fbpx

รวม 10 ที่เที่ยวใน ‘จังหวัดอาโอโมริ’ ที่ต้องไปโดนสักครั้ง!

ธ.ค. 17, 2021

บทนำ : ไปเที่ยว ‘จังหวัดอาโอโมริ’ กันเถอะ!

10 ที่เที่ยว จังหวัดอาโอโมริ

จังหวัดอาโอโมริ (Aomori Prefecture) เป็นชื่อที่อาจจะเคยผ่านหูใครหลายๆคนให้ได้ยินกันมาบ้าง แต่บางคนอาจจะงงว่ามันอยู่ตรงไหนของญี่ปุ่นกันนะ?

อาโอโมริ เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่บนสุดของเกาะฮอนชู แม้จะไม่ใช่จังหวัดใหญ่ แต่ที่นี่ก็อุดมไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง อีกทั้งยังเป็นจังหวัดที่มีพิพิธภัณฑ์ศิลปะเด็ดๆอยู่หลายแห่ง นอกจากนี้อาโอโมริยังเป็นที่ตั้งของ 1 ใน 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในทางพุทธศาสนาของญี่ปุ่นอีกด้วย

นอกจากนี้ในส่วนของอาหารการกิน อาโอโมริก็มีทูน่าที่ดีที่สุดและแอปเปิลที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยที่สุดของญี่ปุ่นด้วยนะ! เราจึงกล้ารับประกันเลยว่าการมาเที่ยวอาโอโมริจะทำให้คุณประทับใจอย่างแน่นอน

สำหรับการเดินทางไป ‘จังหวัดอาโอโมริ’ นั้น หากเดินทางจากโตเกียวก็สามารถทำได้ดังนี้

  • รถไฟ : นั่งรถไฟชินคันเซ็นจากสถานี Tokyo ไปลงที่สถานี Shin-Aomori แล้วเปลี่ยนไปนั่งรถไฟธรรมดา โดยลงที่สถานี Hirosaki (ใช้เวลาเดินทางรวม 3 ชั่วโมง 40 นาที ค่าโดยสาร 17,670 เยน) วิธีการเดินทางนี้จะเหมาะสำหรับคนที่ใช้ตั๋ว JR Pass
  • รถบัส : นั่งรถบัสกลางคืนของ Konan Bus จากสถานี Shinjuku, Tokyo หรือ Ueno ไปลงที่อาโอโมริ (ใช้เวลา 9 ชั่วโมงครึ่ง ค่าโดยสาร 5,000-10,000 เยน ขึ้นอยู่กับประเภทของรถและวันเดินทางด้วย) โปรดตรวจสอบเพิ่มเติมจากเว็บไซต์นี้ > Click

สารบัญ

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดอาโอโมริ
    1. ปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle)
    2. อาโอนิออนเซ็น (Aoni Onsen)
    3. ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada)
    4. ลำธารโออิราเซะ (Oirase Stream)
    5. ภูเขาฮักโกดะ (Mt. Hakkoda)
    6. ศูนย์ศิลปะโทวาดะ (Towada Art Center)
    7. ภูเขาโอโซเรซัง (Osorezan)
    8. พิพิธภัณฑ์เนบุตะวารัสเซ่ (Nebuta Warasse)
    9. พิพิธภัณฑ์ศิลปะอาโอโมริ (Aomori Museum of Art)
    10. ตลาดปลาฟุรุคาวะ (Furukawa Fish Market)
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดอาโอโมริ
    1. ปลาโอมะมากุโระ (Oma Maguro)
    2. ฮาจิโนเฮะเซมเบ้จิรุ (Hachinohe Senbei Jiru)
    3. ราเมนมิโสะผงกะหรี่ ‘กิวนิวราเมน’ (Miso Curry Gyunyu Ramen)
    4. สึการุโซบะ (Tsugaru Soba)
    5. แอปเปิลอาโอโมริ (Aomori Apple)

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดอาโอโมริ

1. ปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle)

ปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle) เป็น 1 ใน 12 ปราสาทดั้งเดิมของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น จนถึงขนาดที่ว่าได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 3 จุดชมซากุระที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น ร่วมกับภูเขาโยชิโนะที่นาราและซากปราสาททาคาโตะที่นากาโนะ นอกจากนี้ยังถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติอีกด้วย

สำหรับความเป็นมาของปราสาทฮิโรซากิ ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1609 ซึ่งเป็นช่วงต้นยุคเอโดะ และต่อมาในปี 1627 ก็ได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่นี่ ทำให้ปราสาทฮิโรซากิกลายเป็นปราสาทที่ไม่มีป้อมปราการ จนกระทั่งมีการสร้างป้อมใหม่ขึ้นในปี 1810

ที่มา : www.japan-guide.com

ความจริงแล้วตำแหน่งดั้งเดิมของปราสาทจะอยู่บนกำแพงแถวสะพานแดง (ตามรูปตัวอย่างด้านบน) แต่เนื่องจากตอนนี้มีการซ่อมแซมกำแพง ปราสาทจึงถูกย้ายมาตั้งไว้ในตำแหน่งปัจจุบัน (ยกทั้งปราสาทมาเลย สุดยอด!) โดยปราสาทจะย้ายกลับไปอยู่ที่เดิมในช่วงประมาณปี 2023

ส่วนภูเขาด้านหลังนั่นคือ ภูเขาไฟอิวากิ ที่มีความสูง 1,625 เมตร และเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับสนิท ครั้งล่าสุดที่ภูเขาไฟลูกนี้ปะทุคือปี 1863 ภูเขาไฟอิวากิมีชื่อเล่นว่า ฟูจิแห่งสึงารุ เพราะมีรูปร่างคล้ายกับภูเขาไฟฟูจินั่นเอง

