ชี้พิกัด! 12 ที่เที่ยวคันไซ สุดฮิตแห่งปี 2023
ม.ค. 30, 2023
ชี้พิกัด! 12 ที่เที่ยวคันไซ สุดฮิตแห่งปี 2023
“คันไซ” (Kansai) เป็นภูมิภาคหนึ่งของญี่ปุ่นที่ถ่ายทอดเสน่ห์ของวัฒนธรรมและธรรมชาติออกมาได้อย่างงดงาม เมื่อนานมาแล้วภูมิภาคคันไซเคยเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงเก่าอย่างจังหวัดเกียวโตและจังหวัดนารา ภูมิภาคคันไซจึงมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของญี่ปุ่นอยู่หลายแห่ง
ปัจจุบันภูมิภาคคันไซได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร สวนสนุก พิพิธภัณฑ์ และสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ซึ่งเราสามารถเดินทางมาเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งปี รวมถึงสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกอีกมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น ทั่วทั้งภูมิภาคคันไซยังเดินทางได้อย่างสะดวกสบายด้วยระบบคมนาคมที่ครบครันและทันสมัย!
ในบทความนี้เราจะมาชี้พิกัด 12 ที่เที่ยวคันไซสุดฮิตแห่งปี 2023 ! ไปชมกันเลยดีกว่าค่ะว่าคันไซจะมีที่เที่ยวไหนน่าสนใจบ้าง!
สารบัญ (Index)
- 1. วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu-dera Temple) จังหวัดเกียวโต
- 2. ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine) จังหวัดเกียวโต
- 3. Universal Studios Japan จังหวัดโอซาก้า
- 4. ย่านชินเซไก (Shinsekai) จังหวัดโอซาก้า
- 5. ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) จังหวัดเฮียวโกะ
- 6. สวนนารา (Nara Park) จังหวัดนารา
- 7. ภูเขาโยชิโนะ (Mount Yoshino) จังหวัดนารา
- 8. สวนดอกไม้นาบานะ โนะ ซาโตะ (Nabana no Sato) จังหวัดมิเอะ
- 9. ภูเขาโคยะ (Mount Koya/Koyasan) จังหวัดวาคายามะ
- 10. ศาลเจ้าคุมาโนะนาชิ (Kumano Nachi Taisha) จังหวัดวาคายามะ
- 11. วัดชิคุริน-อิน (Former Chikurin-in Temple) จังหวัดชิกะ
- 12. วัดอิชิยามะเดระ (Ishiyama-dera Temple) จังหวัดชิกะ
1. วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu-dera Temple) จังหวัดเกียวโต
วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu-dera Temple) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “วัดน้ำใส” เป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่และมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมากของประเทศญี่ปุ่น หากจะให้กล่าวถึงเหตุผลว่าทำไมวัดนี้ถึงโด่งดัง? เราคิดว่าแค่ได้เห็นภาพของวัดหลายๆคนก็คงจะพอเดาออกกันแล้ว ด้วยทัศนียภาพอันงดงามและเลอค่านี้ ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติหรือแม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็คงอยากมาชมความงามของวัดคิโยมิสึกันให้ได้สักครั้งแน่นอนค่ะ
วัดคิโยมิสึมีจุดไฮไลต์สุดตระการตาคืออาคารไม้แบบดั้งเดิม หลายๆคนคงยังไม่ทราบมาก่อนว่าวัดแห่งนี้สร้างด้วยวิธีการล็อกข้อต่อไม้แบบญี่ปุ่นโบราณแทบทั้งหลัง หรือถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายมากขึ้นก็คือ วัดนี้สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปูเลยสักดอกค่ะ
