fbpx

รวม 11 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดยามากุจิ’ ที่ต้องไปโดนสักครั้ง!

พ.ย. 04, 2021

บทนำ : ไปเที่ยวที่ ‘จังหวัดยามากุจิ’ กันเถอะ!

จังหวัดยามากุจิ

แม้ว่าในปัจจุบัน จังหวัดยามากุจิ (Yamaguchi Prefecture) จะไม่ใช่จังหวัดที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่นในแง่ของธุรกิจอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับโตเกียวหรือโอซาก้า แต่ในแง่ของการท่องเที่ยว จังหวัดนี้ก็มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว นั่นก็เพราะว่ายามากุจิเคยเป็นฐานที่มั่นของตระกูลโมริ หนึ่งในตระกูลซามูไรที่ทรงอำนาจในช่วงยุคเซนโกคุ ทำให้ยามากุจิถึงกับเคยได้รับฉายานามว่า “เกียวโตแห่งตะวันตก” (西の京都) หรือ “ไซเกียว” (西京 เมืองหลวงตะวันตก ตรงข้ามกับโตเกียว 東京 เมืองหลวงตะวันออก)

ด้วยเหตุนี้ จุดท่องเที่ยวหลายแห่งในจังหวัดยามากุจิจึงมีความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศญี่ปุ่น และด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากฮิโรชิม่าและฟุกุโอกะ (เดินทางโดยรถไฟใช้เวลาประมาณ 1-3 ชั่วโมง แล้วแต่จุดหมายปลายทาง) ยามากุจิจึงสามารถจัดรวมเป็นทริปร่วมกับสองจังหวัดนี้ได้ง่ายๆเลย

นอกจากนี้ในส่วนของอาหารการกินภายในจังหวัดนี้ ก็ต้องบอกเลยว่าตัวชูโรงคือ ‘ปลาปักเป้า’ ค่ะ เป็นอาหารขึ้นชื่อประจำจังหวัดที่ฟังดูแหวกแนวใช่ไหมล่ะทุกคน

หากทุกคนอยากลองมาทำความรู้จักกับ ‘จังหวัดยามากุจิ’ ดูบ้างแล้วล่ะก็ ตาม fromJapan มาเที่ยวกันได้เลย!

สารบัญ (Index)

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดยามากุจิ
    1. สะพานคินไทเคียว (Kintaikyo Bridge)
    2. ปราสาทอิวาคุนิ (Iwakuni Castle)
    3. ศาลเจ้าชิราซากิฮาจิมังกุ (Shirasaki Hachimangu)
    4. ศาลเจ้าโฮฟุเทนมังกุ (Hofu Tenmangu Shrine)
    5. วัดรูริโคจิ (Rurikoji Temple)
    6. เมืองชิโมโนเซกิ (Shimonoseki)
    7. เมืองฮากิ (Hagi Castle Town)
    8. อุทยานแห่งชาติอากิโยชิได (Akiyoshidai)
    9. สะพานสึโนะชิมะ (Tsunoshima Bridge)
    10. ศาลเจ้าโมโตโนสุมิ อินาริ (Motonosumi Inari)
    11. เซนโจจิกิ (Senjojiki)
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดยามากุจิ
    1. ปลาปักเป้า (Fugu)
    2. อิวาคุนิซูชิ (Iwakuni Sushi)
    3. ไก่โจชู (Choshu Chicken)
    4. เค็นรันกิว (Kenran Gyu)
    5. บาริโซบะ (Bari Soba)

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดยามากุจิ

1. สะพานคินไทเคียว (Kintaikyo Bridge)

สะพานคินไทเคียว (Kintaikyo Bridge) เป็นสะพานไม้ที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น สะพานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองอิวาคุนิ จังหวัดยามางุจิ มีลักษณะเป็นสะพานไม้ 5 โค้ง กว้าง 5 เมตร ความยาว 193.3 เมตร และสะพานแห่งนี้ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นด้วย

สำหรับจุดเด่นของสะพานคินไทเคียว นอกจากรูปร่างที่สวยงามแล้วก็ยังมีเรื่องของวิธีการสร้างสะพาน โดยสะพานแห่งนี้ถูกดัดให้โค้งด้วย ‘Makikin’ หรือ ‘สายรัดเหล็ก’ และมีการใช้เทคนิคการประกอบไม้แบบพิเศษที่มีชื่อว่า ‘คะซุไง’ ซึ่งเป็นเทคนิคการประกอบไม้ระดับสูง โดยช่างจะใช้ตะปู 2 ตัวในการยึดส่วนปลายให้ติดกัน และตะปูที่ใช้ก็จะเป็นตะปูปลายแหลม 2 ด้านรูปตัว U สำหรับตอกเชื่อมไม้สองชั้น

ด้วยเทคนิคการสร้างสะพานดังที่กล่าวมานี้ ยิ่งสะพานได้รับแรงกดทับจากด้านบนมากเท่าใด สะพานก็จะยิ่งมีความแข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น

เกี่ยวกับความเป็นมาของสะพานแห่งนี้ เดิมทีมันถูกสร้างขึ้นเพื่อทดแทนสะพานเก่าที่ทนกระแสน้ำของแม่น้ำนิชิกิไม่ไหว จึงมีการออกแบบรูปทรงสะพานที่มีความคงทนและเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ขึ้น โดยผู้ที่สร้างก็คือ ‘คิกคาว่า ฮิโรโยชิ’ ไดเมียวของอาณาจักรอิวาคุนิในยุคนั้น

สะพานคินไทเคียวสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1673 แล้วสะพานก็คงอยู่มาได้เรื่อยมา แต่ในที่สุดในปี 1950 เมืองอิวาคุนิก็ถูกพายุไต้ฝุ่นพัดทำลายลง ซึ่งในขณะนั้นญี่ปุ่นเพิ่งจะแพ้สงครามโลกครั้งที่สองมาได้ไม่นาน สะพานจึงถูกทิ้งไว้ในสภาพปรักหักพัง แต่ในที่สุดก็มีการรวบรวมเงินบริจาคของชาวเมืองเพื่อสร้างสะพานขึ้นใหม่อีกครั้งในปี 1953

ในช่วงกลางคืนจะมีการเปิดไฟประดับในบริเวณรอบๆสะพานด้วย ถ่ายรูปได้เพลินๆเลย วิวสวยมาก!