โดยระดับความหนาแน่นของดอกซากุระที่นี่ก็นับว่าเป็นพุ่มหนาอยู่ แต่ก็ไม่ได้กระจุกตัวจนอัดแน่นเกินไปครับ นอกจากนี้ปริมาณคนที่มาชมซากุระก็ไม่ได้แน่นมากด้วย เดินชิลล์ๆถ่ายรูปได้สบายๆเลย

อีกจุดที่สวยมากคือบริเวณคลอง ซึ่งมีเรือให้พายเพลินๆ รวมถึงมีการเปิดไฟประดับตอนกลางคืนด้วย สวยงามมากครับ

ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานีรถไฟ Hirosaki นั่งรถบัส Dotemachi Loop Bus ไปลงที่ป้าย Shiyakusho-mae แล้วเดินจากสถานีไปยังปราสาทโดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที
ที่อยู่
  • Hirosaki Castle, 1 Shimo-Shiragincho, Hirosaki-shi, Aomori 036-8356, Japan
เบอร์โทร
  • 0172338739
วันและเวลาทำการ
  • ปราสาท : เปิดให้เข้าชมเวลา 9:00 – 17:00 น.
  • สวนรอบปราสาท : เปิดให้เข้าชมเวลา  9:00 – 18:00 น.
  • ในช่วงซากุระบานจะขยายเวลาทำการ โปรดดูรายละเอียดจากลิงก์นี้ >> Click
ค่าเข้าชม
  • ปราสาท : ผู้ใหญ่ 310 เยน / เด็ก 100 เยน (เข้าชมฟรีในช่วงวันที่ 24 พฤศจิกายน – 31 มีนาคม)
  • สวนรอบปราสาท : ผู้ใหญ่ 310 เยน / เด็ก 100 เยน
  • ทั้งปราสาทและสวน : ผู้ใหญ่ 510 เยน / เด็ก 160 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

2. อาโอนิออนเซ็น (Aoni Onsen)

อาโอนิออนเซ็น (Aoni Onsen) เป็นออนเซ็นท่ามกลางภูเขาที่สวยงามในจังหวัดอาโอโมริ แต่สิ่งที่ทำให้ออนเซ็นแห่งนี้มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครก็คือ…

ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า! ไม่มี Wi-fi!

เดี๋ยวๆๆ แล้วฉันจะอยู่ยังไงในเมื่อไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้?

ต้องบอกเลยว่าเพราะไม่มีไฟฟ้าและสัญญาณ Wi-fi นี่แหละ เราถึงสามารถชัตดาวน์ตัวเองจากโลกภายนอกได้ชั่วคราวเมื่อมาที่อาโอนิออนเซ็น

ด้วยเหตุนี้ ที่นี่จึงเหมาะสำหรับคนที่อยากจะผ่อนคลายจากงานแบบสุดๆ (เพราะถ้าเป็นที่อื่น พอเราขึ้นจากออนเซ็นมาก็จะพบว่าเดี๋ยวงานเข้าบ้างล่ะ อีเมล์มาบ้างล่ะ ไหนจะต้องเช็กข่าวในเฟซบุ๊กอีก บลาๆๆๆๆ) อย่างไรก็ตาม เราขอแนะนำให้ทุกคนเคลียร์งานและแจ้งคนที่บริษัทก่อนมาน่าจะดีกว่านะ อย่าหาทำมาเที่ยวโดยที่ไม่แจ้งเลยนะครับ แบบนั้นน่าจะลำบากตอนกลับไปทำงานนะ 555

ที่มา : www.japantraveleronline.com

เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของอาโอนิออนเซ็นคือ ที่นี่ไม่มีไฟฟ้าในเวลากลางคืน อุปกรณ์ให้แสงของที่นี่จึงเป็นตะเกียงน้ำมันครับ ให้บรรยากาศย้อนยุคแบบสุดๆไปเลย สายถ่ายรูปแนวย้อนยุคน่าจะชอบ

ที่มา : https://stayjapan.com

ที่มา : https://static.stayjapan.com

ข้อมูลเกี่ยวกับอาโอนิออนเซ็น (Aoni Onsen)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานี Hirosaki นั่งรถไฟไปที่สถานี Kuroishi (ใช้เวลา 35 นาที ค่าโดยสาร 470 เยน) จากนั้นให้นั่งรถบัสสายที่วิ่งไป Nurukawa แล้วลงที่ป้าย Nijinoko Koen (ใช้เวลา 40 นาที ค่าโดยสาร 770 เยน) ต่อมาให้นั่งรถ Shuttle Bus ของออนเซ็นไปอีกประมาณ 20 นาที (รอบรถ Shuttle Bus สามารถดูได้ที่ลิงก์นี้ >> Click )
ที่อยู่
  • Lamp no Yado Aoni Onsen, 1-7 Aonisawa、Okiura, Kuroishi-shi, Aomori 036-0402
เบอร์โทร
  • 0172548588
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10:00 – 15:00 น. (สำหรับแขกที่ไม่พักค้างคืน)
ค่าเข้าชม
  • ค่าใช้บริการออนเซ็น : 540 เยน (สำหรับแขกที่ไม่พักค้างคืน)
  • กรณีประสงค์จะพักค้างคืน ค่าที่พักรวมอาหารเช้าและเย็น ราคาเริ่มต้นที่ 11,150 เยนต่อคืน (รายละเอียดสามารถดูได้ที่นี่ >> Click)
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

3. ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada)

ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada) เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติโทวาดะ ฮาจิมันไท (Towada-Hachimantai National Park) โดยเป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่เกิดขึ้นจากการปะทุของภูเขาไฟเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว

ทะเลสาบโทวาดะเป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟสองชั้นรูปแบบปกติ โดยเป็นน้ำขังในภูมิประเทศแบบหลุมภูเขาไฟรูปก้นครกซึ่งอยู่สูงถึง 400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เส้นรอบวงของทะเลสาบจะอยู่ที่ประมาณ 46 กิโลเมตร ส่วนจุดที่ลึกที่สุดนั้นอยู่ลึกถึง 326.8 เมตร

ทะเลสาบโทวาดะเป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 12 ของญี่ปุ่น และมีความลึกเป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น วิวทิวทัศน์ที่นี่จะสวยงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (ช่วงพีคคือประมาณปลายเดือนตุลาคมถึงต้นพฤศจิกายน)

วิวสวยขนาดนี้ มันก็ต้องหาวิธีดูวิวให้ครบจบในที่เดียว! ซึ่งวิธีหนึ่งก็คือการล่องเรือชมทะเลสาบครับ โดยทัวร์นั่งเรือชมทะเลสาบโทวาดะจะมีให้เลือก 2 คอร์ส คือแบบวนกลับมาตรงท่าเรือที่ขึ้น กับแบบที่ไปลงจอดตรงท่าเรือแห่งอื่นไปเลย

ถามว่าเลือกแบบไหนดี? ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าแพลนเที่ยวของแต่ละคนเป็นแบบไหนครับ สมมติเราแพลนว่าจะไปเดินชมลำธารโออิราเซะ (Oirase Stream) ต่อล่ะก็ แบบหลังก็อาจจะเหมาะกว่า (โปรดดูแผนที่ประกอบ)

ที่มา : www.japan-guide.com

สำหรับจุดขึ้นเรือ โดยส่วนใหญ่เรามักจะไปสตาร์ทกันที่ Yasumiya ซึ่งตรงนี้เราสามารถเลือกคอร์สนั่งเรือได้ 2 แบบคือ คอร์สแบบวนกลับมาที่ Yasumiya กับแบบไปลงจอดที่อีกท่าเรือหนึ่ง คือท่า Nenokuchi และจากท่าเรือ Nenokuchi นี่แหละครับที่เราสามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นการเดินชมลำธารโออิราเซะได้

ในขณะเดียวกัน ถ้าเราขึ้นเรือจาก Nenokuchi คอร์สนั่งเรือจะมีแค่แบบนั่งไปลงที่ Yasumiya เท่านั้น อันนี้ก็อาจจะเหมาะกับคนที่แพลนจะเดินชมลำธารโออิราเซะก่อน แล้วค่อยไปค้างแรมข้างทะเลสาบครับ เพราะตรง Yasumiya มีโรงแรมเยอะพอสมควร

ส่วนใครที่เป็นสายชิลล์ รอบทะเลสาบโทวาดะก็มีเรือเป็ดให้เราเช่าปั่นชมวิวใกล้ฝั่งได้สบายๆ (เหมาะมากสำหรับคนที่ไปเป็นคู่)

ผู้เขียนมีของแถมมาให้ด้วยนิดหน่อยครับ สำหรับใครที่เป็นสายมู ตรงท่าเรือ Yasumiya จะมี ศาลเจ้าโทวาดะ (Towada Shrine) ที่สร้างขึ้นเพื่อสักการะเทพเจ้าประจำทะเลสาบ (ดังเรื่องการขอพรเกี่ยวกับเงินทอง) ศาลเจ้านี้มีตำนานที่เกี่ยวข้องกับทะเลสาบทาซาวะของจังหวัดอาคิตะด้วยนะครับ ลองอ่านตำนานทะเลสาบทาซาวะได้จากหัวข้อที่ 2 ของบทความนี้เลยครับ >> 5 จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีสุดฟินที่ ‘อาคิตะ’ (Akita Prefecture)

ข้อมูลเกี่ยวกับทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานี Aomori นั่งรถบัส JR Bus ไปลงที่ Yasumiya หรือ Nenokuchi (แล้วแต่แผนเที่ยวว่าจะเดินชมลำธารโออิราเซะก่อนหรือหลัง และจะค้างแรมไหม ฯลฯ) การเดินทางใช้เวลารวมประมาณ 3 ชั่วโมง (อาจจะมีเลทได้เพราะรถติดมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง) ค่าโดยสาร 3,140 เยน (มีตั๋วแบบไปกลับ / ถ้าใช้ตั๋ว JR Pass กับ JR East Tohoku Pass สามารถนั่งรถบัสได้ฟรี)
  • ถ้าไปจากสถานี Hachinohe ก็ทำแบบเดียวกับข้างต้น ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ค่าโดยสาร 2,720 เยน (ถ้าใช้ตั๋ว JR Pass กับ JR East Tohoku Pass สามารถนั่งรถบัสได้ฟรี)
  • หมายเหตุ : รถบัสหยุดให้บริการในช่วงฤดูหนาว
ที่อยู่
  • Lake Towada
    • จุดขึ้นเรือตรง Yasumiya, Towadakohanyasumiya Okuse, Towada, Aomori 034-0301
    • เบอร์โทร : 0176752201
  • จุดขึ้นเรือตรง Nenokuchi
    • Towadakohannenokuchi-471 Okuse, Towada, Aomori 018-5501
  • Towada Shrine
    • Towadakohanyasumiya-486 Okuse, Towada, Aomori 034-0301
    • เบอร์โทร : 0176752508
วันและเวลาทำการ
  • เรือชมทะเลสาบ
    • มีรอบเรือให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8:00 – 16:00 น. (สามารถดูรอบเรือได้ที่นี่ >> Click)
  • Towada Shrine
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
  • เรือชมทะเลสาบ
    • ค่าเรือ : ผู้ใหญ่ 1,430 เยน / เด็ก 720 เยน
  • Towada Shrine
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

