fbpx

รวม 10 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดโคจิ’ ที่ต้องไปโดนให้ได้สักครั้ง!

พ.ค. 31, 2021

บทนำ : ไปเที่ยว ‘จังหวัดโคจิ’ กันเถอะ!

จังหวัดโคจิ (Kochi Prefecture) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของภูมิภาคชิโกกุ (Shikoku Region) โดยมีอาณาเขตขยายออกไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ลักษณะของแผ่นดินโคจินั้นเว้าเป็นวงกว้าง จึงดูคล้ายกับว่าจังหวัดแห่งนี้กำลังโอบล้อมผืนน้ำของมหาสมุทรแปซิฟิกที่แสนยิ่งใหญ่เอาไว้

นอกจากนี้ จังหวัดโคจิยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันสวยงามมากมาย เนื่องจาก 84% ของพื้นที่ราบสูงและภูเขานั้นปกคลุมไปด้วยป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ แถมในส่วนพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ก็มีสายธารที่ใสสะอาดอย่างแม่น้ำชิมังโตะ (Shimanto River) ที่คอยไหลไปยังส่วนต่างๆของจังหวัด ราวกับเป็นสายเลือดที่หล่อเลี้ยงพื้นที่แห่งนี้ให้ไม่มีวันเหือดแห้งไป

สำหรับสภาพภูมิอากาศของจังหวัดโคจิก็จะมีลักษณะอบอุ่นชื้น แม้อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีจะอยู่ที่ 17.8 องศาเซลเซียส แต่เมื่อเข้าหน้าร้อนอุณหภูมิจะสูงได้ถึง 37 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว! (แต่พวกเราชาวไทยคงไม่สะทกสะท้านกันสักเท่าไหร่หรอกเนอะ 555) ส่วนหน้าหนาวจะมีอากาศค่อนข้างอบอุ่น แต่ถ้าตัดภาพไปยังภูเขาหรือพื้นที่สูง เราจะพบกับอากาศหนาวจัดและมีหิมะปกคลุมด้วย

ถ้าใครอยู่โตเกียวหรือโอซาก้าแล้วเกิดอยากไปเที่ยว ‘จังหวัดโคจิ’ ก็สามารถนั่งเครื่องมาลงที่นี่ได้ค่ะ โดยใช้เวลาเพียง 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น

หากจะให้ยกตัวอย่างถึงเสน่ห์ของจังหวัดโคจิ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ วัฒนธรรมโอเกียกุ (Okyaku) ที่แสดงให้เห็นถึงความน่ารักและความเป็นกันเองอย่างมากของชาวจังหวัดโคจิ ถ้าใครเรียนภาษาญี่ปุ่นมาจะรู้ทันทีเลยว่า โอเกียกุ มีความหมายว่า แขก หรือ ผู้มาเยือน แต่ที่โคจินั้นคำว่า โอเกียกุ มีความหมายว่า งานปาร์ตี้ จ้า!

ยิ่งไปกว่านั้น ชาวโคจิเองก็ได้รับการปลูกฝังวัฒนธรรมดังกล่าวอย่างแข็งแกร่งและเหนียวแน่น จนไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง งานขึ้นบ้านใหม่ งานเทศกาลชมดอกไม้ ฤดูเก็บเกี่ยว หรือแม้แต่ในโอกาสที่ลูกบ้านไหนเรียนจบหรือสอบติดมหาวิทยาลัย พี่แกก็จะเหมาจัดปาร์ตี้ไปเสียหมด

นอกจากนี้ งานปาร์ตี้ของชาวโคจิยังมีเอกลักษณ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การชวนคนที่ไม่รู้จักหรือคนแปลกหน้าเข้ามาร่วมวงปาร์ตี้ด้วย! ยิ่งไปกว่านั้น หากเรายังมีท่าทีเคอะเขินหรือไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกับใครเขาเท่าไหร่ เจ้าบ้านในปาร์ตี้จะให้เรานั่งก๊งสุราไปจนกว่าจะสามารถพูดได้เป็นต่อยหอย ประหนึ่งว่าเราเคยเป็นเพื่อนซี้กับชาวโคจิมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว แต่เพิ่งจะมาหากันเจอในชาตินี้ค่ะ 555

ถ้าใครอยากลองปาร์ตี้โต้รุ่งแบบสามวันสามคืนท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและสนุกสนาน ขอแนะนำว่าต้องมาที่โคจิเนี่ยแหละ เริ่ดที่สุดแล้วค่ะท่านผู้ชม!

สารบัญ (Index)

วิธีการเดินทาง
    1. จากโตเกียว —> โคจิ
    2. จากโอซาก้า —> โคจิ
    3. จากฮิโรชิม่า —> โคจิ
    4. จากมัตสึยามะ —> โคจิ
    5. จากฟุกุโอกะ —> โคจิ
    6. จากไอจิ —> โคจิ
    7. จากโอคายามะ —> โคจิ
    8. จากทากามัทสึ —> โคจิ
    9. จากโทคุชิมะ —> โคจิ
สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดโคจิ
    1. ปราสาทโคจิ (Kochi Castle)
    2. ภูเขาโกไดซัง (Mt. Godaisan)
    3. สวนมาร์โมแต็งของโมเนต์ ที่หมู่บ้านคิตากาวะ (Kitagawa Village Monet’s Garden)
    4. หาดคัตสึระฮามะ (Katsurahama Beach)
    5. เมืองประวัติศาสตร์คุเระ (Kure no Machinami / Historic Town Of Kure)
    6. สะพานฮาริมายะ (Harimaya Bridge)
    7. พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สถานซากาโมโตะ เรียวมะ (Sakamoto Ryoma Memorial Museum)
    8. เกาะคาชิวะ (Kashiwa Island)
    9. พิพิธภัณฑ์กัปปะไคโยโดะ (Kaiyodo Kappa Museum)
    10. ถ้ำริวงะ (Ryuga Cave)
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดโคจิ
    1. คัตสึโอะ โนะ ทาทากิ (Katsuo no Tataki)
    2. ปลาคินเมได (Kinmedai / Alfonsino)
    3. คามาอาเกะ จิริเมน (Kamaage Chirimen)
    4. นาเบะยากิราเมน (Nabeyaki Ramen)
    5. ส้มยุซุ (Yuzu Orange)

วิธีการเดินทาง

1. จากโตเกียว —> โคจิ

โดยเครื่องบิน
  • นั่งเครื่องบินของสายการบิน Jetstar จากสนามบิน Narita Airport ไปลงที่สนามบิน Kochi Ryoma Airport โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที
    • เส้นทาง : Narita Airport (Chiba Prefecture) —> Kochi Ryoma Airport
  • นั่งเครื่องบินของสายการบิน ANA หรือสายการบิน JAL จากสนามบิน Haneda Airport ไปลงที่สนามบิน Kochi Ryoma Airport โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที
    • เส้นทาง : Haneda Airport —> Kochi Ryoma Airport
โดยรถไฟ
  • นั่งรถไฟชินคันเซ็น Tokaido Shinkansen ขบวน Nozomi Super Express จากสถานี Tokyo Station ไปลงที่สถานี Okayama Station โดยใช้เวลา 3 ชั่วโมง 30 นาที จากนั้นให้นั่งรถไฟ JR Limited Express ‘Nanpu’ ไปลงที่สถานี Kochi Station โดยใช้เวลา 2 ชั่วโมง 35 นาที
    • เส้นทาง : Tokyo Station —> Okayama Station —> Kochi Station
โดยรถบัส
  • นั่งรถบัส Dream Kochi Express จากประตูทางออกด้านทิศใต้ของสถานี Tokyo Station Yaesu ไปลงที่สถานี Kochi Station Bus Terminal โดยใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง 25 นาที
    • เส้นทาง : Tokyo Station Yaesu South Exit —> Kochi Station Bus Terminal
  • นั่งรถบัส Blue Mets จากประตูทางออกด้านทิศตะวันตกของสถานี Shinjuku Station ไปลงที่สถานี Kochi Station Bus Terminal โดยใช้เวลาประมาณ 11 ชั่วโมง 30 นาที
    • เส้นทาง : Shinjuku Station West Exit —> Kochi Station Bus Terminal

Back To Index

2. จากโอซาก้า —> โคจิ

โดยเครื่องบิน
  • นั่งเครื่องบินของสายการบิน ANA จากสนามบิน Osaka International Airport (Itami Airport) ไปลงที่สนามบิน Kochi Ryoma Airport โดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที
    • เส้นทาง : Osaka International Airport —> Kochi Ryoma Airport
  • นั่งเครื่องบินของสายการบิน Fuji Dream Airlines (FDA) จากสนามบิน Kobe Airport (Hyogo Prefecture) ไปลงที่สนามบิน Kochi Ryoma Airport โดยใช้เวลาประมาณ 50 นาที
    • เส้นทาง : Kobe Airport (Hyogo Prefecture) —> Kochi Ryoma Airport
โดยรถไฟ
  • นั่งรถไฟชินคันเซ็น Tokaido Shinkansen ขบวน Nozomi Super Express จากสถานี Shin-Osaka Station ไปลงที่สถานี Okayama Station โดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที จากนั้นให้นั่งรถไฟ JR Limited Express ‘Nanpu’ ไปลงที่สถานี Kochi Station โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 35 นาที
    • เส้นทาง : Shin-Osaka Station —> Okayama Station —> Kochi Station
โดยรถบัส
  • นั่งรถบัส Kochi Express จากสถานี Osaka Station ไปลงที่สถานี Kochi Station โดยใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง 10 นาที
    • เส้นทาง : Osaka Station —> Kochi Station Bus Terminal