เมื่อเดินข้ามสะพานไปยังฝั่งปราสาท จะมีกิมมิคให้เราได้ไปเยี่ยมชมกันด้วยนะ

อย่างตรงนี้คือรูปปั้นของ ซาซากิ โคจิโร่ ซามูไรผู้เป็นคู่ปรับคนสุดท้ายของซามูไรผู้ยิ่งใหญ่อย่างมิยาโมโตะ มุซาชิ (ไม่ใช่มุซาชิ โคจิโร่ในโปเกมอนนะ คนละคนกัน!)

สั้นๆเกี่ยวกับซาซากิ โคจิโร่คือเขาเป็นยอดฝีมือดาบโนดาชิ และใช้ “ดาบโมโนโฮชิซาโอะ” (Monohoshizao) ซึ่งแปลว่าราวตากผ้า เป็นอาวุธคู่ใจ แต่ในที่สุดโคจิโร่ก็พ่ายแพ้มุซาชิและจบชีวิตลงในการดวลครั้งนั้น

ที่มา : https://www.suruga-ya.jp

อันนี้อาจจะพอคุ้นกันอยู่บ้าง สำหรับการ์ตูนเรื่องไยบะ ซึ่งผู้เขียนก็คือโกโช อาโอยาม่า (คนเดียวกับที่เขียนการ์ตูนเด็กแว่นมรณะ ‘ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน’) ซึ่งโคจิโร่เป็นหนึ่งในตัวละครหลักของการ์ตูนเรื่องนี้นั่นเอง

ข้อมูลเกี่ยวกับสะพานคินไทเคียว (Kintaikyo Bridge)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานีรถไฟ Hiroshima ให้ขึ้นรถไฟสาย Sanyo ไปลงที่สถานี Iwakuni (ใช้เวลา 50 นาที ค่าโดยสาร 770 เยน ใช้ JR PASS ได้) แล้วนั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Kintaikyo (ใช้เวลา 20 นาที ค่าโดยสาร 300 เยน) แล้วเดินต่ออีก 3 นาที
  • สำหรับผู้ที่ต้องการนั่งรถไฟชินคันเซ็น ให้ขึ้นรถไฟแบบ Kodama ไปลงที่สถานี Shin Iwakuni (ใช้เวลา 15 นาที ค่าโดยสาร 1,640 เยน สำหรับตั๋วไม่จองที่นั่ง 3,000 เยน สำหรับตั๋วจองที่นั่ง ใช้ JR PASS ได้) แล้วนั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Kintaikyo (ใช้เวลา 15 นาที ค่าโดยสาร 350 เยน)  แล้วเดินต่ออีก 3 นาที
ที่อยู่
  • Kintaikyo Bridge, Iwakuni, Iwakuni City, Yamaguchi Prefecture 741-0062
เบอร์ติดต่อ
  • 0827-29-5107
วันและเวลาทำการ
  • สะพานเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
  • ค่าเดินข้ามสะพาน (ไป-กลับ) : 310 เยน (ไปกลับ)
  • รวมค่าเข้าปราสาทอิวะคุนิและค่าขึ้น Ropeway ไปยังปราสาท : 970 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

2. ปราสาทอิวาคุนิ (Iwakuni Castle)

ปราสาทอิวาคุนิ (Iwakuni Castle) สร้างขึ้นโดยคิกคาวะ ฮิโรอิเอะ ไดเมียวของอาณาจักรอิวาคุนิในยุคนั้น ปราสาทแห่งนี้สร้างเสร็จเมื่อปี 1608 แต่หลังจากสร้างได้ไม่นานก็มีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาาอิกโคคุ อิจิโจ ซึ่งเป็นการจำกัดจำนวนปราสาทในยุคเอโดะ (วัตถุประสงค์คือเพื่อป้องกันการแข็งข้อของเจ้าเมืองท้องถิ่นต่อโชกุน) ปราสาทอิวาคุนิจึงถูกทำลายลงในปี 1615

สำหรับปราสาทอิวาคุนิในปัจจุบันก็จะเป็นเวอร์ชั่นที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี 1962 โดยมีจุดเด่นคือเป็นการสร้างแบบ ‘นัมบังสึคุริ สไตล์โมโมยามะ’ คือเป็นรูปแบบการสร้างชั้นบนสุดให้ใหญ่กว่าชั้นล่าง โดยไม่สร้างหลังคาระหว่างรอยต่อของชั้นบนสุดและชั้นรองบนสุด

ภายในปราสาทมีการจัดแสดงดาบซามูไรด้วย (แต่ไม่มีดาบของยอดซามูไร ‘ซาซากิ โคจิโร่’ นะครับ)

ที่ชั้นบนสุดของปราสาท เราสามารถชมความสวยงามของวิวเมืองอิวาคุนิและสะพานคินไทเคียวได้

ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทอิวาคุนิ (Iwakuni Castle)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานี Hiroshima ขึ้นรถไฟสาย Sanyo ไปลงที่สถานี Iwakuni (ใช้เวลา 50 นาที ค่าโดยสาร 770 เยน ใช้ JR PASS ได้) แล้วนั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Kintaikyo (ใช้เวลา 20 นาที ค่าโดยสาร 300 เยน) จากนั้นเดินต่ออีก 10 นาทีเพื่อไปขึ้น Ropeway (ใช้เวลา 3 นาที) แล้วเดินต่ออีก 7 นาที
  • สำหรับผู้ที่อยากนั่งรถไฟชินคันเซ็น ให้ขึ้นรถไฟแบบ Kodama ไปลงที่สถานี Shin Iwakuni (ใช้เวลา 15 นาที ค่าโดยสาร 1,640 เยนสำหรับตั๋วไม่จองที่นั่ง หรือ 3,000 เยนสำหรับตั๋วจองที่นั่ง ใช้ JR PASS ได้) แล้วนั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Kintaikyo (ใช้เวลา 15 นาที ค่าโดยสาร 350 เยน)  แล้วเดินอีก 10 นาทีเพื่อไปขึ้น Ropeway (ใช้เวลา 3 นาที) แล้วเดินอีก 7 นาที
ที่อยู่
  • Iwakuni Castle, 3-chome Yokoyama, Iwakuni-shi, Yamaguchi 741-0081
เบอร์ติดต่อ
  • 0827-41-1477
วันและเวลาทำการ
  • ปราสาทเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9.00 – 16.45 น.
ค่าเข้าชม
  • เฉพาะค่าเดินข้ามปราสาท (ไปกลับ) : 270 เยน
  • รวมค่าข้ามสะพาน ค่าเข้าปราสาท และค่า Ropeway ขึ้นไปยังปราสาท : 970 เยน
  • เฉพาะค่า Ropeway (ไปกลับ) : 560 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

3. ศาลเจ้าชิราซากิฮาจิมังกุ (Shirasaki Hachimangu)