4. ลำธารโออิราเซะ (Oirase Stream)

ลำธารโออิราเซะ (Oirase Stream) เกิดจากต้นน้ำที่ไหลมาจากทะเลสาบโทวาดะ ลำธารแห่งนี้มีความยาวราว 14 กิโลเมตร โดยไหลผ่านป่าอันอุดมไปด้วยพันธุ์ไม้ที่หลากหลาย เช่น ต้นสนซีดาร์ ต้นเมเปิล รวมถึงมอสและเฟิร์นชนิดต่างๆด้วย

เส้นทางเดินชมลำธารจะขนานไปกับถนนที่มีป้ายรถบัส เราสามารถเลือกลงรถตรงไหนก็ได้ เพราะทุกจุดของเส้นทางสามารถเดินถึงกันได้อย่างสะดวก (แต่ก็ควรระวังเรื่องรถมีที่นั่งไม่พอ และรถมาเลทเพราะว่ารถติดครับ)

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเดินชมลำธารโออิราเซะคือฤดูใบไม้ร่วง เพราะในฤดูนี้ใบไม้จะเปลี่ยนสีอย่างสวยงาม อีกทั้งเรายังสามารถเดินได้ชิลล์ๆท่ามกลางอากาศที่ไม่ร้อนตับแตก โดยช่วงพีคของใบไม้เปลี่ยนสีคือประมาณปลายตุลาคมถึงต้นพฤศจิกายนครับ (ความจริงช่วงหน้าร้อนต้นไม้ก็เขียวชอุ่มสวยงามไปอีกแบบ แต่อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว ก็เลยไม่แนะนำเท่าไหร่)

เนื่องจากลำธารโออิราเซะมีความยาวพอสมควร หากต้องการจะเดินชมให้หมด ขอแนะนำว่าควรวางแผนการเดินและกะเวลาให้ดี โดยเฉพาะถ้าไม่ได้ค้างคืนในละแวกทะเลสาบ เพราะถ้าตกรถบัสเที่ยวสุดท้ายล่ะก็ งานเข้าหนักแน่นอนครับ (ถ้าเป็นสายสุขภาพ แนะนำว่าเช่าจักรยานก็จะดีไม่น้อย)

สำหรับสายถ่ายภาพที่อยากได้ภาพสวยๆ สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือขาตั้งกล้องดีๆ สายลั่นชัตเตอร์ และฟิลเตอร์ตัดแสง รวมถึงต้องมีความอึดในการเดินพอประมาณ (จุดถ่ายรูปสวยๆมีมากอยู่)

ที่มา : https://pantip.com/topic/38018675

สำหรับระยะเวลาเดินคร่าวๆ (กรณีที่เดินแบบชะโงกทัวร์ นั่นคือเดินไม่หยุด) เราสามารถคาดคะเนได้จากแผนที่ด้านบน จุดที่น่าหยุดถ่ายรูปก็สามารถดูได้จากแผนที่นี้เช่นกันครับ

แต่เราอาจจะต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าถ้าหยุดถ่ายรูปก็จะเสียเวลาเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลสำหรับคนที่ไม่ได้ค้างคืนและต้องนั่งรถบัสกลับเข้าเมือง อย่าลืมกะเวลาดีๆกันด้วยนะครับ

ทั้งนี้ สำหรับใครที่มีตั๋ว JR Pass ก็สามารถใช้รถบัสได้รัวๆ เป็นอะไรที่พอจะลดความเมื่อยลงได้บ้างครับ

ข้อมูลเกี่ยวกับลำธารโออิราเสะ (Oirase Stream)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานี Aomori นั่งรถบัส JR Bus ไปลงที่ Yakeyama หรือ Nenokuchi (แล้วแต่แผนเที่ยวว่าจะเดินชมลำธารโออิราเซะก่อนหรือหลัง และจะค้างแรมไหม ฯลฯ) การเดินทางใช้เวลารวมประมาณ 3 ชั่วโมง (อาจจะมีเลทได้เพราะรถติดมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง) ค่าโดยสาร 3,140 เยน (มีตั๋วแบบไปกลับ / ถ้าใช้ตั๋ว JR Pass กับ JR East Tohoku Pass สามารถนั่งรถบัสได้ฟรี)
  • ถ้าไปจากสถานี Hachinohe ก็ทำแบบเดียวกับข้างต้น ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ค่าโดยสาร 2,720 เยน (ถ้าใช้ตั๋ว JR Pass กับ JR East Tohoku Pass สามารถนั่งรถบัสได้ฟรี)
  • หมายเหตุ : รถบัสหยุดให้บริการในช่วงฤดูหนาว
ที่อยู่
  • Oirase Stream
    • ป้ายรถบัสตรง Nenokuchi, Towadakohannenokuchi-473 Okuse, Towada, Aomori 034-0301
    • ป้ายรถบัสตรง Yakeyama, Okuse, Towada, Aomori 034-0301
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
  • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