นอกจากอาคารไม้แบบดั้งเดิมที่เป็นกิมมิคของวัดคิโยมิสึแล้ว บริเวณภายในวัดก็ยังมีเจดีย์ญี่ปุ่นสีแดงชาดอันงดงามอยู่อีกหลายองค์ ไม่ว่าจะมองไปในทิศทางใดเราก็จะเจอมุมสวยๆให้ถ่ายรูปเยอะมากค่ะ และที่ยิ่งไปกว่านั้น วัดคิโยมิสึยังติดอันดับจุดชมวิวซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย
สำหรับการเดินทางมาที่วัดคิโยมิสึจะเน้นการเดินเท้าเป็นหลัก นั่นเป็นเพราะว่าวัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขาค่ะ
ก่อนจะเดินขึ้นไปยังด้านบนของวัดนั้น เราจะได้เดินผ่านถนน Kiyomizu-Zaka Street ย่านถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารเรียงรายอยู่เต็มสองข้างทางค่ะ ระหว่างทางเราจะได้สัมผัสกับบรรยากาศของบ้านเมืองสไตล์ญี่ปุ่นย้อนยุคกันอย่างใกล้ชิดเลย
หากใครมาเที่ยววัดคิโยมิสึเป็นครั้งแรกก็คงแปลกใจว่าทำไมผู้คนถึงใส่ชุดกิโมโนมาเดินเล่นที่นี่กัน เหตุผลก็เป็นเพราะว่าการใส่ชุดยูกาตะหรือชุดกิโมโนมาเดินเล่นที่นี่เป็นกิจกรรมยอดฮิตของย่านนี้เลยค่ะ อีกทั้งที่นี่ยังมีร้านเช่าชุดกิโมโนให้เราใส่ถ่ายรูปสวยๆกันอีกด้วยค่ะ
หากทุกคนมาเที่ยวที่วัดคิโยมิสึแล้ว ลองแวะเช่าชุดกิโมโนมาใส่ถ่ายรูปกันดูสักครั้งนะคะ
- อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> Must See Place! ชมวัดน้ำใส Kiyomizu และพื้นที่โดยรอบ
ข้อมูลเกี่ยวกับวัดคิโยมิสึ
ที่อยู่
- 1 Chome-294 Kiyomizu, Higashiyama Ward, Kyoto, 605-0862
การเดินทาง
- หากเริ่มต้นที่สถานี Kyoto Station ให้ขึ้นรถบัสสาย 205, 206 หรือ 207 ไปลงที่ป้าย Kiyomizumichi (ใช้เวลา 20 นาที) จากนั้นเดินต่อประมาณ 12 นาทีก็จะถึงวัด
วันและเวลาทำการ
- เปิดทุกวัน เวลา 6:00 – 18:00 น. ยกเว้นเดือนกรกฎาคม –สิงหาคม
- วัดปิดเวลา 18:30 น.
- สำหรับการเปิดไฟช่วงกลางคืน ไฟจะเปิดเวลา 18:00 – 21:30 น. (ศูนย์ประชาสัมพันธ์ปิดเวลา 21:00 น.) ในช่วงวันที่ดังต่อไปนี้
- ฤดูใบไม้ผลิ : เปิดไฟวันที่ 25 มีนาคม – 2 เมษายน
- ฤดูร้อน : เปิดไฟวันที่ 14 สิงหาคม – 16 สิงหาคม
- ฤดูใบไม้ร่วง : เปิดไฟวันที่ 18 พฤศจิกายน – 30 พฤศจิกายน
หมายเหตุ : วันและเวลาเปิดไฟจะเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละปี สามารถตรวจสอบวันและเวลาได้ที่เว็บไซต์ทางการของวัดคิโยมิสึ
ค่าเข้าชม
- ค่าเข้าชมเวลาปกติ : 400 เยน
- ค่าเข้าชมช่วงเวลาเปิดไฟกลางคืน : 400 เยน (เปิดไฟกลางคืนเป็นบางช่วง)
เว็บไซต์
แผนที่
2. ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine) จังหวัดเกียวโต
ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine) เป็นศาลเจ้าสายอินาริเก่าแก่ของญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าศาลเจ้าแห่งนี้เป็นจุดรับพลังพาวเวอร์สปอต (Power Spot) ในการเสริมดวงด้านการเงินและการงาน
นอกจากความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่แล้ว ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอันดับต้นๆของจังหวัดเกียวโตอีกด้วยค่ะ
สำหรับจุดไฮไลต์ยอดฮิตของศาลเจ้าฟูชิมิอินาริก็คงหนีไม่พ้น “Senbon Torii” หรือ “เสาโทริอิพันต้น” ความพิเศษของเสาโทริอิที่นี่ก็คือเสาจะเรียงตัวยาวไปจนเกือบทั่วภูเขาทั้งลูก เป็นทัศนียภาพที่งดงามและดูแปลกตามากเลยทีเดียวค่ะ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงนิยมถ่ายรูปกับเสาโทริอิของศาลเจ้าแห่งนี้ เรียกได้ว่าใครที่มาเยือนคันไซแล้วไม่แวะมาถ่ายรูปตรงจุดนี้ถือว่าพลาดแล้วล่ะค่ะ

