fbpx

รวม 10 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดไซตามะ’ ที่ต้องไปโดนให้ได้สักครั้ง!

มิ.ย. 17, 2022

บทนำ : ไปเที่ยว ‘จังหวัดไซตามะ’ กันเถอะ!

จังหวัดไซตามะ (Saitama Prefecture) เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่อยู่ติดกับโตเกียว และเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ในขณะที่โตเกียวมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยทันสมัยหรือห้างขนาดใหญ่ไว้ชอปปิ้งสินค้าที่น่าสนใจ จังหวัดใกล้เคียงกันอย่าง ‘ไซตามะ’ กลับเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและแหล่งวัฒนธรรมอันสวยงาม เรียกได้ว่าสองจังหวัดที่มีพื้นที่อยู่ติดกันนี้ ช่างเป็นความแตกต่างที่แสนลงตัวจริงๆ

แต่ในบทความนี้ เราจะมาเน้นที่ จังหวัดไซตามะ กันค่ะ

จังหวัดไซตามะนั้นมีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเมืองโบราณอย่าง ‘คาวาโกเอะ’ (Kawagoe City) ปราสาทโอชิ (Oshi Castle) เมืองนากาโทโระ (Nagatoro) พิพิธภัณฑ์รถไฟไซตามะ (The Railway Museum) ถ้ำน้ำแข็งย้อยแห่งอาชิกะคุโบะ (Icicles of Ashigakubo) และที่เที่ยวอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งน่าเดินทางไปเยี่ยมเยือนไม่แพ้กัน

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปดูกันเลยดีกว่าว่า จังหวัดไซตามะ แห่งนี้จะมีอะไรให้เราเที่ยวชมอีกบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ~!

สารบัญ (Index)

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดไซตามะ
    1. คาวาโกเอะ (Kawagoe)
    2. เมืองนากาโทโระ (Nagatoro)
    3. ศาลเจ้าฮิคาวะ (Kawagoe Hikawa Shrine)
    4. พิพิธภัณฑ์รถไฟไซตามะ (The Railway Museum)
    5. น้ำแข็งย้อยแห่งอาชิกะคุโบะ (Icicles of Ashigakubo)
    6. หมู่บ้านโอมิยะบอนไซ (Omiya Bonsai Village)
    7. สวนบัวโบราณเกียวดะ (Gyoda Ancient Lotus Park)
    8. ปราสาทโอชิ (Oshi Castle)
    9. สวนฮิสึจิยามะ (Hitsujiyama Park)
    10. โรงภาพยนตร์ฟุคายะ (Fukaya Cinema)
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดไซตามะ
    1. อุนางิด้ง (Unagi Don)
    2. วาราจิคัตสึด้ง (Waraji Katsudon)
    3. น้ำแข็งไสมันหวาน (Sweet Potato Shaved Ice)
    4. จิจิบุโซบะ (Chichibu Soba)
    5. เจลลี่ทอด (Jelly Fries)

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดไซตามะ

1. คาวาโกเอะ (Kawagoe)

picture cells / Shutterstock

คาวาโกเอะ (Kawagoe) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงใน ‘จังหวัดไซตามะ’ อีกทั้งยังได้รับฉายาว่าเป็น เอโดะน้อย หรือ เอโดะจิ๋ว (Koedo/Little Edo) ด้วยค่ะ

ว่าแต่ทุกคนจะสงสัยกันหรือเปล่านะว่าฉายานี้ท่านได้แต่ใดมา? ดังนั้นเรามาหาคำตอบกันเถอะ!

picture cells_Shutterstock

เดิมที ‘คาวาโกเอะ’ นั้นเป็นเมืองหลักที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเอโดะ (โตเกียวในสมัยก่อน) ต่อมาเมืองนี้ก็ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้กลายเป็นเมืองปราสาทโดยตระกูลคาวาโกเอะ (Kawagoe Clan)

เนื่องด้วยสถานที่แห่งนี้เชื่อมต่อกับเอโดะ แม่น้ำชินงาชิกาวะ (Shingashi-gawa River) และถนนคาวาโกเอะ-ไคโด (Kawagoe-Kaido Road) ย่านนี้จึงมีผู้คนสัญจรไปมาอย่างคับคั่ง อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าต่างๆ

ขนมยากิดังโงะที่คาวาโกเอะ

ด้วยเหตุนี้เอง เมืองคาวาโกเอะจึงกลายเป็นเมืองแห่งการค้าที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมเอโดะจวบจนถึงปัจจุบัน รวมถึงได้รับฉายาว่า เอโดะจิ๋ว ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นค่ะ

เมื่อเข้าสู่ยุคเมจิ (Meiji Period, 1868-1912) คาวาโกเอะก็เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะของ ‘เมืองศูนย์กลางการค้าเมล็ดพันธุ์พืชและธัญพืช’ อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านงานฝีมือ โดยเฉพาะผ้าลายปัก (Tozan)