5. ภูเขาฮักโกดะ (Mt. Hakkoda)

jiraphoto / Shutterstock

ภูเขาฮักโกดะ (Mt. Hakkoda) เป็นภูเขาที่มีความสูง 1,585 เมตร ภูเขาแห่งนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองอาโอโมริและทะเลสาบโทวาดะ รวมถึงเป็น 1 ใน 100 ภูเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น

ภูเขาฮักโกดะนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ซึ่งจะเปลี่ยนสีในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หรือประมาณปลายเดือนกันยายนถึงกลางเดือนตุลาคม ภูเขาแห่งนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจจะมาชมวิวใบไม้แดงที่อาโอโมริ รวมถึงสายนักปีนเขาที่ชื่นชอบเส้นทางเดินป่าทางธรรมชาติ

ใครที่เป็นนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ หากมาอาโอโมริห้ามพลาดที่นี่เลยนะครับ

ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาฮักโกดะ (Mt. Hakkoda)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานี Aomori ให้นั่งรถบัส JR Bus ไปลงที่ Hakkoda Ropeway (ใช้เวลาประมาณ 80 นาที และอาจจะเลทได้เพราะรถติดมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง) ค่าโดยสาร 1,120 เยน (มีตั๋วแบบไปกลับ / ถ้าใช้ตั๋ว JR Pass กับ JR East Tohoku Pass สามารถนั่งรถบัสได้ฟรี)
  • ถ้าเดินทางไปจากทะเลสาบโทวาดะ ให้ทำแบบเดียวกับข้างต้น ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 2,350 เยน (ถ้าใช้ตั๋ว JR Pass กับ JR East Tohoku Pass สามารถนั่งรถบัสได้ฟรี)
ที่อยู่
  • จุดขึ้นกระเช้า Hakkoda Ropeway, Kansuizawa-1-12 Arakawa, Aomori, 030-0111
  • เบอร์โทร : 0177380343
วันและเวลาทำการ
  • กระเช้า Ropeway เปิดให้บริการทุกวัน ในเวลาดังต่อไปนี้
    • 9:00 – 16:20 น. (มีนาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน)
    • 9:00 – 15:40 น. (กลางเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์)
ค่าเข้าชม
  • ค่าขึ้น Ropeway ไป-กลับ : ผู้ใหญ่ 2,000 เยน / เด็ก 700 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

6. ศูนย์ศิลปะโทวาดะ (Towada Art Center)

ที่มา : www.designsigh.com

ศูนย์ศิลปะโทวาดะ (Towada Art Center) เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยในเมืองโทวาดะ ซึ่งตั้งอยู่บนเส้นทางระหว่างเมืองฮาจิโนเฮะกับทะเลสาบโทวาดะ ที่นี่เปิดให้เข้าชมครั้งแรกในปี 2008 ภายในจัดแสดงนิทรรศการงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและความเป็นเมือง รวมทั้งหมดกว่า 20 ชิ้นงาน โดยเป็นงานของศิลปินจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็น Ron Mueck, Jeong Hwa Choi และ Yoko Ono

ที่มา : www.spoon-tamago.com

ศูนย์ศิลปะโทวาดะจะสวยเป็นพิเศษช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม เพราะรอบๆอาคารมีซากุระบานเยอะพอควร ลองไปดื่มด่ำงานศิลปะกับชมซากุระก็น่าจะดีไม่น้อยครับ

ข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์ศิลปะโทวาดะ (Towada Art Center)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานี Hachinohe ให้นั่งรถบัส JR Bus ไปลงที่ Towada Art Center (ใช้เวลาประมาณ 40 นาที และอาจจะเลทได้เพราะรถค่อนข้างติด) ค่าโดยสาร 1,150 เยน (มีตั๋วแบบไปกลับ / ถ้าใช้ตั๋ว JR Pass กับ JR East Tohoku Pass สามารถนั่งรถบัสได้ฟรี)
  • ถ้าเดินทางไปจากทะเลสาบโทวาดะ ให้ทำแบบเดียวกับข้างต้น ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 1,890 เยน (ถ้าใช้ตั๋ว JR Pass กับ JR East Tohoku Pass สามารถนั่งรถบัสได้ฟรี)
ที่อยู่
  • Towada Art Center, 10-9 Nishi-Nibancho, Towada-shi, Aomori, 034-0082, Japan
  • เบอร์โทร : 0176201127
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้เข้าชมวันอังคารถึงวันศุกร์ เวลา 9:00 – 17:00 น.
  • ปิดทุกวันจันทร์
ค่าเข้าชม
  • 1,200 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

7. ภูเขาโอโซเรซัง (Osorezan)

ภูเขาโอโซเรซัง (Osorezan) ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 3 ของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ร่วมกับภูเขาโคยะซัง (Koyasan) และภูเขาฮิเออิซัง (Hieizan) ซึ่งได้ถูกค้นพบในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา และยังเป็นที่ตั้งของวัดโบไดจิ (Bodaiji Temple) อีกด้วย

ความโดดเด่นของภูเขาโอโซเรซังคือภูมิทัศน์ที่แปลกตา เนื่องจากบริเวณนี้เคยเกิดการระเบิดของภูเขาไฟ อันส่งผลให้กลิ่นกำมะถันที่รุนแรงแทรกซึมอยู่ในอากาศ รวมถึงพื้นดินเป็นสีเทาแห้งแล้ง ถ้ามองเผินๆก็จะดูเหมือนขุมนรกในความเชื่อของศาสนาพุทธ (เพราะเหตุนี้เอง ที่นี่จึงได้ชื่อว่า Osore ซึ่งแปลว่า น่ากลัว ในภาษาญี่ปุ่น) ถ้าใครอยากสัมผัสกับบรรยากาศของการอยู่ในขุมนรกก็ลองค้างคืนที่วัดได้ครับ กิจกรรมที่นี่จะคล้ายๆกับที่โคยะซัง คือกินอาหารเจ สวดมนต์ ฯลฯ)

