รวม 10 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดชิกะ’ ที่ต้องไปโดนสักครั้ง!
ธ.ค. 09, 2021
บทนำ : ไปเที่ยว ‘จังหวัดชิกะ’ กันเถอะ!
“นอกจากทะเลสาบแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”
นี่คือวลีของเพื่อนบ้านชาวเกียวโตและโอซาก้าที่มักจะใช้แซวชาวชิกะ แต่ความจริงแล้วนี่เป็นคำแซวที่ไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ เพราะถึงแม้ว่าจังหวัดชิกะจะมีจุดเด่นอยู่ที่ทะเลสาบใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นอย่าง ‘ทะเลสาบบิวะ’ (Lake Biwa) แต่นอกจากทะเลสาบแห่งนี้แล้ว ชิกะยังมีจุดท่องเที่ยวอื่นๆที่น่าสนใจและสวยงามไม่แพ้จุดท่องเที่ยวของเกียวโตและโอซาก้าเลย เช่น หนึ่งในห้าปราสาทดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่เกียวโตและโอซาก้าไม่มี (แถมหลายๆที่ส่วนมากคนน้อยด้วย ดีซะอีกที่ถ่ายรูปได้สบาย ไม่ติดคนให้รำคาญใจ)
นอกจากนี้ในส่วนของอาหารการกิน ชิกะก็มีของอร่อยทีเด็ดเป็น 1 ใน 3 เนื้อวากิวที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นด้วยนะ!
จังหวัดชิกะ เป็นสถานที่ซึ่งถ้าเรามาจากเกียวโตล่ะก็ ขอบอกว่าเดินทางโคตรของโคตรง่ายเลย! เพราะจากเกียวโตเราสามารถนั่งรถไฟมาที่นี่โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีก็ถึงแล้วครับ ในขณะที่จากโอซาก้าเราจะใช้เวลานานขึ้นอีกหน่อย โดยนั่งรถไฟประมาณชั่วโมงหนึ่งครับ ชิกะจึงเป็นจังหวัดที่เหมาะสำหรับการเป็น side trip เวลาไปเที่ยวสองจังหวัดยอดฮิตของภูมิภาคคันไซ (ใครเบื่อคนเยอะๆ อยากหาที่เที่ยวแบบ ‘เพชรในตม’ ก็ไปเลย เราแนะนำ!)
เอาล่ะ! ไปดูที่เที่ยวและของกินของ ‘จังหวัดชิกะ’ กันเถอะ
สารบัญ
สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดชิกะ
-
- ทะเลสาบบิวะ (Lake Biwa)
- วัดเอ็นเรียคุจิ (Enryaku-ji Temple)
- ศาลเจ้าฮิโยชิ (Hiyoshi Taisha Shrine)
- ศาลเจ้าโอมิ (Omi Jingu Shrine)
- วัดอิชิยามะเดระ (Ishiyama-dera Temple)
- เมืองโอมิฮาจิมัง (Omihachiman)
- ปราสาทฮิโกเนะ (Hikone Castle)
- ศาลเจ้าทากะ (Taga Shrine)
- หมู่บ้านนินจาโคกะ (Koka Ninja Village)
- พิพิธภัณฑ์มิโฮะ (Miho Museum)
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดชิกะ
สถานที่ท่องเทียวประจำจังหวัดชิกะ : โซนโอสึ (Otsu) และภูเขาฮิเอ (Mount Hiei)
1. ทะเลสาบบิวะ (Lake Biwa)
ไฮไลต์ของ ‘จังหวัดชิกะ’ คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก ‘ทะเลสาบบิวะ’ แห่งนี้ครับ!
ทะเลสาบบิวะ (Lake Biwa) เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกของเกียวโตประมาณ 10 กิโลเมตร มีพื้นที่รวมประมาณ 670 ตารางกิโลเมตร และมีเส้นรอบวงประมาณ 235 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีความลึกโดยเฉลี่ยประมาณ 41 เมตร โดยจุดที่ลึกที่สุดจะอยู่ที่ประมาณ 104 เมตร และมีปริมาตรน้ำ 27.5 พันล้านลูกบาศก์เมตร
ทะเลสาบแห่งนี้เป็นแหล่งเกื้อกูลสิ่งมีชีวิตนานาชนิด อีกทั้งยังเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมในวงกว้าง นอกจากนี้ก็ยังเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย โดยมีอายุกว่าสี่ล้านปีเลยทีเดียว
ทะเลสาบบิวะมีสภาพแวดล้อมอันอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งรวมสัตว์และพืชน้ำมากกว่า 50 สายพันธุ์ และแน่นอนว่าด้วยทัศนียภาพอันงดงามของเกาะต่างๆในทะเลสาบ รวมถึงภูเขาที่โอบล้อมทะเลสาบ ที่นี่จึงเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยว

WEI-LING-CHANG / Shutterstock
วิธีการหนึ่งที่เราขอแนะนำสำหรับการท่องเที่ยวบริเวณทะเลสาบบิวะแห่งนี้ก็คือการนั่งเรือชมทะเลสาบครับ โดยเรือท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อว่า เรือสำราญมิชิแกน เรือลำนี้เป็นเรือกลไฟที่ล่องไปทางตอนใต้ของทะเลสาบบิวะครับ โดยความสนุกของการนั่งเรือสำราญมิชิแกนคือเราสามารถเพลิดเพลินไปกับดนตรีและกิจกรรมต่างๆบนเรือได้ นอกจากนี้เรือสำราญมิชิแกนยังมีอาหารหลากหลายประเภทไว้ให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นแบบคอร์สหรือแบบบุฟเฟ่ต์ ครบครันทั้งของคาวและของหวานเลยครับ
และที่สำคัญ ในช่วงฤดูร้อนจะมีการจัดงานเทศกาลดอกไม้ไฟขึ้นเป็นช่วงๆอีกด้วย ความสวยงามก็อย่างที่เห็นครับ อลังการงานสร้างมากๆ ไม่ควรพลาดครับ!
ข้อมูลเกี่ยวกับทะเลสาบบิวะ (Lake Biwa)
วิธีเดินทาง
- หากเดินทางจากสถานี Kyoto ให้นั่งรถไฟสาย Kosei ไปลงที่สถานี Otsu (ใช้เวลา 9 นาที ค่าโดยสาร 200 เยน สามารถใช้ตั๋ว JR PASS ได้) จากนั้นเดินไปยังบริเวณท่าเรือโดยใช้เวลา 15 นาที
ที่อยู่
- Biwako Kisen (ท่าเรือ), 5-1-1 Hamaotsu, Otsu City, Shiga Prefecture, Japan 520-0047
เบอร์โทร
- 077-524-5000
วันและเวลาทำการ
- เรือมีรอบให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10:00 – 19:30 น. (รอบเรือสามารถดูได้ที่นี่ > Biwako Kisen Website )
ค่าเข้าชม
- เริ่มต้นที่ 2,300 เยน
เว็บไซต์
พิกัด
2. วัดเอ็นเรียคุจิ (Enryaku-ji Temple)
วัดเอ็นเรียคุจิ (Enryaku-ji Temple/延暦寺) เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนภูเขาฮิเอ (Mount Hiei/比叡山) ซึ่งเป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ในบริเวณรอยต่อของจังหวัดเกียวโตและจังหวัดชิกะ วัดแห่งนี้นับว่ามีความสำคัญอย่างมากสำหรับพุทธศาสนานิกายเทนได อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในวัดที่สำคัญต่อประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