Kasama S / Shutterstock

แม้ว่าในญี่ปุ่นจะมีเอโดะจิ๋วกระจายอยู่ตามจังหวัดอื่นๆอีกหลายแห่ง แต่มีเพียง ‘เมืองคาวาโกเอะ’ เท่านั้นที่สามารถแสดงให้เห็นถึงกลิ่นอายและร่องรอยของยุคเอโดะที่แท้จริงได้ค่ะ เพราะในเวลาต่อมาศูนย์กลางจังหวัดแห่งนี้ก็ย้ายไปอยู่ที่เมืองไซตามะแทน ทำให้การพัฒนาและความล้ำสมัยตกไปอยู่ที่ไซตามะด้วย

ด้วยเหตุนี้เอง คาวาโอเกะจึงยังคงความเป็นยุคเอโดะเอาไว้ได้เสมอ เพราะเมืองแห่งนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่เวลานั้นนั่นเอง เราจึงอาจกล่าวได้ว่า เมืองคาวาโกเอะ เป็นดั่งนครที่ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้ในกาลอดีต”

pada stockphoto / Shutterstock

แต่ในปัจจุบัน เมืองคาวาโกเอะก็มีสิ่งก่อสร้างที่ทันสมัยอย่างห้างสรรพสินค้าหรือสถานีต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกของพวกเราด้วยนะคะ

อย่างไรก็ดี ความเป็นยุคปัจจุบันนี้ก็ไม่ได้ขัดต่อความสวยงามของเมืองในอดีตแต่อย่างใด เรายังคงสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศย้อนยุคของเมืองคาวาโกเอะได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน ตรอกซอกซอยในเมืองโชวะ ถนนหนทาง ร้านรวงต่างๆ

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่ได้มาพบเห็นจวบจนถึงปัจจุบันค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับคาวาโกเอะ (Kawagoe)

วิธีเดินทาง
  • หากเดินทางจาก Tokyo ให้นั่งรถไฟ JR สาย Tobu Tojo Line จากสถานี Ikekuroto Station ไปลงที่สถานี JR Kawagoe Station
ที่อยู่
  • Kawagoe, Saitama Prefecture, Japan
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

2. เมืองนากาโทโระ (Nagatoro)

เมืองนากาโทโระ (Nagatoro) เป็นเมืองที่โด่งดังในเรื่องของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอย่างมาก สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ ‘จังหวัดไซตามะ’ ด้วยความสวยงามที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นของป่าไม้และทิวเขา บวกกับความงดงามของแม่น้ำอารากาวะ (Arakawa River) เมืองนากาโทโระจึงเหมาะกับการตั้งแคมป์และการล่องเรือชมวิวมากๆเลยค่ะ หรือถ้าใครเป็นสายลุยหน่อยก็อาจจะลองไปทำกิจกรรมสนุกๆอย่างล่องแก่ง ปีนเขา หรือพาราไกลดิ้งดูก็ย่อมได้นะ

นอกจากนี้เมืองนากาโทโระยังมีเสน่ห์ที่ผันเปลี่ยนไปตามฤดูกาลด้วยค่ะ

ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เราสามารถเพลิดเพลินไปกับสีสันของทุ่งดอกอาซาเลียได้ ส่วนบรรยากาศในหน้าร้อนนั้นก็เหมาะกับการปีนเขาเป็นที่สุด พอเข้าช่วงฤดูใบไม้ร่วง เราก็สามารถชมทัศนียภาพอันสวยงามของเหล่าใบไม้ที่แปรเปลี่ยนไปเป็นสีโทนร้อนได้ และเมื่อฤดูหนาวมาเยือน เราจะได้ชมพันธุ์ไม้ประจำฤดูกาลอย่างดอกวินเทอร์สวีทและดอกบ๊วย

และที่ยิ่งไปกว่านั้น ในเดือนมีนาคมจะมีการจัดงานเทศกาลดอกไม้ไฟขึ้นภายในเมืองนากาโทโระด้วยค่ะ แต่สำหรับคนที่ไม่ใช่สายลุยก็สามารถเข้าร่วมเวิร์กชอปทำเครื่องปั้นโบราณตามสถานที่ใกล้เคียงกันได้น๊า~

ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองนากาโทโระ (Nagatoro)

วิธีเดินทาง
  • นั่งรถไฟ JR สาย Takasaki Line จากสถานี Ueno Station ไปลงที่สถานี Kumagaya Station จากนั้นให้เปลี่ยนขบวนรถที่สถานีดังกล่าวเป็นรถไฟ Chichibu Railway เพื่อไปลงที่ Nagatoro Station โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 120 นาที
ที่อยู่
  • 63 Ido, Nagatoro-machi, Chichibu-gun, Saitama-ken 369-1312, Japan
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

3. ศาลเจ้าฮิคาวะ (Kawagoe Hikawa Shrine)

ศาลเจ้าฮิคาวะ (Kawagoe Hikawa Shrine) เป็นหนึ่งในศาลเจ้าเก่าแก่ประจำเมืองคาวาโกเอะ จังหวัดไซตามะ ซึ่งได้รับการค้นพบเมื่อ 1,500 ปีที่แล้ว อีกทั้งยังเป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดแห่งหนึ่ง ผู้คนที่เดินทางมายังศาลเจ้าแห่งนี้ส่วนใหญ่มักจะมีเป้าหมายในการมาขอพรเรื่องความรัก หรือไม่ก็มาผูกดวงสำหรับคู่แต่งงาน