Back To Index

3. จากฮิโรชิม่า —> โคจิ

โดยรถไฟ
  • นั่งรถไฟชินคันเซ็น Tokaido Shinkansen ขบวน Nozomi Super Express จากสถานี Hiroshima Station ไปลงที่สถานี Okayama Station โดยใช้เวลา 40 นาที จากนั้นให้นั่งรถไฟ JR Limited Express ‘Nanpu’ ไปลงที่สถานี Kochi Station โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 35 นาที
    • เส้นทาง : Hiroshima Station —> Okayama Station —> Kochi Station
โดยรถบัส
  • นั่งรถบัส Tosa Express จากสถานี Hiroshima Bus Center ไปลงที่สถานี Kochi Station Bus Terminal โดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง 30 นาที
    • เส้นทาง : Hiroshima Bus Center —> Kochi Station Bus Terminal

Back To Index

4. จากมัตสึยามะ —> โคจิ

โดยรถไฟ
  • นั่งรถไฟ JR สายด่วนพิเศษ Limited Express ‘Shiokaze’ หรือ Limited Express ‘Ishizuchi’ จากสถานี Matsuyama Station ไปลงที่สถานี Tadotsu Station โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นให้นั่งรถไฟ JR สายด่วนพิเศษ Limited Express ‘Nanpu’ หรือ Limited Express ‘Shimanto’ ไปลงที่สถานี Kochi Station โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 50 นาที
    • เส้นทาง : Matsuyama Station —> Tadotsu Station —> Kochi Station
โดยรถบัส
  • นั่งรถบัส Nangoku Express จากสถานี Matsuyama Station ไปลงที่สถานี Kochi Station Bus Terminal โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 35 นาที
    • เส้นทาง : Matsuyama Station —> Kochi Station Bus Terminal

Back To Index

5. จากฟุกุโอกะ —> โคจิ

โดยเครื่องบิน
  • นั่งเครื่องบินของสายการบิน JAL จากสนามบิน Fukuoka Airport ไปลงที่ Kochi Ryoma Airport โดยใช้เวลาประมาณ 50 นาที
    • เส้นทาง : Fukuoka Airport —> Kochi Ryoma Airport
โดยรถไฟ
  • นั่งรถไฟชินคันเซ็น Tokaido Shinkansen ขบวน Nozomi Super Express จากสถานี Hakata Station ไปลงที่สถานี Okayama Station โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที จากนั้นให้นั่งรถไฟ JR Limited Express ‘Nanpu’ ไปลงที่สถานี Kochi Station โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที
    • เส้นทาง : Hakata Station —> Okayama Station —> Kochi Station
โดยรถบัส
  • นั่งรถบัส KOTOBUS EXPRESS จากสถานี Canal City Hakata ไปลงที่สถานี Kochi Station Bus Terminal โดยใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง 5 นาที
    • เส้นทาง : Canal City Hakata —> Kochi Station Bus Terminal

Back To Index

6. จากไอจิ —> โคจิ

โดยเครื่องบิน
  • นั่งเครื่องบินของสายการบิน Fuji Dream Airlines (FDA) จากสนามบิน Nagoya Airport (Komaki Airport) ไปลงที่ Kochi Ryoma Airport โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
    • เส้นทาง : Nagoya Airport —> Kochi Ryoma Airport
โดยรถไฟ
  • นั่งรถไฟชินคันเซ็น Tokaido Shinkansen ขบวน Nozomi Super Express จากสถานี Nagoya Station ไปลงที่สถานี Okayama Station โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที จากนั้นให้นั่งรถไฟ JR Limited Express ‘Nanpu’ ไปลงที่สถานี Kochi Station โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 35 นาที
    • เส้นทาง : Nagoya Station —> Okayama Station —> Kochi Station
โดยรถบัส
  • นั่งรถบัส Dragon Liner จากสถานี Meitetsu Bus Center ไปลงที่สถานี Kochi Station Bus Terminal โดยใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมง 10 นาที
    • เส้นทาง : Meitetsu Bus Center —> Kochi Station Bus Terminal

Back To Index

7. จากโอคายามะ —> โคจิ

โดยรถไฟ
  • นั่งรถไฟ JR Limited Express ‘Nanpu’ จากสถานี Okayama Station ไปลงที่สถานี Kochi Station โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 35 นาที
    • เส้นทาง : Okayama Station —> Kochi Station
โดยรถบัส
  • นั่งรถบัส Ryoma Express จากประตูทางออกด้านทิศตะวันตกของสถานี Okayama Station West Exit ไปลงที่สถานี Kochi Station Bus Terminal โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 20 นาที
    • เส้นทาง : Okayama Station West Exit —> Kochi Station Bus Terminal

Back To Index

8. จากทาคามัตสึ —> โคจิ

โดยรถไฟ
  • นั่งรถรถไฟ JR Limited Express ‘Shimanto’ จากสถานี Takamatsu Station ไปลงที่สถานี Kochi Station โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
    • เส้นทาง : Takamatsu Station —> Kochi Station
โดยรถบัส
  • นั่งรถบัส Kuroshio Express จากสถานี Takamatsu Station Bus Terminal ไปลงที่สถานี Kochi Station Bus Terminal โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
    • เส้นทาง : Takamatsu Station Bus Terminal —> Kochi Station Bus Terminal

Back To Index

9. จากโทคุชิมะ —> โคจิ

โดยรถไฟ
  • นั่งรถรถไฟ JR Limited Express ‘Tsurugisan’ จากสถานี Tokushima Station ไปลงที่สถานี Awa-Ikeda Station โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที จากนั้นให้ไปต่อรถไฟ JR สายด่วนพิเศษ Limited Express ‘Nanpu’ หรือ Limited Express ‘Shimanto’ ไปลงที่สถานี Kochi Station โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที
    • เส้นทาง : Tokushima Station —> Awa-Ikeda Station —> Kochi Station
โดยรถบัส
  • นั่งรถบัส Kochi Tokushima Express จากสถานี Tokushima Station ไปลงที่สถานี Kochi Station Bus Terminal โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 45 นาที
    • เส้นทาง : Tokushima Station —> Kochi Station Bus Terminal

Back To Index

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดโคจิ

1. ปราสาทโคจิ (Kochi Castle)

ปราสาทโคจิ (Kochi Castle) เป็น 1 ใน 12 ปราสาทดั้งเดิมที่เหลือรอดจากนานาภัยพิบัติ โดยเฉพาะลูกหลงของสงครามที่เกิดในช่วงยุคสมัยศักดินาของญี่ปุ่น (feudal Age) ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 (ปี 1601 – 1611) แต่ส่วนที่เป็นอาคารหลักนั้นสร้างจนเสร็จสมบูรณ์ในปี 1748 หลังจากที่มีโครงสร้างบางส่วนได้รับความเสียหายจากเหตุไฟไหม้

ในสมัยเอโดะ ปราสาทโคจิเคยอยู่ภายใต้การปกครองของขุนนางยามาอุจิ (Yamauchi) และในปัจจุบันก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศ (Important Cultural Properties)

เอกลักษณ์ของปราสาทโคจิคือตัวหอหลักที่เรียกว่า ดนจง (Donjon) ซึ่งดนจงนั้นไม่ได้สร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการทำสงครามเท่านั้น แต่ยังใช้เป็นที่พักอาศัยด้วย แตกต่างจากปราสาทอื่นๆที่มักจะสร้างบ้านพักขุนนางแยกกับตัวปราสาท และพวกเครื่องเรือนไม้ที่ใช้สำหรับตกแต่งภายในก็เป็นดีไซน์ตามแบบศิลปะยุคเอโดะ

หากมองลงมาจากส่วนบนสุดของหอปราสาท เราสามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมืองได้ทั้งหมดด้วย!

ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทโคจิ (Kochi Castle)

ที่อยู่
  • 1 Chome-2-1 Marunouchi, Kochi, 780-0850, Japan
ติดต่อ
  • 088-824-5701
เวลาทำการ
  • 9:00 – 17:00 น.
  • ปิดทำการระหว่างวันที่ 26 ธันวาคมถึง 1 มกราคม ของทุกปี
ค่าเข้าชม
  • ผู้ใหญ่ (อายุตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไป) : 420 เยน
  • เด็ก (อายุต่ำกว่า 17 ปี) : ไม่เสียค่าเข้าชม
วิธีเดินทาง
  • ใช้เวลาเดินประมาณ 3 นาที จากป้ายรถราง Kochijyo Mae Tram Stop
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

2. ภูเขาโกไดซัง (Mt. Godaisan)

ภูเขาโกไดซัง (Mt. Godaisan) เป็นภูเขาลูกเล็กที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันของบริเวณใจกลางเมืองโคจิ เหตุผลที่ได้ชื่อว่า โกไดซัง นั้นเป็นเพราะว่าผู้ที่ตั้งชื่อนี้เป็นพระสงฆ์ชาวจีนที่ธุดงค์มาจากแดนไกล

ภูเขาโกไดซังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนาที่สำคัญอย่าง วัดชิคุรินจิ (Chikurinji Temple) อยู่ด้วย วัดแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 724 อีกทั้งยังเป็น 1 ใน 88 วัดเลื่องชื่อของภูมิภาคชิโกกุสำหรับการเดินทางมาแสวงบุญ

ส่วนชื่อวัด ‘ชิคุรินจิ’ นั้นมีความหมายว่า ‘วัดป่าไผ่ (Bamboo Forest Temple)’ การตั้งชื่อนี้อ้างอิงจากสภาพแวดล้อมในสมัยอดีต แม้ว่าปัจจุบันจะเหลือจำนวนต้นไผ่อยู่ไม่มากนัก แต่สถานที่แห่งนี้กลับได้รับการเติมเต็มพื้นที่สีเขียวด้วยต้นเมเปิลแทน แล้วพอเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง พวกมันจะพร้อมใจกันผลัดใบเป็นสีทองและสีแดงฉาน รับรองได้ว่าทิวทัศน์ในช่วงนั้นจะต้องงดงามมากอย่างแน่นอน

เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าวัดมา เราจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เงียบสงบและสดชื่นเพราะสีเขียวชอุ่มของมอส รวมถึงต้นไม้ที่เรียงรายไปตามทางเดินที่ทอดยาวสู่เจดีย์ห้าชั้นสีแดงอันสดใสสวยงาม นอกจากนี้รูปปั้นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรแห่งปัญญา (Monju Bosatsu) ก็ถูกประดิษฐานไว้ ณ ที่แห่งนี้ด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะเห็นเด็กๆเดินทางมาขอพรเรื่องการเรียน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสอบเข้ามหาวิทยาลัย ที่นี่จะฮอตมากเป็นพิเศษเลยล่ะ

สำหรับสวนของวัดชิคุรินที่สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 14 นั้นก็ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น National Place of Scenic Beauty ด้วยค่ะ แต่ถ้าใครอยากเข้าชมพื้นที่ส่วนนี้จะต้องจ่ายค่าเข้าชมนิดหน่อยนะ สวนดังกล่าวเป็นสวนที่ตกแต่งด้วยสไตล์จีน เราจึงสามารถชมความสวยงามของสวนแห่งนี้ได้จากหอเก็บตำราที่สร้างขึ้นใกล้ๆกัน แล้วถ้าหากว่ายังพอจะมีเวลาอยู่ก็อย่าลืมแวะไปชม เมงุริ โนะ โมริ (Meguri no Mori) ซึ่งเป็นพื้นที่สีเขียวที่มีสระน้ำและโดมแก้วด้วยนะคะ

ที่มา : https://visitkochijapan.com

ถัดออกไปไม่ไกลจากวัดชิคุรินจิจะมี สวนพฤกษศาสตร์มากิโนะ (Makino Botanical Garden) ที่ตั้งอยู่ในละแวกเดียวกัน สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับ โทมิทาโร่ มากิโนะ (Tomitaro Makino) บุคคลผู้เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะบิดาแห่งพฤกษศาสตร์ของญี่ปุ่น

หากได้ลองมาเดินในสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ เราจะได้พบกับพันธุ์ไม้ดอกกว่า 3,000 ชนิดที่คุณมากิโนะเป็นผู้ค้นพบ โดยมีทั้งพันธุ์ไม้ดอกหายากและไม้ดอกท้องถิ่นซึ่งพบได้ที่ ‘จังหวัดโคจิ’ เท่านั้น

ที่มา : https://visitkochijapan.com

ถ้าใครชอบสวนสวยๆและดอกไม้ อย่าลืมแวะมาเที่ยวที่นี่กันนะ!

ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาโกไดซัง (Mt. Godaisan)

ที่อยู่
  • Chikurinji Temple : 3577 Godaisan, Kochi, 781-8125, Japan
  • Makino Botanical Garden : Kochi Prefectural Makino Botanical Garden, 3580, Godaisa, Kochi-Shi, Kochi, Japan 781-8125
ติดต่อ
  • Chikurinji Temple : 088-882-3085
  • Makino Botanical Garden : 088-822-2601
เวลาทำการ
  • Chikurinji Temple : 8:30 – 17:00 น. (ไม่มีวันปิดทำการ)
  • Makino Botanical Garden : 9:00 – 17:00 น. (ปิดทำการเฉพาะวันที่ 27 ธันวาคม – 1 มกราคม ของทุกปี)
ค่าเข้าชม
  • Chikurinji Temple (เฉพาะค่าชมสวนและหอสมบัติ) : 400 เยน
  • Makino Botanical Garden : 730 เยน
วิธีเดินทาง
  • Chikurinji Temple : นั่งรถแท็กซี่มาประมาณ 20 นาที โดยใช้ทางด่วน Kochi Expressway หรือ Kochi IC นอกจากนี้ยังสามารถนั่งรถบัส MY-YU Bus มาลงที่ป้าย Chikurinji Temple Bus Stop ได้เช่นกัน
  • Makino Botanical Garden : นั่งรถแท็กซี่มาประมาณ 20 นาที โดยใช้ทางด่วน Kochi Expressway หรือ Kochi IC นอกจากนี้ยังสามารถนั่งรถบัส MY-YU Bus มาลงที่ป้าย Makino Shokubutsuen Seimon Mae bus stop ได้เช่นกัน
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
  • Chikurinji Temple

  • Makino Botanical Gardens

Back To Index

3. สวนมาร์โมแต็งของโมเนต์ ที่หมู่บ้านคิตากาวะ (Kitagawa Village Monet’s Garden)

ที่มา : https://visitkochijapan.com

สวนมาร์โมแต็งของโมเนต์ ที่หมู่บ้านคิตากาวะ (Kitagawa Village Monet’s Garden) จังหวัดโคจิ เป็นสถานที่ซึ่งสร้างขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากสวนนอกบ้านของโคลด์ โมเนต์ (Claude Monet) จิตรกรชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงในช่วงศตวรรษที่ 19 – 20 เป็นที่ทราบกันดีว่าเขาเป็นผู้บุกเบิกศิลปะลัทธิประทับใจ (Impressionism) ด้วยภาพวาดสวนดอกไม้ที่สวยงามและมีเอกลักษณ์ ราวกับเขาได้ผนึกความสดใสและความมีชีวิตชีวาไว้บนผืนผ้าแคนวาสตราบจนนิรันดร์

ภายในสวนแห่งนี้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 โซนตามสไตล์การจัดแต่งสวน ดังนี้

  1. สวนดอกไม้ (Hana no Niwa) : พื้นที่โซนนี้เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยไม้ดอกนานาพันธุ์ สีสันของดอกไม้เหล่านี้สดใสจนดูราวกับว่ามันถูกวาดขึ้นด้วยพู่กันและสีน้ำมัน ความพิเศษของสวนดอกไม้แห่งนี้คือเขาจะจัดดอกไม้ให้เราชมตามฤดูกาลค่ะ ดังนั้นไม่ว่าจะมาช่วงไหนเราก็จะได้เห็นดอกไม้ที่สวยงามและเข้ากับบรรยากาศอยู่เสมอ
  2. สวนน้ำ (Mizu no Niwa) : สวนแห่งนี้สร้างขึ้นจากแรงบันดาลที่ว่าด้วย ความหลงใหลในสวนญี่ปุ่นของโมเนต์ ซึ่งคอลเลกชันนี้เป็นงานศิลปะแบบ อุกิโยเอะ (Ukiyoe) กล่าวคือเป็นภาพพิมพ์ที่ทำจากบล็อกไม้ เมื่อพูดถึงบรรยากาศภายในสวนที่สวยงามแห่งนี้ เราจะเห็นสะพานไทโกะ (Taiko Bridge) พาดผ่านผืนน้ำ ประดับประดาด้วยไม้วิสทีเรียและต้นไผ่ที่สวยงาม และเมื่อมองไปยังผืนน้ำในสระ เราจะเห็นเหล่าดอกบัวหลากสีบานสะพรั่งไปทั่วสระน้ำ ราวกับเป็นสวนของโมเนต์ที่สร้างขึ้น ณ เมืองจีแวร์นีในปี 1883 นอกเหนือจากทัศนียภาพอันสวยงามเช่นนี้แล้วก็ยังมีภาพบึงบัวของโมเนต์วางไว้ตามจุดต่างๆของสวนแห่งนี้ด้วย สำหรับใครที่อยากมาชมความงามของดอกบัวสีน้ำเงินก็สามารถมาที่นี่ได้ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคมนะคะ
  3. สวนบอร์ดิเกรา (Bordighera no Niwa) : เป็นสวนสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนซึ่งสร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจที่ว่า ครั้งหนึ่งโมเนต์เคยใช้เส้นทางเดินเรือในทะเลแถบเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อสร้างผลงานศิลปะของเขา โดยงานศิลปะที่ว่านี้มีกลิ่นอายความเป็นเมดิเตอร์เรเนียนอยู่อย่างเข้มข้น การเดินทางครั้งนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อโมเนต์อายุได้ 43 ปี สำหรับความสวยงามของสวนบอร์ดิเกราแห่งนี้ กอปรด้วยต้นปาล์ม ต้นมะกอก ดอกไม้หายาก และพืชพันธุ์ต่างๆที่ให้ความรู้สึกราวกับยกเมดิเตอร์เรเนียนมาไว้ที่นี่ นอกจากสวนแห่งนี้แล้ว เรายังสามารถเดินชมความงามของวิวทะเลหรือทิวเขาได้อีกด้วย หรือจะลองเดินเข้าป่าดูก็ได้นะ~