beeboys / Shutterstock
แรกเริ่มเดิมที วัดเอ็นเรียคุจิสร้างขึ้นเมื่อประมาณปี 788 โดยหลวงพ่อ Saicho พระภิกษุสงฆ์ผู้นำคำสอนของศาสนาพุทธนิกายเทนได (Tendai) จากประเทศจีนเข้ามาสู่ประเทศญี่ปุ่น โดยในเวลาต่อมาวัดแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธนิกายเทนไดในประเทศญี่ปุ่น
วัดเอ็นเรียคุจิมีสาขากว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศ แน่นอนว่าพระที่นี่มีอิทธิพลในทางการเมืองของญี่ปุ่นด้วย นอกจากนี้ก็ยังมี Sohei หรือพระนักรบประจำอยู่ที่วัดแห่งนี้อีกเป็นจำนวนมาก
แต่ด้วยอิทธิพลของพระนักรบที่มีอยู่เป็นจำนวนมากนี่แหละครับ ที่ทำให้โอดะ โนบุนากะ (Oda Nobunaga) ไดเมียวซึ่งมีอำนาจมากในช่วงยุคเซนโกคุมองว่าพระวัดเอ็นเรียคุจิอาจเป็นเสี้ยนหนามทางการเมืองได้ ในปี 1571 โนบุนากะจึงสั่งโจมตีและเผาวัดจนวอดวาย รวมถึงไล่สังหารพระด้วย แต่ในภายหลังเมื่อมีการเปลี่ยนผู้ปกครอง วัดเอ็นเรียคุจิจึงได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในช่วงศตวรรษที่ 17
ปัจจุบันวัดเอ็นเรียคุจิมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องของการฝึกฝนอันเข้มงวด (พระที่นี่จะฝึกฝนด้วยการเดินธุดงค์วันละ 80 กิโลเมตรเป็นเวลากว่า 100 วัน จากนั้นจะเป็นการฝึกเพื่อเข้าถึงนิพพานด้วยการธุดงค์เป็นเวลา 1,000 วัน และในช่วงสุดท้ายจะเป็นการสวดภาวนา 9 วัน โดยไม่ฉันอาหารเลยและอดหลับอดนอน!)
- ใครอยากดูคลิปการฝึก เข้าลิงก์นี้ได้เลยครับ >> Click
นอกจากนี้ในปี 1994 วัดเอ็นเรียคุจิยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) อีกด้วย
สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆถ้าให้เดินโหดขนาดนั้นก็คงไม่น่าจะไหว ฉะนั้นแค่ไปไหว้พระและชมวิวสวยๆก็น่าจะเพียงพอสำหรับพวกเราแล้วล่ะครับ โดยผมขอแนะนำให้ไปในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เพราะช่วงเวลานี้วิวทิวทัศน์ภายในวัดจะสวยงามมากทีเดียว
นอกจากนี้แล้ว สำหรับสายเกมและอนิเมะก็น่าจะชื่นชอบกิมมิคของชื่อภูเขาฮิเอแน่นอน เพราะคำว่า ฮิเอ ที่เป็นชื่อภูเขาแห่งนี้เป็นชื่อเดียวกับ ฮิเอ (Hiei) ในเกมและอนิเมะ KanColle นั่นเองครับ (ติ่ง KanColle คงรู้อยู่แล้วล่ะเนอะว่าฮิเอคือคนไหนใน 4 คนนี้)
ข้อมูลเกี่ยวกับวัดเอ็นเรียคุจิ (Enryaku-ji Temple)
วิธีเดินทาง
- หากเดินทางจากสถานี Kyoto ให้นั่งรถไฟสาย Kosei ไปลงที่สถานี Hieizan-Sakamoto (ใช้เวลา 15 นาที ค่าโดยสาร 330 เยน ใช้ตั๋ว JR PASS ได้) จากนั้นเดินไปยังวัดเอ็นเรียคุจิโดยใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที หรือนั่งรถบัสจากสถานี 5 นาทีเพื่อไปขึ้นกระเช้า Ropeway ได้ โดย Ropeway มีค่าขึ้นไป-กลับ 1,660 เยน
ที่อยู่
- Enryaku-ji Temple, 4220 Sakamotohonmachi, Otsu, Shiga 520-0116
เบอร์โทร
- 077-578-0001
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน ในเวลาดังต่อไปนี้
- เดือนมีนาคม – พฤศจิกายน : 8:30 – 16:30 น.
- เดือนธันวาคม : 9:00 – 16:00 น.
- เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ : 9:00 – 16:30 น.
ค่าเข้าชม
- เฉพาะค่าเข้าวัด : ผู้ใหญ่ 1,000 เยน / เด็กมัธยม 600 เยน / เด็กประถม 300 เยน
- ค่าเข้าวัดและหอสมบัติ : ผู้ใหญ่ 1,500 เยน / เด็กมัธยม 900 เยน
เว็บไซต์
พิกัด
3. ศาลเจ้าฮิโยชิ (Hiyoshi Taisha Shrine)

