10 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดนารา’ ที่ต้องไปโดนให้ได้สักครั้ง
ก.พ. 04, 2021
ไปเที่ยว ‘จังหวัดนารา’ กันเถอะ!
จังหวัดนารา (Nara Prefecture) แค่ได้ยินชื่อนี้ทุกคนก็คงนึกถึงเจ้ากวางน้อยที่อยู่ในสวนนารากันแล้วใช่ไหมล่ะ? แต่รู้หรือเปล่าว่านอกจากนาราจะอยู่ติดกับโอซาก้าและเกียวโตแล้ว จังหวัดนี้ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายอย่างสวนญี่ปุ่นสวยๆ พิพิธภัณฑ์ต่างๆ หรือจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ วัดวาอาราม รวมถึงศาลเจ้าที่ทั้งศักดิ์สิทธิ์และสวยงามด้วย
สำหรับคนที่มีแผนว่าจะไปโอซาก้าหรือเกียวโต เราขอแนะนำว่าควรแวะมาเที่ยวนาราด้วยนะ เพราะนี่เป็นการเดินทางข้ามจังหวัดที่แสนสะดวกและใช้เวลาไม่นานนั่นเอง~
เกริ่นมาพอเป็นพิธีแบบนี้อาจยังไม่พอจะโน้มน้าวใจให้ทุกคนมาเที่ยวนารา งั้นเราขอรับบทเป็นคนเล่าประวัติคร่าวๆของจังหวัดนาราให้ทุกคนฟังเอง!
จังหวัดนารา ตั้งอยู่บริเวณใจกลางฝั่งตะวันตกของเกาะฮอนชู และเป็นจังหวัดที่เริ่มก่อตั้งขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 3 โดยมีเขตยามาโตะ (Yamato Precinct) เป็นศูนย์กลาง เดิมทีเมืองหลวงเก่าของนารานั้นตั้งขึ้นที่เขตอาสึกะ (Asuka Precinct) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของที่ราบลุ่มนารา อันเป็นใจกลางการปกครองและเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจนถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 8 ก่อนที่เมืองหลวงจะย้ายไปยังเขตเฮโจเคียว (Heijokyo Precinct) ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองนาราในปัจจุบัน [1]
ในปี 710 มีวัดและศาลเจ้ามากมายที่สร้างขึ้นภายใต้คำสั่งของราชวงศ์และขุนนางชั้นสูง จนทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นมหานครแห่งวัด นอกจากนี้ยังมี ไดบุทสึ (Daibutsu) หรือพระพุทธรูปหล่อทองแดงองค์ใหญ่ที่สุดในโลกเก็บรักษาไว้ใน ไดบุทสึเด็น (Daibutsuden) หรืออาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แน่นอนว่าที่จังหวัดนารายังมีวัดที่มีชื่อเสียงเรื่องสถาปัตยกรรมไม้อย่าง วัดยาคุชิจิ (Yakushiji Temple) ที่ก่อตั้งโดยภิกษุชาวจีนรูปหนึ่งนามว่า กันจิน (Ganjin) โดยท่านได้ธุดงค์มายังญี่ปุ่นด้วยความอุตสาหะเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนา
ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมี วัดโฮริวจิ (Horyuji Temple) ที่ว่ากันว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 7 และเป็นที่รู้จักในฐานะพุทธศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น อีกทั้งตัววัดเองยังถือเป็นสถาปัตยกรรมไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย ภายในอาคารของวัดโฮริวจิเต็มไปภาพวาดและรูปปั้นมากมาย แถมยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยนะ
สำหรับคนที่อยากมาที่นี่ก็สามารถมาได้ตลอดทั้งปี เพื่อชมทิวทัศน์แสนงามของภูเขาโยชิโนะ (Mt. Yoshino) ซึ่งเป็นจุดชมซากุระที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น
และที่พลาดไม่ได้เลยสำหรับจังหวัดนี้ก็คือ สวนกวางนารา ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่ากวางน้อยแสนน่ารักที่ได้รับการดูแลอย่างดีในฐานะผู้ส่งสารของพระเจ้า!
สารบัญ
สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดนารา
-
- ศาลเจ้าคาสึกะ (Kasuga Taisha Shrine)
- ป่าดึกดำบรรพ์คาสึกะ (Mt. Kasuga’s Primeval Forest)
- สวนนารา (Nara Park)
- วัดโทไดจิ (Todaiji Temple)
- สวนอิซุยเอ็น (Isuien Garden)
- ถนนชอปปิ้งฮิกาชิมุกิ (Higashimuki Shopping Street)
- วัดโคฟุคุจิ (Kofukuji Temple)
- ภูเขาคัตสึรางิ (Mt. Katsuragi)
- นารามาจิ (Naramachi)
- วัดโฮริวจิ (Horyuji Temple)
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดนารา
สถานที่ท่องเที่ยวประจำ ‘จังหวัดนารา’
จังหวัดนารา (Nara Prefecture) เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีความสะดวกสบายต่อการเดินทาง เพราะมีพื้นที่ติดกับเกียวโตและโอซาก้า นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางจากโตเกียวด้วยรถไฟ JR หรือ Highway Bus ก็ย่อมได้ และถ้าเราอยากเดินทางไปที่นาราก็สามารถดูรายละเอียดได้ตามนี้เลย
จากเกียวโตไปนารา
-
- เดินทางด้วยรถไฟ JR : เส้นทางตรงใช้เวลาประมาณ 45 นาที ราคา 710 เยน มีรถวิ่งทุกๆครึ่งชั่วโมงจากสถานีรถไฟ Kyoto Station กับ JR Nara Station สามารถใช้บัตร JR Pass ได้
- เดินทางด้วยรถไฟเอกชนคินเท็ตสึ (Kintentsu) : มีทั้งแบบรถไฟด่วนที่วิ่งตรงไปถึงนาราและรถไฟธรรมดาที่ต้องต่อรถนิดหน่อย รถไฟคินเท็ตสึจะใช้เวลาประมาณ 35 – 45 นาที ราคาตั้งแต่ 620 – 1,130 เยน มีรถไฟวิ่งทุกๆครึ่งชั่วโมง รายละเอียดของรถไฟคินเท็ตสึทั้งสองแบบจะมีดังนี้
- รถไฟด่วน : ใช้เวลา 35 นาที ราคาจะอยู่ที่ 1,130 เยน วิ่งจากสถานี Kyoto Station ไปที่สถานี Kintetsu Nara Station
- รถไฟธรรมดา : ใช้เวลา 45 นาที ราคา 620 เยน ทั้งนี้ไม่สามารถใช้บัตร JR Pass ได้
จากโอซาก้าไปนารา
-