เมื่อฤดูร้อนมาถึง ศาลเจ้าฮิคาวะจะมีการประดับประดาด้วยกระดิ่งลมสีสันสดใสที่เรียกว่า ฟูริน (Furin) นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายเครื่องรางนำโชครุ่นลิมิเต็ดอีกด้วย โดยทางศาลเจ้าจะวางขายเครื่องรางรุ่นนี้เฉพาะช่วงหน้าร้อนเท่านั้น ถ้าใครอยากได้เครื่องรางนำโชคด้านความรักก็ต้องรีบซื้อกันหน่อยน๊า เพราะช้าหมดอดแน่นอนจ้า

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของศาลเจ้าฮิคาวะแห่งเมืองคาวาโกเอะก็คือ โอมิคุจิรูปปลากะพงแดง (Red Snapper Omikuji; กระดาษเซียมซีแผ่นเล็กรูปปลากะพงแดง) ซึ่งนอกจากจะได้ลุ้นคำทำนายกันแล้ว เรายังสามารถพกพาความน่ารักของน้องกะพงแดงกลับบ้านไปได้อีกด้วย~ ส่วนราคาของน้องจะอยู่ที่ 300 เยนค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าฮิคาวะ (Kawagoe Hikawa Shrine)

วิธีเดินทาง
  • นั่งรถประจำทางจากหน้าสถานี Kawagoe Station โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที
ที่อยู่
  • Japan, 〒350-0052 Saitama, Kawagoe, Miyashitamachi, 2 Chome-1 1-3
ติดต่อ
  • 0492240589
เวลาทำการ
  • เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9:00 – 17:00 น.
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

4. พิพิธภัณฑ์รถไฟไซตามะ (The Railway Museum)

PixHound / Shutterstock

พิพิธภัณฑ์รถไฟไซตามะ (The Railway Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์รถไฟที่ทางบริษัท JR East เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2007 ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของรถไฟในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตลอดจนรถไฟแบบเก่าที่หาชมได้ยาก

และที่พิเศษยิ่งกว่านั้นก็คือ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีนิทรรศการจำลองวิวัฒนาการของรถไฟและเทคโนโลยีการคมนาคมโดยรถไฟ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจมากค่ะ เพราะพวกเราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการผลิตรถไฟและการสร้างเส้นทางเดินรถไฟ

สำหรับรถไฟที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็จะมีทั้งรถจักรไอน้ำ รถจักรดีเซล รถไฟชินคันเซ็นที่เสื่อมสภาพแล้ว รวมถึงตู้โดยสาร ทั้งนี้เราสามารถเข้าไปชมบรรยากาศภายในตู้รถไฟได้ด้วยนะ (เฉพาะรถไฟขบวนที่เขาอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสำรวจได้)

myboys.me / Shutterstock

Nor Gal / Shutterstock

นอกจากนี้ ที่พิพิธภัณฑ์รถไฟไซตามะก็มีภาพจำลองรถไฟสามมิติที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นด้วย! อีกทั้งยังมีการบอกเล่าแนวคิดในการพัฒนารถไฟ ตลอดจนเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการผลิตรถไฟด้วยค่ะ

Nor Gal / Shutterstock

ถัดจากส่วนของพิพิธภัณฑ์ไปก็จะมีร้านอาหารและสวนบนดาดฟ้าซึ่งมองออกไปเห็นรถไฟได้ด้วย รวมถึงมีจังเกิลยิม (Outdoor Jungle Gym) และพื้นที่สำหรับให้เด็กๆวิ่งเล่นด้วยค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์รถไฟไซตามะ (The Railway Museum)

วิธีเดินทาง
  • เนื่องจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ข้างสถานี Tetsudo Hakubutsukan Station เราจึงสามารถนั่ง New Shuttle Bus จากหน้าสถานี Omiya Station มาลงที่ Tetsudo Hakubutsukan Station ได้เลย โดยจะใช้เวลานั่งรถบัสประมาณ 3 นาที
ที่อยู่
  • Japan, 〒330-0852 Saitama, Omiya Ward, Onaricho, 3 Chome−47
เบอร์ติดต่อ
  • +81486510088
เวลาทำการ
  • เปิดตั้งแต่เวลา 10:00 – 18:00 น. (สามารถเข้าชมได้จนถึงเวลา 17:30 น. เท่านั้น)
  • ปิดทำการทุกวันอังคาร และวันที่ 29 ธันวาคม – 1 มกราคมของทุกปี
ค่าเข้าชม
  • 1,330 เยน (อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกิดจากความสมัครใจของผู้เข้าชม)
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

5. น้ำแข็งย้อยแห่งอาชิกะคุโบะ (Icicles of Ashigakubo)

หากใครมีโอกาสมาเที่ยว ‘จังหวัดไซตามะ’ ในช่วงหน้าหนาว หรือประมาณช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ เราขอแนะนำว่าห้ามพลาดการมาเที่ยวชม น้ำแข็งย้อยแห่งอาชิกะคุโบะ (Icicles of Ashigakubo) เชียวนะคะ!