ที่มา : https://visitkochijapan.com

นอกจากไฮไลต์อย่างสวนดอกไม้ที่ควรค่าแก่การไปเดินชมทั้งสามแห่งแล้ว ที่นี่ยังมีคาเฟ่ ร้านเบเกอรี่ เรือนเพาะชำ สนามเด็กเล่น เส้นทางเดินป่า และแกลลอรีอีกด้วย เรียกได้ว่าครบเครื่องจริงๆค่ะ ถูกใจสายเที่ยวธรรมชาติและสายอาร์ตแน่นอน!

ข้อมูลเกี่ยวกับสวนมาร์โมแต็งของโมเนต์ ที่หมู่บ้านคิตากาวะ (Kitagawa Village Monet’s Garden)

ที่อยู่
  • Ko-1100 Banchi, Notomo, Kitagawa, Aki District, Kochi 781-6441, Japan
ติดต่อ
  • 088-732-1233
เวลาทำการ
  • 9:00 – 17:00 น.
  • มิถุนายน – ตุลาคม : จะปิดทำการเฉพาะวันพุธแรกของเดือน
  • ธันวาคม – กุมภาพันธ์ : อาจปิดปรับปรุงในช่วงฤดูหนาว
ค่าเข้าชม
  • อายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป : 1,000 เยน
  • อายุระหว่าง 6 – 14 ปี : 500 เยน
  • อายุไม่เกิน 5 ปี : ไม่เสียค่าเข้าชม
วิธีเดินทาง
  • นั่งแท็กซี่ประมาณ 70 นาที จาก Nankoku IC ไปตามทางด่วน Kochi Expressway
  • นั่งรถบัส Kitagawa Sonei Bus ไปลงที่ป้าย Monet’s Garden Bus Stop
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

4. หาดคัตสึระฮามะ (Katsurahama Beach)

หาดคัตสึระฮามะ (Katsurahama Beach) เป็นชายหาดที่อยู่ห่างจากใจกลางเมืองโคจิไปทางทิศใต้ และเป็นจุดชมวิวทะเลที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของโคจิ ก่อนจะพาทุกคนไปรู้จักกับหาดคัตสึระฮามะแห่งนี้ เราต้องบอกก่อนเลยว่ากระแสน้ำทะเลในบริเวณนี้แรงมาก เขาจึงไม่อนุญาตให้เราลงเล่นน้ำนะคะ อย่างไรก็ตาม หากใครไม่อยากหยุดอยู่แค่การกินลมชมวิว บริเวณใกล้ๆกับชายหาดแห่งนี้ก็ยังมีสถานที่ที่สามารถลงเล่นน้ำได้อยู่นะ

ในอดีตตั้งแต่ครั้งโบราณกาลนั้น หาดคัตสึระฮามะเป็นสถานที่ชมความงามของพระจันทร์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ได้รับการพรรณนาทิวทัศน์ผ่านบทเพลงพื้นเมืองของ ‘จังหวัดโคจิ’ ที่มีชื่อว่า โยซาโกอิ บุชิ (Yosakoi Bushi) ด้วย

อีกหนึ่งจุดแลนด์มาร์กที่สำคัญของชายหาดแห่งนี้ก็คือ รูปปั้นซากาโมโตะ เรียวมะ (Sakamoto Ryoma) ที่ตั้งตระหง่านรับลมทะเลอย่างองอาจ! อนุสรณ์สถานแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ ซากาโมโตะ เรียวมะ ผู้เป็นซามูไรและเป็นผู้นำเทรนด์สถาปัตยกรรมยุคใหม่ (Modern Architecture) ซากาโมโตะมีบทบาทสำคัญต่อการสานสัมพันธไมตรีทางการทูตระหว่างตระกูลโชชู (Choshu Clans) และตระกูลซัตสึมะ (Satsuma Clans) ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นได้นำพาความสงบสุขมาสู่ชาวเมืองโคจิในปี 1868 นอกจากนี้เขายังมีบทบาทในการยุติอำนาจของเหล่าขุนนาง อันเป็นจุดสิ้นสุดของยุคศักดินา (Feudal Age) ด้วยค่ะ

ถ้าใครอยากรู้จักกับคุณซากาโมโตะ เรียวมะแบบเข้มข้น ก็สามารถไปเดินเล่นที่ พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สถานซากาโมโตะ เรียวมะ (Sakamoto Ryoma Memorial Museum) ได้นะ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือชายหาดขึ้นมาหน่อยนึง

นอกจากนี้ในบริเวณเดียวกันยังมีศาลเจ้าขนาดเล็กตั้งอยู่ตรงบริเวณเกือบสุดปลายหน้าผาด้วย ศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อว่า ศาลเจ้าริวโองุ (Ryuogu Shrine) ถ้าใครเดินมาถึงตรงนี้ก็จะได้ชมวิวทะเลสีน้ำเงินที่สวยงามมาก รวมถึงศาลเจ้าไซส์มินิแสนน่ารักด้วยค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับหาดคัตสึระฮามะ (Katsurahama Beach)

ที่อยู่
  • Urado, 781-0262, Japan
ติดต่อ
  • 088-823-9457
วิธีเดินทาง
  • ขับรถจากทางแยกต่างระดับ Kochi IC บนทางด่วน Kochi Expressway โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที ชายหาดดังกล่าวจะอยู่ไม่ไกลจากป้ายรถบัส Katsurahama bus stop (My-Yu Bus)
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

5. เมืองประวัติศาสตร์คุเระ (Kure no Machinami / Historic Town Of Kure)

ที่มา : https://visitkochijapan.com

เมืองคุเระ หรือ เมืองประวัติศาสตร์คุเระ (Kure no Machinami / Historic Town Of Kure) เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างมากตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้และน่านน้ำที่เหมาะแก่การทำอุตสาหกรรมป่าไม้และการประมง เมืองนี้จึงเต็มไปด้วยความคึกคักของเหล่าผู้คนที่สัญจรไปมาอย่างมีชีวิตชีวา

ที่มา : https://visitkochijapan.com

สำหรับคนที่มีโอกาสได้ไปเยือนสถานที่แห่งนี้ เรามั่นใจว่าจะต้องหลงมนตร์เสน่ห์ของบรรยากาศย้อนยุคที่อบอวลทั่วเมืองแห่งนี้อย่างแน่นอน

ที่มา : https://visitkochijapan.com

เราสามารถพบเครื่องเรือนที่น่าสนใจอย่าง นากาชิได (Nagashi-Dai) หรือ อ่างแร่เนื้อปลา ได้ที่นี่ โดยนากาชิไดนั้นสามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามทางเข้าบ้านยุคโชวะในช่วงหลังสงคราม

และถ้าลองเดินไปตามทางในตรอกแคบเรื่อยๆ เราจะพบกับโรงกลั่นสาเกที่ตั้งอยู่บนถนนสายหลัก นอกจากนี้เรายังจะได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของตลาดท้องถิ่น (Honmachi-Dori) อันแสนคักคักด้วยค่ะ

ถ้าหากว่าใครอยากลิ้มรสอาหารทะเลแสนอร่อยก็สามารถไปลิ้มลองกันได้ที่ตลาดคุเระไทโช (Kure Taisho Market) รับรองเลยว่าซีฟู้ดของเขานั้นสดใหม่เหมือนกับเพิ่งขึ้นจากทะเลเลยทีเดียว

ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองประวัติศาสตร์คุเระ (Kure no Machinami / Historic Town Of Kure)