- เดินทางด้วยรถไฟ JR : รถไฟแบบด่วนวิ่งตรง ใช้เวลา 30 นาที ราคา 470 เยน จากสถานีเทนโนจิ (Tennoji) มีหลายขบวนต่อชั่วโมง หรือจะนั่งจากสถานี Shin-Osaka ไปที่ JR Nara Station ก็ได้เช่นกัน ใช้เวลา 45 นาที ราคา 800 เยน นอกจากนี้ยังสามารถใช้กับบัตร JR Pass ได้ด้วย
- เดินทางด้วยรถไฟเอกชนคินเท็ตสึ (Kintetsu) : มี 2 แบบ คือ
- 1. รถไฟด่วนจากสถานี Namba Station ไปที่สถานี Kintetsu Nara Station ใช้เวลา 30 นาที ราคา 1,070 เยน
- 2. รถไฟธรรมดา ใช้เวลานานกว่านิดหน่อย แต่ราคาถูกกว่าเป็นเท่าตัวเลย
จากโตเกียวไปนารา
-
- เดินทางด้วยรถไฟ : จากโตเกียว ให้โดยสารรถไฟมาที่เมืองโอซาก้าหรือเกียวโตก่อน จากนั้นค่อยนั่งไปนาราอีกต่อหนึ่ง
- เดินทางด้วยรถบัส : จากเมืองโตเกียว จะมีรถบัสวิ่งช่วงกลางคืนแล้วไปถึงนาราตอนเช้าทุกๆคืน คืนหนึ่งมีรถออกหลายช่วงเวลา ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง ราคารถบัสแบบธรรมดาอยู่ที่ 4,500 เยน ถ้าเป็นแบบพิเศษ 8,500 เยน [2]
ต่อจากนี้เราจะเริ่มเข้าสู่การขายของ…เอ๊ย! การแนะนำสถานที่ที่น่าไปในจังหวัดนาราต่างหากล่ะ ^^ ตามมาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าจังหวัดนาราจะมีที่ไหนน่าไปโดนบ้าง~
1. ศาลเจ้าคาสึกะ (Kasuga Taisha Shrine)
เมื่อประมาณ 1,300 ปีที่แล้ว ทันทีที่เมืองหลวงเก่าก่อตั้งขึ้นในนารา ก็มีตำนานหนึ่งเล่าขานว่าเทพทาเคมิคาซึจิ (Takemikazuchi-no-mikoto) หรือเทพเจ้าแห่งสายฟ้า ได้สัญจรผ่านเส้นทางจากศาลเจ้าคาชิมะ จังหวัดอิบารากิ ไปยังภูเขามิคาสะ จังหวัดนารา ทำให้เส้นทางดังกล่าวที่แสนจะธรรมดากลายเป็นเส้นทางศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา แถมบนยอดเขาลูกนี้ยังเต็มไปด้วยต้นอุคิกุโมโนมิเนะ (Ukigumo-no-mine) หรือต้นเมเปิลญี่ปุ่น อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองและความผาสุขทั้งปวงของมนุษย์
พอเข้าสู่ยุคนาราอย่างจริงจัง (Tenpyo culture) จำนวนของศาสนสถานก็เพิ่มขึ้นไปด้วย และ ศาลเจ้าคาสึกะ (Kasuga Taisha Shrine) ก็ได้รับการสร้าง ขยาย และต่อเติม จนมีหน้าตาเหมือนที่เห็นในปัจจุบัน ภายใต้คำสั่งของผู้นำทางการเมืองในตอนนั้น นั่นก็คือ ‘ฟูจิวาระ โนะ นากาเตะ’ (Fujiwara-no-Nagate)
นอกจากนี้เขายังได้อัญเชิญเทพเจ้าอีกหลายองค์มาประดิษฐานในสถานที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเทพฟุทสึนุชิ (Futsunushi-no-mikoto) จากศาลเจ้าคาโตริ จังหวัดชิบะ รวมไปถึงเทพอาเมโนะโกยาเนะ (Amenokoyane-no-mikoto) กับเทพฮิเมะกามิ (Himegami) จากศาลเจ้าฮิราโอกะ จังหวัดโอซาก้า
ทั้งนี้ ศาลเจ้าคาสึกะยังเป็นสถานที่ที่จักรพรรดินีโชโตกุ (Empress Shotoku) ผู้ติดตามคนสำคัญของฟูจิวาระ โนะ นากาเตะ ใช้เป็นที่สำหรับออกบวชในสมัยนั้นด้วย [3]
บริเวณห้องโถงของศาลเจ้าประกอบด้วยเสาสีแดงสว่างสดใส ตัดกับสีขาวสะอาดของกำแพงและหลังคาสีเขียวที่ทำจากไม้ของต้นฮินาโกะไซเปรส (Hinoki Cypress) บวกกับต้นไม้โบราณที่ปลูกอยู่รอบๆ ทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกอันแสนสงบ
ประเด็นสำคัญอีกอย่างคือ ศาลเจ้าคาสึกะนั้นยังคงความงามตั้งแต่ตอนก่อตั้งครั้งแรกจนถึงปัจจุบันด้วย พิธีกรรมชิกิเน็นโซไต (Shikinen Zotai) ที่จะมีการบูรณะซ่อมแซมโครงสร้างที่สึกหรอของศาลเจ้าให้กลับมาสวยงามดังเดิม พิธีกรรมดังกล่าวจะจัดขึ้นทุกๆ 20 ปีและมีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกอย่างว่าการทำพิธีกรรมชิกิเน็นโซไตจะนำพาความสงบมาสู่สถานที่แห่งนี้
ในเวลาต่อมาศาลเจ้าคาสึกะก็มีชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักสำหรับคนทั่วไป เมื่อศาลเจ้าเสริมทั่วประเทศกว่า 3,000 แห่งร่วมกันบริจาคโคมไฟจำนวน 3,000 ดวงเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใส ศรัทธา และความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าแห่งนี้
ท้ายที่สุดแล้ว ในปี 1998 โบราณสถานของนาราอย่างศาลเจ้าคาสึกะและป่าดึกดำบรรพ์คาสึกะก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO)
ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน เราจะเห็นนักท่องเที่ยวไปสักการะขอพรให้ชีวิตพวกเขารวมถึงโลกใบนี้มีแต่สันติภาพและความสงบสุข
ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากปลีกวิเวกหรือกำลังตามหาความเงียบสงบอยู่นั้น ศาลเจ้าคาสึกะแห่งนี้ก็น่าไปโดนไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ~
ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าคาสึกะ (Kasuga Taisha Shrine)
วิธีเดินทาง
- นั่งรถไฟ Kintetsu สาย Nara Line ไปลงที่สถานี Kintetsu Nara Station จากนั้นเดินไปอีกประมาณ 25 นาที
โทร
- 0742-22-7788
แฟ็กซ์
- 0742-27-2114
เวลาทำการ
- เดือนเมษายน – กันยายน : 6:00 – 18:00 น.
- เดือนตุลาคม – มีนาคม : 6:30 – 17:00 น.
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
2. ป่าดึกดำบรรพ์คาสึกะ (Mt. Kasuga’s Primeval Forest)
ไหนๆก็อุตส่าห์มาถึงศาลเจ้าคาสึกะแล้ว ลองเดินไปทางด้านหลังของศาลเจ้ากันหน่อยดีไหม เพราะเรามีสถานที่แห่งหนึ่งที่อยากให้ทุกคนเห็น นั่นก็คือ ป่าดึกดำบรรพ์คาสึกะ (Mt. Kasuga’s Primeval Forest) อันสวยงามแห่งนี้นี่เอง!