ที่มา (Reference) : chuck hsu / Shutterstock
ในช่วงเทศกาลศาลเจ้าฟูชิมิอินาริจะเต็มไปด้วยผู้คนมหาศาล หากใครต้องการแชะภาพตรงมุมถ่ายรูปเสาโทริอิพันต้น ขอแนะนำให้วางแผนเรื่องวันและเวลากันให้พร้อมนะคะ จะได้ไม่พลาดมุมถ่ายรูปสวยๆค่ะ
ส่วนเรื่องการเดินทางมายังศาลเจ้าฟูชิมิอินารินั้น ที่นี่สามารถเดินทางมาได้ง่ายและสะดวกสบายมาก เพราะสถานีรถไฟตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้าศาลเจ้าเลยค่ะ
- อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> ไหว้ท่านเทพจิ้งจอก & เทพแห่งน้ำที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ ศาลเจ้าชิโมกาโมะ และศาลเจ้าคามิกาโมะ
ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
ที่อยู่
- 68 Fukakusa Minanouchi-cho, Fushimi-ku, Kyoto 612-0882, Kyoto Prefecture
การเดินทาง
- เดินทางโดยรถไฟ
- นั่งรถไฟจากสถานี Kyoto Station ไปลงที่สถานี Fushimi-Inari Station ใช้เวลาประมาณ 5 นาที จากนั้นเดินต่อประมาณ 2 นาทีก็จะถึงศาลเจ้า
- เดินทางโดยรถบัส
- จากสถานี Kyoto Station ให้นั่งรถบัสสาย 5 minami ไปลงที่ป้าย Fushimi Inari Taisha-mae ใช้เวลา 10 นาที จากนั้นเดินต่อประมาณ 7 นาทีก็จะถึงศาลเจ้า
วันและเวลาทำการ
- ศาลเจ้า : เปิดให้ไหว้สักการะทุกวัน
- สำนักงานศาลเจ้า : เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 7:00 – 18:00 น.
ค่าเข้าชม
- ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์
แผนที่
3. Universal Studios Japan จังหวัดโอซาก้า