ที่มา : https://static.omairi.club

ศาลเจ้าชิราซากิฮาจิมังกุ (Shirasaki Hachimangu) สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี 1250 ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าสายเทพสงครามฮาจิมัง ซึ่งเป็นเทพชื่อดังของจังหวัดยามากุจิ (อ่านเรื่องของเทพฮาจิมังเพิ่มเติมได้ที่บทความนี้ >> เที่ยวเมืองคามาคุระ ชมศาลเจ้าและวัดสำคัญๆกันอย่างจุใจ!) โดยภายในอาคารศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่เก็บรักษาดาบทาจิซึ่งได้รับตำแหน่งสมบัติแห่งชาติของญี่ปุ่นเอาไว้

ที่มา : https://static.blog-video.jp

ที่มา : https://stat.ameba.jp

เมื่อช่วงต้นปี 2019 ศาลเจ้าชิราซากิฮาจิมังกุโด่งดังเป็นพลุแตกในญี่ปุ่นเนื่องจาก นาโอมิ โอซากะ นักเทนนิสมือหนึ่งของญี่ปุ่นห้อยเครื่องรางของที่นี่ไปแข่งเทนนิสในการแข่งขันเทนนิสออสเตรเลียนโอเพน แล้วเธอก็ชนะซะด้วย! ตั้งแต่นั้นมาศาลเจ้าชิราซากิฮาจิมังกุจึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะผู้ที่อยากจะลงแข่งขันหรือสมัครงานต่างๆ

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าชิราซากิฮาจิมังกุ (Shirasaki Hachimangu)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานีรถไฟ Hiroshima ขึ้นรถไฟสาย Sanyo ไปลงที่สถานี Iwakuni (ใช้เวลา 50 นาที ค่าโดยสาร 770 เยน / ใช้ JR PASS ได้) แล้วนั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Hachiman (ใช้เวลา 6 นาที ) แล้วเดินต่อไปยังศาลเจ้าโดยใช้เวลาอีก 3 นาที
ที่อยู่
  • Shirasaki Hachimangu , 6-12-23 Imazu, Iwakuni City, Yamaguchi Prefecture 740-0017
เบอร์ติดต่อ
  • 082-729-1122
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้เข้าสักการะทุกวัน เวลา 9.00 – 17.00 น.
ค่าเข้าชม
  • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

4. ศาลเจ้าโฮฟุเทนมังกุ (Hofu Tenmangu Shrine)

ศาลเจ้าโฮฟุเทนมังกุ (Hofu Tenmangu Shrine) สร้างขึ้นในปี 904 ที่นี่เป็นศาลเจ้าสายเทนมังกุ (Tenmangu) แห่งแรกของประเทศญี่ปุ่นที่สักการะบูชา สึกาวาระ โนะ มิจิซาเนะ (Sugawara no Michizane) นักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงในช่วง ค.ศ. 800 – 900 ซึ่งเมื่อสิ้นชีพไปก็ได้รับการเคารพนับถือในฐานะของ ‘เทพแห่งการเรียนรู้’

ทั้งนี้ ศาลเจ้าโฮฟุเทนมังกุได้รับการขนานนามว่า San Tenjin หรือ หนึ่งในสามศาลเจ้าเท็นจินใหญ่ของญี่ปุ่น ร่วมกับศาลเจ้าคิตาโนะเทนมังกุ จ. เกียวโต และศาลเจ้าดาไซฟุเทนมังกุ จ. ฟุกุโอกะ ทั้งนี้ ‘ศาลเจ้าสายเท็นจิน’ จะโดดเด่นเรื่องการขอพรเกี่ยวกับการศึกษา การเรียน หรือการสอบแข่งขัน

เหตุผลที่สร้างศาลเจ้าตรงนี้เพราะในช่วงบั้นปลายชีวิตของมิจิซาเนะ ท่านถูกใส่ร้ายป้ายสีโดยคู่แข่งในราชสำนักจนถูกเนรเทศไปอยู่ที่ฟุกุโอกะ โดยในระหว่างที่รอผลการไต่สวนอย่างเป็นทางการ มิจิซาเนะได้ไปพำนักอยู่ที่เมืองโฮฟุในปี 901 จนในที่สุดท่านก็ถึงแก่กรรมที่ดาไซฟุในปี 903

หลังจากนั้นก็เกิดเภทภัยต่างๆขึ้นในเกียวโต ซึ่งเชื่อกันว่าเกิดจากวิญญาณแค้นของมิจิซาเนะ หลังจากนั้นจึงได้มีการสร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อให้แรงแค้นสงบลง

ทั้งนี้ที่เมืองไดฟุจะมีบทกวีบทหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับสึกาวาระ โนะ มิจิซาเนะ โดยเป็นบทกวีของ ‘ทากาสึงิ ชินซากุ’ ซามูไรชาวแคว้นโจชู ซึ่งได้ประพันธ์บทกวีขึ้นมาในวาระสุดท้ายของชีวิตเพื่อกล่าวเทิดทูนมิจิซาเนะ

เมื่อพูดถึงศาลเจ้าสายเทนจินแล้ว สิ่งหนึ่งที่ดังแน่นอนก็คือดอกบ๊วย เพราะดอกบ๊วยที่ศาลเจ้าสายนี้จะบานสวยมากๆในช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี

ที่มา : https://www.oidemase.or.jp

อีกหนึ่งความสวยงามที่จะไม่เอ่ยถึงไม่ได้ก็คือ ใบไม้แดงในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเข้ากับบรรยากาศแบบญี่ปุ่นของศาลเจ้าเป็นที่สุด

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าโฮฟุเทนมังกุ (Hofu Tenmangu Shrine)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานีรถไฟ Hiroshima ขึ้นรถไฟสาย Sanyo ไปลงที่สถานี Iwakuni จากนั้นต่อรถไฟสาย Sanyo ไปลงที่สถานี Hofu (ใช้เวลา 160 นาที ค่าโดยสาร 1,980 เยน)
  • สำหรับผู้ที่อยากนั่งรถไฟชินคันเซ็น ให้ขึ้นรถไฟแบบ Kodama ไปลงที่สถานี Shin-Yamaguchi แล้วนั่งรถไฟสาย Sanyo ไปลงที่สถานี Hofu (ใช้เวลา 60 นาที ค่าโดยสาร 5,900 เยน) แล้วนั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Hofu Tenmangu (ใช้เวลา 5 นาที) แล้วเดินต่ออีก 3 นาที
ที่อยู่
  • Hofu Tenmangu , 14-1 Matsuzakicho, Hofu, Yamaguchi Prefecture 747-0029 Japan
เบอร์ติดต่อ
  • 075-204-5543
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้เข้าสักการะทุกวัน เวลา 6.00 – 20.00 น.
ค่าเข้าชม
  • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