ป่าที่มีอายุมากกว่า 1,100 ปีแห่งนี้คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามมุมมองแบบลัทธิชินโต กล่าวคือความเชื่อที่ว่าในสถานที่ตามแหล่งธรรมชาติจะมีเทพเจ้าสถิตอยู่ [4] แต่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา ที่นี่กลับกลายเป็นป่าต้องห้ามขึ้นมาซะงั้น เนื่องมาจากปัญหาเรื่องการตัดไม้ทำลายป่ารวมไปถึงการล่าสัตว์ในยุคนั้น เขาจึงตัดปัญหาด้วยการไม่ให้ใครเข้าไปซะเลย
อย่างไรก็ตาม ในสมัยศักดินาของญี่ปุ่นที่ปกครองโดยโชกุนโทโยโตมิ ฮิเดโยชินั้น ได้มีการนำต้นซีดาร์จำนวน 10,000 ต้นมาปลูกเพื่อทดแทนในส่วนที่โดนตัดไปในช่วงศตวรรษที่ 16 [5]
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือประมาณปี 1955 ป่าแห่งนี้ก็ได้กลับมาเปิดให้ตาสีตาสาหรือชาวบ้านตาดำๆเข้าไปเก็บผักป่ากันอีกครั้ง ในฐานะของอุทยานแห่งชาติที่เต็มไปด้วยพืชและสัตว์หายากกว่า 800 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นกระรอกบินแก้มขาว (white-cheeked flying squirrels) กบป่าสีเขียว (forest green tree frog) จั๊กจั่นฮิเมะฮารุ (hime-haru cicada) หรือซาลาแมนเดอร์ลายเมฆ (clouded salamander)
หลังจากนั้นอีกประมาณ 40 ปีให้หลัง ป่าดึกดำบรรพ์คาสึกะก็ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกร่วมกับศาลเจ้าคาสึกะ [6]
ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน ป่าคาสึกะแห่งนี้ได้กลายมาเป็นความฝันของนักเดินเขาหลายๆคนที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องมาที่นี่ให้ได้สักครั้ง โดยเส้นทางเดินเขาที่เราอยากแนะนำนั้นเริ่มต้นจากศาลเจ้าคาสึกะ ผ่านป่าดึกดำบรรพ์ และไปสิ้นสุดที่โรงน้ำชาซึ่งตั้งอยู่บริเวณประตูทางทิศเหนือ
ถ้ามาเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ทุกคนก็จะเห็นเหล่าต้นเมเปิลที่ขึ้นเรียงรายตามทางพร้อมใจกันผลัดใบเป็นสีแดงด้วยค่ะ จุดชมวิวในฤดูนี้ที่เราอยากแนะนำคือบริเวณศาลเจ้าเมียวเก็งงุ (Myokengu Shrine)
ด้วยความที่เป็นป่าดึกดำบรรพ์อายุนับพันปี เราจะเห็นสิ่งมีชีวิตยุคบุกเบิกอย่างมอสได้ที่นี่ด้วย ดูความปุกปุยน่ารักของน้องมอสที่ขึ้นปกคลุมหลังคาตะเกียงหินนั่นสิ!
และหากโชคดีเราจะได้เห็นแรร์ไอเทมที่หาตัวจับยากมากอย่างเจ้าผีเสื้อปีกสีน้ำเงินสดใสด้วย เรียกได้ว่าเราสามารถดื่มด่ำไปกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่เลยจริงๆค่ะ
ข้อมูลเกี่ยวกับป่าดึกดำบรรพ์คาสึกะ (Mt. Kasuga’s Primeval Forest)
วิธีเดินทาง
- นั่งรถประจำทาง Nara Kotsu (สาย Outer City Loop Line) จากสถานีรถไฟ JR Nara และสถานีรถไฟ Kintetsu-Nara ไปลงที่ป้าย Wariishi-cho และใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาทีเพื่อไปยังจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินเขา Mt. Kasuga
โทร
- 0742-22-0375
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
3. สวนนารา (Nara Park)
สวนนารา (Nara Park) เป็นสวนสาธารณะใจกลางเมืองนาราซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1880 สวนแห่งนี้มีพื้นที่กว้างถึง 660 เฮกเตอร์ หรือ 6.6 ล้านตารางเมตร!
นอกจากจะห้อมล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆอย่างวัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดโคฟุคุจิ (Kohfukuji Temple) ศาลเจ้าคาสึกะ (Kasuga Taisha Shrine) พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมแห่งชาตินารา (Cultural Institutions of Nara National Museum) และโกดังสินค้าโชโซอิน (Shosoin Repository) แล้ว สวนกวางนารายังเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวอันเกิดจากต้นไม้หลากสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นต้นเชอร์รี่ ต้นเมเปิล ต้นซีดาร์ขาว และอื่นๆอีกมากมาย เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่สวยงามจนหาตัวจับได้ยากเลยทีเดียว [7]
และที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือ การไปเล่นกับเจ้ากวางน้อยนั่นเอง!
เป็นที่รู้กันดีว่าสวนกวางนาราแห่งนี้มีกวางซิก้า (Sika deer) ที่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ แถมยังมีมากถึง 1,200 ตัวเลยทีเดียว
หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเจ้ากวางพวกนี้ถึงมีความสำคัญจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดนาราได้ ดังนั้นเราจะเล่าถึงความเป็นมาของเจ้ากวางนาราให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ
ย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณต้นศตวรรษที่ 8 หรือช่วงที่เมืองหลวงถาวรแห่งแรกของญี่ปุ่นอย่าง ‘นารา’ ได้ถือกำเนิดขึ้น [8] ในช่วงเวลานั้นได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น คือผู้ครองเมืองมีความคิดที่จะย้ายเทวรูปในศาลเจ้าคาชิมะ จังหวัดอิบารากิไปประดิษฐานที่ภูเขาคาสึกะ จังหวัดนารา เพื่อนำมาประกอบพิธีบวงสรวงเทพเจ้า และในจังหวะที่กำลังเดินทางอยู่นั้น เทพทาเคมิคาซึจิซึ่งเป็นเทพแห่งสายฟ้าก็ปรากฏกายขึ้นอย่างกะทันหันโดยขี่กวางผ่านมา [9]
ด้วยเหตุนี้เอง กวางจึงกลายเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และมีความสำคัญในฐานะที่เป็นผู้ส่งสารของเทพเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 หรือสมัยมุโรมาจิ ได้มีกฎหมายข้อหนึ่งบัญญัติไว้ว่า หากผู้ใดฆ่ากวางโดยเจตนาหรือไม่ได้ตั้งใจจะต้องได้รับโทษประหารชีวิตทันที แต่กฎดังกล่าวก็ยกเลิกไปเมื่อประมาณกลางศตวรรษที่ 17 พอเข้าสู่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการลดความสำคัญของกวางในฐานะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ลง จนเหลือเพียงตำแหน่งสมบัติแห่งชาติ [10]
สำหรับใครที่อยากจะไปเล่นกับเจ้ากวางน้อย อย่าลืมล่ะว่าน้องๆทุกตัวล้วนเป็นกวางป่า ดังนั้นถึงแม้ว่าน้องกวางในสวนนาราจะหน้าตาน่ารักแสนรู้ แต่ก็ยังมีความดุอยู่ดีนะ เวลาเล่นกับน้องก็ระมัดระวังกันด้วยนะคะ เรื่องอะไรที่แผลงๆก็อย่าได้หาทำเชียว
แต่ทั้งนี้เหล่าบรรดากวางน้อยที่นาราก็คุ้นเคยกับพวกเราชาวมนุษย์เป็นอย่างดี ดังนั้นเรื่องที่เราควรระวังอีกอย่างคือห้ามให้อาหารอื่นๆนอกจากแครกเกอร์ข้าวกับน้องเด็ดขาดเลย เพราะอาหารอาจจะทำให้น้องป่วย หรือที่เลวร้ายที่สุดคืออาจทำให้น้องตายได้เลยค่ะ T^T
นอกจากนี้เรายังมีคำแนะนำในการเล่นกับเจ้ากวางน้อยมาฝากทุกคนกันด้วยนะจ๊ะ
-
- ห้ามตี ไล่ หรือใช้ความรุนแรงใดๆกับน้อง
- หากพาเด็กเล็กมาด้วยต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเด็กอาจโดนกวางทำร้ายได้
- ห้ามให้อาหารน้องกวางเด็ดขาด แต่สามารถให้แครกเกอร์ข้าวกับน้องได้ มีร้านแผงลอยขายอยู่แถวนั้นค่ะ
- เวลาให้อาหารน้อง ห้ามแกล้งน้องเด็ดขาด ใครทำตัวยึกยักไม่ยอมให้น้องกินสักทีเนี่ย ระวังโดนน้องโกรธนะ
- ห้ามทิ้งขยะเรี่ยราดเด็ดขาด เพราะน้องกวางอาจจะกินขยะเหล่านี้จนกลายเป็นสาเหตุของการป่วยได้ [11]
ส่วนกิจกรรมที่เราอยากแนะนำให้ทุกคนไปทำกันที่สวนนาราก็คือ การแต่งชุดกิโมโนไปเดินเล่นกับเจ้ากวางนั่นเอง
หากใครอยากรู้ว่าสวนนาราจะมีกิจกรรมอะไรให้ทำอีกบ้าง สามารถตามไปอ่านกันได้ที่บทความนี้นะคะ >> 10 กิจกรรมห้ามพลาด! เมื่อไปเที่ยวสวนนาราและบริเวณโดยรอบ
ข้อมูลเกี่ยวกับสวนนารา (Nara Park)
วิธีเดินทาง
- เดินจากสถานีรถไฟ Kintetsu Nara Station โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที และเดินจากสถานีรถไฟ JR Nara Station โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
4. วัดโทไดจิ (Todaiji Temple)
พระพุทธรูปหล่อองค์ใหญ่ที่สุดในโลกจะอยู่ที่ไหนไปไม่ได้เลย นอกจากวัดโทไดจิแห่งนี้นี่เอง!
วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีชื่อเสียงและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นจุดแลนด์มาร์กที่สำคัญของ ‘จังหวัดนารา’ แน่นอนว่าถ้ามานาราแล้วไม่ได้ไปวัดโทไดจิก็เท่ากับมาไม่ถึงนะ
เนื่องด้วยเราเกริ่นไว้ว่าที่นี่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ดังนั้นยังไงก็คงเล่าข้ามที่นี่ไปไม่ได้แน่ๆล่ะ ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความรู้จักกับวัดโทไดจิไปพร้อมๆกันเลยดีกว่า!
วัดโทไดจิ เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเทมเปียว (Tenpyo) หรือประมาณช่วงศตวรรษที่ 8 ภายใต้คำสั่งของจักรพรรดิโชมุ แต่ก่อนที่จะมีวัดโทไดจิมาให้เราเห็นจนถึงปัจจุบันนั้น จักรพรรดิโชมุได้สร้างวัดคินโซเซ็นจิ (Kinshosen-ji complex) ขึ้นเพื่อรำลึกถึงเจ้าชายโมโตอิผู้ล่วงลับหลังจากลืมตาดูโลกนี้ได้เพียง 1 ปี
และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เหตุการณ์สำคัญที่ควรกล่าวถึงคงไม่หนีพ้นประเด็นเรื่องความอดอยากของประชาชนอันเนื่องมาจากการขาดแคลนผลผลิตทางเกษตร มิหนำซ้ำไข้ทรพิษยังระบาดไปทั่วถ้วนอีกด้วย จักรพรรดิโชมุจึงมีคำสั่งให้สร้างวัดตามรอบเมือง เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปัดเป่าเพศภัยให้พ้นไป (ก็ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ยังไปไม่ถึงยุคนั้นเนอะ เขาคงต้องพึ่งความมูเตลูไปก่อนล่ะนะทุกคน 555)
ด้วยคำสั่งดังกล่าว การก่อสร้างวัดโทไดจิจึงได้เริ่มต้นขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุการณ์การก่อกบฏขึ้นโดยฟุจิวาระ โนะ ฮิโรสึกุ (Fujiwara no Hirotsugu) เสถียรภาพทางการเมืองจึงย่ำแย่ลงจนถึงกับต้องย้ายเมืองหลวงไป 4 ครั้งเลยทีเดียว [12] ในขณะเดียวกันคำสั่งสร้างวัดก็ลดลงตามไปด้วย ซึ่งความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเองก็คิดว่าเหตุก่อกบฏครั้งนี้อาจเป็นเพราะรัฐเรียกเก็บส่วย(ที่มากเกินความจำเป็น)จากประชาชนเพื่อเอาไปสร้างวัดนี่แหละ
ไม่ว่าในตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเพราะเหตุการณ์เดียวกันนี้เอง เราจึงมีโอกาสได้เห็นความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมโบราณแห่งนี้ โดยเฉพาะวิหารของวัดที่ชื่อว่า ไดบุทสึเด็น (Daibutsuden / the Great Buddha Hall)
วิหารแห่งนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าที่พวกเราเห็นอยู่จะมีขนาดเพียง 7 ใน 10 จากของเดิมเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้วิหารไดบุทสึเด็นได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ไฟไหม้และแผ่นดินไหวในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ทางการจึงบูรณะวิหารขึ้นใหม่เพื่อรักษาสภาพไว้ให้คงเดิม
และวิหารไดบุทสึเด็นแห่งนี้ก็เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง ไดบุทสึ (Daibutsu / หลวงพ่อโต) อันเป็นพระปฏิมาแทนองค์พระไวโรจนพุทธเจ้าด้วย พระพุทธรูปไดบุทสึนั้นมีความสูงถึง 15 เมตรเลยทีเดียว
แน่นอนว่าสิ่งที่น่าสนใจในวิหารไดบุทสึเด็นคงไม่ได้มีเพียงแค่ไดบุทสึเท่านั้น เพราะเสาเคลือบสีชาดขนาดใหญ่ที่มีรูโบ๋ตรงฐานเสานั้น คงทำให้เราสะดุดตาได้ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะ?
ว่ากันว่าถ้าใครสามารถลอดรูที่ปรากฎบนเสาดังกล่าวได้จะสามารถตรัสรู้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้ในชาติหน้า! [13] แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่ารูมันเล็กอยู่นะ เด็กน้อยและคนตัวเล็กอาจจะลอดได้สบาย แต่ถ้าเป็นคนตัวใหญ่อาจจะต้องพยายามหน่อยเน้อ
นอกจากนี้ภายในวิหารยังมีไฮไลต์อีกจุดเป็นประตูไม้ขนาดใหญ่อย่าง นันไดมง (Nandaimon Gate) ซึ่งมีรูปปั้นยักษ์เฝ้าประตู (Nio Guardian King) ตั้งอยู่ด้วย
ถ้าเดินเที่ยวในวัดจนไม่มีอะไรที่อยากดูแล้ว ลองออกไปซื้อแครกเกอร์ข้าวให้น้องกวางที่ชอบเดินไปมาหน้าวัดก็เป็นทางเลือกที่ดีนะ
- หมายเหตุ : วัดโทไดจิเป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือประมาณกลางศตวรรษที่ 20
ข้อมูลเกี่ยวกับวัดโทไดจิ (Todaiji Temple)
วิธีเดินทาง
- เดินจากสถานีรถไฟ Kintetsu Nara Station โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที
โทร
- 0742-22-5511
เวลาทำการ
- เดือนเมษายน – ตุลาคม : 7:30 – 17:30 น.