Kit-Leong / Shutterstock
ศาลเจ้าฮิโยชิ (Hiyoshi Taisha Shrine) เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ของจังหวัดชิกะซึ่งเป็นศาลเจ้าประธานของศาลเจ้าสายเทพเจ้าภูเขาที่สร้างขึ้นเพื่อสักการะเทพเจ้าภูเขาหลายๆองค์ ศาลเจ้าแห่งนี้มีสาขาทั่วญี่ปุ่นกว่า 3,000 แห่ง โดยเดิมทีศาลเจ้าฮิโยชินับว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัดเอ็นเรียคุจิในสมัยที่มีการนับถือพุทธคู่กับชินโต โดยเชื่อกันว่าเทพเจ้าของศาลเจ้าแห่งนี้เป็นเทพพิทักษ์พระพุทธอีกต่อหนึ่ง
เราขอแอบบอกว่าหนึ่งในเทพเจ้าของศาลเจ้าฮิโยชิแห่งนี้ก็คือ เทพโอนามุจิ (Onamuchi no Mikoto) ซึ่งเป็นอีกชื่อของ เทพโอคุนินุชิ (Okuninushi no Mikoto) หรือเทพของศาลเจ้าอิซุโมะในจังหวัดชิมาเนะ คุ้นๆกันไหมครับ เทพโอคุนินุชิก็คือเทพแห่งผืนแผ่นดินและการแต่งงานนั่นเอง

Kit-Leong / Shutterstock
ในปัจจุบันแม้ว่าทั้งศาสนาพุทธกับชินโต รวมถึงวัดกับศาลเจ้าจะแยกออกจากกันแล้ว แต่ก็ยังคงมีร่องรอยความเกี่ยวโยงกันของวัดกับศาลเจ้าหลงเหลืออยู่ที่นี่นิดหน่อย นั่นคือการที่ศาลเจ้าฮิโยชิเน้นเรื่องการเคารพลิงครับ
ที่มีการนับถือลิงนั้นก็เพราะเขาเชื่อกันว่าลิงเป็นสัตว์นำสารของพระพุทธ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการเล่นคำด้วย คือในชื่อของเทพลิงมาซารุ (Masaru) นั้น คำว่า มาซารุ มีความหมายว่า เหนือกว่าชนะ จึงเชื่อกันว่าเทพลิงจะช่วยปัดเป่าความซวยต่างๆออกไปได้ครับ
ด้วยเหตุนี้ ศาลเจ้าฮิโยชิจึงโด่งดังเรื่องการแก้ปีชงกับเรื่องบุพเพสันนิวาส ซึ่งในเรื่องของบุพเพฯจะเป็นเพราะเทพโอนามุจิด้วย
สำหรับช่วงที่ควรค่าแก่การมาเที่ยว ผมขอแนะนำช่วงใบไม้เปลี่ยนสีครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าฮิโยชิ (Hiyoshi Taisha Shrine)
วิธีเดินทาง
- หากเดินทางจากสถานี Kyoto ให้นั่งรถไฟสาย Kosei ไปลงที่สถานี Hieizan-Sakamoto (ใช้เวลา 15 นาที ค่าโดยสาร 330 เยน ใช้ตั๋ว JR PASS ได้) จากนั้นเดินไปศาลเจ้าโดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที หรือนั่งรถบัสจากสถานีประมาณ 3 นาที
ที่อยู่
- Hiyoshi-Taisha Shrine, 5 Chome-1-1 Sakamoto, Otsu, Shiga 520-0113
เบอร์โทร
- 077-578-0009
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9:30 – 16:30 น.
ค่าเข้าชม
- ผู้ใหญ่ : 300 เยน
- เด็ก : 150 เยน
เว็บไซต์
พิกัด
4. ศาลเจ้าโอมิ (Omi Jingu Shrine)
ศาลเจ้าโอมิ (Omi Jingu Shrine) เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อสักการะจักรพรรดิเทนจิ (Emperor Tenji) ผู้ย้ายเมืองหลวงจากเมืองอาสึกะ (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดนารา) มาอยู่ที่เมืองโอสึ จังหวัดชิกะ และเป็นผู้ประดิษฐ์นาฬิกาน้ำคนแรกของญี่ปุ่นด้วย ด้วยเหตุนี้หลังจากจักรพรรดิเทนจิสวรรคตไป ท่านจึงได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าเทนจิน (Tenjin) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งกาลเวลาและปัญญา
ชื่อเสียงของศาลเจ้าโอมินั้น นอกจากจะมาจากประวัติศาสตร์และตำนานต่างๆแล้วก็ยังมาจากการเป็นฉากดำเนินเรื่องของมังงะชื่อดังอย่าง Chihayafuru หรือ จิฮายะ กลอนรักพิชิตใจเธอ ที่เขียนโดยสึเอทสึงุ ยูกิด้วย โดยมังงะเรื่องนี้เคยได้รับรางวัล Manga Taisho Award ครั้งที่ 2 กับ Kodansha Manga Award for best Shoujo ครั้งที่ 35 มาแล้ว (ปัจจุบันมังงะเรื่องนี้ยังไม่จบและยังคงออกฉบับรวมเล่มที่ญี่ปุ่นมาเรื่อยๆนะครับ โดยตอนนี้มียอดพิมพ์ฉบับรวมเล่มรวมกันทั้งซีรีส์ 21,000,000 เล่ม)
ต่อมามังงะเรื่องนี้ได้มีการทำเป็นเวอร์ชั่นอนิเมะและหนังอีกด้วย โดยเรื่องย่อคือ จิฮายะ ไทอิจิ และ อาราตะ เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่ถูกผูกพันกันไว้ด้วยความหลงใหลในการเล่นคารุตะ (ไพ่แบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น) พวกเขาแยกย้ายจากกันหลังจบการศึกษาจากโรงเรียนประถม แต่จิฮายะก็ยังคงเล่นเกมที่อาราตะสอนเธอ ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้เห็นเธอในวันที่กลายเป็นผู้เข้าแข่งขันที่แข็งแกร่ง
เหตุผลที่ Chihayafuru ดำเนินเรื่องที่ศาลเจ้าโอมินั้น เป็นเพราะว่าศาลเจ้าแห่งนี้คือสถานที่จัดการแข่งขันไพ่คารุตะในชีวิตจริงนั่นเอง โดยการแข่งขันไพ่คารุตะนั้นจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนมกราคม
ถ้าใครเป็นแฟนการ์ตูนหรือหนังเรื่องนี้ล่ะก็ ควรมาตามรอยที่ศาลเจ้าโอมิมากๆเลยครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าโอมิ (Omi Jingu Shrine)
วิธีเดินทาง
- หากเดินทางจากสถานี Kyoto ให้นั่งรถไฟสาย Kosei ไปลงที่สถานี Otsukyo (ใช้เวลา 11 นาที ค่าโดยสาร 240 เยน ใช้ตั๋ว JR PASS ได้) จากนั้นให้เดินไปยังศาลเจ้าโดยใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที
ที่อยู่
- Omi Shrine, 1-1 Jingucho, Otsu, Shiga 520-0015
เบอร์โทร
- 077-522-3725
วันและเวลาทำการ
- ศาลเจ้า : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 6:00 – 18:00 น.
- หอสมบัติ : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9:30 – 16:30 น. / ปิดทุกวันจันทร์
ค่าเข้าชม
- ศาลเจ้า : เข้าชมฟรี
- หอสมบัติ
- ผู้ใหญ่ : 300 เยน
- เด็ก : 150 เยน
- เด็กเล็ก : เข้าชมฟรี
เว็บไซต์
พิกัด
5. วัดอิชิยามะเดระ (Ishiyama-dera Temple)