อาชิกะคุโบะ (Ashigakubo) หรือ Ashigakubo no Tsurara เป็นสถานที่ชมความงดงามของถ้ำน้ำแข็งย้อย ทัศนียภาพที่เราจะได้เห็นนั้นเป็นงานประติมากรรมที่สร้างสรรค์โดยธรรมชาติอย่างแท้จริงเลยค่ะ

ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ยังมีการจัดแสดงไฟประดับถ้ำน้ำแข็งในยามค่ำคืนด้วยนะ เรียกได้ว่าเป็นความสวยงามที่ควรค่าแก่การรับชมจริงๆค่ะทุกคน

ทั้งนี้ นอกจากที่อาชิกะคุโบะแล้ว ในไซตามะก็ยังมีสถานที่อื่นๆอีก 2 แห่งที่เราสามารถชมน้ำแข็งย้อยได้ด้วยค่ะ นั่นก็คือ

  1. น้ำแข็งย้อยโอโนะอุ (Onouchi Icicles)
  2. ธารน้ำแข็งมิโซะสึจิ (Misotsuchi Icicles)

สถานที่ชมน้ำแย็งย้อย 2 แห่งนี้มีความสวยงามไม่แพ้อาชิกะคุโบะเลยค่ะ แต่ที่อาชิกะคุโบะแห่งนี้มีข้อได้เปรียบตรงที่เราสามารถเดินทางได้สะดวกค่ะ

หากใครสนใจอยากอ่านรีวิวการเที่ยวชมน้ำแข็งย้อยในเมืองจิจิบุเพิ่มเติม ทุกคนสามารถอ่านบทความนี้ได้เลยค่ะ >> รวมที่เที่ยวเด็ดใน ‘จิจิบุ’ จังหวัดไซตามะ

ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำแข็งย้อยแห่งอาชิกะคุโบะ (Icicles of Ashigakubo)

วิธีเดินทาง
  • เดินจากสถานีรถไฟ Ashigakubo Station โดยใช้เวลาประมาณ 16 นาที
ที่อยู่
  • Yokoze, Chichibu District, Saitama 368-0071
เวลาทำการ
  • วันธรรมดา : เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 9:00 – 16:00 น.
  • วันศุกร์ – วันอาทิตย์ : จะมีการจัดแสดงไฟประดับด้วย โดยเริ่มเมื่อพระอาทิตย์ตกดินไปจนถึงเวลา 20:00 น.
  • หมายเหตุ : เวลาทำการอาจขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละวันด้วย กรุณาตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวอย่างละเอียดก่อนเดินทางมาชมนะคะ
ค่าเข้าชม
  • 300 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

6. หมู่บ้านโอมิยะบอนไซ (Omiya Bonsai Village)

หมู่บ้านโอมิยะบอนไซ (Omiya Bonsai Village) เป็นสถานที่เพาะปลูกบอนไซที่มีชื่อเสียงอย่างมากในจังหวัดไซตามะ อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะบอนไซที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบด้วยค่ะ และถ้าหากว่าเราสังเกตบ้านเรือนภายในบริเวณนี้ให้ดี ก็จะเห็นว่ามีการปลูกและสะสมต้นบอนไซกันด้วยค่ะ

สำหรับความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1923 ซึ่งเป็นช่วงที่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในภูมิภาคคันโตค่ะ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผู้ดูแลส่วนกลางที่ประจำอยู่ในโตเกียวจำเป็นต้องเลือกสถานที่แห่งใหม่ในการดำเนินกิจการนี้ต่อไป

สุดท้ายพวกเขาก็ได้เลือก ‘เมืองโอมิยะ จังหวัดไซตามะ’ เป็นที่ตั้งของแหล่งเพาะปลูกบอนไซค่ะ เหตุผลคือเมืองโอมิยะมีสภาพดินดี เหมาะแก่การเพาะบอนไซ และในเวลาต่อมาก็มีการก่อตั้งหมู่บ้านโอมิยะบอนไซขึ้นในปี 1925

หากใครมีโอกาสได้มาที่หมู่บ้านแห่งนี้ก็อย่าลืมไปเที่ยวชม พิพิธภัณฑ์ศิลปะบอนไซ ด้วยนะคะ นอกจากเราจะได้ชมบอนไซสวยๆแล้ว ที่นี่ยังมีการบรรยายทั้งเสียงและข้อความด้วยภาษาอังกฤษ เราจึงสามารถรับความรู้ตรงนี้ได้อย่างเต็มที่เลยค่ะ

ถ้าใครสนใจอยากเลี้ยงและสะสมบอนไซก็สามารถเดินชมสถานที่เพาะชำบอนไซได้น๊า แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าเขาไม่อนุญาตให้เราถ่ายรูปนะคะ

ข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านโอมิยะบอนไซ (Omiya Bonsai Village)

วิธีเดินทาง
  • นั่งรถไฟ JR สาย Shonan Shinjuku Line จากสถานี Shinjuku Station ไปลงที่สถานี Toro Station โดยใช้เวลา 35 นาที จากนั้นให้เดินต่อไปอีก 5 นาที
ที่อยู่
  • 96 Bonsaicho, Kita Ward, Saitama, 331-0805, Japan
เบอร์ติดต่อ
  • 0488291039
เวลาทำการ
  • OMIYA BONSAI ART MUSEUM
    • เดือนมีนาคมถึงตุลาคม : เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 9:00 – 16:30 น.
    • เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ : เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 9:00 – 16:00 น.
    • ปิดทำการ : ทุกวันพฤหัสบดี
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

