูดำมาสู่จังหวัด หมูดำคาโกชิม่าก็ได้สร้างจุดยืนด้านคุณภาพมาตลอด จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงกลางสมัยโชวะทศวรรษที่ 30 ได้มีการนำหมูพันธุ์ลาร์จไวท์(หมูขาว)เข้ามาเลี้ยงในคาโกชิม่า เนื่องจากหมูพันธุ์ลาร์จไวท์สามารถเติบโตได้ดีกว่าหมูดำพันธุ์เบอร์กเชียร์ ด้วยเหตุนี้สัดส่วนการนำหมูดำเข้ามาเลี้ยงจึงลดลงเหลือเพียง 1.6 เปอร์เซ็นต์ ของทั้งหมด และเมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนัก หมูดำพันธุ์เบอร์กเชียร์ก็เข้าสู่ภาวะใกล้สูญพันธุ์อยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง

แน่นอนว่าสิ่งที่จะช่วยกอบกู้สถานการณ์นี้ได้ก็คือ แนวคิดของผู้ผลิตและผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลี้ยงหมูดำที่เชื่อว่า “ยุคแห่งคุณภาพเหนือกว่าปริมาณจะต้องมาถึงแน่นอน” นอกจากนี้ในปี 1974 ทางจังหวัดคาโกชิม่าได้ตัดสินใจส่งเสริมการเลี้ยงหมูดำเช่นเดียวกัน

ต่อมาทางผู้ผลิตและผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลี้ยงหมูได้ทำการวิจัยและปรับปรุงพันธุ์หมูดำ จนกลายมาเป็นพันธุ์สุกรที่มีคุณภาพสูงในฟาร์มเพาะพันธุ์ที่กำหนดโดยภาคเอกชน ในขณะเดียวกันกรมปศุสัตว์ประจำจังหวัดคาโกชิม่าก็ได้ทำการวิจัยและปรับปรุงพันธุ์หมูดำจนสำเร็จ จนกลายมาเป็นห้องปฏิบัติการแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่สามารถผลิต “หมูดำสายพันธุ์คาโกชิม่าเบอร์กเชียร์” (Kagoshima Berkshire) ได้ค่ะ

จากความพยายามที่ต้องการฟื้นฟูหมูดำให้ผ่านพ้นวิกฤติการณ์นี้ไป ในท้ายที่สุดจำนวนของหมูดำและเกษตรกรผู้เลี้ยงก็ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบันแม้ว่าจะมีการปรับปรุงพันธุ์หมูดำจนสำเร็จและสามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่จังหวัดได้แล้ว แต่ทางจังหวัดคาโกชิม่าและผู้ผลิตก็ยังคงเดินหน้าวิจัยและพัฒนาพันธุ์หมูดำให้มีคุณภาพยิ่งขึ้นไป

ยกระดับคุณภาพเนื้อสัตว์ อาหารโปรดคือ “มันหวาน” พร้อมดูแลตามมาตรฐานอย่างเข้มงวด

หมูดำคุโรบุตะของคาโกชิม่าเป็นเนื้อหมูที่ได้รับการขนานนามว่ามีคุณภาพ ซึ่งเบื้องหลังของคุณภาพการผลิตนั้นก็มาจากการวิจัยและปรับปรุงพันธุ์หมูดำอยู่เสมอ เพื่อให้ได้เนื้อหมูที่มีคุณภาพมากที่สุดนั่นเองค่ะ

เมื่อปี 1990 กลุ่มผู้เลี้ยงหมูดำคาโกชิม่าได้มีการจัดตั้ง “สภาผู้เลี้ยงหมูดำคาโกชิม่า” และได้มีการกำหนดมาตรฐานที่จำเป็นสำหรับการผลิตหมูดำคาโกชิม่าขึ้นมา

ประการแรกคือ ‘สายพันธุ์หมูดำ’ โดยหมูดำคาโกชิม่าจะต้องเป็นหมูดำสายพันธุ์คาโกชิม่าเบอร์กเชียร์ทั้งหมด โดยไม่รวมหมูดำพันธุ์เบอร์กเชียร์ที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ หรือประเทศอื่นๆ และไม่อนุญาตให้มีการนำหมูดำพันธุ์คาโกชิม่าเบอร์กเชียร์ไปผสมกับหมูสายพันธุ์อื่น ทั้งนี้ หมูดำคาโกชิม่าจะมีลักษณะพิเศษหลายอย่างที่ไม่พบในหมูสายพันธุ์อื่น เช่น เนื้อมีความกรอบ ละมุน และมีความอร่อยแบบรสอูมามิ

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งมาตรฐานที่จำเป็นสำหรับการผลิตหมูดำคาโกชิม่า คือช่วงหลังจากที่ขุนหมูดำให้อุดมสมบูรณ์แล้ว ผู้เลี้ยงจะต้องนำมันหวานมาผสมรวมในอาหารสัตว์ด้วยสัดส่วนประมาณ 10 – 20 เปอร์เซ็นต์ และให้หมูดำกินแบบนี้เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 60 วันหรือมากกว่า การให้หมูดำกินของหวานในปริมาณที่พอเหมาะนั้นจะทำให้คุณภาพไขมันของหมูดียิ่งขึ้น เนื้อหมูจะแน่น รวมถึงมีรสชาติอร่อย