- เดือนพฤศจิกายน – มีนาคม : 8:00 – 16:30 น.
ค่าเข้าชม
- 500 เยน สำหรับการเข้าชมพระพุทธรูปไดบุทสึ
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
5. สวนอิซุยเอ็น (Isuien Garden)
มารู้จักสถานที่ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นอีกแห่งหนึ่งอย่าง สวนอิซุยเอ็น (Isuien Garden) กันเถอะ!
รู้หมือไร่?… (หลายๆคนที่ทันมุกคงแก้ได้ทันทีว่า รู้หรือไม่! 555) ว่าทิวทัศน์ของสวนอิซุยเอ็นนั้นสวยงามมากซะจนที่นี่ได้รับการดูแลโดยรัฐบาลแห่งชาติภายใต้กฎหมายคุ้มครองสิทธิ์ทางวัฒนธรรมเลยทีเดียว
สวนอิซุยเอ็นตั้งอยู่ใกล้กับวัดโทไดจิ โดยประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ
- สวนด้านหน้า (Front Garden) หรือสวนสไตล์ยุคเอโดะ
- สวนด้านหลัง (Back Garden) หรือสวนสไตล์ยุคเมจิ
นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยือนสวนอิซุยเอ็นแห่งนี้จะได้สัมผัสกับบรรยากาศของสวนแต่ละแบบที่มีเสน่ห์แตกต่างกัน [14]
สำหรับกิจกรรมที่เราอยากให้เพื่อนๆลองทำกันก็คือการนั่งจิบชาเขียวไปพลางชมวิวไปพลางค่ะ เพราะนอกจากสวนสวยๆแล้วที่นี่ก็ยังมีบ้านน้ำชาอีกด้วย สายเที่ยวคาเฟ่ที่ชักจะเบื่อๆการนั่งคาเฟ่แล้ว หรือสายเที่ยวเนือยๆสโลว์ไลฟ์อย่างผู้เขียนเองเนี่ย เป็นกลุ่มบุคคลที่เหมาะกับความนิ่งสงบของสวนอิซุยเอ็นที่สุดเลยล่ะ
ข้อมูลเกี่ยวกับสวนอิซุยเอ็น (Isuien Garden)
วิธีเดินทาง
- เดินจากสถานีรถไฟ Kintetsu Nara Station โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที
เวลาทำการ
- 9:30 – 16:30 น. (ประตูเปิดถึงเวลา 16:00 น.)
ค่าเข้าชม
- 650 เยน
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
6. ถนนชอปปิ้งฮิกาชิมุกิ (Higashimuki Shopping Street)
ถนนชอปปิ้งฮิกาชิมุกิ (Higashimuki Shopping Street) คือย่านชอปปิ้งยอดนิยมของจังหวัดนารา สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสินค้าและของฝากมากมายให้เราจับจ่ายกันอย่างเพลินใจ
ทั้งนี้คำว่า ฮิกาชิมุกิ (Higashimuki) นั้นมีความหมายว่า หันหน้าไปทางทิศตะวันออก (East-faced) และที่มาของชื่อนี้ก็มาจากช่วงศตวรรษที่ 8 หรือยุคสมัยนารา ซึ่งได้มีการก่อสร้างวัดโคฟุคุจิขึ้นทางตะวันออกของตัวเมือง ภายใต้คำสั่งของตระกูลฟุจิวาระซึ่งเป็นตระกูลผู้ปกครองที่เรืองอำนาจมาก ณ ขณะนั้น นอกจากนี้ก็ยังมีธรรมเนียมปฏิบัติอีกข้อหนึ่งที่น่าสนใจของยุคนั้น คือสิ่งก่อสร้างทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ร้านค้า หรือโรงน้ำชา จะต้องสร้างโดยหันหน้าไปทางตำแหน่งที่ตั้งของวัดโคฟุคุจิ [15]
แน่นอนว่าความบันเทิงก็จะเกิดขึ้นตามมา เพราะอาคารบ้านเรือนในละแวกนี้ต่างก็หันหน้าไปสู่ทางทิศตะวันออก อันเป็นที่ตั้งของวัดโคฟุคุจิทั้งหมด ผู้คนจึงเรียกชื่อย่านนี้ว่า ฮิกาชิมุกิ มาจนถึงปัจจุบัน
เกริ่นสตอรี่กันมาพอสมควรแล้ว เราไปเดินช้อปชิลล์ๆกันดีกว่าค่ะ อยากบอกว่านอกจากของฝากประจำท้องถิ่นสไตล์ Nara only แล้ว ที่นี่ก็ยังมีสินค้าเบ็ดเตล็ด รวมถึงของกระจุกกระจิกเยอะแยะเลย แบบนี้ทุกคนคงต้องเตรียมกระเป๋าสตางค์มาให้แน่นๆกันหน่อยแล้วล่ะ ><!
ข้อมูลเกี่ยวกับถนนชอปปิ้งฮิกาชิมุกิ (Higashimuki Shopping Street)
วิธีเดินทาง
- เดินจากสถานีรถไฟ Kintetsu Nara Station โดยใช้เวลาประมาณ 2 นาที
เวลาทำการ
- ขึ้นอยู่กับร้านค้าแต่ละแห่ง
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
7. วัดโคฟุคุจิ (Kofukuji Temple)
วัดโคฟุคุจิ (Kofukuji Temple) เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ถ้าไม่ไปก็เท่ากับว่ามาไม่ถึงนารา!