AndyLai / Shutterstock
วัดอิชิยามะเดระ (Ishiyama-dera Temple) เป็นวัดพุทธมหายานนิกายชินกอนใน ‘จังหวัดชิกะ’ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 747 ทิวทัศน์ของธรรมชาติและดอกไม้ตามฤดูกาลที่วัดแห่งนี้มีความงดงามเป็นอย่างมาก จนวัดอิชิยามะเดระได้รับการขนานนามว่าเป็น “วัดแห่งดอกไม้”
นอกจากนี้ มุราซากิ ชิกิบุ (Murasaki Shikibu) นักประพันธ์นวนิยายชื่อดังเรื่องตำนานเก็นจิ (The Tale of Genji) ยังได้เริ่มต้นงานเขียนที่มีชื่อเสียงของเธอ ณ สถานที่แห่งนี้ด้วย ว่ากันว่านี่เป็นนวนิยายเล่มแรกสุดของนักประพันธ์ท่านนี้ด้วยครับ
นอกจากนี้ วัดอิชิยามะเดระยังมีชื่อเสียงจากการเป็นต้นแบบของจุดชมดวงจันทร์ในภาพพิมพ์อุคิโยเอะ “พระจันทร์ฤดูใบไม้ร่วง ณ อิชิยามะ” หรือ “The Autumn Moon at Ishiyama” ด้วย
และในฤดูใบไม้ร่วง ทางวัดจะเปิดไฟตอนกลางคืนเพื่อสร้างบรรยากาศที่สวยงามในแบบที่แตกต่างออกไปจากตอนกลางวัน หากเพื่อนๆได้มาลองชมความงามของใบไม้แดงไปพร้อมๆกับการชมจันทร์ ก็น่าจะดีไม่น้อยเลยทีเดียวครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับวัดอิชิยามะเดระ (Ishiyama-dera Temple)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Ishiyama ให้นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Ishiyamadera Sanmon-Mae (ใช้เวลา 6 นาที ค่าโดยสาร 250 เยน) แล้วเดินต่ออีก 4 นาที
- สำหรับการเดินทางไปยังสถานี Ishiyama หากเดินทางจากสถานี Kyoto ให้นั่งรถไฟสาย Tokaido-Sanyo (ใช้เวลา 14 นาที ค่าโดยสาร 240 เยน ใช้ตั๋ว JR PASS ได้)
ที่อยู่
- Ishiyama-dera Temple, 1 Chome-1-1 Ishiyamadera, Otsu, Shiga 520-0861
เบอร์โทร
- 074-882-3411
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตามเวลาดังนี้
- เฉพาะส่วนของวัด : 8:00 – 16:30 น.
- เฉพาะส่วนของ Hondo หรืออาคารหลักของวัด : 9:00 – 16:30 น.
- เฉพาะส่วนของพิพิธภัณฑ์ : 10:00 – 15:00 น.
ค่าเข้าชม
- เฉพาะส่วนของวัด
- ผู้ใหญ่ : 600 เยน
- เด็กประถม : 250 เยน
- เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี : เข้าชมฟรี
- เฉพาะส่วนของ Hondo หรืออาคารหลักของวัด
- ผู้ใหญ่ : 500 เยน
- เด็กประถม : 250 เยน
- เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี : เข้าชมฟรี
- เฉพาะส่วนของพิพิธภัณฑ์
- ผู้ใหญ่ : 300 เยน
- เด็กประถม : 150 เยน
- เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี : เข้าชมฟรี
เว็บไซต์
พิกัด
สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดชิกะ : โซนโอมิฮาจิมัง (Omi Hachiman) และฮิโกเนะ (Hikone)
6. เมืองโอมิฮาจิมัง (Omihachiman)

Stray-Toki / Shutterstock
เมืองโอมิฮาจิมัง (Omihachiman) เป็นเมืองท่องเที่ยวยอดฮิตของ ‘จังหวัดชิกะ’ ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลสาบบิวะ เมืองโอมิฮาจิมังเป็นที่รู้จักในฐานะของ เมืองแห่งสายน้ำที่เปี่ยมไปด้วยมรดกทางประวัติศาสตร์แห่งการค้าอันรุ่งเรือง
สำหรับประวัติศาสตร์ของเมืองโอมิฮาจิมังนั้น เมืองนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อโทโยโตมิ โยชิสึกุ (Toyotomi Yoshitsugu) หลานของไดเมียวโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) สร้างปราสาทฮาจิมังขึ้นในช่วงปี 1500 และแม้ว่าโยชิสึกุจะถูกฮิเดโยชิสั่งให้คว้านท้องด้วยข้อหาพยายามก่อกบฏ (ซึ่งจริงๆแล้วเป็นข้ออ้างเพื่อแต่งตั้งโทโยโตมิ ฮิเดโยริ บุตรชายที่เพิ่งเกิดของตนขึ้นเป็นทายาททางการเมืองแทน) แต่เมืองแห่งนี้ก็ยังเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ เนื่องด้วยทำเลที่อยู่ระหว่างเกียวโตและเอโดะ(โตเกียว)พอดี ทั้งยังเป็นเมืองที่เชื่อมต่อกับเส้นทางเดินเรือเข้าสู่ทะเลญี่ปุ่นผ่านทะเลสาบบิวะอีกด้วย
ในปัจจุบันอาคารบ้านเรือนของกลุ่มพ่อค้าจากยุคอดีตยังคงได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดี พร้อมๆกับคลองขุดที่ชื่อว่า คลองฮาจิมังโบริ (Hachiman-bori) แน่นอนว่ากิจกรรมยอดฮิตในการมาเที่ยวที่เมืองโอมิฮาจิมังจึงหนีไม่พ้นการล่องเรือชมคลองนั่นเอง ที่นี่จะมีเรือให้เลือกทั้งเรือมอเตอร์และเรือถ่อแบบใช้มือ แต่ไม่ว่าจะเป็นเรือแบบไหนก็ตาม วิวรอบข้างก็ล้วนสวยงามและทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินได้แน่นอน โดยเฉพาะในช่วงซากุระบานและช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ขอบอกเลยว่าวิวเด็ดสุดๆ