7. สวนบัวโบราณเกียวดะ (Gyoda Ancient Lotus Park)

ที่มา : https://www.gyoda-kankoukyoukai.jp/

สวนบัวโบราณเกียวดะ (Gyoda Ancient Lotus Park) เป็นสวนดอกบัวที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดไซตามะ ก่อนหน้านี้มีคนเก็บเมล็ดบัวที่นี่ไปตรวจสอบอายุดู และพบว่าบัวในสวนแห่งนี้มีอายุมากกว่า 1,400 ปีเลยทีเดียว ซึ่งเท่ากับว่าบึงบัวแห่งนี้ยังคงอยู่ร่วมสมัยกับเราโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตแต่อย่างใด!

ในมุมมองของเรานั้นคิดว่านี่คือเรื่องมหัศจรรย์มากเลยค่ะ เพราะท่ามกลางเทคโนโลยีและสิ่งก่อสร้างที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว กลับมีสถานที่ธรรมชาติสวยๆที่ไม่ถูกทำลายไปด้วย

นอกจากนี้ในสวนบัวเกียวดะยังมีบัวมากถึง 42 สายพันธุ์เลยทีเดียว บัวเหล่านี้จะบานพร้อมกันในช่วงปลายเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนสิงหาคมของทุกปี

หากใครอยากไปชมความสวยงามของที่นี่ ก็อย่าลืมตรวจสอบวันเวลาสำหรับการเดินทางดีๆนะจ๊ะ!

ข้อมูลเกี่ยวกับสวนบัวโบราณเกียวดะ (Gyoda Ancient Lotus Park)

วิธีเดินทาง
  • นั่งรถไฟ JR สาย Shonan-Shinjuku Line จากสถานี Shinjuku Station ไปลงที่สถานี Gyoda Station โดยใช้เวลา 65 นาที จากนั้นให้ขึ้นรถบัส Kanko Kyoten Junkan Course Bus ที่สถานีดังกล่าว แล้วนั่งไปลงที่ป้าย Kodai Hasu No Sato
ที่อยู่
  • Japan, 〒361-0024 Saitama-ken, Gyōda-shi, Kobari, 2375 古代蓮会館
เบอร์ติดต่อ
  • +81485590770
เวลาทำการ
  • 7:00 – 16:30 น.
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

8. ปราสาทโอชิ (Oshi Castle)

ปราสาทโอชิ (Oshi Castle) เป็น 1 ใน 7 ปราสาทที่ได้รับฉายาว่า ปราการเหล็กแห่งคันโต (Strongholds of the Kanto) ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นครั้งแรกในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 15 (Muromachi Period) โดยตระกูลนาริตะ (Narita Clan)

ส่วนที่มาของฉายาดังกล่าวนั้นก็มาจากสภาพแวดล้อมรอบปราสาท ซึ่งประกอบไปด้วยพื้นที่ลุ่มน้ำ บึง และหนองน้ำ ด้วยเหตุนี้ปราสาทโอชิจึงถือว่าเป็นชัยภูมิที่ดี เพราะสามารถสร้างความยากลำบากให้กับศัตรูที่คิดจะรุกล้ำเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ (เขียนไปเขียนมาจู่ๆผังเมืองอยุธยาก็ลอยเข้ามาในหัวข้าพเจ้าซะงั้น เพราะอยุธยาก็มีคูน้ำรอบเมืองเหมือนกันเลยค่ะ)

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ปราสาทโอชิจะมีอีกหนึ่งฉายาเก๋ๆว่า ปราสาทลอยน้ำ (The Floating Castle)

ที่มา : https://japanesecastle.jp/

เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายของสมัยเซ็นโกคุ (Sengoku; Age of Warring States) ซึ่งตรงกับปลายศตวรรษที่ 16 พอดี เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ซามูไรชื่อดังใกล้จะยึดอำนาจการปกครองของภูมิภาคคันโตได้สำเร็จ เขาส่งผู้นำทัพที่มีชื่อว่าอิชิดะ มิตสึนาริ (Ishida Mitsunari) พร้อมด้วยทหารอีก 23,000 นายไปบุกยึดปราสาทโอชิ

แม้จำนวนคนของทัพมิตสึนาริจะมากสักเพียงใด ก็ไม่อาจสู้กับซามูไร 619 คนและทหาร 2,000 นายที่ประจำการอยู่ ณ ปราสาทแห่งนี้ได้ เมื่อมิตสึนาริตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ เขาจึงเปลี่ยนยุทธวิธีโดยใช้ภูมิศาสตร์ของสถานที่แห่งนี้ให้เป็นประโยชน์ กล่าวคือเขาใช้เวลา 6 วันในการก่อกำแพงที่มีระยะทางยาวถึง 28 กิโลเมตรขึ้นมา เพื่อเปลี่ยนเส้นทางของแม่น้ำทั้งสายให้ไหลเข้าสู่ตัวเมือง

แน่นอนที่สุดว่าตอนนั้นทั่วทั้งเมืองต้องประสบกับน้ำท่วมอันเกิดจากฝีมือของมิตสึนาริ บวกกับโชคชะตาอันแสนเป็นใจที่เสกให้วันนั้นมีฝนตกด้วย ในท้ายที่สุดมิตสึนาริก็สามารถยึดครองปราสาทโอชิได้สำเร็จ!!