เพราะนอกจากวัดโคฟุคุจิแห่งนี้จะหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นแล้ว (เนื่องด้วยมีอายุถึง 1,300 ปีเลยทีเดียว) วัดแห่งนี้ก็ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกด้วย [16]
หากกล่าวถึงความเป็นมาของวัดแห่งนี้ เราคงต้องย้อนเวลากลับไปยังอดีตในช่วงสมัยนาราและเฮอัน ซึ่งเป็นช่วงที่มีการก่อสร้างวัดโคฟุคุจิขึ้นภายใต้คำสั่งของตระกูลขุนนางที่เรืองอำนาจมากที่สุดในตอนนั้น ซึ่งก็คือตระกูลฟุจิวาระนั่นเอง โดยวัดโคฟุคุจิสร้างเสร็จในปี 710 เป็นเวลาที่ประจวบเหมาะพอดีกับช่วงที่สร้างเมืองหลวงเสร็จเช่นกัน
หากถามว่าในตอนนั้นตระกูลฟูจิวาระเรืองอำนาจมากแค่ไหน เราก็สามารถตอบทุกคนได้จากจำนวนของอาคารภายในวัดที่คนตระกูลนี้สั่งให้สร้างถึง 150 หลัง! คิดดูสิว่าจะต้องใหญ่แค่ไหนถึงจะทำอะไรแบบนี้ได้
พอเดินเข้ามาถึงตัวอาคารของวัดโคฟุคุจิแล้ว เราจะเห็นสถาปัตยกรรมไม้ที่สวยงามอย่าง เจดีย์ 5 ชั้น (Fived-Storied Pagoda) รวมถึงวิหารไม้แบบดั้งเดิมอันแสนตระการตาอย่าง โทคนโดะ (Tokondo, The East Golden Hall)
หรือถ้าใครชอบงานปฏิมากรรมพระพุทธรูปต่างๆ เราขอแนะนำว่าไม่ควรพลาด พิพิธภัณฑ์ Kofukuji National Treasure Museum เลยนะ เพราะที่นี่จะมีการจัดแสดงพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงค่ะ
ส่วนสถาปัตยกรรมที่เราชอบเป็นการส่วนตัวเลยจริงๆก็คือความสวยงามของโบสถ์รูปทรงแปดเหลี่ยมสุดคลาสสิคอย่าง Octagonal Halls นั่นเอง [17]
Octagonal Halls ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นก็สวยงามไม่แพ้กันค่ะ
ข้อมูลเกี่ยวกับวัดโคฟุคุจิ (Kofukuji Temple)
วิธีเดินทาง
- หากมาจากสถานีรถไฟ JR Nara station ให้เดินไปทางทิศตะวันออกบนถนน Sanjodori Street ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
- หากมาจากสถานีรถไฟ Kintetsu Nara station ให้เดินไปทางทิศตะวันออกบนถนน Noborioji ใช้เวลาประมาณ 5 นาที
เบอร์
- 0742-22-7755
เวลาทำการ
- 09:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
- Kofukuji National Treasure Hall : 700 เยน
- Eastern Golden Hall : 300 เยน
- Kofukuji National Treasure Hall และ Eastern Golden Hall : 900 เยน
- Central Golden Hall : 500 เยน
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
8. ภูเขาคัตสึรางิ (Mt. Katsuragi)
หลังจากเอาใจสายเที่ยวจอมเนิร์ดกันมาพอกรุบกริบ มาเอาใจสายรักธรรมชาติกันบ้างดีกว่าเนอะ 555
รู้หรือไม่ว่าในเดือนพฤษภาคมของทุกปีที่ ภูเขาคัตสึรางิ (Mt. Katsuragi) ดอกอาเซเลียนับพันจะพร้อมใจกันผลิบานจนเต็มทุ่ง ราวกับมีใครนำผ้าสีแดงสลับชมพูสดผืนใหญ่มาคลุมลงบนยอดเขาแห่งนี้เลยล่ะ
สีของท้องฟ้าที่ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้าและสีแดงของดอกอาเซเลีย เป็นทัศนียภาพที่งามตาจนหาตัวจับยากเลยทีเดียว ภูเขาคัตสึรางิจึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ช่างภาพและนักปีนเขาหลายคนอยากมาให้ได้สักครั้ง
สำหรับวิธีขึ้นมาบนยอดเขาแห่งนี้ เราจะต้องขึ้นกระเช้าจาก The Base Ropeway แต่ถ้าใครอยากจะปีนเขาขึ้นมาเองก็สามารถทำได้โดยเริ่มปีนจากจุดขึ้นกระเช้า ทั้งนี้ไม่ว่าจะปีนเขาหรือขึ้นกระเช้าต่างก็ใช้เวลาเกือบเท่ากัน ซึ่งก็คือ 90 นาที
ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากการเที่ยวชมเมืองเก่ามาเป็นการดื่มด่ำกับธรรมชาติและวิวทิวทัศน์อันสวยงาม ภูเขาคัตสึรางิก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ตอบโจทย์คุณได้อย่างมากเลยค่ะ [18]
ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาคัตสึรางิ (Mt. Katsuragi)
วิธีเดินทาง
- นั่งรถบัสจาก Kintetsu Gose Station มาลงที่ป้าย Tozanguchi station โดยใช้เวลา 15 – 20 นาที จากนั้นให้ขึ้นกระเช้าลอยฟ้าจาก The Ropeway Base Station มายังบนเขา
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
9. นารามาจิ (Naramachi)
เราเชื่อว่าคงมีใครหลายๆคนอยากลองย้อนเวลากลับไปยังอดีต ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หนึ่งในนั้นคงเป็นความอยากรู้ว่าคนสมัยก่อนใช้ชีวิตยังไง หรือบ้านเมืองในสมัยนั้นเป็นแบบไหน
แต่การย้อนเวลาคงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แล้วสถานที่ที่จะทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปยังอดีตล่ะ…จะมีที่ไหนบ้างนะ?
เราว่าย่าน นารามาจิ (Naramachi) เนี่ยแหละตอบโจทย์ได้ดีที่สุดเลย!
ย่านนารามาจิจะทำให้คุณหลงเสน่ห์ไปกับบรรยากาศย้อนยุคที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความน่าค้นหาอย่างแน่นอน
หากเดินไปตามถนนสายเล็กของย่านนารามาจิแห่งนี้ เราจะเห็นอาคารดั้งเดิมตามแบบฉบับนาราเรียงรายไปตลอดทาง อีกทั้งที่นี่ยังเป็นย่านการค้าที่คึกคักมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ด้วยนะ [19]
แม้ว่าช่วงศตวรรษที่ 15 พื้นที่แห่งนี้จะเคยเป็นส่วนหนึ่งของวัดกังโกจิ (Gangoji Temple) [20] แต่ในปัจจุบันนารามาจิคือย่านชอปปิ้งที่น่ามาเดินเล่นกินลมชมวิวสุดๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่ ร้านเบเกอรี ร้านอาหาร หรือร้านเสื้อผ้า ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนคุมโทนวินเทจทั้งสิ้น
ไหนๆก็มาถึงนารามาจิแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ลองไปตามสถานที่ที่เราแนะนำด้านล่างนี้เลยก็ได้นะ [21]
-
- วัดกังโกจิ (Gangoji Temple) >>> วัดที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น!
- Koshi-no-Ie Residence / Naramachi Lattic House >>> อาคารแบบดั้งเดิมและเป็นจุดชมวิวที่ดีมาก
- Nara Craft Museum / Nara Kogeikan >>> สถานที่จัดแสดงงานคราฟต์
- Naramachi Shiryokan >>> สถานที่จัดแสดงสิ่งประดิษฐ์พื้นเมืองของนารา
ข้อมูลเกี่ยวกับนารามาจิ (Naramachi)
วิธีเดินทาง
-
- จากสถานีรถไฟ Kintetsu Nara Station สามารถเดินไปโดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที
- จากสถานีรถไฟ JR Nara Station สามารถเดินไปโดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที
- นั่ง รถบัสสาย 5 หรือ 6 ไปลงที่ Naramachi
เวลาทำการ
-
- Gangoji Temple
- เปิดทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น. (ปิดขายตั๋วเวลา 16:30 น.)
- Koshi-no-Ie Residence / Naramachi Lattic House :
- วันเปิดทำการ : เปิดทุกวันเวลา 9:00 – 17:00 น.
- วันปิดทำการ : ปิดทุกวันจันทร์ หรืออาจปิดวันอังคารแทนหากว่าวันจันทร์เป็นวันหยุดประจำชาติ / ปิดช่วงเทศกาลปีใหม่
- Nara Craft Museum / Nara Kogeikan :
- วันเปิดทำการ : เปิดเวลา 10:00 – 18:00 น. (เข้าได้จนถึงเวลา 17:30 น.)
- วันปิดทำการ : ปิดทุกวันจันทร์ หรืออาจปิดวันอังคารแทนหากว่าวันจันทร์เป็นวันหยุดประจำชาติ / ปิดช่วงเทศกาลปีใหม่ และระหว่างจัดนิทรรศการ
- Naramachi Shiryokan
- เปิดทุกวัน เวลา 10:00 – 16:00 น.
- Imanishike Shoin Residence :
- วันเปิดทำการ : เปิดเวลา 10:00 – 16:00 น. (เข้าได้จนถึงเวลา 15:30 น.)