นอกเหนือจากการปฏิบัติตามมาตรฐานการผลิตแล้ว อีกหนึ่งมาตรฐานที่จะขาดไปไม่ได้เลยก็คือ การเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมและเอาใจใส่ของผู้เลี้ยง ด้วยประการทั้งหมดนี้ หมูดำคุโรบุตะของคาโกชิม่าจึงกลายมาเป็นเนื้อหมูพันธุ์ดีที่มีคุณภาพของญี่ปุ่นนั่นเอง

พิสูจน์ความอร่อยด้วยค่าตัวเลขที่เหนือกว่า ความหวานและรสอูมามิที่ไม่มีใครเทียบได้

จากผลวิจัยที่ดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยคาโกชิม่าและห้องปฏิบัติการของกรมปศุสัตว์ประจำจังหวัด มีการสรุปไว้ว่าเมื่อเปรียบเทียบหมูดำคาโกชิม่ากับสุกรขาวในประเทศและสุกรนำเข้าแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าหมูดำคาโกชิม่ามีปริมาณกรดอะมิโนที่ให้ความหวานและรสอูมามิสูงกว่าหมูพันธุ์อื่นเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เนื้อหมูดำคาโกชิม่าจึงมีรสชาติอร่อยไม่เหมือนที่ไหนๆ

ลักษณะเด่นที่เราจะได้พบเมื่อทานหมูดำคุโรบุตะคือ เราจะสัมผัสได้ถึงศาสตร์แห่งความอร่อยดังต่อไปนี้

  1. ‘ความกรอบนอกนุ่มใน’ เพราะหมูดำคาโกชิม่ามีเส้นใยกล้ามเนื้อที่มีความละเอียดสูง
  2. ‘เนื้อมีความแน่น ชุ่มฉ่ำ ไม่อมน้ำ’ เพราะหมูดำคาโกชิม่ามีศักยภาพในการกักเก็บน้ำได้สูง และมีปริมาณน้ำในเนื้อเยื่อไขมันต่ำ
  3. ‘สัมผัสได้ถึงรสชาติอูมามิและความหวานได้เต็มคำ’ เนื่องจากหมูดำคาโกชิม่ามีสารประกอบที่ให้รสชาติอูมามิในปริมาณมาก เช่น กรดอะมิโนและ Neutral Sugar
  4. ‘เนื้อนิ่มละลายในปาก ไม่มีกลิ่นคาว ไม่เยิ้ม’ เพราะหมูดำคาโกชิม่ามีอุณหภูมิร่างกายที่เผาผลาญไขมันได้สูง จึงไม่เกิดกลิ่นคาวและรับประทานได้ง่าย

หมูดำคาโกชิม่า ไม่ได้มีเพียงแค่ความอร่อย แต่ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกเพียบ!

“หมูดำคุโรบุตะ ไม่ใช่แค่มีรสชาติอร่อยเพียงเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คนทานได้รับสารอาหารอย่างมีประสิทธิภาพด้วย เช่น โปรตีนและไขมันที่มีคุณภาพสูง นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของคอลลาเจนและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเป็นจำนวนมาก

หมูดำคาโกชิม่า ไม่เพียงได้รับความนิยมจากผู้ซื้อ แต่ยังได้รับคะแนนประเมินคุณภาพระดับสูงอีกด้วย

หมูดำคาโกชิม่าไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเท่านั้น ด้วยความทุ่มเทจากสภาผู้เลี้ยงหมูดำคาโกชิม่าที่มุ่งเน้นการเพาะพันธุ์หมูชนิดนี้ หมูดำคาโกชิม่ายังได้รับคะแนนประเมินในระดับสูงจากผู้ซื้อที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารอีกด้วย และด้วยเหตุนี้เอง หมูดำคาโกชิม่าจึงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วประเทศ

กระแสตอบรับดีจากทั่วโลก แม้แต่ในต่างประเทศก็ได้รับความนิยม พร้อมปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในปัจจุบันความนิยมของหมูดำคาโกชิม่าไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังมีการส่งออกไปต่างประเทศอีกด้วย หากอ้างอิงข้อมูลจากปี 2021 จะพบว่าปริมาณการส่งออกหมูดำคาโกชิม่ามีมากถึง 97 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่เพิ่มขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2015 หรือเท่ากับเพิ่มขึ้นมา 3 เท่าในเวลาเพียง 6 ปีเท่านั้น

ต่อมาทางสภาผู้เลี้ยงหมูดำคาโกชิม่าได้มีการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ในต่างประเทศ รวมถึงการเจรจาธุรกิจต่างๆ ทำให้หมูดำคาโกชิม่าเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในเอเชีย และได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในต่างประเทศถึง 6 ประเทศ เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง และสิงคโปร์ เป็นต้น

นอกจากนี้ “KAGOSHIMA KUROBUTA” ซึ่งเป็นร้านค้าที่กำหนดโดยสภาส่งเสริมการส่งออกเนื้อสัตว์คาโกชิม่า (Kagoshima Meat Export Federation) ได้เปิดร้านจำหน่ายหมูดำคาโกชิม่าที่ประเทศสิงคโปร์ถึง 4 สาขา (ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2021)

เว็บไซต์ของสภาส่งเสริมการส่งออกเนื้อสัตว์คาโกชิม่า >> http://en.k-meat.net/

ที่มา

เฟซบุ๊ก Kagoshima Thailand
เว็บไซต์จังหวัดคาโกชิม่า

อ่านบทความอื่นๆเกี่ยวกับจังหวัดคาโกชิม่า

มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!

รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!

ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ

Back To Top