Tanya-Jones / Shutterstock
นอกจากนี้ ภายในเมืองก็ยังมี ศาลเจ้าฮิมุเระ ฮาจิมังกุ (Himure Hachiman-gu Shrine) ศาลเจ้าเก่าแก่อายุกว่า 1,900 ปีที่สร้างขึ้นเพื่อสักการะเทพฮาจิมังหรือเทพเจ้าแห่งสงคราม
ถัดไปไม่ไกลจากศาลเจ้านัก จะมีกระเช้า Hachimanyama Ropeway ที่พาเราขึ้นไปสู่ภูเขาฮาจิมังด้วย
เมื่ออยู่บนภูเขา เราสามารถชมวิวสวยๆของทะเลสาบบิวะได้แบบนี้
หลังจากนั้นพอลงจากเขาและออกจากโซนคลองมาได้สักพัก เราจะเจอกับ Shinmachi เป็นแนวถนนย่านการค้าที่เต็มไปด้วยอาคารสไตล์ย้อนยุค ให้บรรยากาศแบบญี่ปุ่นโบราณได้ดีสุดๆ (กิโมโนพร้อมยัง? ?)
ย้อนกลับไปที่คลองกันสักนิด สำหรับนักท่องเที่ยวสายหาความรู้ เราขอแนะนำ พิพิธภัณฑ์คาวาระ (Kawara Museum) พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับหลังคาบ้านญี่ปุ่นเอาไว้อย่างครบถ้วน โดยภายในพิพิธภัณฑ์มีตัวอย่างหลังคาจากหลายๆสถานที่ในญี่ปุ่นจัดแสดงไว้ด้วย
ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองโอมิฮาจิมัง (Omihachiman)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Omi Hachiman ให้นั่งรถบัสไปลงที่ Osugicho (ใช้เวลา 10 นาที ค่าโดยสาร 220 เยน) โดยจุดท่องเที่ยวที่เรารีวิวมาในข้างต้นจะอยู่ในระยะเดินจากป้ายรถบัสไม่เกิน 10 นาที
- สำหรับการเดินทางไปยังสถานี Omi Hachiman หากเดินทางจากสถานี Kyoto ให้นั่งรถไฟสาย Tokaido-Sanyo (ใช้เวลา 35 นาที ค่าโดยสาร 680 เยน ใช้ตั๋ว JR PASS ได้)
ที่อยู่
- Hachiman-bori (คลองและจุดขึ้นเรือชมคลอง)
- Osugicho, Omihachiman, Shiga 523-0837
- เบอร์โทร : 074-832-7003
- Himure Hachiman-gu Shrine
- 257 Miyauchicho, Omihachiman, Shiga 523-0828
- เบอร์โทร : 074-832-3151
- Hachimanyama Ropeway
- Miyauchicho, Omihachiman, Shiga 523-0828
- เบอร์โทร : 074-832-0303
- Kawara Museum
- 738-2 Tagacho, Omihachiman, Shiga 523-0821
- เบอร์โทร : 074-833-8567
วันและเวลาทำการ
- Hachiman-bori
- คลอง : เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
- เรือชมคลอง : ให้บริการทุกวัน เวลา 10:00 – 16:00 น.
- Himure Hachiman-gu Shrine
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น.
- Hachimanyama Ropeway
- เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น.
- Kawara Museum
- เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น.
- หยุดทุกวันจันทร์และช่วงเทศกาลปีใหม่
ค่าเข้าชม
- Hachiman-bori
- ค่าเรือ 1,000 เยน
- Himure Hachiman-gu Shrine
- ไม่มีค่าเข้าชม
- Hachimanyama Ropeway
- ค่า Ropeway ไป-กลับ : ผู้ใหญ่ : 890 เยน / เด็ก : 450 เยน
- Kawara Museum
- 300 เยน
เว็บไซต์
- https://www.city.omihachiman.lg.jp/material/files/group/102/VisitingOmihachiman.pdf
- https://himure.jp/english/
- https://www.ohmitetudo.co.jp/hachimanyama/index.html
พิกัด
7. ปราสาทฮิโกเนะ (Hikone Castle)
ปราสาทฮิโกเนะ (Hikone Castle) เป็น 1 ใน 12 ปราสาทดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ใน ‘จังหวัดชิกะ’ นอกจากนี้ยังเป็นเพียง 1 ใน 5 ปราสาทที่ได้รับการยกฐานะให้เป็นสมบัติของชาติจากบรรดาปราสาทดั้งเดิมทั้งหมด 12 แห่ง ร่วมกันกับปราสาทฮิเมจิ (จังหวัดเฮียวโกะ) ปราสาทมัตสึโมโตะ (จังหวัดนากาโนะ) ปราสาทอินุยามะ (จังหวัดไอจิ) และปราสาทมัตสึเอะ (จังหวัดชิมาเนะ)
เกี่ยวกับความเป็นมาของปราสาทฮิโกเนะ ปราสาทแห่งนี้สร้างเสร็จในปี 1622 โดยไดเมียวของตระกูลลิ ซึ่งเป็นตระกูลซามูไรที่รับใช้ตระกูลโชกุนโทคุกาวะ ต่อมาเมื่อสิ้นยุคเอโดะ พระจักรพรรดิเมจิทรงสั่งให้รื้อถอนปราสาทหลายแห่ง แต่สำหรับปราสาทฮิโกเนะแห่งนี้ พระจักรพรรดิทรงมีพระประสงค์เป็นการส่วนพระองค์ว่าไม่อยากให้รื้อถอน ปราสาทจึงยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน (เป็นอีกหนึ่งปราสาทดวงแข็งที่รอดมาได้ทุกอย่าง)
จากด้านบนของปราสาท เราสามารถมองเห็นวิวเมืองฮิโกเนะได้โดยรอบ รวมถึงวิวของทะเลสาบบิวะ ทะเลสาบที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่นด้วย
วิธีหนึ่งในการชมความงามของปราสาทก็คือ การนั่งเรือชมวิวที่จะพาเราไปชมบรรยากาศของคลองรอบๆปราสาท ซึ่งวิวที่นี่จะสวยเป็นพิเศษช่วงซากุระบานในเดือนเมษายน
ส่วนในฤดูใบไม้ร่วง วิวใบไม้เปลี่ยนสีก็สวยไม่น้อยหน้าซากุระเลยล่ะครับ โดยเฉพาะในช่วงที่ทางปราสาทเปิดไฟตอนกลางคืน บรรยากาศจะดูโรแมนติคสุดๆ
นอกจากเพลิดเพลินกับความงามของปราสาทฮิโกเนะแล้ว บริเวณด้านหน้าปราสาทก็จะมีถนน Yume-Kyobashi Castle Road ซึ่งเป็นถนนย่านการค้าที่โดดเด่นด้วยอาคารสไตล์ย้อนยุค เหมาะแก่การชอปปิ้งและเดินเล่นถ่ายรูปสุดๆเลยครับ (โดยเฉพาะถ้าเราเช่าชุดกิโมโนมาใส่เดินเล่นด้วย)
- อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับปราสาทฮิโกเนะ >> เที่ยวปราสาทฮิโกเนะ 1 ใน 12 ปราสาทดั้งเดิมของญี่ปุ่น
ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทฮิโกเนะ (Hikone Castle)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Hikone ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที (ระหว่างทางจะมีถนน Yume-Kyobashi Castle Road ให้แวะเดินเล่นด้วย)