แต่ความเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นก็คือปราสาทโอชิไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุน้ำท่วมแต่อย่างใดเลยค่ะท่านผู้ชม นั่นเป็นเพราะว่าตัวปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นบนกำแพงสูงนั่นเอง

อย่างไรก็ดี ตัวหอหลักของปราสาทนั้นเคยได้รับความเสียหายในช่วงสมัยเมจิ (Meiji Period) แต่ก็ได้รับบูรณะใหม่ในปี 1988 และปัจจุบันก็เป็นที่รู้จักกันในนามของพิพิธภัณฑ์ Gyoda Municipal Folk Museum ซึ่งเป็นแหล่งความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของปราสาทโอชิค่ะ ใครเป็นนักท่องเที่ยวสายเนิร์ดแบบยัยคนเขียนก็อย่าลืมแวะไปเติมความรู้กันนะคะ

ที่มา : https://www.gyoda-kankoukyoukai.jp/

สำหรับคนที่ชอบความพิเศษหรือความคึกคักขึ้นมาหน่อย ลองมาเที่ยวที่นี่ช่วงฤดูใบไม้ผลิก็ได้ค่ะ เพราะวิวซากุระของปราสาทโอชิก็สวยงามไม่แพ้ที่อื่นเลย นอกจากนี้ยังมีการแสดงซามูไรแบทเทิล (Oshi-jo Omotenashi Kaccutai) ในทุกๆวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ด้วย โดยงานนี้จัดตั้งแต่เวลา 11:00 – 14:00 น. ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนจะมีขบวนพาเหรดซามูไรด้วยน๊า~

เรียกได้ว่าน่าไปร่วมสนุกทุกเทศกาลเลยใช่ไหมล่ะคะ ถ้าเพื่อนๆเล็งอีเวนต์ไหนไว้ก็อย่าลืมเช็กตารางเวลากันให้ดีน๊า

ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทโอชิ (Oshi Castle)

วิธีเดินทาง
  • นั่งรถไฟชินคันเซ็น Joetsu Shinkansen (Bullet Train) สาย Takasaki Line, Ueno-Tokyo Line หรือ Shonan Shinjuku Line ไปลงที่สถานี Kumagaya Station จากนั้นเปลี่ยนขบวนรถเป็น Chichibu Railway ที่สถานีดังกล่าว ไปลงที่สถานี Gyodashi Station แล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 15 นาที
  • ขับรถโดยใช้เส้นทาง Hanyu IC ของทางด่วน Tohoku Expressway โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ที่อยู่
  • 17-23 Honmaru, Gyoda, Saitama 361-0052, Japan
เบอร์ติดต่อ (Gyoda Municipal Folk Museum)
  • +81485545911
เวลาทำการ
  • 9:00 – 16:30 น. (เปิดให้เข้าชมรอบสุดท้ายของวันก่อนเวลาปิด 30 นาที)
  • ปิดทำการ : ทุกวันจันทร์, หลังวันหยุดนักขัตฤกษ์ 1 วัน, ทุกวันศุกร์ที่ 4 ของเดือน และช่วงวันหยุดปีใหม่
ค่าเข้าชม
  • Park : ไม่มีค่าเข้าชม
  • Museum :
    • ผู้ใหญ่ : 200 เยน
    • นักเรียนมัธยมปลาย : 100 เยน
    • เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี : 50 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

9. สวนฮิสึจิยามะ (Hitsujiyama Park)

อีกหนึ่งสถานที่ใน ‘จังหวัดไซตามะ’ ที่ควรค่าแก่การไปเยือนในช่วงฤดูใบไม้ผลิก็คือ สวนฮิสึจิยามะ (Hitsujiyama Park) นั่นเองค่ะ

ความพิเศษของสถานที่แห่งนี้อยู่ที่ช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม เพราะในช่วงเวลานี้ ดอกพิงค์มอส (Pink Moss) หรือ ชิบะซากุระ (Shibazakura) จะบานสะพรั่งราวกับมีคนมาปูพรมสีบานเย็นอันแสนสดใสเลยค่ะ

นอกจากนี้ ที่บริเวณตอนใต้สุดของภูเขาอันเป็นขอบเขตของสวนแห่งนี้ก็มีดอกพิงค์มอสหลายสายพันธุ์ให้เราได้ชมกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นดอกพิงค์มอสสีม่วง สีชมพู หรือสีขาว ทุกๆสีก็ล้วนสวยงามและน่าชมทั้งนั้นเลยค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับสวนฮิสึจิยามะ (Hitsujiyama Park)

วิธีเดินทาง
  • นั่งแท็กซี่จากสถานี Chichibu Station โดยใช้เวลาประมาณ 6 นาที
ที่อยู่
  • 6360 Omiya, Chichibu, Saitama 368-0023, Japan
เบอร์ติดต่อ
  • 0494266867
เวลาทำการ
  • เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง
  • สำหรับเทศกาลชิบะซากุระ (Shibazakura Festival) จะจัดขึ้นประมาณช่วงกลางเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมของทุกปี
ค่าเข้าชม
  • ผู้ใหญ่ : 300 เยน
  • เด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี : ฟรี
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