หากมองไปยังบริเวณรอบๆพื้นที่ของภูเขา เราจะเห็นว่ามีรูปปั้นจิโซจำนวนมากตั้งอยู่รวมกับกองก้อนหิน กรวด และกังหันหลากสี เนื่องจากพ่อแม่ของเด็กที่เสียชีวิตไปแล้วมีความเชื่อว่า วิญญาณของเด็กจะได้ขึ้นสวรรค์ถ้าพวกเขาสร้างรูปปั้นจิโซ

ที่มา : https://theculturetrip.com

นอกจากนี้ ภูเขาโอโซเรซังก็ยังมีชื่อเสียงในเรื่องของ อิทาโกะ (イタコ / Itako) หรือคนทรงที่เป็นสื่อกลางระหว่างโลกคนเป็นกับโลกคนตาย โดยอิทาโกะมีความสามารถในการอัญเชิญวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ในเทศกาลสำคัญ 2 งานที่จัดขึ้นในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง อิทาโกะหลายรายจะมารวมตัวกันและทำพิธีกรรมที่เรียกว่า คุจิโยเสะ (口寄せ / Kuchiyose พิธีอัญเชิญดวงวิญญาณ) เพื่ออัญเชิญวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วมาร่วมพิธีด้วย

Hiroyuki Takei Presented : Shaman King

โดยอิทาโกะที่แฟนการ์ตูนญี่ปุ่นน่าจะรู้จักกันดีก็คือ แอนนา นางเอกจากเรื่อง Shaman King ราชันย์แห่งภูติ นั่นเอง (ซึ่งในการ์ตูน บ้านของแอนนาก็อยู่ที่โอโซเรซังนี่แหละครับ)

ข้อมูลเกี่ยวกับโอโซเรซัง (Osorezan)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานี Aomori ให้นั่งรถไฟสาย Aomori Tetsudo ไปลงที่สถานี Noheji (ใช้เวลา 43 นาที) จากนั้นเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟ JR สาย Ominato แล้วลงที่สถานี Shimokita (ใช้เวลา 56 นาที ค่าโดยสารทั้งหมด 2,220 เยน)
  • เมื่อถึงสถานี Shimokita ให้นั่งรถบัสไปลงที่วัดโบไดจิ (ใช้เวลา 45 นาที ค่าโดยสาร 810 เยน) แต่จะไม่มีรถบัสในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายนนะครับ
ที่อยู่
  • Osorezan Bodaiji Temple, Usoriyama-3-2 Tanabu, Mutsu, Aomori 035-0021
  • เบอร์โทร : 0175-22-3825, 0175-22-3826 (ติดต่อพักค้างคืน)
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 6:00 – 18:00 น.
  • ปิดช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน
ค่าเข้าชม
  • ผู้ใหญ่ : 500 เยน
  • เด็ก : 200 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

8. พิพิธภัณฑ์เนบุตะวารัสเซ่ (Nebuta Warasse)

PixHound / Shutterstock

พิพิธภัณฑ์เนบุตะวารัสเซ่ (Nebuta Warasse) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับ เทศกาลเนบุตะมัตสึริ (Nebuta Matsuri) หนึ่งในเทศกาลหน้าร้อนที่โด่งดังที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงต้นเดือนสิงหาคม

ว่ากันว่าเทศกาลเนบุตะมัตสึริมีจุดเริ่มต้นมาจากการลอยโคมเพื่อขอให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยผู้คนจะไปลอยโคมกันที่แม่น้ำหรือทะเลในคืนวันทานาบาตะ ซึ่งพิธีการเหล่านี้ในภูมิภาคโทโฮคุจะเรียกว่า เนบุรินากาชิ (Neburi Nagashi / การลอยโคม) จากนั้นชื่อนี้ก็ได้ถูกเรียกเพี้ยนมาเรื่อยๆจนกลายมาเป็นคำว่า เนบุตะ (Nebuta) ในปัจจุบัน

แต่ช่วงกลางยุคเอโดะ ในปี 1716 เทศกาลลอยโคมก็ได้เปลี่ยนไปเป็นงานเทศกาลที่ผู้คนออกมาเต้นรำโดยถือโคมลอยไปด้วย รวมถึงมีรถลากในงานด้วย ซึ่งในช่วงตอนปลายยุคเอโดะเทศกาลนี้ก็เริ่มครึกครื้นขึ้น เพราะมีการแสดงโคมไฟขนาดใหญ่ที่เน้นลวดลายตามแบบละครคาบุกิดังเช่นในปัจจุบัน

cowardlion / Shutterstock

สำหรับคนที่ไม่มีโอกาสไปชมงานเทศกาลในช่วงเวลาที่มีงาน ก็สามารถมาดูโคมได้ที่พิพิธภัณฑ์เนบุตะวารัสแห่งนี้ (อาจจะไม่อลังเท่าขบวนแห่ แต่ก็สวยงามเช่นกัน อีกทั้งยังไปได้ง่ายกว่า เพราะเทศกาลเนบุตะมัตสึริจะจัดแค่ช่วงสั้นๆประมาณอาทิตย์นึง) นอกจากนี้ทางพิพิธภัณฑ์ยังมีกิจกรรมให้เราทดลองร่วมสร้างโคมด้วยครับ