- สำหรับการเดินทางไปสถานี Hikone หากเดินทางจากสถานี Kyoto ให้นั่งรถไฟสาย Tokaido Sanyo (ใช้เวลา 63 นาที ค่าโดยสาร 1,170 เยน ใช้ตั๋ว JR PASS ได้)
ที่อยู่
- Hikone Castle, 1-1 Kanegamecho, Hikone City, Shiga Prefecture 522-0061
เบอร์โทร
- 074-922-2742
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8:30 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
- เฉพาะปราสาท : 800 เยน
- รวมค่าเข้าปราสาท สวน และพิพิธภัณฑ์ : 1,200 เยน
เว็บไซต์
พิกัด
8. ศาลเจ้าทากะ (Taga Shrine)
ศาลเจ้าทากะ (Taga Shrine) เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเมื่อช่วงประมาณปี 620 ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าระดับอิจิโนะมิยะ ซึ่งหมายถึงศาลเจ้าระดับสูงสุดตามการจัดอันดับศาลเจ้าชินโตประจำจังหวัดชิกะ
จุดประสงค์ในการสร้างศาลเจ้าทากะคือเพื่อสักการะเทพอิซานางิและเทพอิซานามิ เทพคู่สามีภริยาที่ตามตำนานกล่าวไว้ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังรวมไปถึงเทพองค์อื่นๆ เช่น สุริยเทวีอามาเทราสึ
ซึ่งในญี่ปุ่นเอง ศาลเจ้าทากะนั้นนับว่าเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่มีชื่อเสียง จนถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า “ถ้าไปสักการะศาลเจ้าอิเสะในจังหวัดมิเอะแล้ว ก็อย่าลืมไปสักการะศาลเจ้าทากะด้วยล่ะ” (เป็นการเปรียบเปรยว่าหากไปสักการะอามาเทราสึผู้เป็นบุตรแล้ว ก็อย่าลืมไปสักการะอิซานางิผู้เป็นบิดาด้วย)
อีกจุดหนึ่งที่เป็นไฮไลต์ของศาลเจ้าทากะคือหินในรูปด้านบนนี้ เรียกว่าหินเอ็นเมเซกิ (Enmei Seki) ซึ่งแปลว่า หินยืดอายุ ตามตำนานเล่ากันว่ามีนักบวชรูปหนึ่งนามว่าโชเกน ซึ่งในขณะนั้นอายุ 61 ปี ได้เดินทางมาไหว้สักการะศาลเจ้าแห่งนี้เพื่อขอยืดอายุขัยของตน ด้วยหวังว่าตนจะสามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วง นั่นก็คือการซ่อมบูรณะศาลเจ้าโทไดจิ และในที่สุดท่านก็ทำหน้าที่นี้สำเร็จครับ
แต่หลังจากนั้นโชเกนก็ได้กลับมาที่ศาลเจ้าทากะและนั่งลงบนหินก้อนนี้ ก่อนจะจากไปอย่างสงบ (อารมณ์ประมาณเจไดในเรื่อง Star Wars ตอนที่ได้กลายเป็น one with the force) นับจากนั้นเป็นต้นมา หินก้อนนี้เลยกลายเป็นจุดที่มีคนเอาหินก้อนเล็กๆที่เขียนขอพรเรื่องขอให้หายป่วยหรือขอให้อายุยืนยาวมาวางกัน (จริงๆก็มีเรื่องอื่นด้วยแหละนะ)
ในส่วนของการขอพรเรื่องสุขภาพและอายุยืนยาว ศาลเจ้าทากะจัดอยู่ในอันดับที่ 2 ตามโพลของนิตยสารเกี่ยวกับศาลเจ้าครับ
และนอกจากนี้ ศาลเจ้าทากะยังมีชื่อเสียงในเรื่องการขอพรเกี่ยวกับความรักด้วย โดยในโพลของเว็บไซต์ JAPAN GUIDE BOOK ที่ว่าด้วยเรื่องอันดับความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าด้านความรัก ศาลเจ้าทากะอยู่ในอันดับที่ 15 ครับ
ใครเป็นสายมูก็ลองไปพิสูจน์กันดูนะครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าทากะ (Taga Shrine)
วิธีเดินทาง
- จากสถานี Hikone ให้ขึ้นรถไฟ Ohmi Railway สาย Taga ไปลงที่สถานี Taga Taisha-Mae (ใช้เวลา 18 นาที ค่าโดยสาร 310 เยน) แล้วเดินต่ออีก 10 นาที
ที่อยู่
- Taga Shrine, 604 Taga, Taga-cho, Inukami-gun, Shiga Prefecture 522-0341
เบอร์โทร
- 074-948-1101
วันและเวลาทำการ
- ศาลเจ้า : เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
- สำนักงานศาลเจ้า : เปิดในเวลา 8:30 – 16:30 น.
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด
สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดชิกะ : โซนโคกะ (Koka)
9. หมู่บ้านนินจาโคกะ (Koka Ninja Village)
หมู่บ้านนินจาโคกะ (Koka Ninja Village) เป็นหมู่บ้านนินจาที่มีชื่อเสียงพอๆกับหมู่บ้านนินจาที่เมืองอิกะ จังหวัดมิเอะ หมู่บ้านแห่งนี้จะมาบอกเล่าเรื่องราวของนินจาผ่านจุดต่างๆภายในพื้นที่หมู่บ้าน เช่น พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงอาวุธหรืออุปกรณ์ต่างๆของนินจาโคกะ โซนแสดงโชว์นินจา ลานปาดาวกระจาย บ่อน้ำสำหรับฝึกเดินบนน้ำ และโซนอื่นๆ
บางคนอาจจะสงสัยว่าหมู่บ้านนินจาที่โคกะและอิกะมีความแตกต่างกันอย่างไร คำตอบคือนินจาโคกะเก่งเรื่องวิชาการใช้ยาครับ แน่นอนว่ารวมถึงการวางยาพิษด้วย ส่วนนินจาอิกะนั้นจะถนัดวิชาที่เกี่ยวกับดินปืนและดินระเบิด
ใครที่ชื่นชอบเรื่องราวของนินจาล่ะก็ ถ้าได้มาเที่ยวชิกะห้ามพลาดหมู่บ้านแห่งนี้เลยครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านนินจาโคกะ (Koka Ninja Village)
วิธีเดินทาง
- จากสถานีรถไฟ Koka ให้นั่งรถ Shuttle bus มายังหมู่บ้านนินจา โดยรถบัสนี้สามารถขึ้นได้ฟรีครับ (ถ้าไม่มีรถให้โทรไปที่ 0748-88-5000)
- สำหรับการเดินทางไปยังสถานีรถไฟ Koka หากเดินทางจากสถานี Kyoto ให้นั่งรถไฟสาย Tokaido-Sanyo ไปลงที่สถานี Kusatsu แล้วเปลี่ยนไปนั่งสาย Kusatsu เพื่อไปลงที่สถานี Koka (ใช้เวลารวม 67 นาที 990 เยน ใช้ตั๋ว JR PASS ได้)
ที่อยู่
- Kōka Ninja Village, 394 Kokacho Oki, Koka, Shiga 520-3405
เบอร์โทร
- 074-888-5000
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 10:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
- ผู้ใหญ่ : 1,100 เยน
- เด็กมัธยม : 900 เยน
- เด็กอายุ 6-11ปี : 800 เยน
- เด็กอายุ 3-5 ปี : 600 เยน
- เด็กอายุ 2 ปีหรือน้อยกว่า : เข้าชมฟรี
เว็บไซต์
พิกัด
10. พิพิธภัณฑ์มิโฮะ (Miho Museum)