ที่มา (Reference) : Universal Studios Japan / © Nintendo TM & © Universal Studios.
Universal Studios Japan หรือ USJ เป็นสวนสนุกยอดฮิตในจังหวัดโอซาก้าที่จะทำให้ทุกคนเพลิดเพลินไปกับเครื่องเล่นสุดอลังการ รวมถึงโชว์การแสดงสุดพิเศษในธีมของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ระดับฮอลลีวู้ด นอกจากนี้สวนสนุก Universal Studios Japan ยังมีอีเวนต์ประจำฤดูกาลอีกมากมาย ทำให้ไม่ว่าจะมาเที่ยวในช่วงเวลาไหนทุกคนก็สามารถอินไปกับบรรยากาศของอีเวนต์ช่วงนั้นได้ นอกจากนี้ Universal Studios Japan ยังเป็นสวนสนุกที่นักท่องเที่ยวสามารถสนุกสุดเหวี่ยงกันได้ทุกเพศทุกวัยเลยค่ะ
เมื่อเดินทางมาถึงสวนสนุก Universal Studios Japan แล้ว ทุกคนจะตื่นตาตื่นใจไปกับความอลังการของสวนสนุกแห่งนี้อย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่น ตึกอาคาร ร้านอาหาร หรือห้องน้ำ ทุกสิ่งล้วนออกแบบและสร้างขึ้นในธีมภาพยนตร์หรือแอนิเมชั่นประจำโซนต่างๆทั้งหมดเลยค่ะ

ที่มา (Reference) : Kanuman / Shutterstock
โซนธีมพาร์คยอดฮิตที่เราอยากแนะนำก็คือโซน The Wizarding World of Harry Potter โซนนี้ถูกออกแบบมาในธีมของภาพยนตร์เรื่อง ‘แฮร์รี่ พอตเตอร์’ ทั้งหมดเลยค่ะ
ภายในโซนนี้มีเครื่องเล่นแสนสนุกที่จะทำให้เราตื่นเต้นสุดๆจนอยากกลับมาซ้ำอีกรอบเลยค่ะ นอกจากนี้ในโซน The Wizarding World of Harry Potter ยังมีร้านขายของที่ระลึกให้เราได้แวะซื้อของฝากกลับบ้านกันอีกด้วย หากทุกคนมาเที่ยวที่ USJ แล้ว ห้ามพลาดโซนนี้เลยค่ะ

ที่มา (Reference) : Universal Studios Japan/ © Nintendo TM & © Universal Studios.
หลังจากเพลิดเพลินไปกับโซนแฮร์รี่ พอตเตอร์จนเต็มอิ่มแล้ว หากเดินไปอีกประมาณ 10 นาที เราจะพบกับธีมพาร์คโซนใหม่ล่าสุดของสวนสนุกแห่งนี้ ซึ่งก็คือโซน Super Nintendo World ! ธีมพาร์คโซนดังกล่าวนี้เป็นธีม ‘มาริโอ้’ เกมยอดนิยมที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากค่ายนินเทนโด โซนมาริโอ้นี้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2021 ค่ะ

ที่มา (Reference) : Hannari_eli / Shutterstock

ที่มา (Reference) : Usa-Pyon / Shutterstock
นอกจากนี้ฉากของธีมพาร์ค SUPER NINTENDO WORLD ยังถูกออกแบบมาให้เหมือนในเกมเกือบทั้งหมด ราวกับยกฉากในเกมมาริโอ้มาไว้บนพื้นดินให้เราเห็นกันชัดๆเลยค่ะ โดยคอนเซ็ปต์ของฉากในธีมพาร์คที่เราเห็นกันอยู่นี้คือ “#WE ARE MARIO!”
ทันทีที่ได้ก้าวเข้ามาในธีมพาร์คโซนนี้แล้ว เราทุกคนจะกลายเป็นตัวมาริโอ้ที่อยู่ในเกมทันทีค่ะ!