ที่อยู่
  • 6372-1, Kure, Nakatosa Town, Takaoka Gun, Kochi Prefecture, Japan
ติดต่อ
  • 088-959-9090
วิธีเดินทาง
  • นั่งแท็กซี่ หรือขับรถจากเส้นทาง Nakatosa IC บนทางด่วน Kochi Expressway โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที
  • เดินจากสถานี JR Tosa-Kure Station โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที
  • อ่านรายละเอียดเพิ่มได้ที่นี่ >>> Click Here!
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

6. สะพานฮาริมายะ (Harimaya Bridge)

สะพานฮาริมายะ (Harimaya Bridge) เป็นสะพานสีแดงสดขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโคจิ นอกจากจะเป็นสถานที่ถ่ายรูปยอดฮิตของชาวโคจิและนักท่องเที่ยวแล้ว สะพานฮาริมายะก็ยังมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับรักต้องห้ามระหว่างพระภิกษุกับหญิงสาวชาวบ้านด้วยค่ะ (เอาล่ะ! ต้องห้ามแค่ไหน ถามใจดูนะ 555)

พระภิกษุรูปนั้นมีนามว่า ‘จุนชิน (Junshin)’ ท่านได้อุปสมบทที่วัดบนเขาโกไดซัง ส่วนหญิงสาวผู้เป็นที่รักของท่านมีนามว่า ‘โออุมะ (Ouma)’ ทั้งนี้ตำนานดังกล่าวปรากฏอยู่ในเพลงพื้นบ้าน โยซาโกอิบุชิ (Yosakoi-Bushi) ด้วยนะ

ตามตำนานเล่าว่า พวกเขามักจะแอบนัดพบกันที่สะพานแห่งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนของขวัญให้แก่กันและกัน แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ถูกเปิดโปงขึ้นในวันที่จุนชินนัดพบกับโออุมะตรงร้านค้าใกล้ๆกับสะพานฮาริมายะ เพื่อที่จะมอบปิ่นคังซาชิ (Kanzashi Hairpin) ให้กับเธอ

เนื่องจากการมีความรักแบบหนุ่มสาวในขณะที่เป็นนักบวชอยู่ถือเป็นความผิดรุนแรงมากในสมัยนั้น จุนชินจึงถูกเนรเทศไปอยู่ในที่ไกลแสนไกล ซ้ำร้ายพวกเขายังจับโออุมะไปอยู่ในที่ที่เธอจะไม่มีวันได้พบเจอกับคนรักอีกด้วย แทบจะเรียกได้ว่าเป็นจุดจบของความสัมพันธ์อย่างสมบูรณ์เลยล่ะ ยิ่งกว่าตำนานทานาบาตะอีก เพราะคู่นั้นยังได้เจอกันทุกวันที่ 7 เดือน 7 นี่นา (คนเขียนอินเอง 555)

หมายเหตุ : แต่ยังมีตำนานอีกเวอร์ชั่นหนึ่งที่เขียนให้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งด้วยนะคะ เวอร์ชั่นนั้นเขาเปลี่ยนให้ทั้งคู่บรรลุภารกิจแอบหนีไปด้วยกันได้สำเร็จ =.,=

เอาล่ะ! ตัดภาพมาที่โลกความเป็นจริงกันเถอะ เราจะเห็นว่าสะพานแห่งนี้กลายเป็นสวนสาธารณะที่น่าเดินเล่นมาก ส่วนพื้นที่ว่างบริเวณใต้สะพานฮาริมายะก็กลายเป็นแม่น้ำขนาดย่อมไปแล้ว และในบริเวณใกล้ๆกันก็มีนาฬิกาเหล็กเรือนใหญ่คอยตีระฆังบอกเวลาทุกชั่วโมงด้วย เรียกได้ว่าเป็นบรรยากาศที่น่าเที่ยวมากเลยจริงๆค่ะ

สำหรับคนที่มาตามรอยตำนานความรักของจุนชินกับโออุมะ บริเวณรอบๆสะพานก็มีร้านขายของฝากที่มีขนมและเครื่องประดับผมขายเยอะแยะเลยล่ะ ใครอยากซื้อปิ่นไปฝากแฟนก็เลือกซื้อได้ตามศรัทธาเลยนะคะ >//<!

ข้อมูลเกี่ยวกับสะพานฮาริมายะ (Harimaya Bridge)

ที่อยู่
  • 1 Chome Harimayacho, Kochi, 780-0822
ติดต่อ
  • 088-823-9457
เวลาทำการ
  • เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง
วิธีเดินทาง
  • เดินจากสถานี JR Kochi Station โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

7. พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สถานซากาโมโตะ เรียวมะ (Sakamoto Ryoma Memorial Museum)

พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สถานซากาโมโตะ เรียวมะ (Sakamoto Ryoma Memorial Museum) เป็นสถานที่สำหรับศึกษาค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับ ซากาโมโตะ เรียวมะ (Sakamoto Ryoma) บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น รวมไปถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงปฏิรูปญี่ปุ่นที่เรียกว่ายุคบาคุมัทสึ (幕末, Bakumatsu Period) หรือสมัยโชกุนโทคุกาวะตอนปลายนั่นเอง

นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สถานซากาโมโตะ เรียวมะก็ยังเป็นสถานที่เก็บรวบรวมเอกสารและคำแนะนำแก่สาธารณชน รวมถึงช่วยส่งเสริมการเผยแพร่เรื่องราวของซากาโมโตะ เรียวมะให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างผ่านงานนิทรรศการหรือโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ต่างๆอีกด้วย

เอาล่ะ! ไหนๆทางพิพิธภัณฑ์ก็ต้องการนำเสนอประวัติของซากาโมโตะ เรียวมะแล้ว เรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าบุคคลท่านนี้เป็นใคร มีคุณูปการต่อประเทศญี่ปุ่นอย่างไรบ้าง

หากจะให้สรุปว่า ซากาโมโตะ เรียวมะ เป็นใครภายในหนึ่งประโยค เราคงกล่าวได้ว่าเขาคือ บุคคลผู้สร้างโอกาสในการล้มล้างรัฐบาลเอโดะ ด้วยปัญหาของรัฐบาลบาคุฟุในสมัยนั้นที่ไม่สามารถปฏิเสธข้อเรียกร้องของชาวต่างชาติได้ในหลายๆกรณี แถมยังขาดความสามารถในการรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว จนอาจเรียกได้ว่าสถานการณ์ของญี่ปุ่นในตอนนั้นย่ำแย่มากเลยทีเดียว

และในช่วงวิกฤตที่ประเทศไปถึงจุดเลวร้ายที่สุด กลุ่มบุคคลหัวก้าวหน้าที่มีวิสัยทัศน์ต่างจากรัฐบาลก็ได้มารวมตัวกัน แน่นอนว่าซากาโมโตะ เรียวมะเองก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขามีความเห็นพ้องต้องกันว่าการรวมประเทศชาติให้เป็นปึกแผ่นภายใต้ธงของจักรพรรดิคือทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาการรุกรานของชาวต่างชาติ

ซากาโมโตะ เรียวมะได้ริเริ่มแผนการปฏิรูปประเทศด้วยการสร้างสัมพันธไมตรีกับแคว้นซัตสึมะและแคว้นโจชู (เรียกสั้นๆว่ากลุ่มพันธมิตรซัตโจ) ซึ่งอำนาจทางการทหารของกลุ่มพันธมิตรนั้นยิ่งใหญ่มากและสามารถโค่นรัฐบาลบาคุฟุได้เลยทีเดียว แต่เนื่องด้วยความคิดของซากาโมโตะ เรียวมะที่ไม่อยากให้คนในชาติมาเข่นฆ่ากันเอง เขาจึงยื่นข้อเสนอให้แคว้นโทซะฟื้นฟูอำนาจของจักรพรรดิ เพื่อล้มล้างรัฐบาลบาคุฟุอย่างสันติวิธีแทน อนึ่ง เขามองว่าการก่อสงครามในประเทศนั้นไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับทุกๆฝ่าย เพราะรังแต่จะเพิ่มความบอบช้ำให้กับญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น

ทันทีที่ไดเมียวแห่งแคว้นโทซะตอบรับความเห็นของซากาโมโตะ เรียวมะแล้ว พวกเขาก็ได้ยื่นเสนอร่างแผนนี้ต่อโทคุกาวะ โยชิโนบุ ซึ่งเป็นโชกุนของรัฐบาลบาคุฟุ

และตอนจบของเรื่องนี้ก็แฮปปี้ไม่มีสงครามค่ะ เพราะโชกุนโยชิโนบุเองก็ยอมรับแผนนี้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้รัฐบาลบาคุฟุจึงสิ้นสุดอำนาจลง จนนำไปสู่การผลัดเปลี่ยนเข้าสู่ยุคปฎิวัติเมจิ

อย่างไรก็ตาม เรียวมะยังได้คิดหาหนทางให้รัฐบาลใหม่เดินหน้าต่อไปอีกด้วย กล่าวคือเขาได้รวบรวม แผนแปดประการเพื่อรัฐบาลใหม่ ขึ้นมา แต่ประมาณ 1 เดือนหลังการฟื้นฟูอำนาจของจักรพรรดิ ก็มีบุคคลไม่ทราบฝ่ายลอบทำร้ายเขาที่เกียวโตจนเสียชีวิตในที่สุด การจากไปอย่างกระทันหันนี้ทำให้ซากาโมโตะ เรียวมะไม่มีโอกาสได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของญี่ปุ่นที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงและความพยายามของเขาเลย (คิดแล้วก็น่าเสียดายแทนเนอะ เฮ้อ~!)