5. วัดรูริโคจิ (Rurikoji Temple)

วัดรูริโคจิ (Rurikoji Temple) เป็นวัดที่สร้างขึ้นในปี 1399 ซึ่งขอบอกเลยว่าถ้ามาจังหวัดยามากุจิแล้วไม่มาเยือนวัดนี้ ก็เหมือนมาไม่ถึงยามากุจิเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นที่รู้จักกันดีว่าวัดรูริโคจินั้นมีสมบัติของชาติอย่าง ‘เจดีย์ห้าชั้น’ ตั้งอยู่ภายในวัด แถมเจดีย์ที่ว่านี้ก็ยังติดอันดับ 1 ใน 3 เจดีย์ที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ร่วมกันกับเจดีย์ของวัดโฮริวจิ จ. นารา และวัดไดโกจิ จ. เกียวโตอีกด้วย

นอกจากนี้ วัดรูริโคจิก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่จัดแสดงโมเดลของเจดีย์ห้าชั้น รวมถึงมีการรวบรวมแบบจำลองของเจดีย์อื่นๆอีก 50 แห่งทั่วญี่ปุ่นมาจัดแสดงที่นี่ ทำให้นักท่องเที่ยวที่มีเวลาจำกัดไม่ต้องไปดูเจดีย์หลายๆที่ก็ได้ แค่มาวัดนี้วัดเดียวก็ดูได้ครบแล้ว

ส่วนในด้านประวัติศาสตร์นั้น วัดรูริโคจิมีพื้นที่ซึ่งเป็นสุสานฝังศพของสมาชิกบางส่วนของตระกูลโมริ ซึ่งเป็นตระกูลซามูไรที่ปกครองพื้นที่ละแวกนี้ในอดีต เนื่องจากวัดแห่งนี้เคยเป็นสถานที่นัดรวมตัวกันแบบลับๆของกลุ่มซามูไรที่หมายมั่นจะโค่นล้มรัฐบาลโชกุนและนำไปสู่การปฏิวัติยุคเมจิที่นำโดยไซโก ทากาโมริ (Saigo Takamori) อีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดรูริโคจิ (Rurikoji Temple)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานีรถไฟ Hiroshima ขึ้นรถไฟชินคันเซ็นไปลงที่สถานี Shin-Yamaguchi แล้วนั่งรถไฟสาย Yamaguchi ไปลงที่สถานี Yamaguchi (ใช้เวลา 65 นาที ค่าโดยสาร 5,900 เยน) แล้วนั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Kenchomae (ใช้เวลา 5 นาที ค่าโดยสาร 170 เยน) แล้วเดินต่ออีก 10 นาที
ที่อยู่
  • Rurikoji Temple, 7-1 Kozancho, Yamaguchi, 753-0081 Japan
เบอร์ติดต่อ
  • 083-934-2810
วันและเวลาทำการ
  • วัดเปิดให้เข้าสักการะทุกวัน ตลอดเวลา
  • พิพิธภัณฑ์เปิดทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
  • วัด : ไม่มีค่าเข้าชม
  • พิพิธภัณฑ์ : มีค่าเข้าชม 200 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

6. เมืองชิโมโนเซกิ (Shimonoseki)

เมืองชิโมโนเซกิ (Shimonoseki) เป็นเมืองทางใต้สุดของเกาะฮอนชู ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับเมืองคิตะคิวชู จังหวัดฟุกุโอกะ เมืองชิโมโนเซกิเป็นเมืองที่มีวิวสวยงามและประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจหลายอย่าง

จุดเด่นที่สุดของเมืองชิโมโนเซกิเห็นจะเป็น สะพานคันมง (Kanmon Bridge) สะพานแขวนที่มีความยาว 1,068 เมตร และเป็นสัญลักษณ์ของช่องแคบคันมงซึ่งเชื่อมเมืองชิโมโนเซกิกับเมืองคิตะคิวชูเข้าด้วยกัน สะพานคันมงเปิดเส้นทางมาตั้งแต่ปี  1973 และเป็นหนึ่งในสะพานแขวนที่ยาวที่สุดของญี่ปุ่น โดยจุดชมวิวสะพานที่สวยที่สุดจะอยู่ที่ภูเขาฮิโนะมายะ (Mt. Hinoyama)

yu_photo / Shutterstock

จากตอนต้นที่เราพูดถึงเมืองชิโมโนเซกิว่าที่นี่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์มากมาย เรื่องหนึ่งที่สำคัญมากๆก็คือเมืองแห่งนี้เคยเป็นสมรภูมิสำคัญใน สงครามเก็มเป (Genpei kassen) หรือสงครามระหว่างตระกูลมินาโมโตะและตระกูลไทระ สองตระกูลซามูไรที่ห้ำหั่นกันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในการปกครองญี่ปุ่น โดยการรบครั้งนั้นมีชื่อว่า ยุทธนาวีแห่งดันโนะอุระ (Dan-no-ura no tatakai)

‘ยุทธนาวีแห่งดันโนะอุระ’ เป็นศึกสงครามระหว่าง มินาโมโตะ โยชิสึเนะ (Minamoto Yoshitsune) ซามูไรที่มีกองทัพเรืออยู่ 800 ลำ และผู้นำตระกูลไทระอย่าง ไทระ มูเนโมริ (Taira Munemori) ซึ่งครอบครองกองทัพเรือ 500 ลำ ฝ่ายไทระคุ้นเคยกับกระแสน้ำและพื้นที่สมรภูมิมากกว่าโยชิสึเนะ ดังนั้นในตอนแรกไทระจึงสามารถล้อมกองเรือมินาโมโตะที่ใหญ่กว่าและกดดันด้วยการยิงธนูจากระยะไกลได้ แต่ต่อมาเมื่อเรือของฝ่ายมินาโมโตะเข้ามาในระยะใกล้ได้ การต่อสู้แบบประชิดตัวจึงเกิดขึ้น

ฝ่ายซามูไร (ฝ่ายของโยชิสึเนะ) ได้กระโจนขึ้นเรือของฝ่ายตรงกันข้ามและต่อสู้ด้วยดาบซามูไร ในขณะที่การต่อสู้ดำเนินไป กระแสน้ำที่แปรเปลี่ยนก็ได้พัดพาให้เรือไทระพุ่งขึ้นสู่แนวชายฝั่งที่เต็มไปด้วยโขดหิน จนในที่สุดกองทัพฝ่ายไทระจึงเลือกที่จะกระโดดลงทะเลเพื่อให้จมน้ำตาย เพราะนั่นก็ยังดีกว่าการต้องถูกฝ่ายมินาโมโตะสังหาร ซึ่งหนึ่งในคนที่ต้องกระโดดลงน้ำก็รวมไปถึง จักรพรรดิอันโตกุ ที่มีพระชนมายุเพียง 7 พรรษาด้วย