Lee-Yiu-Tung / Shutterstock
พิพิธภัณฑ์มิโฮะ (Miho Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมงานศิลปะจากทั่วโลกมาจัดแสดง โดยงานศิลปะเหล่านี้เป็นของสะสมของ โคยามะ มิโฮโกะ (Koyama Mihoko) สถาปนิกชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงและเป็นผู้ก่อตั้งองค์กรศาสนาชินจิ ชูเมไค โดยเธอเป็นผู้ออกแบบพิพิธภัณฑ์ที่แสนมีเอกลักษณ์แห่งนี้เองด้วย
คอนเซปต์หลักของพิพิธภัณฑ์มิโฮะคือการพาผู้เข้าชมไปสัมผัสกับความงามผ่านงานศิลปะและธรรมชาติ โดยความโดดเด่นของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะอยู่ที่โครงสร้างของเหล็กและกระจก ซึ่งเราสามารถมองออกไปเพื่อชื่นชมทัศนียภาพอันสวยงามของหุบเขาในเมืองชิรางากิได้โดยรอบ

Lee-Yiu-Tung / Shutterstock
การจัดแสดงงานศิลปะของพิพิธภัณฑ์มิโฮะนั้นจะประกอบไปด้วยผลงานจากอารยธรรมโบราณต่างๆทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นอารยธรรมอียิปต์ โรมัน หรือวัฒนธรรมเอเชียอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นของสะสมส่วนตัวของคุณโคยามะทั้งสิ้น
นอกจากนี้ รูปแบบการจัดแสดงงานศิลปะของที่นี่ก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆปี รวมถึงมีนิทรรศการพิเศษที่เปลี่ยนใหม่ทุกๆ 2-3 เดือนด้วย
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะมาเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อีกสักกี่ครั้งก็ไม่ต้องกลัวเบื่อกันเลยครับ เพราะเขาจะนำเสนอสิ่งแปลกใหม่ให้เราชื่นชมทุกครั้งแน่นอน
ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์มิโฮะ (Miho Museum)
วิธีเดินทาง
- หากเริ่มต้นการเดินทางที่สถานีรถไฟ JR Kyoto ให้นั่งรถไฟ JR สาย Biwako Line ไปลงที่สถานี Ishiyama (ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ค่าโดยสาร 240 เยน ใช้ตั๋ว JR PASS ได้)
- เมื่อถึงสถานี Ishiyama ให้ขึ้นรถบัส Teisan Bus สาย 150 ไปลงที่ Miho Museum (ใช้เวลา 50 นาที ค่าโดยสาร 840 เยน
ที่อยู่
- Miho Museum, 300 Tashiro Momoya, Shigaraki-cho, Koka-shi, Shiga 529-1814
เบอร์โทร
- 0748-82-3411
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตามเวลาดังต่อไปนี้
- วันธรรมดา : 10:00 – 16:00 น.
- วันเสาร์-อาทิตย์ : 9:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
- 1,100 เยน
เว็บไซต์
พิกัด
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดชิกะ
1. เนื้อโอมิ (Omi Beef)
เนื้อโอมิ (Omi Beef) เป็น 1ใน 3 เนื้อวากิวชั้นยอดของญี่ปุ่น อีกทั้งยังเป็นเนื้อที่มีประวัติความเป็นมายาวนานที่สุดในบรรดาเนื้อวากิวของญี่ปุ่นด้วย
มีการบันทึกไว้ว่าในช่วงยุคเอโดะซึ่งญี่ปุ่นยังมีการห้ามบริโภคเนื้อวัวอยู่ (เป็นอิทธิพลจากจีน น่าจะเกี่ยวโยงกับความเชื่อเรื่องเจ้าแม่กวนอิม) แต่ที่เมืองโอมิกลับมีการขายเนื้อวัวหมักเต้าเจี้ยวมิโซะในรูปแบบของยาชูกำลังที่เรียกว่า เฮมโปงกัน (Henpongan) และยังมีการนำไปถวายให้กับโชกุนในสมัยเอโดะอีกด้วย
ต่อมาในช่วงยุคเมจิ เนื่องจากมีการพัฒนาระบบขนส่งสินค้าให้ดียิ่งขึ้น การขนส่งเนื้อโอมิไปยังกรุงโตเกียวจึงได้เริ่มต้นขึ้น แต่เนื้อวัวโอมิทั้งหมดที่ส่งออกไปจะถูกเรียกว่าเนื้อโกเบ (โกเบกิว / Kobe Gyu)
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในอดีตเนื้อโอมิจะถูกส่งผ่านท่าเรือโกเบไปยังกรุงโตเกียว และคนญี่ปุ่นในสมัยนั้นจะเรียกชื่อแบรนด์เนื้อวัวตามชื่อของท่าเรือขนส่งสินค้า ไม่ได้เรียกตามสถานที่ต้นกำเนิด ดังนั้นเนื้อวัวที่ถูกขนส่งผ่านท่าเรือโกเบจึงถูกเรียกว่าโกเบกิวไปด้วย และนี่ก็คือที่มาที่ไปของเนื้อโกเบ หรือโกเบกิว ชื่อของเนื้อวากิวซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก (ผู้เขียนเองพอรู้แล้วก็ได้แต่อุทานว่า อ้าวววววว ไม่ใช่ว่าเป็นเนื้อวัวจากโกเบหรอกเรอะ…)