เนิร์ดกันพอกรุบกริบ เรามาดูกันต่อดีกว่าค่ะว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะมีอะไรให้เราเนิร์ดได้อีกบ้าง 555

TETSU Snowdrop / Shutterstock

ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะมี 2 ส่วนหลักๆ คืออาคารหลักและอาคารใหม่ โดยภายในอาคารหลักนั้นจะมีการแนะนำให้รู้จักกับซากาโมโตะ เรียวมะ รวมถึงอธิบายความเป็นมาของยุคบาคุมัทสึด้วยภาพเสมือนและนิทรรศการจำลองประสบการณ์จริง เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ แถมยังช่วยให้ผู้เข้าชมสนุกสนานในการเรียนรู้ด้วย นอกจากนี้ เรายังสามารถชมวิวมหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่จากอาคารหลักได้อีกด้วย

TETSU Snowdrop / Shutterstock

ส่วนอาคารใหม่จะเป็นส่วนที่จัดแสดงนิทรรศการชั่วคราวและถาวร รวมไปถึงห้องถ่ายภาพบาคุมัทสึ ลานจัดแสดงหนังสั้นจำลองเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในยุคบาคุมัทสึ  และร้านขายของฝากของพิพิธภัณฑ์ก็อยู่ที่อาคารนี้เช่นกัน เรียกได้ว่าพิพิธภัณฑ์นี้เป็นสวรรค์ของนักเที่ยวสายเนิร์ดจริงๆค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สถานซากาโมโตะ เรียวมะ (Sakamoto Ryoma Memorial Museum)

ที่อยู่
  • 〒781-0262 Kochi, Urado, 城山 830番地
ติดต่อ
  • 088-841-0001
เวลาทำการ
  • 9:00 – 17:00 น. (เปิดให้เข้าพิพิธภัณฑ์ก่อนถึงเวลาปิด 30 นาที)
ค่าเข้าชม
  • ผู้ใหญ่ : 700 เยน
  • ค่าเข้าชมระหว่างที่อยู่ในช่วงจัดนิทรรศการพิเศษ (Special Exhibition) : 500 เยน
  • เด็ก (ไม่เกินชั้นมัธยมปลาย) : ไม่เสียค่าเข้าชม
วิธีเดินทาง
  • นั่งรถบัสสาย Tosaden Kotsu ที่มุ่งหน้าไปยัง Katsurahama จากนั้นให้ลงที่ป้าย Ryoma Memorial Museum แล้วเดินต่ออีก 2 นาที
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

8. เกาะคาชิวะ (Kashiwa Island)

เกาะคาชิวะ (Kashiwa Island) เป็นเกาะที่ได้รับฉายาว่า สวรรค์เขตร้อนของโคจิ เกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของ ‘จังหวัดโคจิ’ และเชื่อมต่อกับแผ่นดินหลักด้วยสะพานคาชิวะจิมะ ชินโอฮาชิ (Kashiwajima Shin-ohashi Bridge) นอกจากนี้ เกาะคาชิวะยังเป็นสถานที่ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอุทยานแห่งชาติอาชิซึริ อุวาไก (Ashizuri Uwakai National Park) อีกด้วย

แม้ว่าเกาะคาชิวะจะมีความยาวรอบเกาะเพียง 4 กิโลเมตร แต่เสน่ห์และระดับความน่าค้นหานั้นกลับสวนทางกันกับขนาดของเกาะ อย่างแรกคือน้ำที่นี่ใสมากๆเลยค่ะ ใสจนคนที่กำลังพายเรือรอบเกาะอยู่นั้นรู้สึกราวกับสัมผัสได้ถึงความเวิ้งว้างของอวกาศจากความใสเกินไปของน้ำ เรียกได้ว่าใสจนเหมือนไม่ได้พายเรือบนน้ำเลยล่ะ

นอกจากนี้ เกาะคาชิวะยังเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มคนที่ชื่นชอบการดำน้ำ เพราะเราสามารถพบปลากว่า 1,000 สายพันธุ์จากทั้งหมด 3,500 สายพันธุ์ที่มีโอกาสพบได้ที่บริเวณรอบหมู่เกาะญี่ปุ่น เหตุผลที่ทำให้เราพบปลาได้หลากหลายชนิดขนาดนี้ เป็นเพราะแนวปะการังรอบเกาะคาชิวะนั้นแสนอุดมสมบูรณ์และสวยงาม

พอขึ้นฝั่งมาก็มีหาดทรายขาวสะอาดคอยแต่งแต้มความสวยงามให้กับทิวทัศน์ตรงหน้าเราด้วย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการว่ายน้ำและเล่นกีฬาทางน้ำมากๆเลย แถมบริเวณใกล้ๆกับสะพานของแผ่นดินหลักยังเป็นพื้นที่กว้างที่เหมาะสำหรับการตั้งแคมป์และทำบาร์บีคิวมากเลยล่ะ

  • คำเตือน : เพื่อให้ทุกคนสามารถเพลิดเพลินไปกับความสวยงามของเกาะคาชิวะ โดยที่ยังสามารถรักษาสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติให้คงอยู่ต่อไปได้ กรุณาปฏิบัติตามกฎดังต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด ทางเราขอให้ทุกคนช่วยเหลือคนท้องถิ่นด้วยการนำขยะของตนเองออกไปทิ้งนอกเกาะ และโปรดจอดรถในจุดที่กำหนดไว้เท่านั้นนะคะ (เพื่อรักษาเกาะคาชิวะไว้ให้ลูก หลาน เหลน โหลนของเราได้ไปเที่ยวกันต่อในวันข้างหน้าเนอะ!)

ข้อมูลเกี่ยวกับเกาะคาชิวะ (Kashiwa Island)

ที่อยู่
  • Kashiwajima, Otsuki, Hata District, Kochi 788-0343, Japan
ติดต่อ
  • Kashiwa Island Tourist Information Center Parking : 0880-62-8133
อื่นๆ (เกี่ยวกับที่จอดรถ)
  • เปิดทำการเวลา 8:00 – 18:00 น. (เฉพาะเดือนตุลาคมเท่านั้นที่จะเปิดทำการเวลา 8:00 – 16:00 น.)
  • ค่าที่จอดรถ : 500 เยน ต่อ 1 คัน (จอดได้เป็นเวลา 24 ชั่วโมง)
วิธีเดินทาง
  • ขับรถประมาณ 2 ชั่วโมงจากทางแยกต่างระดับ Shimantocho-chuo IC บนทางด่วน Kochi Expressway
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

9. พิพิธภัณฑ์กัปปะไคโยโดะ (Kaiyodo Kappa Museum)

ที่มา : https://visitkochijapan.com

เชื่อว่าแฟนๆตำนานสิ่งลี้ลับของญี่ปุ่นนั้นต้องรู้จักเจ้าตัว ‘กัปปะ’ เป็นอย่างดีเลยใช่ไหมล่ะคะ? แต่สำหรับคนที่ไม่รู้จักหรือคุ้นแค่ชื่อก็ไม่เป็นไรค่ะ เราจะเกริ่นให้เพื่อนๆฟังกันก่อนว่ากัปปะคืออะไร ก่อนที่เราจะพาไปทัวร์พิพิธภัณฑ์แห่งนี้!

กัปปะ (Kappa) คือปีศาจอีกหนึ่งตนที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น! ด้วยตำนานเล่าขานแต่ครั้งโบราณกาลบวกกับความเชื่อของชาวบ้านในแต่ละท้องถิ่น แต่จุดร่วมของตำนานกัปปะในทุกพื้นที่นั้นมีอยู่ว่า กัปปะเป็นปีศาจที่มีรูปร่างเหมือนเด็กแต่มีผิวกายเป็นสีเขียวทั้งตัว นอกจากนี้มันยังมีจานวางอยู่บนหัวและมีจะงอยปากเล็กคล้ายกับนกด้วย ส่วนด้านหลังของมันจะมีกระดองคล้ายกับเต่าค่ะ

จบเรื่องลักษณะเด่นของกัปปะแล้ว เรามาโฟกัสเรื่องแหล่งที่อยู่กันบ้างดีกว่า ว่ากันว่ากัปปะนั้นมักจะอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำ ถ้าเราบังเอิญเล่นน้ำอยู่ มันอาจจะออกมาทักทายเราได้นะเออ (เอ๋~ หรือนี่จะเป็นผีพรายเวอร์ชันญี่ปุ่นกันนะ?)