ดังนั้น ที่บริเวณใกล้ๆสะพานคันมงจึงมีการสร้างรูปปั้นซามูไรขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์นี้ (จริงๆแล้วที่ตรงนี้ยังมีตำนานอีกเรื่องหนึ่งด้วย นั่นคือเรื่องที่ ‘ดาบคุซานางิ’ หนึ่งในสามราชสมบัติประจำราชวงศ์ยามาโตะจมหายไปในทะเลตรงนี้ แต่ต่อมาดาบก็ถูกซัดกลับเข้าฝั่ง)

ต่อมาในปี 1863 หลังจากที่อเมริกาบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศเพื่อทำการค้าขาย กลุ่มไดเมียวในพื้นที่ซึ่งเกิดความรู้สึกไม่พอใจก็ได้ทำการโจมตีชาวต่างชาติ เพื่อหวังจะขับไล่กลุ่มคนที่พวกเขามองว่าเป็นคนป่าเถื่อนออกไปจากญี่ปุ่น แต่สุดท้ายแล้วกลุ่มไดเมียวก็ขับไล่คนต่างชาติไม่สำเร็จและพ่ายแพ้ไป

การรบนี้ทำให้รัฐบาลโชกุนต้องเสียหน้าอย่างหนัก แถมยังต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นจำนวนมาก ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลให้เกิดการปฏิรูปเมจิ (The Meiji oligarchy) โดยเป็นการคืนอำนาจให้พระจักรพรรดิและล้มล้างรัฐบาลโชกุนในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ ปืนใหญ่ที่เห็นในภาพด้านบนก็เป็นส่วนหนึ่งของอาวุธที่ใช้ในช่วงเวลานั้น

yu_photo / Shutterstock

เกาะกันริว (Ganryu-jima) เป็นเกาะเล็กๆของเมืองชิโมโนเซกิ ซึ่งเป็นสถานที่ดวลกันระหว่างสองยอดซามูไรในตำนาน มิยาโมโตะ มูซาชิ (Miyamoto Musashi) และ ซาซากิ โคจิโร่ (Sasaki Kojiro)

ตามตำนานเล่าว่ามูซาชิมาสายกว่าเวลานัดดวลประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อยั่วโมโหโคจิโร่ ทำให้โคจิโร่ที่เดือดดาลจากการรอคอยชักดาบออกมาแล้วทิ้งฝักดาบลงไปในทะเล มูซาชิเห็นดังนั้นก็ยิ่งยั่วโมโหเพิ่มขึ้นอีกด้วยการบอกว่า “เจ้าแพ้แล้ว ถ้าคิดว่าจะชนะ ทำไมถึงโยนฝักดาบที่เป็นเหมือนชีวิตของซามูไรทิ้งไปล่ะ”

การดวลครั้งนี้ใช้เวลาเพียงไม่นาน เพราะมูซาชิได้ใช้ดาบไม้ที่เขาเหลาเตรียมมาจนมันมีความยาวกว่าดาบยาวของโคจิโร่ฟาดเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ทำให้โคจิโร่ตายในดาบเดียว (วิชาดาบของโคจิโร่จะเน้นความเร็วกับระยะของดาบยาว ก่อนหน้านี้เขาเลยชนะการดวลมาตลอด เพราะดาบของเขายาวกว่าคนอื่น)

ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองชิโมโนเซกิ (Shimonoseki)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานีรถไฟ Hakata ให้ขึ้นรถไฟชินคันเซ็นไปลงที่สถานี Kokura จากนั้นต่อรถไฟสาย Kagoshima ไปลงที่สถานี Shimonoseki (ใช้เวลา 40 นาที ค่าโดยสาร 3,870 เยน)
    • Mimosusogawa Park (จุดที่มีรูปปั้นซามูไรกับปืนใหญ่) : เดินทางไปได้โดยนั่งรถบัสสาย 24 ไปลงที่ป้าย Mimosusogawa (ใช้เวลา 12 นาที ค่าโดยสาร 260 เยน)
    • Hinoyama Park : จากป้าย Mimosusogawa ให้เดินไปที่สถานี Hinoyama Ropeway Dannoura Station (Ropeway ไปจุดชมวิว) โดยใช้เวลา 6 นาที แล้วขึ้นพระเช้า Ropeway (ใช้เวลา 4 นาที ค่าโดยสาร 310 เยน)
    • Ganryujima : จากสถานี Shimonoseki ให้นั่งรถบัสสาย 35 ไปลงที่ป้าย Sambyakume แล้วเดินต่ออีก 5 นาทีไปยังท่าเรือ จากนั้นให้ขึ้นเรือข้ามฟากไปที่เกาะ (ใช้เวลา 10 นาที ค่าเรือประมาณ 400 เยน)
ที่อยู่
  • Mimosusogawa Park
    • 1-1 Mimosusogawacho, Shimonoseki, Yamaguchi 751-0813 Japan
  • Hinoyama Park
    • Mimosusogawacho , Shimonoseki, Yamaguchi  751-0813
  • Ganryujima
    • Funashima, Hikoshima, Shimonoseki City, Yamaguchi 750-0067
วันและเวลาทำการ
  • Mimosusogawa Park
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
  • Hinoyama Park
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
  • Ganryujima
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
  • Mimosusogawa Park
    • ไม่มีค่าเข้าชม
  • Hinoyama Park
    • ค่าพระเช้า Ropeway ไป-กลับ : ผู้ใหญ่ 520 เยน / เด็ก 260 เยน
  • Ganryujima
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

7. เมืองฮากิ (Hagi Castle Town)

เมืองฮากิ (Hagi Castle Town) เคยเป็นเมืองสำคัญที่สุดของตระกูลโมริ ซึ่งเป็นตระกูลซามูไรที่ทรงอิทธิพลที่สุดในละแวกยามากุจิ (สมัยก่อนรู้จักกันในชื่อ ‘แคว้นโชชู’) และปกครองดินแดนแห่งนี้มานานกว่า 250 ปี โดยตระกูลโมริมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำแห่งยุคปฏิวัติเมจิ