หลังจากนั้นเมื่อถึงปี 1890 สถานีรถไฟ Omi Hachiman ก็สร้างเสร็จ และในที่สุดชาวเมืองโอมิก็สามารถขนส่งเนื้อชนิดนี้ไปยังโตเกียวได้โดยตรงทางบก พวกเขาจึงเริ่มใช้ชื่อเนื้อโอมิตั้งแต่นั้นมา (เรียกได้ว่าประกาศอิสรภาพจากการเป็นเนื้อโกเบกันเลยทีเดียว)
สำหรับรสชาติของเนื้อโอมินั้น ต้องบอกเลยว่ามันนุ่มละลายยยย~แบบชัดกว่าวากิวตัวอื่นๆนะครับ เท่าที่ผู้เขียนสัมผัสมาเอง ใครได้มาเที่ยวชิกะต้องลองครับ!
- ร้านแนะนำ : Marutake Ohmi Nishikawa
2. ฟุนะซูชิ (Funazushi)
ฟุนะซูชิ (Funazushi) เป็นซูชิที่ทำขึ้นด้วยการนำวัตถุดิบหลักอย่างปลาฟุนะ (Funa / ปลาตะเพียน) มาผ่านกรรมวิธีการหมักในรูปแบบที่เรียกว่านาเระซูชิ (Narezushi) หรือการนำปลามาหมักกับเกลือและข้าวสวย โดยวิธีการหมักแบบนี้จะให้รสชาติที่เปรี้ยวแหลมและมีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ จนบางตำราถึงกับกล่าวว่าเมนูนี้เป็นต้นกำเนิดของซูชิเลยทีเดียว
หลายคนอาจจะสงสัยทำไมมันไม่เหมือนซูชิที่ฉันกินตามปกติเลย คืออย่างนี้ครับ ซูชิที่เรากินกันตามปกติเป็นซูชิที่ได้รับการพัฒนาในภายหลัง ซึ่งก็คือช่วงยุคเอโดะนั่นเอง
นอกจากนี้ ด้วยความที่ฟุนะซูชิมีความคล้ายคลึงกับปลาส้ม จึงมีการสันนิษฐานกันว่าความจริงแล้วซูชิดั้งเดิมก็อาจจะเป็นผลจากการรับเอาวัฒนธรรมปลาส้มของไทยมาในสมัยอยุธยาด้วย (อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานนะครับ)
3. คาโมะนาเบะ (Kamo Nabe)
คาโมะนาเบะ (Kamo Nabe) เป็นหม้อไฟเนื้อเป็ดหัวเขียวที่อพยพจากไซบีเรียมายังทะเลสาบบิวะในช่วงฤดูหนาว ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็น เนื้อของเป็ดเหล่านี้จึงมีไขมันเยอะและมีรสหวาน
เมื่อนำเนื้อเป็ดหัวเขียวมาต้มในหม้อไฟร่วมกับผักชนิดต่างๆและเต้าหู้ จึงเกิดเป็นเมนูท้องถิ่นคลายหนาวที่มีรสชาติกลมกล่อม แถมยังมีสารอาหารครบถ้วนอีกด้วย (ปัจจุบันคนชิกะจำกัดช่วงเวลาล่าเป็ดเอาไว้เฉพาะในเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคมนะครับ)
- ร้านแนะนำ : Shizukarou
4. โอมิจัมปง (Omi Champon)
โอมิจัมปง (Omi Champon) เป็นจัมปงสไตล์เฉพาะของจังหวัดชิกะ โดยความแตกต่างของโอมิจัมปงและนางาซากิจัมปงที่เห็นเด่นชัดเจนที่สุดคือทอปปิ้งไม่มีอาหารทะเลเลย (ชิกะเป็นหนึ่งในไม่กี่จังหวัดของญี่ปุ่นที่ไม่ติดทะเล)
แต่ถึงแม้ว่าจัมปงของชิกะจะไม่มีส่วนผสมของซีฟู้ด เมนูนี้ก็อร่อยไม่แพ้นางาซากิจัมปงเลยนะ ถ้าใครได้มาเที่ยวชิกะ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่อยากแนะนำให้ลองครับ
5. อิโตะคิริโมจิ (Itokiri Mochi)
อิโตะคิริโมจิ (Itokiri Mochi) เป็นขนมขึ้นชื่อของละแวกศาลเจ้าทากะ รูปลักษณ์ภายนอกอันเป็นเอกลักษณ์ของขนมชนิดนี้คือจะมีเพียงลายทางสีชมพูและสีฟ้า 3 ขีดเท่านั้น
ที่มาของลวดลายนี้มาจากสีของธงทหารมองโกล ซึ่งในอดีตฝ่ายมองโกลเคยพยายามบุกญี่ปุ่นในช่วงที่กุบไล ข่านครองอำนาจ (แต่บุกไม่สำเร็จและแตกพ่ายไป)
เหตุผลที่ขนมอิโตะคิริโมจิใช้สีของธงมองโกล เป็นเพราะว่าชาวบ้านในยุคนั้นได้ไหว้วานขอให้เทพเจ้าช่วยดลบันดาลให้มองโกลพ่ายแพ้ เมื่อฝ่ายมองโกลแตกพ่ายไปชาวบ้านจึงทำขนมถวายเทพเจ้า โดยทำเป็นสีธงมองโกลเพื่อฉลองชัยชนะนั่นเอง
มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!
รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!
ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ
แท็กยอดนิยม
แชร์บทความนี้
Klook.com
บทความแนะนำจังหวัดใน
ภูมิภาค
คันไซ

จังหวัด โอซาก้า

จังหวัด เกียวโต

จังหวัด เฮียวโกะ

จังหวัด นารา

จังหวัด มิเอะ

จังหวัด ชิกะ

จังหวัด วาคายามะ