สำหรับของกินสุดโปรดของเจ้ากัปปะก็คือแตงกวาค่ะ นอกจากนี้น้องยังเล่นซูโม่เก่งด้วยนะ ชาวญี่ปุ่นจึงมองว่าในความประหลาดของเจ้ากัปปะก็ยังมีความน่ารักซ่อนอยู่ ซึ่งจุดนี้ทำเอาผู้เขียนถึงกับอุทานว่า “หน่านี๊!” อยู่ในใจไปประมาณแสนแปดรอบค่ะ 555

ว่าแต่พิพิธภัณฑ์ไม้ที่แสนน่ารักแห่งนี้จะมีอะไรบ้างนะ? ถ้ามีแต่เจ้าตัวกัปปะเวอร์ชั่นออริจินัลอย่างเดียว มันก็คงไม่เร้าใจเท่าไหร่เนอะ ดังนั้นเราจะพาไปชมสิ่งที่น่าสนใจภายในพิพิธภัณฑ์กัปปะแห่งนี้กันค่ะ

ที่มา : https://visitkochijapan.com

เมื่อเดินเข้ามาในพิพิธภัณฑ์กัปปะไคโยโดะแห่งนี้ เราจะพบพื้นที่จัดแสดงผลงานรูปปั้นและงานศิลปะเกี่ยวกับกัปปะกว่า 600 ชิ้น โดยจะเห็นตั้งแต่ซามูไรกัปปะไปจนถึงผลงานสุดสร้างสรรค์ที่ทำเอาเราขนลุกไปทั้งตัวเลยทีเดียว

สำหรับใครที่มองหาของที่ระลึก ภายในพิพิธภัณฑ์ก็มีร้านขายของฝากที่จำหน่ายสินค้าออริจินัลของทางจังหวัดด้วยค่ะ

นอกจากนี้ ในบริเวณด้านหลังของพิพิธภัณฑ์จะมีศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่กัปปะด้วย บรรยากาศของป่าลึกบริเวณริมแม่น้ำชิมังโตะที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์นี้ ล้วนเป็นสถานที่ที่เหล่ากัปปะชื่นชอบค่ะ

เราจึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าพิพิธภัณฑ์ที่หน้าตาเหมือนกระท่อมกลางป่าในเทพนิยายแห่งนี้ ช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการตามหาปีศาจในตำนานอย่างเจ้าตัวกัปปะจริงๆค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์กัปปะไคโยโดะ (Kaiyodo Kappa Museum)

ที่อยู่
  • Japan, 〒786-0322 Kochi, Takaoka District, 高岡郡 四万十町打井川685
ติดต่อ
  • 088-029-3678
เวลาทำการ
  • เดือนมีนาคม-ตุลาคม : 10:00 – 18:00 น. (กรุณาเข้าชมก่อน 30 นาที)
  • เดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ : 10:00 – 17:00 น. (กรุณาเข้าชมก่อน 30 นาที)
  • วันเปิดทำการ : เปิดทุกวันในช่วงวันหยุดฤดูร้อน (ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 4 ของเดือนกรกฎาคมจนถึงปลายเดือนสิงหาคม)
  • วันปิดทำการ : ปิดทำการทุกวันอังคาร (หากตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์จะปิดในวันพุธหลังวันหยุดแทน) และช่วงวันหยุดปีใหม่ (28 ธันวาคม – 1 มกราคม)
วิธีเดินทาง
  • ขับรถประมาณ 30 นาที จากทางแยกต่างระดับ Shimantocho-chuo IC บนทางด่วน Kochi Expressway
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

10. ถ้ำริวงะ (Ryuga Cave)

ที่มา : https://visitkochijapan.com

ถ้ำริวงะ (Ryuga Cave) เป็นถ้ำที่ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ ถ้ำแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ 175 ล้านปีที่แล้ว โดยมีความยาวทั้งสิ้นประมาณ 4 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม ถ้ำริวงะนั้นเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพียง 1 กิโลเมตรจากทางเข้าเท่านั้น

ท่ามกลางความลึกลับอันน่าค้นหาของถ้ำแห่งนี้ เราจะรู้สึกราวกับมีบางสิ่งดึงดูดให้เข้าไปค้นหาคำตอบเกี่ยวกับความเป็นมาของถ้ำ เพราะนอกจากจะมีแผนภาพแสดงลักษณะทางธรณีวิทยาของถ้ำในอดีตแล้ว ที่นี่ก็ยังมีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของธรณีสัณฐานในอนาคตให้เราชมอีกด้วย และที่ล้ำไปกว่านั้นคือถ้ำแห่งนี้มี Wi-fi ด้วยค่ะ!

ที่มา : https://visitkochijapan.com

หากเพื่อนๆพร้อมจะผจญภัยไปในถ้ำลึกแล้ว จงสวมเฮดไลต์ให้เรียบร้อยแล้วมาด้วยกันเลยจ๊ะ

นอกจากเราจะได้ชมหินงอกหินย้อยที่มีความวิจิตรพิสดารตามทางที่คดเคี้ยวไปมาอันน่าพิศวงแล้ว ภายในถ้ำก็ยังมีน้ำตกที่สูงถึง 11 เมตรอีกด้วย! แน่นอนว่าความสวยงามเหล่านี้ได้รับการแต่งแต้มสีสันเพิ่มเติมด้วยการจัดแสงไฟด้วย

และถ้าสังเกตบริเวณทางเชื่อมต่อของถ้ำให้ดี เราจะเห็น โอนากาโดริ (Onagadori) ไก่สายพันธุ์ที่หางยาวที่สุดในโลกซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่จังหวัดโคจิด้วย

ไก่โอนากาโดริ (Onagadori)

นอกจากนี้บริเวณหน้าทางเข้าถ้ำก็มีพวกสินค้าโอท็อปกับงานคราฟต์ให้แวะช้อป และมีคาเฟ่ให้ได้ไปนั่งพักเหนื่อยด้วยค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับถ้ำริวงะ (Ryuga Cave)

ที่อยู่
  • 1424 Tosayamadacho Sakakawa, Kami, Kochi 782-0005, Japan
ติดต่อ
  • 088-753-2144
เวลาทำการ
  • เดือนมีนาคม – พฤศจิกายน : 8:30 – 17:00 น.
  • เดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ : 8:30 – 16:30 น.
ค่าเข้าชม
  • Sightseeing Course (รายบุคคล)
    • อายุ 15 ปีขึ้นไป : 1,200 เยน
    • อายุระหว่าง 12 – 14 ปี : 700 เยน
    • อายุต่ำกว่า 11 ปี : 550 เยน
  • Adventure Course
    • Sightseeing Course : 1,000 เยนต่อ 1 คน
    • Rental fee for overalls & boots : 1,000 เยนต่อ 1 คน
  • Museum/Rare Birds Center : ไม่มีค่าเข้าชม
  • หมายเหตุ : ราคานี้คิดรวมค่าภาษีแล้ว
วิธีเดินทาง
  • ขับรถประมาณ 25 นาทีจากทางแยกต่างระดับ Nankoku IC บนทางด่วน Kochi Expressway
  • นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Ryugado Bus Stop (รถบัส Tosaden Kotsu Bus) แล้วเดินต่อไปตามแผนที่อีกไม่ไกล
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map

Back To Index

อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดโคจิ

หลังจากได้เที่ยวกันอย่างจุใจแล้ว เรามาส่องของกินแสนอร่อยของ ‘จังหวัดโคจิ’ กันเถอะค่ะ!

อย่างที่เรารู้กันดีว่าจังหวัดนี้เต็มไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็น ภูเขา แม่น้ำ และทะเล ดังนั้นจังหวัดโคจิจึงเป็นแหล่งวัตถุดิบคุณภาพดีเยี่ยมอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ปลาโบนิโตะ (Bonito Fish) ของจังหวัดโคจิที่มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คัตสึโอะ (Katsuo) ก็เป็นซะยิ่งกว่าอาหารขึ้นชื่อของที่นี่อีกนะ!

ความอร่อยของปลาชนิดนี้สามารถยืนยันได้จากความนิยมของคนญี่ปุ่นที่เลือกให้ปลาคัตสึโอะเป็นที่หนึ่งในใจของพวกเขา ดังนั้นคำกล่าวที่ว่าถ้ามาโคจิแล้วไม่ได้ทานปลาคัตสึโอะก็เท่ากับมาไม่ถึง คงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงแต่อย่างใดเลยค่ะ

สำหรับบทความนี้ ทีมงานคุณภาพ fromJapan ก็ไม่ได้ตั้งใจจะนำเสนอเพียงเมนูปลาคัตสึโอะเท่านั้น แต่ยังรวบรวมอาหารท้องถิ่นของจังหวัดโคจิที่ควรค่าแก่การลิ้มลองไว้ถึง 5 อย่างเลยทีเดียว จะมีอะไรบ้างก็ต้องตามมาดูกันนะ!

1. คัตสึโอะ โนะ ทาทากิ (Katsuo no Tataki)

เมนูที่จะต้องโดนเมื่อมาโคจิ!