เนื่องจากเมืองฮากิรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งสำคัญมาตั้งแต่สมัยเอโดะ บ้านเก่าของซามูไรและร้านค้าต่างๆในเมืองนี้จึงยังคงอยู่ในสภาพดี ปัจจุบันที่นี่จึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดยามากุจิ โดยบ้านซามูไรหลายหลังก็เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ด้วย

ที่มา : https://www.japan-guide.com

ถ้าใครสนใจอยากหาความรู้เพิ่มเติม เราขอแนะนำให้ลองแวะไปที่โรงเรียน Meirinkan แต่เดิมที่นี่เป็นโรงเรียนซึ่งมีขึ้นเพื่อให้การศึกษาแก่คนในตระกูลโมริโดยเฉพาะ ซึ่งต่อมาโรงเรียนแห่งนี้ก็ได้กลายมาเป็นโรงเรียนสำหรับคนทั่วไป และเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี 2014 โดยภายในมีการจัดแสดงประวัติศาสตร์ของช่วงปลายยุคโชกุน ซึ่งจะเน้นถึงเรื่องบทบาทของตระกูลโมริในการโค่นล้มรัฐบาลโชกุน รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆในยุคนั้น

ที่มา : https://lh3.googleusercontent.com

ที่มา : https://www.hum.pref.yamaguchi.lg.jp

สิ่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อของเมืองฮากิคือเครื่องปั้นดินเผาฮากิยากิ (Hagiyaki Pottery) ซึ่งเป็นเครื่องปั้นดินเผาที่โด่งดังเป็นอันดับต้นๆของญี่ปุ่น คนที่ชอบเครื่องปั้นดินเผาสามารถลองมาชมได้ที่พิพิธภัณฑ์ฮากิอุรากามิ (Hagi Uragami Museum) ซึ่งนอกจากจะมีเครื่องปั้นดินเผาให้ชมแล้ว ที่นี่ก็ยังจัดแสดงภาพพิมพ์ Ukiyo-e ด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองฮากิ (Hagi Castle Town)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานี Yamaguchi ขึ้นรถบัส Chugoku JR Bus (ใช้เวลา 60 – 80 นาที ค่าโดยสาร 1,800 เยน) หรือจากสถานี Shin-Yamaguchi ขึ้นรถบัส Super Hagi (ใช้เวลา 60 – 70 นาที ค่าโดยสาร 1,600 เยน) แล้วลงที่สถานี Hagi (ใช้ JR Pass ได้) จากนั้นนั่งรถบัส Maru (ค่าโดยสาร 100 เยน มีตั๋ววัน 500 เยน) เพื่อไปลงตามจุดต่างๆ
ที่อยู่
  • Hagi Castle Town
    • 1 Chome, Gofukumachi Hagi, Yamaguchi 758-0072 Japan
    • เบอร์ติดต่อ : 083-825-1750
  • Meirinkan
    • 3 Ku-602 Emukai, Hagi, Yamaguchi 758-0041
    • เบอร์ติดต่อ : 083-825-1750
  • Hagi Uragami Museum
    • 586-1, Hiyako-machi, Hagi-shi, Yamaguchi 758-0074
    • เบอร์ติดต่อ : 083-824-2400
วันและเวลาทำการ
  • Hagi Castle Town
    • เข้าชมเมืองได้ทุกวัน ตลอดเวลา
  • Meirinkan
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น.
  • Hagi Uragami Museum
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น.
    • หยุดทุกวันจันทร์และช่วงวันปีใหม่
ค่าเข้าชม
  • Hagi Castle Town
    • ไม่มีค่าชมเมือง
  • Meirinkan
    • ค่าเข้าชม : 300 เยน
  • Hagi Uragami Museum
    • ค่าเข้าชม : 300 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

8. อุทยานแห่งชาติอากิโยชิได (Akiyoshidai)

อุทยานแห่งชาติอากิโยชิได (Akiyoshidai) เป็นอุทยานแห่งชาติที่โดดเด่นด้วยลักษณะภูมิประเทศแบบ ‘คาสต์’ ซึ่งหมายถึงภูมิประเทศที่เป็นหินปูน แต่โดนน้ำฝนชะล้างจนละลายกลายเป็นหินตะปุ่มตะป่ำไปในที่สุด อุทยานแห่งนี้จึงมีลักษณะเป็นที่ราบสูงซึ่งเต็มไปด้วยหินรูปทรงแปลกตา ทั้งนี้ วิวทิวทัศน์ของอุทยานแห่งชาติอากิโยชิไดจะสวยเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

จุดเด่นที่สุดของอุทยานแห่งชาติอากิโยชิไดเห็นจะเป็น ถ้ำอากิโยชิได (Akiyoshido Cave) ถ้ำหินย้อยที่มีความเป็นมายาวนานกว่า 300 ล้านปี ถ้ำแห่งนี้มีความยาวประมาณ 10 กิโลเมตร แต่เดิมเคยเป็นแนวปะการังในมหาสมุทร ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กหลายล้านประเภทที่เกิดและตายอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้น 300 ล้านปีต่อมาปะการังก็ค่อยๆแปรสภาพกลายมาเป็นหินปูน และหินปูนที่ละลายน้ำได้ก็ถูกกำจัดออกไป จนเหลือเพียงหินปูนที่อยู่ภายในถ้ำในที่สุด

ข้อมูลเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติอากิโยชิได (Akiyoshidai)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานีรถไฟ Yamaguchi ขึ้นรถบัส Chugoku JR Bus (ช้เวลา 60 นาที ค่าโดยสาร 1,240 เยน) หรือจากสถานี Shin-Yamaguchi ให้ขึ้นรถบัส Super Hagi (ใช้เวลา 45 นาที ค่าโดยสาร 1,170 เยน ) ไปลงที่สถานี Akiyoshido (ใช้ JR Pass ได้)
ที่อยู่
  • Akiyoshidai Quasi-National Park
    • Mine, Yamaguchi 754-0602 Japan
    • เบอร์ติดต่อ : 083-762-0305
  • Akiyoshido Cave
    • 3506-2 Shuhocho Akiyoshi, Mine, Yamaguchi 754-0511
    • เบอร์ติดต่อ : 083-762-0305
วันและเวลาทำการ
  • Akiyoshidai Quasi-National Park
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
  • Akiyoshido Cave
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8:30 – 18:30 (เข้าได้ถึงเวลา 17:30 น. ในเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์)
ค่าเข้าชม
  • Akiyoshidai Quasi-National Park
    • ไม่มีค่าเข้าชม
  • Akiyoshido Cave
    • ค่าเข้าชม 1,300 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

9. สะพานสึโนะชิมะ (Tsunoshima Bridge)