ข้อมูลเกี่ยวกับเนบุตะวารัส (Nebuta Warasse)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานีรถไฟ Aomori สามารถเดินมาที่พิพิธภัณฑ์ได้ภายในเวลา 5 นาที
ที่อยู่
  • Nebuta Warasse, 1 Chome-1-1 Yasukata, Aomori, 030-0803
  • เบอร์โทร : 0177521311
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ในเวลาดังนี้
    • 9:00 – 19:00 น. (เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม)
    • 9:00 – 18:00 น. (เดือนกันยายน – เมษายน)
  • ปิดวันที่ 31 ธันวาคม – 1 มกราคม และ 9 – 10 สิงหาคม
ค่าเข้าชม
  • ผู้ใหญ่ : 620 เยน
  • นักเรียนมัธยมปลาย : 460 เยน
  • นักเรียนมัธยมต้นและประถม : 260 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

9. พิพิธภัณฑ์ศิลปะอาโอโมริ (Aomori Museum of Art)

cowardlion / Shutterstock

พิพิธภัณฑ์ศิลปะอาโอโมริ (Aomori Museum of Art หรือ Aomori Kenritsu Bijutsukan) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงงานศิลปะสมัยใหม่ โดยเน้นไปที่ศิลปะของภูมิภาคโทโฮคุตอนเหนือ ตัวอาคารของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้โดดเด่นสะดุดตาด้วยการออกแบบภายนอกที่ใช้สีขาวล้วน ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากซากโบราณสถานซันไนมารุยามะ (Sannai-Maruyama Historical Site) หนึ่งในพื้นที่โบราณสถานที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น

นอกจากตัวอาคารที่สวยสง่าแล้ว พิพิธภัณฑ์ศิลปะอาโอโมริก็ยังมีไฮไลต์อยู่ที่นิทรรศการศิลปะถาวรภายในอาคารด้วย โดยผลงานศิลปะภายในพิพิธภัณฑ์ก็ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยศิลปินชื่อดังมากมาย เช่น Marc Chagall, Munakata Shiko และ Nara Yoshitomo

Wirestock-Creators / Shutterstock

หนึ่งในแลนด์มาร์กของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ที่ทุกคนจะต้องมาถ่ายรูปก็คือ รูปปั้นสุนัขอาโอโมริเค็น (あおもり犬 / Aomori-ken) ที่มีความสูง 8.5 เมตร ซึ่งเป็นงานศิลปะสามมิติโดย นาระ โยชิโมโตะ (Yoshitomo Nara) ศิลปินร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงอย่างมากทั้งในญี่ปุ่นและในระดับนานาชาติ

ข้อมูลเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะอาโอโมริ (Aomori Museum of Art)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานี Aomori นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Kenritsu Bijutsukanmae (ใช้เวลา 20 นาที ค่าโดยสาร 280 เยน)
ที่อยู่
  • Aomori Museum of Art, Chikano-185 Yasuta, Aomori, 038-0021
  • เบอร์โทร : 0177833000
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ในเวลาดังต่อไปนี้
    • 9:00 – 18:00 น. (เดือนมิถุนายน – กันยายน)
    • 9:00 – 17:00 น. (เดือนตุลาคม – พฤษภาคม)
  • ปิดทุกวันจันทร์ของสัปดาห์ที่ 2 และ 4 ของเดือน และช่วงปีใหม่
ค่าเข้าชม
  • ผู้ใหญ่ : 510 เยน
  • นักศึกษาและนักเรียนมัธยมปลาย : 300 เยน
  • นักเรียนมัธยมต้นและประถม : 100 เยน
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

10. ตลาดปลาฟุรุคาวะ (Furukawa Fish Market)

PixHound / Shutterstock

ตลาดปลาฟุรุคาวะ (Furukawa Fish Market) เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 1960 ภายในตลาดแห่งนี้มีร้านค้าปลาสดและร้านขายผักสดมากมายกว่า 30 ร้าน โดยความพิเศษของตลาดปลาแห่งนี้คือนักท่องเที่ยวสามารถเลือกข้าวดงบุริ (donburi) หน้าต่างๆได้ด้วยตัวเอง โดยนำวัตถุดิบจากอาหารทะเลที่ขายอยู่ภายในตลาดมาใช้ ซึ่งข้าวดงบุรินี้เรียกว่า nokkedon

ได้เลือกวัตถุดิบเองทุกขั้นตอนแบบนี้ ยังไงก็ต้องอร่อยถูกปากเราแน่นอน! (จะว่าไปมันก็คล้ายๆเวลาที่เราสั่งอาหารตามสั่งในไทยอยู่นะ แต่ในญี่ปุ่นอาหารแบบนี้หายากครับ เพราะที่ญี่ปุ่นไม่มีร้านอาหารตามสั่ง)

ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดปลาฟุรุคาวะ (Furukawa Fish Market)

วิธีเดินทาง
  • จากสถานีรถไฟ Aomori สามารถเดินไปยังตลาดปลาได้ภายในเวลา 5 นาที
ที่อยู่
  • Furukawa Fish Market (Aomori Gyosai Center), 1 Chome-11-16 Furukawa, Aomori, 030-0862
  • เบอร์โทร : 0177771367
วันและเวลาทำการ
  • เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 7:00 – 16:00 น.
  • หยุดทุกวันอังคาร และวันที่ 1-2 มกราคม
ค่าเข้าชม
  • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
พิกัด

Back To Index

อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดอาโอโมริ

1. ปลาโอมะมากุโระ (Oma Maguro)