ที่มา (Reference) : Usa-Pyon / Shutterstock
นอกจากโซนทางเข้าด้านหน้าที่สร้างขึ้นในธีมปราสาทคุปป้าแล้ว เรายังสามารถสัมผัสประสบการณ์การเล่นเกม Mario Kart ได้แบบสมจริงสุดๆด้วยค่ะ

ที่มา (Reference) : Universal Studios Japan / © Nintendo TM & © Universal Studios.
นอกจากนี้เรายังจะได้พบกับรูปปั้นมาริโอ้ตามจุดต่างๆอีกมากมาย ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านของที่ระลึก แถมยังมีมุมถ่ายรูปน่ารักๆเต็มไปหมดเลยค่ะ
อย่างไรก็ตาม หากใครต้องการมาเที่ยวโซนนี้ แนะนำว่าให้จองล่วงหน้าในเว็บไซต์ไปก่อนก็ดีนะคะ
Universal Studios Japan มีโซนอื่นๆที่น่าสนใจอีกมากมาย ทุกคนสามารถอ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย >> Top 5 เครื่องเล่น & ร้านค้า ใน Universal Studios Japan™ ที่ควรไปโดน !!!
ข้อมูลเกี่ยวกับ Universal Studios Japan
ที่อยู่
- Universal Studios Japan, 2 Chome-1-33 Sakurajima, Konohana Ward, Osaka, 554-0031
การเดินทาง
- นั่งรถไฟจากสถานี Osaka-namba Station สาย Hanshin Namba ไปลงที่สถานี Nishikujo Station จากนั้นเปลี่ยนไปนั่งรถไฟ JR สาย Yumesaki แล้วลงที่สถานี Universal City ใช้เวลา 27 นาทีก็จะถึง USJ
- นั่งรถไฟจากสถานี Umeda Station ไปลงที่สถานี Universal City ใช้เวลาประมาณ 11 นาที ก็จะถึง USJ
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 09:00 – 20:00 น.
- หมายเหตุ : เวลาให้บริการจะแตกต่างกันไปในแต่ละวัน สามารถตรวจสอบเวลาได้ที่เว็บไซต์ทางการของ Universal Studios Japan
ค่าเข้าชม
- ตั๋วเข้าชมสวนสนุกแบบ 1 วัน
- อายุ 12 ปีขึ้นไป : 8,200 เยน (รวมภาษี)
- อายุ 4-11 ปี : 5,400 เยน (รวมภาษี)
- อายุ 65 ปีขึ้นไป : 7,400 เยน (รวมภาษี)
หมายเหตุ
– ราคานี้ไม่รวมโซนพิเศษอื่นๆในสวนสนุก
– Universal Express Pass เป็นตั๋วพิเศษที่ช่วยลดเวลาในการต่อคิวเครื่องเล่น อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> https://www.usjticketing.com/expressPass
– ตั๋วเข้าสวนสนุกมีหลากหลายประเภท ราคาตั๋วจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่ สามารถตรวจสอบกิจกรรมอีเวนต์และวันที่เข้าชมได้ที่เว็บไซต์
– แนะนำให้ซื้อตั๋วทางเว็บไซต์ออนไลน์ไปก่อนล่วงหน้า
เว็บไซต์
แผนที่
4. ย่านชินเซไก (Shinsekai) จังหวัดโอซาก้า
ชินเซไก (Shinseikai) เป็นหนึ่งในย่านช้อปปิ้งสุดฮิตของจังหวัดโอซาก้า ชื่อของย่านนี้มีความหมายว่า “โลกใบใหม่” ในช่วงยุคเมจิย่านชินเซไกเคยเป็นดินแดนรกร้างมาก่อน จนกระทั่งในปี 1903 ย่านนี้ได้กลายเป็นที่จัดงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมแห่งชาติและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะมีผู้คนเข้ามาร่วมงานนี้มากกว่าห้าล้านคน
ย่านชินเซไกเคยเป็นที่ตั้งของสวนสนุกที่ชื่อว่า “Luna Park” แต่สวนสนุกแห่งนี้กลับไม่ได้รับความนิยมมากนักและปิดตัวลงในปี 1923 หลังจากย่านชินเซไกถูกทิ้งร้างมาอย่างยาวนาน ในปี 1990-2000 ย่านชินเซไกก็กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ผู้คนเริ่มกลับมาให้ความสนใจย่านนี้ในฐานะของย่านเก่าแก่ที่ยังคงหลงเหลือเศษซากจากช่วงยุคโชวะ
ในปัจจุบันย่านชินเซไกกลายมาเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ดึงดูดผู้คนให้มาท่องเที่ยวกันอย่างไม่ขาดสาย
หมายเหตุ : โคมลอยปลาปักเป้ายักษ์ที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของย่านชินเซไกถูกปลดลงแล้ว เนื่องจากผิดกฎหมาย

ที่มา (Reference) : IamDoctorEgg / Shutterstock
เสน่ห์ของย่านชินเซไกไม่ใช่เพียงแค่เป็นแหล่งช้อปปิ้งในยามค่ำคืนเท่านั้น เพราะในช่วงกลางวันที่นี่ก็สวยงามไม่แพ้กัน บรรยากาศของย่านนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเมืองเก่าญี่ปุ่นในช่วงสมัยสงคราม เรียกได้ว่าเป็นย่านท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์จริงๆค่ะ