สะพานสึโนะชิมะ (Tsunoshima Bridge) เป็นสะพานที่มีความยาว 1,780 เมตร โดยเชื่อมระหว่างเกาะสึโนะชิมะและเกาะฮอนชูซึ่งเป็นแผ่นดินหลัก โดยต้นสะพานอยู่ที่บริเวณเมืองชิโมโนเซกิ จังหวัดยามากุจิ

สะพานแห่งนี้เป็นหนึ่งในถนนที่ทอดยาวที่สุดของญี่ปุ่น ด้วยรูปทรงเพรียวยาวที่พาดผ่านทะเลสีฟ้าใสและหาดทรายขาวอันสวยสะดุดตา นับตั้งแต่เปิดเส้นทางการคมนาคมเมื่อปี 2000 ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในการถ่ายทำภาพยนตร์ ละครทีวี ไปจนถึงโฆษณา

นอกจากนี้ สะพานสึโนะชิมะยังถูกพูดถึงในหนังสือ Places To Go Before You Die หนังสือขายดีของญี่ปุ่นประจำปี 2013 อีกด้วย สะพานแห่งนี้จึงกลายเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยม โดยจุดชมวิวที่สวยที่สุดก็ตามภาพเลยครับ

ข้อมูลเกี่ยวกับสะพานสึโนชิมะ (Tsunoshima Bridge)

 วิธีเดินทาง
  • จากสถานีรถไฟ Hakata ขึ้นรถไฟชินคันเซ็นไปลงที่สถานี Kokura จากนั้นต่อรถไฟสาย Kagoshima ไปลงที่สถานี Shimonoseki แล้วต่อรถไฟสาย Sanin ไปลงที่สถานี Agawa (ใช้เวลาเดินทางรวมทั้งหมด 2 ชั่วโมง 10 นาที ค่าโดยสาร 4,840 เยน) จากนั้นนั่งรถแท็กซี่ไปอีก 10 นาทีก็จะถึงสะพาน
ที่อยู่
  • Tsunoshima Observatory (จุดชมวิวสะพาน), Hohokucho Oaza Kanda, Shimonoseki, Yamaguchi 759-5331 Japan
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
  • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

10. ศาลเจ้าโมโตโนสุมิ อินาริ (Motonosumi Inari)

ถ้าพูดถึงศาลเจ้าสายอินาริแล้ว จุดเด่นก็คงหนีไม่พ้นประตูโทริอิสีแดงที่ตั้งเรียงกันเป็นแถวยาว ซึ่งศาลเจ้าสายอินาริที่โด่งดังที่สุดในญี่ปุ่นก็คือศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ จังหวัดเกียวโต แต่ว่าที่จังหวัดยามากุจิเองก็มีศาลเจ้าอินาริชื่อดังเช่นกัน นั่นก็คือ ศาลเจ้าโมโตโนสุมิ อินาริ (Motonosumi Inari)

ศาลเจ้าโมโตโนสึมิ อินาริ ถูกสร้างขึ้นในปี 1955 โดยชาวประมงที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ หลังจากที่ชาวประมงฝันเห็นจิ้งจอกสีขาวที่เป็นสัตว์รับใช้ของเทพอินาริ เขาจึงสร้างศาลเจ้าขึ้นตรงจุดที่ตนออกเรือไปจับปลาเป็นประจำ

ความสวยงามของที่นี่นั้นขึ้นชื่อสุดๆ จนศาลเจ้าแห่งนี้ได้รับเลือกจาก CNN ให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น

สำหรับเรื่องการขอพรนั้น ถ้าเป็นศาลเจ้าสายอินาริก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเงินๆทองๆล่ะครับ ใครอยากถูกหวยงวดหน้าก็ต้องลองมาขอพรกันดูนะ ?

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าโมโตโนสึมิ อินาริ (Motonosumi Inari)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานีรถไฟ Hakata ขึ้นรถไฟชินคันเซ็นไปลงที่สถานี Kokura จากนั้นต่อรถไฟสาย Kagoshima ไปลงที่สถานี Shimonoseki แล้วต่อรถไฟสาย Sanin ไปลงที่สถานี Nagato-Furuichi (ใช้เวลาเดินทางรวมทั้งหมด 3 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 5,380 เยน) จากนั้นนั่งรถแท็กซี่ไปอีก 20 นาทีก็จะถึงศาลเจ้า (ค่าโดยสารประมาณ 2,300 เยน)
ที่อยู่
  • Motonosumi Inari Shrine, 498 Yuyatsuo, Nagato, Yamaguchi 759-4712 Japan
เบอร์ติดต่อ
  • 075-204-5543
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้เข้าสักการะทุกวัน เวลา 5:30 – 17:30 น.
ค่าเข้าชม
  • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

11. เซนโจจิกิ (Senjojiki)

เซนโจจิกิ (Senjojiki) เป็นที่ราบสูงในจังหวัดยามากุจิ ซึ่งสูงจากน้ำทะเลถึง 333 เมตร จากด้านบนที่ราบสูงแห่งนี้เราจะมองเห็นน้ำทะเลกับท้องฟ้าแบบพาโนรามา ภาพตรงหน้าที่เห็นจะให้ความรู้สึกราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์เหนือท้องทะเลญี่ปุ่น

นอกจากวิวสวยๆแล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดตั้งแคมป์และจุดเล่นกิจกรรมกระโดดร่มที่มีชื่อเสียงอีกด้วย ใครเป็นนักท่องเที่ยวสายกิจกรรมล่ะก็ ห้ามพลาดเซนโจจิกิเลยเชียว!

ข้อมูลเกี่ยวกับเซนโจจิกิ (Senjojiki)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานีรถไฟ Hakata ขึ้นรถไฟชินคันเซ็นไปลงที่สถานี Kokura จากนั้นต่อรถไฟสาย Kagoshima ไปลงที่สถานี Shimonoseki แล้วต่อรถไฟสาย Sanin ไปลงที่สถานี Nagato-Furuichi (ใช้เวลาเดินทางรวมทั้งหมด 3 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 5,380 เยน) แล้วนั่งรถแท็กซี่ต่อไปอีก 10 นาที (ค่าโดยสารประมาณ 2,200 เยน)
ที่อยู่
  • Senjojiki, 1138-1 Hekinaka, Nagato, Yamaguchi 759-4402 Japan
เบอร์ติดต่อ
  • 083-726-0708
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
  • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดยามากุจิ

1. ปลาปักเป้า (Fugu)