อาโอโมริเป็นจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องปลาทูน่ามากๆ จนมีคำกล่าวว่า “อาโอโมริมีปลาทูน่าที่อร่อยที่สุด” (ตีคู่มากับจังหวัดวาคายามะ) ซึ่งปลาทูน่าที่ว่านี้เป็นปลาทูน่าที่จับมาจากบริเวณแหลมโอมะ มันจึงถูกเรียกว่า โอมะมากุโระ (Oma Maguro) หรือบางครั้งก็นิยมเรียกกันว่า ปลาเพชรดำ (黒いダイヤ / Kuro Daiya)

ในโตเกียวโดยเฉพาะที่ตลาดปลาสึกิจิ ปลาชนิดนี้ถูกขายในราคาที่สูง เนื่องจากมันมีลักษณะจำเพาะอยู่ที่ความหวานซึ่งแพร่กระจายไปทั่วปากเวลาเคี้ยว อีกทั้งยังมีเนื้อที่ฉ่ำและรสชาติอันล้ำลึก (นอกจากจะหาทานที่แหลมโอมะได้แล้ว ก็ยังหาได้ที่ตลาดปลา Furukawa ด้วยนะ ไปโลด!)

Back To Index

2. ฮาจิโนเฮะเซมเบ้จิรุ (Hachinohe Senbei Jiru)

ฮาจิโนเฮะเซมเบ้จิรุ (Hachinohe Senbei Jiru) เป็นหม้อไฟที่มีจุดเด่นตามชื่อ คือมีการใส่เซมเบ้ลงไปในหม้อไฟ แต่ขอบอกเลยว่านี่ไม่ใช่เซมเบ้ธรรมดา! เพราะมันเป็นเซมเบ้ทำขึ้นเป็นพิเศษจากศูนย์วิจัยเซมเบ้ เพื่อเอาไว้ใส่ซุปโดยเฉพาะ ซึ่งรสชาติของมันก็เข้ากับเนื้อปลาและผักเป็นอย่างดีเลยทีเดียว

ถ้าใครได้มาอาโอโมริ ต้องลอง!

Back To Index

3. ราเมนมิโสะผงกะหรี่ ‘กิวนิวราเมน’ (Miso Curry Gyunyu Ramen)

Arthur-Matsuo / Shutterstock

กิวนิวราเมน (Miso Curry Gyunyu Ramen) คือราเมนมิโสะที่เพิ่มผงแกงกระหรี่และนมวัวลงไปในน้ำซุปราเมนสูตรมิโสะ สูตรโชยุ หรือสูตรเกลือ แล้วใส่เนยลงไปในราเมน ซึ่งกิวนิวราเมนนั้นนับว่าเป็นวิวัฒนาการที่ต่อยอดมาจากราเมนมิโสะของเมืองซัปโปโร จังหวัดฮอกไกโด

ทันทีที่ตักคำแรกเข้าปาก เราจะได้รสชาติเข้มข้นของมิโสะและเนย บวกด้วยความหวานของนมและความเผ็ดปานกลางของผงแกงกะหรี่ ให้ความอร่อยที่ลงตัวพอดี นับว่าเป็นอีกหนึ่งเมนูที่พลาดไม่ได้เมื่อมาอาโอโมริเลยครับ

Back To Index

4. สึการุโซบะ (Tsugaru Soba)

ที่มา : https://eats.jp/en/article/100015

สึการุโซบะ (Tsugaru Soba) เป็นโซบะท้องถิ่นของเมืองฮิโรซากิซึ่งมีกระบวนการทำเส้นที่ไม่เหมือนใคร เพราะเขาจะนำแป้งไปผสมกับผงโซบะและผงถั่วเหลืองโกจิรุ แล้วหมักไว้ประมาณครึ่งวัน จากนั้นแป้งที่ผสมไว้ก็จะกลายเป็นเส้นโซบะที่เหนียวนุ่ม เจือด้วยรสชาติของถั่วเหลืองจางๆ และด้วยเหตุนี้เอง สึการุโซบะจึงอุดมไปด้วยโปรตีนจากถั่วเหลือง เรียกได้ว่าทั้งอร่อยและได้คุณค่าทางอาหารเต็มที่

  • ร้านแนะนำ : Takasago

Back To Index

5. แอปเปิลอาโอโมริ (Aomori Apple)

เมื่อพูดถึงจังหวัดอาโอโมริ สิ่งที่คนญี่ปุ่นจะต้องนึกถึงเป็นอันดับแรกๆนั้น ยังไงก็ต้องมี แอปเปิล ติดอันดับมาด้วยอย่างแน่นอน

แอปเปิลนับว่าเป็นผลไม้ประจำจังหวัดอาโอโมริ โดยประมาณ 57% ของปริมาณการผลิตแอปเปิลในประเทศญี่ปุ่นก็มาจากจังหวัดอาโอโมรินั่นล่ะครับ

เหตุผลที่แอปเปิลของอาโอโมริโด่งดังมากๆนั้น เป็นเพราะว่าสภาพแวดล้อมของจังหวัดนี้เอื้อต่อการปลูกต้นแอปเปิลเป็นพิเศษ เนื่องจากดินในบริเวณแถบนี้มีเถ้าภูเขาไฟผสมอยู่ รวมถึงอากาศที่เย็นนิดๆด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้อาโอโมริเป็นจังหวัดที่ปลูกแอปเปิลได้เยอะและมีรสชาติหวานอร่อยนั่นเอง 

ในเมื่ออาโอโมริมีของดีขนาดนี้ บอกได้คำเดียวว่าสายผลไม้ห้ามพลาดเลยครับ!

Back To Index

มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!

รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!

ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ

Back To Top