ที่มา (Reference) : mokjc / Shutterstock
นอกจากนี้หากทุกคนได้มาเที่ยวที่ย่านชินเซไก สิ่งแรกที่จะเห็นเลยก็คือ หอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku Tower) เป็นหอคอยที่สร้างขึ้นในช่วงที่มีการก่อตั้งสวนสนุก Luna Park หอคอยซึเทนคาคุแห่งนี้นับว่าเป็นจุดไฮไลต์ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของโอซาก้าเลยก็ว่าได้ อีกทั้งในช่วงกลางคืนยังมีการเปิดไฟประดับสลับสีบนคอหอยด้วย สีสันของไฟจากหอคอยแห่งนี้ทำให้ย่านชินเซไกมีทิวทัศน์ยามค่ำคืนสวยงามมากยิ่งขึ้น จนที่นี่กลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดฮิตของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน

ที่มา (Reference) : bluehand / Shutterstock
นอกจากนี้ย่านชินเซไกยังเต็มไปด้วยร้านอาหารมากมาย รวมถึงเป็นแหล่งรวมที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวด้วยค่ะ ส่วนการเดินทางมาที่ย่านชินเซไกนั้นง่ายมาก เพียงเดินจากสถานีรถไฟ JR Shin-Imamiya หรือสถานีรถไฟใต้ดิน Ebisucho มาสักประมาณ 5-10 นาที เราก็จะเจอย่านชินเซไกแล้วค่ะ
หากใครชื่นชอบความครึกครื้นในช่วงกลางคืนของโอซาก้า ย่านชินเซไกเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะทำให้ทริปของทุกคนสนุกมากยิ่งขึ้นค่ะ
ข้อมูลเกี่ยวกับย่านชินเซไก
ที่อยู่
- 2 Chome Ebisuhigashi, Naniwa Ward, Osaka, 556-0002, Japan
การเดินทาง
- นั่งรถไฟมาลงที่สถานี JR Shin-Imamiya Station ทางออก Tsutenkaku จากนั้นเดินต่ออีก 10 นาทีก็จะถึงย่านชินเซไก
- นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Sakaisuji Line มาลงที่สถานี Ebisucho Station ทางออก Tsutenkaku จากนั้นเดินต่ออีก 3 นาทีก็จะถึงย่านชินเซไก
เว็บไซต์
แผนที่
5. ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) จังหวัดเฮียวโกะ
ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) เป็นปราสาทเก่าแก่ที่อยู่คู่ชาวเมืองฮิเมจิมานานกว่า 400 ปี ปราสาทแห่งนี้ได้รับขนานนามว่า “ปราสาทนกกระสาขาว” จากรูปลักษณ์ของปราสาทที่เป็นสีขาวสว่างเกือบทั้งหลังนั่นเอง และด้วยเหตุนี้ปราสาทฮิเมจิจึงมีทัศนียภาพที่งดงามและดูสง่าโดดเด่น
นอกจากนี้ปราสาทฮิเมจิยังได้รับการยกย่องให้เป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นอีกด้วย และในปี 1993 ปราสาทฮิเมจิก็เป็นสถานที่แรกของประเทศญี่ปุ่นที่องค์การยูเนสโกยกย่องให้เป็นมรดกโลก
หลังจากปราสาทแห่งนี้ปิดปรับปรุงเพื่อทำการบูรณะมานานกว่า 5 ปี ในฤดูใบไม้ผลิปี 2015 ปราสาทฮิเมจิก็เปิดให้เข้าเยี่ยมชมอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง ในปัจจุบันนักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างหลั่งไหลเข้ามายลโฉมปราสาทแห่งนี้กันอย่างไม่ขาดสาย
ปราสาทฮิเมจิไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ที่นี่ยังเป็นจุดชมดอกซากุระที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคคันไซด้วยค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น หากเราขึ้นไปยังด้านบนสุดของหอคอยปราสาท ทุกคนก็จะได้พบกับวิวทิวทัศน์อันแสนงดงามของเมืองฮิเมจิแบบกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเลยค่ะ
สำหรับกิจกรรมยอดฮิตที่เราอยากจะแนะนำให้ทุกคนได้มาสัมผัสเมื่อมาถึงปราสาทฮิเมจิก็คือ การล่องเรือชมปราสาทท่ามกลางดอกซากุระที่ผลิบานค่ะ หากได้มาเที่ยวในช่วงฤดูกาลที่ซากุระผลิบานเต็มที่ ทุกคนจะได้เห็นภาพของกลีบดอกซากุระที่โปรยปรายอยู่บนพื้นผิวของแม่น้ำตลอดทั้งสาย เป็นทัศนียภาพที่งดงามมากๆเลยค่ะ
นอกจากจะได้สัมผัสกับธรรมชาติอันงดงามของที่นี่แล้ว บริเวณรอบปราสาทฮิเมจิยังมีจุดถ่ายรูปสวยๆอีกมายมาย อีกทั้งยังมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่าง “สวนโคโคเอ็น” (Koko-en Garden) ซึ่งเหมาะแก่การมานั่งปิกนิกเป็นอย่างยิ่งค่ะ
- อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> ชมซากุระฟูลบลูมที่ ‘ปราสาทฮิเมจิ’ ปราสาทดั้งเดิมสุดอลังการ
ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทฮิเมจิ
ที่อยู่
- Himeji Castle, 68 Honcho, Himeji, Hyogo 670-0012, Japan
การเดินทาง
- จากสถานี Hemeji Station หากเดินไปที่ปราสาทฮิเมจิจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที หรือถ้านั่งรถบัสไปจะใช้เวลาประมาณ 5 นาที
- หากเดินทางจากโอซาก้าไปยังสถานี Hemeji Station สามารถเดินทางไปได้ 2 วิธี ดังต่อไปนี้
- นั่งรถไฟ Sanyo Shinkansen จากสถานี Shin-Osaka Station โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที (เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้บัตร JR Pass)
- นั่งรถไฟสาย Hanshin จากสถานี Osaka-Umeda Station โดยใช้เวลาประมาณ 100 นาที (สามารถใช้บัตร Kansai Thru Pass ได้)
วันและเวลาทำการ
- เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 9:00 – 17:00 น. (เปิดให้เข้ารอบสุดท้ายของวันในเวลา 16:00 น.)
- ช่วงฤดูร้อน เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม – 28 สิงหาคม เวลา 9.00 – 18.00 น. (เปิดให้เข้ารอบสุดท้ายของวันในเวลา 17:00 น.)
- ปิดทำการในวันที่ 29 – 30 ธันวาคมของทุกๆปี
ค่าเข้าชม
- ค่าเข้าชมเฉพาะปราสาท
- อายุ 18 ปีขึ้นไป : 1,000 เยน
- นักเรียนประถม – มัธยมปลาย : 300 เยน
- ค่าเข้าชมแบบรวมทั้งปราสาทและสวนโคโคเอ็น
- อายุ 18 ปีขึ้นไป : 1,050 เยน
- นักเรียนประถม – มัธยมศึกษาตอนปลาย : 360 เยน
- เด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี : เข้าชมฟรี
เว็บไซต์
แผนที่
6. สวนนารา (Nara Park) จังหวัดนารา
สวนนารา (Nara Park) เป็นสวนสาธารณะที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติและยังเป็นสวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองจังหวัดนาราอีกด้วย
นอกจากจะเต็มไปด้วยธรรมชาติแล้ว ภายในสวนนารายังมีกวางป่ามากถึง 1,200 ตัวเลยค่ะ ดังนั้นกิมมิคของการมาเที่ยวที่สวนนาราแห่งนี้ก็คือ การให้ขนมเซมเบ้น้องกวางค่ะ
แต่ถึงหลายๆคนจะมองว่านี่เป็นกิจกรรมที่ดูน่าสนุก เราก็ต้องขอเตือนไว้ก่อนเลยว่ากวางที่นี่ค่อนข้างดุเนื่องจากเป็นกวางป่า ดังนั้นหากทุกคนมาเที่ยวที่นี่เราก็ขอแนะนำให้ระวังกันเป็นพิเศษเลยค่ะ พยายามอย่าเข้าไปใกล้น้องกวางมากนะคะ