ปลาปักเป้า หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า ฟุกุ (Fugu) เป็นปลาที่มีพิษอยู่ในอวัยวะภายใน เชฟที่ต้องการใช้ปลาชนิดนี้ประกอบอาหารจะต้องมีใบอนุญาตพิเศษสำหรับการนำปลาปักเป้ามาปรุงเป็นอาหาร เพราะเชฟจะต้องผ่านการฝึกฝนมาจนชำนาญและรู้วิธีการชำแหละปลาปักเป้าให้ปลอดภัยสำหรับการรับประทาน ด้วยเหตุนี้เมนูปลาปักเป้าจึงถือว่าเป็นอาหารชั้นสูงและราคาค่อนข้างแพง

เนื้อปลาปักเป้าอุดมไปด้วยคอลลาเจนและโปรตีน อีกทั้งยังแทบไม่มีไขมันเลย รสชาติจะมีความหวาน นุ่ม อร่อย

สำหรับเมนูปลาปักเป้าที่นิยมรับประทานกันเป็นส่วนใหญ่นั้นได้แก่ ซาชิมิปลาปักเป้า เชฟจะนำเนื้อปลามาสไลด์ให้บาง สีขาวใสของเนื้อปลาจะดูน่ารับประทานมาก เมื่อนำมาจัดเรียงลงบนจานจะมีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ชาวจังหวัดยามากุจินิยมรับประทานซาชิมิปลาปักเป้าคู่กับน้ำจิ้มพอนสึ ต้นหอม ไชเท้าขูด แค่นี้ก็อร่อยแล้ว

อีกเมนูที่น่าสนใจคือ หม้อไฟปลาปักเป้า เมนูนี้ประกอบด้วยเนื้อปลาปักเป้าชิ้นใหญ่ เต้าหู้ ผัก และเห็ด ส่วนผสมทั้งหมดนี้จะถูกนำมาต้มรวมกันในหม้อดิน พร้อมด้วยน้ำซุปดาชิกับส่วนผสมต่างๆ เช่น สาหร่ายคอมบุ เมื่อรับประทานหมดจนเหลือแต่น้ำซุป คนญี่ปุ่นก็จะนำข้าวลงไปต้มและรับประทานเป็นแบบข้าวต้มด้วย

ในจังหวัดยามากุจิ เมืองที่ผลิตปลาปักเป้าได้เยอะที่สุดก็คือเมืองชิโมโนเซกิ ดังนั้นถ้าใครได้ไปเที่ยวเมืองนี้ก็ไม่ควรพลาดการลองทานเมนูปลาปักเป้านะ (แต่ถ้าใครกลัวก็ปล่อยผ่านได้เลย)

  • ร้านแนะนำ : Akama

Back To Index

2. อิวาคุนิซูชิ (Iwakuni Sushi)

อิวาคุนิซูชิ (Iwakuni Sushi) คือซูชิท้องถิ่นของจังหวัดยามากุจิที่มีรูปร่างลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ โดยซูชิชนิดนี้จะถูกปั้นให้เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ลักษณะพิเศษมากๆของซูชิชนิดนี้คือการเรียงส่วนผสมต่างๆให้เป็นชั้นคล้ายกับเค้ก

อิวาคุนิซูชินั้นเต็มไปด้วยส่วนผสมหลากสีสัน เช่น เนื้อปลา ใบดอกเบญจมาศ รากดอกบัว ไข่หวานหั่นฝาน และเห็ดชิตาเกะ ฯลฯ และรสชาติของซูชิชนิดนี้จะออกเปรี้ยวอมหวานมากกว่าซูชิทั่วไป

  • ร้านแนะนำ : Yoshida

Back To Index

3. ไก่โจชู (Choshu Chicken)

ที่มา : https://www.visit-jy.com

ไก่โจชู (Choshu Chicken) เป็นไก่ดำที่นิยมเลี้ยงกันมากในเมืองโฮฟุ จังหวัดยามากุจิ โดยจังหวัดที่ริเริ่มนำไก่สายพันธุ์นี้มาเลี้ยงอย่างจริงจังก็คือจังหวัดยามากุจิอีกเช่นกัน โดยไก่จะได้ทานอาหารออร์แกนิคและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ซึ่งมีผลให้เนื้อไก่โจชูมีคุณภาพที่ดี นำมาทำเป็นอาหารได้อร่อย

จุดเด่นของเนื้อไก่ชนิดนี้คือมีมันน้อยและเนื้อค่อนข้างฉ่ำ เหมาะแก่การนำมาทำไก่ย่างมากๆ เพราะยิ่งเนื้อไก่มีความชุ่มฉ่ำมากเท่าไหร่ ความอร่อยก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

หากใครได้มา ‘จังหวัดยามากุจิ’ ดินแดนต้นกำเนิดของไก่โจชูล่ะก็ อย่าลืมสั่งไก่อร่อยๆมาทานกันดูสักมื้อนะ ?

 Back To Index

4. เค็นรันกิว (Kenran Gyu)

ที่มา : https://hagi-gochi.jp

เค็นรันกิว (Kenran Gyu) เป็นเนื้อจากวัวที่เลี้ยงในเมืองฮากิ โดยเป็นโคเนื้อลูกผสมระหว่างวัวสายพันธุ์มิชิมะกับวัวฮอลแลนด์ ส่วนใหญ่ที่จังหวัดยามากุจิจะนิยมเสิร์ฟเนื้อวัวเค็นรันกิวมาในแบบปิ้งย่างยากินิกุ เพราะเนื้อสัมผัสของเค็นรันกิวนั้น เมื่อนำไปย่างไฟอ่อนๆแล้วคีบเข้าปาก เนื้อจะนุ่มจนแทบละลายในปากเลยทีเดียว

  • ร้านแนะนำ : Midoriya

Back To Index

5. บาริโซบะ (Bari Soba)

ที่มา : https://setouchifinder.com

บาริโซบะ (Bari Soba) คือหมี่กรอบสไตล์ยามากุจิ ที่โปะหน้าทอปปิ้งบนเส้นทอดแบบไม่ยั้งด้วยกะหล่ำปลี หน่อไม้ เห็ดหอม เห็ดหูหนู ฯลฯ จากนั้นก็แซมด้วยเนื้อสัตว์ ส่วนซุปจะเป็นเบสไก่ที่มีรสชาติแบบอ่อนๆ ละมุน กินง่ายและไม่เลี่ยน

ทั้งนี้ชื่อบาริโซบะ (Bari Soba) นั้นมาจากคำว่า Ganbari ที่หมายถึง “กินแล้วมีพลังพร้อมไปสู้ต่อ” นั่นเอง

Back To Index

มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!

รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!

ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ

Back To Top