- วันปิดทำการ : ปิดทุกวันจันทร์, วันหยุดฤดูร้อน, วันหยุดฤดูหนาว
- Gangoji Temple
ค่าเข้าชม
-
- Gangoji Temple : 500 เยน
- Koshi-no-Ie Residence / Naramachi Lattic House : เข้าชมฟรี
- Nara Craft Museum / Nara Kogeikan : เข้าชมฟรี
- Naramachi Shiryokan : เข้าชมฟรี
- Imanishike Shoin Residence : มีค่าเข้าชม 350 เยน
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
10. วัดโฮริวจิ (Horyuji Temple)
อีกหนึ่งสถานที่ของจังหวัดนาราอันเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานถึง 1,400 ปี [22] และทุกคนควรลองไปกันสักครั้งก็คือ วัดโฮริวจิ (Horyuji Temple)
การก่อสร้างวัดโฮริวจิครั้งแรกนั้นเริ่มต้นมาจากความต้องการของเจ้าชายโชโตกุที่อยากสนับสนุนการเผยแพร่ศาสนาพุทธในญี่ปุ่น องค์ชายจึงต้องการสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นเพื่อให้เป็นสถานที่ศึกษาศาสนา
เดิมทีวัดโฮริวจิเคยมีชื่อว่า วาคาคุสะเดระ (Wakakusadera) และสร้างเสร็จสิ้นครั้งแรกเมื่อปี 607 [23]
เนื่องด้วยวัดโฮริวจิแห่งนี้เต็มไปด้วยอาคารไม้โบราณที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก ทางองค์การยูเนสโกจึงได้กำหนดให้วัดแห่งนี้เป็นมรดกโลกในปี 1993 [24]
บริเวณที่กว้างขวางของวัดโฮริวจินั้นแบ่งออกเป็น 2 เขตคือ เขตตะวันตกและเขตตะวันออก โดยทั้งสองเขตมีงานสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
อย่างเขตตะวันตกของวัดจะมีเจดีย์ 5 ชั้นที่เชื่อกันว่าสร้างมาตั้งแต่ยุคอาสึกะ หรือประมาณช่วงกลางศตวรรษที่ 6 ถึงต้นศตวรรษที่ 8 แถมยังเป็นสิ่งก่อสร้างแห่งหนึ่งที่ผ่านกาลเวลามาได้โดยรอดพ้นจากทุกภัยพิบัติอีกด้วย! อย่างไรก็ตามสิ่งก่อสร้างที่ว่านี้ก็ผ่านการบูรณะมาแล้วหลายครั้งเช่นกัน เพื่อคงสภาพให้สมบูรณ์ดังที่เห็นในปัจจุบัน
ส่วนเขตตะวันออกมีสถาปัตยกรรมไม้ทรงแปดเหลี่ยมอย่าง ยูเมะโดโนะ (Yumedono) ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเจ้าชายโชโตกุ นอกจากนี้ยังเป็นที่จัดแสดงของงานปฏิมากรรมรูปปั้นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปฏิมากรรมแทนเจ้าชายโชโตกุ พระพุทธเจ้า หรือพระสงฆ์
และอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดหากได้มาเที่ยววัดโฮริวจิก็คือ วัดชูกุจิ (Chuguji Temple) วัดที่สร้างแยกจากวัดใหญ่ โดยที่นี่มีชื่อเสียงในหมู่ผู้ที่ศรัทธาในศาสนาพุทธของญี่ปุ่น ภายในวัดนี้จะมีพระพุทธรูปแกะสลักปางสมาธิด้วยค่ะ [25]
ข้อมูลเกี่ยวกับวัดโฮริวจิ (Horyuji Temple)
วิธีเดินทาง
- นั่งรถไฟ JR จากสถานี Nara มาลงที่สถานี Horyuji Station โดยใช้เวลา 12 นาที และเดินต่อจากสถานีไปยังวัดโฮเรียวจิโดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที
โทร
- 0745-75-2555
เวลาทำการ
- เปิดทุกวัน เวลา 8:00 – 17:00 น.
- เฉพาะเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ : เปิดทำการเวลา 8:00 – 16:30 น.
ค่าเข้าชม
- 1,000 เยน
เว็บไซต์
แผนที่ Google Map
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดนารา
สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้โบราณสถานหรือเมืองเก่าแก่ในนารา คงหนีไม่พ้นความอร่อยของอาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดนาราอย่างแน่นอน
ว่าแต่เมนูเด็ดของจังหวัดนี้จะมีอะไรบ้าง เราตามมาดูกันเลยดีกว่า~
1. คาคิโนะฮะซูชิ (Kakinoha Sushi)
หลายๆคนอาจจะสงสัยว่า คาคิโนะฮะซูชิ (Kakinoha Sushi) แตกต่างจากซูชิแบบอื่นยังไง? ก่อนจะตอบคำถามนี้ เราลองมาทำความรู้จักกับขั้นตอนการถนอมอาหารกันเถอะ
อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าซูชิเป็นอีกหนึ่งเมนูที่เราควรกินให้หมดภายในวันที่ทำเสร็จ หรือถ้าจะเก็บไว้กินวันหลังก็ควรแช่เย็นให้ดี เพื่อรักษาความอร่อยและความสดของปลาทะเล
แต่คาคิโนะฮะซูชิล้ำไปกว่านั้นจ๊ะ! เพราะนี่เป็นซูชิที่สามารถเก็บไว้ได้หลายวัน แถมไม่ต้องแช่เย็นด้วย! และความลับของการถนอมอาหารที่เสียง่ายอย่างซูชิก็คงหนีไม่พ้นเจ้าใบไม้ปริศนาที่เห็นดังภาพ นั่นก็คือใบลูกพลับนี่เอง
ส่วนสาเหตุที่ทำให้อาหารเสียนั้น คิดว่าทุกคนคงทราบกันดีว่านอกจากอุณหภูมิแล้วก็ยังมีแบคทีเรียอีกด้วย จากงานวิจัยของ BioMed Research International กล่าวว่าสารฟีนอลิก (phenolic compound) ในใบลูกพลับเป็นสารแอนติแบคทีเรียชนิดหนึ่ง (Antibacterial) [26] เราจึงสามารถปกป้องเจ้าซูชิน้อยให้พ้นมือวายร้ายอย่างแบคทีเรียได้ เพียงแค่ใช้ใบลูกพลับห่อนั่นเอง
ถือเป็นภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนเลยนะเนี่ย
นอกจากคาคิโนะฮะซูชิจะเก็บได้นานแล้ว อาหารชนิดนี้ก็ยังคงความสดใหม่เอาไว้ได้ด้วย ถ้าเพื่อนๆมีโอกาสไปนารา ลองไปหาชิมกันดูนะ!
2. มิวะโซเมง (Miwa Somen)
มิวะโซเมง (Miwa Somen) เป็นเมนูต้นตำรับของเมืองมิวะ จังหวัดนารา ด้วยความที่มิวะเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องคุณภาพของน้ำ เพราะเมืองนี้มีต้นน้ำที่ดีอย่างภูเขามิวะ (Mt. Miwa) ชาวเมืองจึงได้บริโภคน้ำที่สะอาดและบริสุทธิ์กันทุกวัน
สำหรับการทำเส้นมิวะโซเมงก็ต้องมีส่วนผสมอย่างแป้ง เกลือ และน้ำจากภูเขามิวะนี่ล่ะค่ะ รสชาติอ่อนๆอันแสนกลมกล่อมที่ช่วยเติมเต็มความอร่อยให้กับเส้นโซเมงบางๆนี้ นับว่าเป็นอะไรที่ดีต่อใจมากเลยล่ะ ไม่ว่าจะกินแบบร้อนหรือเย็นก็เอ็นจอยได้หมดจ๊ะ!