10. โรงภาพยนตร์ฟุคายะ (Fukaya Cinema)

ที่มา : https://www.tripadvisor.com

โรงภาพยนตร์ฟุคายะ (Fukaya Cinema) เป็นโรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นโรงกลั่นเหล้าสาเกนานาสึ-อุเมะ (Nanatsu-Ume Sake Brewery) ที่ก่อตั้งครั้งแรกในปี 1694

ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นแค่โรงฉายภาพยนตร์เท่านั้น แต่ยังมีโซนโรงละคร พื้นที่จัดกิจกรรม และ TV set ด้วยค่ะ

ที่มา : https://www.tripadvisor.com

นอกเหนือจากการรีโนเวทโรงกลั่นเหล้าสาเกให้กลายเป็นโรงภาพยนตร์แล้ว สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยค่ะ บรรยากาศแบบย้อนยุคยังคงพบเห็นได้ทั้งภายนอกและภายในตัวอาคาร จนคนทั่วไปอาจจะสงสัยว่าแท้จริงแล้วที่นี่คือโรงภาพยนตร์จริงๆใช่ไหมนะ 555

นอกจากนี้โรงภาพยนตร์ฟุคายะยังมีความเท่อยู่ตรงที่ว่า โปรแกรมภาพยนตร์ที่จะฉาย 2-3 เรื่องต่อเดือนนั้น ทั้งหมดล้วนฉายผ่านฟิล์ม 35 มม. ค่ะ แถมภายในโรงหนังยังมีบรรยากาศสไตล์เรโทร โดยสามารถจุผู้ชมได้เพียง 60 คนเท่านั้น เป็นความพิเศษที่น่าจะถูกใจบรรดาผู้ชื่นชอบความคลาสสิคไม่น้อยเลยทีเดียวค่ะ

ใครที่คิดถึงบรรยากาศของโรงหนังเก่าแบบลิโด้หรือสกาล่าบ้านเรา ถ้าได้มาไซตามะก็ลองแวะมาเที่ยวที่นี่ดูได้นะคะ

ที่มา : https://www.tripadvisor.com

หลังจากรับชมภาพยนตร์กันจนเต็มอิ่มแล้ว เราขอแนะนำให้ลองไปชมพวกร้านค้าที่จำหน่ายงานคราฟต์ สาเกกลั่น และหนังสือเก่าด้วยนะคะ ส่วนสายอาร์ตที่ชอบเสพงานศิลป์นั้น เราขอแนะนำอาร์ตแกลเลอรีเล็กๆสองแห่งที่อยู่ในละแวกเดียวกับโรงภาพยนตร์แห่งนี้ค่ะ

ที่มา : https://www.tripadvisor.com

แต่ถ้าใครเป็นสายชิลล์ชอบเดินชมบรรยากาศล่ะก็ คุณสามารถดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของอาคารย้อนยุคสไตล์โชวะได้ หรือจะไปเดินชมวิถีชีวิตของผู้คนและการทำงานในโรงงานกลั่นเหล้าสาเกก็ได้เช่นกันค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับโรงภาพยนตร์ฟุคายะ (Fukaya Cinema)

วิธีเดินทาง
  • นั่งรถไฟ JR สาย Takasaki Line จากสถานี Shinjuku Station ไปลงที่สถานี Fukaya Station โดยใช้เวลา 80 นาที จากนั้นให้เดินต่ออีก 10 นาที
ที่อยู่
  • 9-12 Fukayacho, Fukaya, Saitama 366-0825, Japan
เบอร์ติดต่อ
  • +81485514592
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดไซตามะ

เป็นที่รู้กันดีว่า จังหวัดไซตามะ นั้นมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย แต่นอกจากที่เที่ยวแล้ว อาหารท้องถิ่นของไซตามะก็น่าสนใจเช่นกันค่ะ โดยเฉพาะ อุนางิด้ง (Unagi Don) หรือ ข้าวหน้าปลาไหล เนี่ยถือเป็นเมนูเด็ดเลยนะ ถ้าใครไม่ได้ลองทานก็คงเป็นอะไรที่น่าเสียดายมากเลยค่ะ

และในบทความนี้ ทีมงานคุณภาพ fromJapan ก็ได้นำ เมนูเด็ดประจำจังหวัดไซตามะ มาฝากทุกคนด้วยกันถึง 5 อย่าง

แต่จะมีอะไรบ้างก็ต้องตามมาดูกันค่ะ!

1. อุนางิด้ง (Unagi Don)

หากพูดถึงเมืองคาวาโกเอะ (Kawagoe) ในจังหวัดไซตามะ ชื่อของเมนู อุนางิด้ง (Unagi Don) หรือ ข้าวหน้าปลาไหล ก็ต้องได้รับการพูดถึงอย่างแน่นอน!

เมืองคาโกเอะนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะแหล่งรวมร้านข้าวหน้าปลาไหลชื่อดัง หรือที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือบางร้านเปิดกิจการมานานถึง 200 ปี เท่ากับว่าเปิดมาตั้งแต่สมัยเอโดะเลยทีเดียวค่ะ! ถึงแม้ว่าเมืองคาวาโกเอะแห่งนี้จะไม่มีพื้นที่ติดทะเลเลย แต่ปลาไหลแสนอร่อยเหล่านี้ก็สามารถหาได้จากแม่น้ำที่ไหลผ่านไปตามสถานที่ต่างๆนั่นเอง

สำหรับรสชาติและคุณภาพของปลาไหลคาวาโกเอะนั้น ก็เป็นที่เลื่องลือและบอกเล่ากันปากต่อปากว่าอร่อยเด็ดสุดๆ หากใครมาแล้วไม่ได้ลองทานก็เหมือนมาไม่ถึงคาวาโกเอะนะจ๊ะ

Back To Index

2. วาราจิคัตสึด้ง (Waraji Katsudon)

วาราจิคัตสึด้ง (Waraji Katsudon) เป็นเมนูพิเศษที่หาทานได้ในเมืองจิจิบุ (Chichibu) จังหวัดไซตามะ โดยคำว่า วาราจิ (Waraji) นั้นหมายถึงรองเท้าสานของญี่ปุ่นที่ทำมาจากฟางค่ะ

ถ้าหากทุกคนลองสังเกตลักษณะของวาราจิคัตสึด้งให้ดี ก็จะเห็นว่าชิ้นหมูทอดมีขนาดใหญ่แต่บางกว่าคัตสึด้งทั่วไปมาก โดยด้านบนข้าวสวยร้อนๆจะมีหมูทอดแบบนี้วางอยู่ด้วยกัน 2 ชิ้นเสมอ ชิ้นหมูชุบแป้งทอดสีทองอันกรอบบางนี้มีความคล้ายคลึงกับลักษณะของรองเท้าสานวาราจิมาก นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ วาราจิคัตสึด้ง นั่นเองค่ะ

เนื่องจากวาราจิคัตสึด้งเป็นหนึ่งในเมนูคัตสึด้งซอส (Katsudon Sauce) เขาจึงนิยมเสิร์ฟพร้อมกับซอสสูตรพิเศษที่มีรสออกหวานเค็ม ซึ่งเข้ากับคัตสึด้งได้เป็นอย่างดีค่ะ

Back To Index

3. น้ำแข็งไสมันหวาน (Sweet Potato Shaved Ice)

นอกจากปลาไหลแล้ว มันหวาน ก็เป็นของกินขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของเมืองคาวาโกเอะค่ะ เราสามารถเพลิดเพลินกับการทานมันหวานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นมันหวานที่เสิร์ฟในไคเซกิ (Kaiseki : คอร์สอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมที่จะเสิร์ฟตามลำดับขั้นอย่างพิถีพิถันในแบบฉบับของญี่ปุ่น) หรือขนมญี่ปุ่นที่ทำจากมันหวาน (Sweet Potato Wagashi)

อย่างไรก็ตาม เราขอแนะนำเมนูของหวานแสนอร่อยที่เย็นชื่นใจอย่าง น้ำแข็งไสมันหวาน (Sweet Potato Shaved Ice) เพราะรสสัมผัสหวานมันที่ค่อยๆละลายในปากอย่างช้าๆนั้น นับเป็นเรื่องที่ดีต่อใจเหลือเกินค่ะ

Back To Index

4. จิจิบุโซบะ (Chichibu Soba)

จิจิบุโซบะ (Chichibu Soba) เป็นอีกหนึ่งของดีประจำเมืองจิจิบุที่ควรค่าแก่การลิ้มลอง ภายในเมืองจิจิบุนั้นมีร้านโซบะอยู่ประมาณ 60 กว่าร้านเลยค่ะ แต่ละร้านก็จะมีสูตรทำซอสดิปโซบะโบราณที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราขอรับประกันเลยว่าเพื่อนๆจะได้ทานโซบะที่สดใหม่และอร่อยมากๆอย่างแน่นอน

ถ้ามาถึงเมืองจิจิบุแล้ว ลองเดินเข้าร้านโซบะสักร้านสิคะ ^O^

Back To Index

5. เจลลี่ทอด (Jelly Fries)

เจลลี่ทอด (Jelly Fries) เป็นเมนูพิเศษประจำเมืองเกียวดะ แม้จะมีชื่อว่า เจลลี่ แต่แท้จริงแล้วมันทำมาจากมันฝรั่งผสมกับโอการะ (Okara : กากถั่วเหลืองบด) ก่อนจะนำไปปั้นเป็นรูปทรงรี แล้วค่อยนำไปทอดค่ะ

พอทอดเสร็จแล้วมันจะมีหน้าตาคล้ายกับ ‘โคร็อกเกะ’ ค่ะ (croquette : มันบดก้อนชุบแป้งทอดที่ผสมเนื้อสัตว์หรือผักชนิดต่างๆลงไปด้วย เป็นเมนูที่มีต้นกำเนิดในฝรั่งเศส) แต่เจลลี่ทอดจะมีรสชาติที่เข้มข้มกว่า ด้วยซอสสูตรพิเศษและเครื่องเทศต่างๆนั่นเอง

Back To Index

มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!

รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!

ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ

Back To Top