Sagi-ike Pond
สวนนาราเป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง สวนแห่งนี้จะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะสวนนาราแห่งนี้นับว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีอันงดงามของภูมิภาคคันไซค่ะ อีกทั้งบรรยากาศในช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็เย็นสบาย ไม่ร้อนและไม่หนาวมาก นักท่องเที่ยวชาวไทยอย่างเราจะต้องชอบแน่นอนค่ะ
นอกจากผู้คนจะรู้จักสวนนาราในฐานะที่เป็นสวนสาธารณะใจกลางเมืองนาราแล้ว ที่นี่ยังมีชื่อเสียงเรื่องพระพุทธรูปสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง ‘ไดบุทสึ’ (Daibutsu) อีกด้วย พระพุทธรูปองค์นี้ตั้งอยู่ใน ‘วัดโทไดจิ’ (Todaiji Temple) ซึ่งเป็นวัดพุทธนิกายมหายานแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่นค่ะ

วัดโทไดจิ
นอกจากนี้ในบริเวณรอบๆสวนนารายังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของญี่ปุ่นตั้งอยู่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นวัดโคฟุคุจิ (Kohfukuji Temple), ศาลเจ้าคาสึกะไทฉะ (Kasuga Taisha Shrine) หรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินารา (Nara National Museum) เป็นต้น
- อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> 10 กิจกรรมห้ามพลาด! เมื่อไปเที่ยวสวนนาราและบริเวณโดยรอบ
ข้อมูลเกี่ยวกับสวนนารา
การเดินทาง
- นั่งรถไฟคินเท็ตสึไปลงที่สถานี Kintetsu Nara Station จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 5 นาทีก็จะถึงสวนนารา
- นั่งรถไฟไปลงที่สถานี JR Nara Station จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 20 นาทีก็จะถึงสวนนารา
เว็บไซต์
แผนที่
7. ภูเขาโยชิโนะ (Mount Yoshino) จังหวัดนารา
ภูเขาโยชิโนะ (Mount Yoshino) เป็นภูเขาในจังหวัดนาราที่มีต้นซากุระมากถึง 30,000 ต้น และมีชื่อเสียงเรื่องการเป็นจุดชมวิวดอกซากุระที่งดงามที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
ในช่วงเดือนเมษายน ภูเขาโยชิโนะจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกที่ล้วนเดินทางมาเพื่อชมภูเขาซากุระ
ดอกซากุระบนภูเขาโยชิโนะไม่เพียงแค่เบ่งบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น แต่ในฤดูใบไม้ร่วงดอกซากุระบางต้นยังเปลี่ยนสีสันเป็นสีแดงอมส้มอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ทัศนียภาพสวยงามไม่แพ้ฤดูใบไม้ผลิเลยค่ะ

วัดคินปุเซ็นจิ
นอกจากนี้ภูเขาโยชิโนะยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อีกหลายแห่ง เช่น “วัดคินปุเซ็นจิ ซะโอโด” (Kinpusenji Zaodo Temple) วัดพุทธที่อยู่คู่ภูเขาโยชิโนะมานานกว่า 1,300 ปี อีกทั้งยังเป็นวัดที่ทำให้ภูเขาโยชิโนะมีชื่อเสียงในฐานะ “ภูเขาแห่งซากุระ” มาจนถึงปัจจุบันค่ะ