3. นาราซึเกะ (Narazuke)
เราผ่านเมนูจานหลักมาถึง 2 จานกันแล้ว ลองมาดูเครื่องเคียงกันบ้างดีกว่าเนอะ
เมื่อคิดถึงเครื่องเคียงของญี่ปุ่น ภาพผักดองคงฟุ้งกระจายจางๆในความคิดของใครหลายคน ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังคิดถึงผักดองอยู่นั้น เราก็ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะว่าคุณมาถูกทางแล้วค่ะ อาหารจานนี้ก็คือ นาราซึเกะ (Narazuke) หรือผักดองต้นตำรับของจังหวัดนารานั่นเอง!
เนื่องจากว่านาราซึเกะเป็นอีกหนึ่งเมนูต้นตำรับของนารา เราจึงสามารถคาดหวังกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของอาหารจานนี้ได้ โดยนาราซึเกะเป็นเมนูที่ถูกคิดค้นขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 และมักจะทำจากมะระยูริ แตงโมอ่อน หัวไชเท้าไดคง และแตงกวา
ชาวนาราจะนำสิ่งเหล่านี้ไปดองกับสาเก เราจึงเห็นว่าหน้าตาของนาราซึเกะเมื่อดองจนได้ที่จะมีสีน้ำตาลเข้ม ถึงแม้ว่าจะมีกลิ่นฉุน แต่กลับหอมด้วยกลิ่นสาเกอันบางเบา
ถ้าใครอยากลองชิมก็ตามหาได้ไม่ยากนะ เพราะเราสามารถพบเจ้านาราซึเกะได้ตามเครื่องเคียงของร้านอาหารทั่วไปในนาราค่ะ
4. คุซึโมจิ (Kuzu Mochi)
หากพูดถึง วากาชิ หรือขนมหวานญี่ปุ่น คงไม่มีใครไม่รู้จักขนมโมจิ วากาชิที่ครองใจชาวญี่ปุ่นมาแสนนานหรอกใช่ไหม?
และ ‘จังหวัดนารา’ เองก็มีโมจิที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง คุซึโมจิ (Kuzu Mochi) อยู่ด้วยค่ะ ว่าแต่ขนมชิ้นนี้จะมีความพิเศษแตกต่างจากโมจิแบบอื่นยังไงกันนะ? เราจะมาให้คำตอบคุณเอง!
โดยปกติแล้วโมจิทั่วไปจะทำมาจากเค้กข้าวที่มีส่วนประกอบของโมจิโกเมะ (Mochigome) หรือแป้งกลูเตนญี่ปุ่น ก่อนเสิร์ฟเชฟจะโรยผงถั่วเหลืองคั่วบดละเอียดหรือผงคินาโกะ (Kinako) ลงบนตัวโมจิ นอกจากนี้ยังมีถั่วแดงกวนเป็นท็อปปิ้งอีกด้วย
แต่คุซึโมจินั้นทำจากแป้งรากถั่วคุซึ (Kuzu starch or Japanese arrowroot) จึงทำให้มีรสสัมผัสของเจลาตินมากกว่าความหนึบหนับของแป้งกลูเตน
แน่นอนว่าก่อนเสิร์ฟก็ต้องโรยด้วยผงคินาโกะที่มีความหอมหวานเฉพาะตัว ส่วนรสชาติน่ะเหรอ? ก็ต้องอร่อยเลิศอยู่แล้ว!
ถ้าเพื่อนๆสายของหวานคนไหนมาที่นารา ต้องไม่พลาดคุซึโมจิเด็ดขาดเลยนะ!
5. ข้าวปั้นเมฮาริ (Mehari Rice Balls)
แล้วก็มาถึงหมู่บ้านทตสึคาวามุระ สถานที่อันเป็นต้นตำรับของอาหารจานหลักอีกเมนูหนึ่งของจังหวัดนารา นั่นก็คือ ข้าวปั้นเมฮาริ (Mehari Rice Balls)
สำหรับวิธีการทำนั้นเขาจะนำข้าวอุ่นๆมาห่อกับใบมัสตาร์ดดอง โดยการทำใบมัสตาร์ดดองนั้น เขาจะไปเก็บใบมัสตาร์ดที่ขึ้นอยู่ในแถบโยชิโนะมาต้มกับสาเกผสมมิริน (เหล้าหวานญี่ปุ่น) ก่อนจะเติมอุสึคุจิโชยุลงไป (Usukuchishoyu) พอเดือดแล้วก็จะนำใบมัสตาร์ดขึ้นมาพักให้เย็น ก่อนนำไปชะเกลือส่วนเกินออกด้วยวิธีล้างผ่านน้ำไหล พอสะเด็ดน้ำออกแล้ว ให้นำใบมัสตาร์ดที่ได้มาใส่ในกล่องเดียวกันกับที่มีใบมัสตาร์ดดองอันเก่า จากนั้นให้หมักไว้ในตู้เย็นโดยใช้เวลาประมาณหนึ่งวัน [27]
อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะมีคนสงสัยว่าทำไมถึงไม่ทำแยกกล่องกันไปเลยล่ะ จะเอาไปรวมกับกล่องเก่าทำไม คำตอบคือเพราะเขาต้องการเชื้อหมักที่อยู่ในใบมัสตาร์ดอันเก่านั่นเอง ยิ่งถ้าเป็นเชื้อหมักที่อยู่มานานก็ยิ่งแข็งแกร่งและทำให้ใบมัสตาร์ดดองมีรสชาติล้ำลึกมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งเรื่องเล่าที่น่าสนใจเกี่ยวกับข้าวปั้นเมฮาริ ว่ากันว่าความอร่อยของข้าวปั้นเมฮารินั้นสามารถทำให้คนออกอาการเบิกตากว้าง พร้อมกับอุทานออกมาว่า “อร่อยสุดๆ!” ได้ด้วย นี่จึงกลายมาเป็นที่มาของชื่อ เมฮาริ ซึ่งแปลว่า ดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น (Me wo Haru) [28] นั่นเอง
แม้ว่าเดิมทีข้าวปั้นเมฮาริจะเป็นข้าวกล่องสำหรับชาวบ้านที่ต้องขึ้นไปทำไร่บนเขา แต่ปัจจุบันได้มีการปรับสูตรให้ข้าวปั้นเมฮาริมีขนาดเล็กพอดีคำ จนในที่สุดมันก็กลายมาเป็นของฝากยอดนิยมประจำจังหวัดนาราค่ะ
ข้าวปั้นเมฮาริจะอร่อยจนเราต้องเบิกตากว้างมากแค่ไหน ต้องไปลองพิสูจน์กันเอาเองที่นาราน๊า!
อ่านบทความอื่นๆเกี่ยวกับจังหวัดนารา
- 10 กิจกรรมห้ามพลาด! เมื่อไปเที่ยวสวนนาราและบริเวณโดยรอบ
- บีมเซนเซโดนกวางกินที่นารา!!?
- นั่งรถไฟสุดหรูไปชมซากุระที่ภูเขา Yoshino
มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!
รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!
ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