เมนูที่พลาดแล้วจะต้องเสียดายมากๆเมื่อมาโคจิ!!

จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก…’คัตสึโอะ โนะ ทาทากิ’ จานนี้นี่เอง!!!

แม้ว่า คัตสึโอะ โนะ ทาทากิ (Katsu no Tataki) จะเป็นชื่อวิธีการทานปลาคัตสึโอะแบบหนึ่งของญี่ปุ่น แต่คัตสึโอะ โนะ ทาทากิของ ‘จังหวัดโคจิ’ นั้นเรียกได้ว่าเป็นเดอะเบสต์ของญี่ปุ่นเลยนะ เพราะเขามีวิธีการทำที่พิเศษกว่าที่อื่น!

ชาวโคจิจะนำปลาคัตสึโอะไปย่างบนตะแกรงที่มีฟางข้าวเป็นเชื้อเพลิง ทำให้กลิ่นและรสชาติของปลาดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ความเกรียมของผิวด้านนอกแต่ยังคงความเป็นซาชิมิเอาไว้ด้านใน อันเป็นลักษณะที่เกิดจากการย่างด้วยไฟแรง ก็ทำให้อาหารจานนี้มีความอร่อยล้ำมากยิ่งขึ้นไปอีก!

อย่างที่ทราบกันดีว่าซาชิมินั้นต้องทานคู่กับเครื่องจิ้มอย่างโชยุ แต่สำหรับที่โคจินั้น คนท้องถิ่นนิยมทานคู่กับน้ำจิ้มพอนสึ (Ponzu Sauce) กันค่ะ นอกจากนี้ก็ยังมีเครื่องเคียงอย่างหอมหัวใหญ่และกระเทียมสไลซ์สดให้ด้วย

Back To Index

2. ปลาคินเมได (Kinmedai / Alfonsino)

คินเมได (Kinmedai / Alfonsino) คือปลาสีแดงที่สามารถจับได้ในทะเลมุโรโตะ (Muroto Sea) แม้ว่าคินเมไดจะเป็นปลาที่สามารถจับได้ตลอดฤดูกาล แต่ช่วงที่เจ้าปลาตัวนี้จะน่าหม่ำที่สุดเห็นจะเป็นช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน เพราะเป็นช่วงเวลาก่อนที่ปลาจะวางไข่ ทำให้ปลาคินเมไดมีความจ้ำม่ำเป็นพิเศษค่ะ แถมรสสัมผัสของไขมันในตัวปลาก็ชัดเจนดีด้วย

สำหรับเมนูยอดฮิตที่รังสรรค์จากปลาชนิดนี้ก็คือ ซาชิมิปลาคินเมได แต่ชาวโคจิก็นิยมทานแบบสุกด้วย เพียงแต่เขาจะนำปลาไปเคี่ยวในน้ำเดือดที่มีส่วนผสมของซอสเทริยากิรสชาติหวานเค็ม

ถ้าเพื่อนๆคนไหนไม่ชอบทานซาชิมิ เทริยากิคินเมไดก็ตอบโจทย์ความอร่อยได้เช่นกัน

Back To Index

3. คามาอาเกะ จิริเมน (Kamaage Chirimen)

คามาอาเกะ จิริเมน (Kamaage Chirimen) เป็นเมนูที่นำลูกปลาแฮร์ริง (Whitebait) หรือลูกปลาชนิดอื่นๆที่ติดมากับแหไปทำให้สุกด้วยการต้มในน้ำเดือด อาหารเมนูนี้นิยมทานคู่กับข้าวสวย ซุปมิโสะ ผักต้ม หรือผักดอง (Tsukemomo)

ส่วนเรื่องน่ารู้อีกอย่างหนึ่งของคามาอาเกะ จิริเมนก็คือการเรียกชื่อปลาชนิดนี้ของชาวโคจิ เพราะพวกเขาจะเรียกมันว่า โดโรเมะ (Dorome) ค่ะ อีกทั้งชุดอาหารที่ประกอบด้วยปลา ข้าวสวย ซุปมิโสะ และเครื่องเคียงก็มีชื่อเรียกว่า คามาอาเกะ จิริเมน (Kamaage Chirimen) ในทางกลับกัน ชาวญี่ปุ่นแถบคันโตจะเรียกปลาชนิดนี้ว่า ชิราสึ (Shirasu) และเรียกชุดอาหารดังกล่าวว่า คามาอาเกะ ชิราสึ (Kamaage Shirasu)

หากได้มาเที่ยวที่ ‘จังหวัดโคจิ’ ล่ะก็ อย่าลืมสั่งคามาอาเกะ จิริเมนกันนะ รับรองเลยว่าเมนูนี้จะเป็นจานที่อร่อยสุดๆ แถมยังดีต่อสุขภาพด้วยค่ะ

Back To Index

4. นาเบะยากิราเมน (Nabeyaki Ramen)

นาเบะยากิราเมน (Nabeyaki Ramen) เป็นเมนูสุดพิเศษที่สามารถรับประทานได้ที่เมืองสึซากิ (Susaki) จังหวัดโคจิ ความพิเศษของเมนูนี้คือวิธีการเสิร์ฟที่แตกต่างจากราเมนทั่วไป คือเขาจะเสิร์ฟในหม้อไฟค่ะ

พอเมนูราเมนไม่ได้อยู่ในภาชนะธรรมดาอย่างชามเซรามิก แต่กลับเป็นหม้อไฟที่ให้ความร้อนอยู่ตลอดเวลา เขาจึงต้องนำเส้นราเมนที่มีขนาดเล็กและเหนียวเป็นพิเศษมาใช้ประกอบอาหาร เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องเส้นเละก่อนที่เราจะทานจนหมดนั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนผสมที่ทำให้นาเบะยากิราเมนอร่อยขึ้นก็คือ ความหอมของน้ำซุปไก่ที่เคี่ยวกับโชยุ บวกกับต้นหอม ไข่ดิบ แครอท เห็ดหอม ลูกชิ้นปลา และผักต่างๆที่วางเป็นท็อปปิ้ง

ส่วนเรื่องความอร่อยเป็นของที่นอนมาอยู่แล้ว เพราะราเมนที่ร้อนอยู่ตลอดเวลาคือราเมนในฝันเลยล่ะ! เราเชื่อว่าใครก็ตามที่อยู่ชมรมคนรักเส้นอย่างเราก็คงเซ็งเป็ดไม่ต่างกันเวลาทานราเมนไปประมาณสามส่วนสี่ของชาม แล้วพบกับความเย็นชืดของน้ำซุปตอนท้าย (หรือเป็นเราที่ทานช้านะ 555)

เราว่าการที่นาเบะยากิราเมนถือกำเนิดขึ้นมาเนี่ย เป็นเรื่องที่ตอบโจทย์การทานราเมนมากจริงๆนะ! ถ้าเพื่อนๆคนไหนมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่โคจิโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว อย่าลืมแวะไปทานนาเบะยากิราเมนกันนะคะ

Back To Index

5. ส้มยุซุ (Yuzu Orange)

รู้หมือไร่!?! (หรือไม่!) ว่าจังหวัดโคจิเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูก ส้มยุซุ (Yuzu Orange) มากที่สุดในญี่ปุ่น!

แน่นอนว่าส้มยุซุที่ขายตามท้องตลาดทั่วไปของญี่ปุ่นก็ส่งตรงมาจากที่นี่เช่นกัน แต่ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้ทานผลไม้เลื่องชื่อสดๆจากแหล่งผลิตโดยตรงหรอกนะ!

อย่างที่เรารู้กันดี ส้มยุซุนั้นมีกลิ่นหอมสดชื่นและมีรสเปรี้ยวที่โดดเด่น มันจึงเป็นส่วนผสมที่คนญี่ปุ่นนิยมนำไปประกอบเครื่องดื่มหรือของหวาน โดยเมนูส้มยุซุที่มีชื่อเสียงมากเมนูหนึ่งเลยก็คือ ชาส้มยุซุ (Yuzu Tea) ซึ่งนอกจากรสชาติของชากับส้มยุซุแล้ว เราก็ยังจะได้กลิ่นหอมและความหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของน้ำผึ้งอีกด้วย

แต่ถ้าใครไม่ดื่มชา เราขอแนะนำน้ำส้มยุซุคั้นกับโชจูยุซุ (Yuzu Shochu) ค่ะ รับรองว่าเด็ดดวงไม่แพ้กัน! แถมหาซื้อได้ตามร้านขายของฝากหรือร้านสะดวกซื้ออีกด้วย

สำหรับใครที่มีโอกาสไปเที่ยวที่ ‘จังหวัดโคจิ’ ในหน้าร้อน เราขอแนะนำไอศกรีมหวานเย็นชื่นใจที่มีท็อปปิ้งเป็นส้มยุซุค่ะ รับรองได้ว่าดีต่อใจแน่นอน~!

Back To Index

เว็บไซต์ทางการของจังหวัดโคจิ

Kochi Guide Book (pdf)

มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!

รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!

ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ

Back To Top