ที่มา (Reference) : beibaoke / Shutterstock
และที่ยิ่งไปกว่านั้น ภูเขาโยชิโนะยังเป็นหนึ่งในจุดแลนด์มาร์กสำคัญของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนภูมิภาคคันไซ และเป็นที่ถูกใจสำหรับสายเที่ยวธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง เพราะบรรยากาศที่นี่ล้วนรายล้อมไปด้วยป่าไม้อันเขียวขจี อีกทั้งเรายังสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวที่ภูเขาโยชิโนะได้ตลอดทั้งปีด้วยค่ะ
- อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> พลาดไม่ได้กับการชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ “ภูเขาโยชิโนะ” จุดชมธรรมชาติชื่อดังไม่ไกลจากโอซาก้า
ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาโยชิโนะ
ที่อยู่
- Yoshinoyama, Yoshino District, Nara 639-3115, Japan
การเดินทาง
หากเริ่มต้นเดินทางจากโอซาก้า สามารถมาเที่ยวภูเขาโยชิโนะได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- นั่งรถไฟด่วนพิเศษ Blue Symphony หรือรถไฟด่วนพิเศษ Sakura Liner จากสถานี Osaka Abenobashi Station มายังสถานี Yoshino Station โดยใช้เวลาประมาณ 78 นาที
ค่าโดยสารจากสถานี Osaka Abenobashi Station ไปยังสถานี Yoshino Station
- ผู้ใหญ่ : 1,720 เยน (ค่าโดยสารทั่วไป : 990 เยน / ค่ารถไฟด่วนพิเศษ : 520 เยน / ค่าบริการพิเศษ : 210 เยน)
- เด็ก : 870 เยน (ค่าโดยสารทั่วไป : 550 เยน / ค่ารถไฟด่วนพิเศษ : 260 เยน / ค่าบริการพิเศษ : 110 เยน)
เว็บไซต์ (ภาษาญี่ปุ่น)
แผนที่
8. สวนดอกไม้นาบานะ โนะ ซาโตะ (Nabana no Sato) จังหวัดมิเอะ
สวนดอกไม้นาบานะ โนะ ซาโตะ (Nabana no Sato) เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ในเมืองคุวานะ จังหวัดมิเอะ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ฮอตฮิตสุดๆ แต่นอกจากดอกไม้สวยๆแล้ว สิ่งที่นับว่าเป็นไฮไลต์สำหรับการท่องเที่ยวสวนแห่งนี้ก็คืองานเทศกาลไฟประดับฤดูหนาว “Nabana No Sato Winter Illumination” โดยงานเทศกาลนี้เป็นงานไฟประดับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยค่ะ
ภายในงานจะมีการประดับตกแต่งสวนด้วยไฟแอลอีดีสุดตระการตานับล้านดวง ในหนึ่งปีทางสวนจะจัดเทศกาลไฟประดับเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ระยะเวลาในการจัดงานค่อนข้างนานพอสมควรเลยค่ะ ทุกคนจึงไม่ต้องกังวลไป เพราะบางปีงานประดับไฟก็จัดกันยาวนานถึงครึ่งปีเลยทีเดียวค่ะ
นอกจากนี้ภายในสวนนาบานะ โนะ ซาโตะยังมีโซนย่อยอย่างสวนดอกบีโกเนีย “Flower Garden in the Andes: Begonia Garden” สวนเรือนกระจกที่รวบรวมดอกไม้และพืชพันธุ์นานาชนิดเอาไว้ แม้กระทั่งดอกไม้พันธุ์ที่หาชมได้ยากที่นี่ก็มีเช่นกัน ดอกไม้ภายในสวนบีโกเนียแห่งนี้จะถูกจัดตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม ทำให้ที่นี่เหมาะแก่การเป็นจุดถ่ายรูปสวยๆเป็นอย่างมาก
สวนบีโกเนียนั้นเปิดให้เข้าชมตลอดทั้งปี และที่ยิ่งไปกว่านั้น สวนดอกไม้แห่งนี้ยังจัดงานอีเวนต์ดอกไม้สุดพิเศษประจำฤดูกาลต่างๆอีกด้วยค่ะ
นอกจากโซนสวนบีโกเนียแล้ว สวนดอกไม้นาบานะ โนะ ซาโตะยังมีโซนทุ่งดอกไม้กลางแจ้งขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโซนที่ผู้คนนิยมมาถ่ายรูปและนั่งพักผ่อนชิลล์ๆรับลมกันค่ะ
นอกจากนี้ที่สวนนาบานะ โนะ ซาโตะยังมีกิจกรรมให้ทำอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทานบุฟเฟต์ผลไม้สดๆจากสวน นั่งรถทัวร์ชมสวนดอกไม้ ยิ่งไปกว่านั้นร้านอาหารบางแห่งยังสามารถมองออกไปเห็นวิวทุ่งดอกไม้ได้ด้วยนะคะ บรรยากาศดีมากเลยค่ะ
อย่างไรก็ตาม สวนดอกไม้นาบานะ โนะ ซาโตะยังมีการจัดงานเทศกาลสุดพิเศษอีกมากมาย ไม่ว่าเราจะมาเที่ยวกันในช่วงฤดูไหนสวนแห่งนี้ก็มีดอกไม้ให้ชมตลอดเลยค่ะ ยิ่งถ้าเรามาเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ผลิทางสวนจะมีการประดับไฟรอบๆต้นซากุระ ทำให้ในยามกลางคืนสวนดอกไม้นาบานะ โนะ ซาโตะจะยิ่งสวยงามและโรแมนติกเป็นพิเศษเลยค่ะ
- อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> ชมดอกไม้และไฟประดับที่ Nabana no Sato สวนดอกไม้อันกว้างใหญ่ในจังหวัดมิเอะ
ข้อมูลเกี่ยวกับสวนดอกไม้นาบานะ โนะ ซาโตะ
ที่อยู่
- 511-1144 Mie, Kuwana, Nagashimacho Komae, 漆畑270, Japan
การเดินทาง
กรณีเริ่มต้นการเดินทางจากเมืองนาโกย่า จังหวัดไอจิ
- เดินทางโดยรถบัสจากจุดขึ้นรถบัส Meitetsu Bus Center ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็จะถึงป้าย Nabana No Sato ทันที
- นั่งรถไฟด่วนคินเท็ตสึจากสถานี Kintetsu Nagoya Station ไปลงที่สถานี Kintetsu Nagashima Station โดยใช้เวลาประมาณ 25 นาที จากนั้นนั่งรถบัสอีกประมาณ 10 นาทีก็จะถึงสวน
- หมายเหตุ : หากใช้บัตร KINTETSU RAIL PASS PLUS สามารถขึ้นรถบัสได้ฟรี อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> รีวิววิธีเดินทางไปชมไฟประดับและสวนดอกไม้ที่ Nabanaba no Sato
วันและเวลาทำการ
- สวนดอกไม้เปิดให้เข้าชมตลอดทั้งปี เวลา 9:00 – 21:00 น.
- ในช่วงงานเทศกาลไฟประดับ โปรดตรวจสอบวันและเวลาเปิดทำการอีกครั้งในเว็บไซต์
เว็บไซต์
แผนที่
9. ภูเขาโคยะ (Mount Koya/Koyasan) จังหวัดวาคายามะ
ภูเขาโคยะ (Mount Koya/Koyasan) เป็นศูนย์รวมวัดสำคัญทางศาสนาพุทธของญี่ปุ่นที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,200 ปี ภูเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดวาคายามะ
สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์บนภูเขาโคยะล้วนถูกล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติอันเขียวขจี

ที่มา (Reference) : cowardlion / Shutterstock
นอกจากภูเขาโคยะจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของภูมิภาคคันไซแล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดชมดอกซากุระที่สวยงามในช่วงฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย
ส่วนช่วงฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงที่ผู้คนนิยมมาชมใบไม้เปลี่ยนสีกันมากที่สุด เพราะบนภูเขาโคยะมีต้นเมเปิลเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ภูเขาโคยะจึงเป็นจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงของภูมิภาคคันไซค่ะ
นอกจากนี้ในช่วงฤดูหนาวหิมะจะโปรยปรายลงมาปกคลุมทั่วทั้งภูเขา ฤดูหนาวจึงเป็นอีกหนึ่งฤดูที่ทัศนียภาพของภูเขาโคยะงดงามไม่แพ้ฤดูอื่นๆเลยค่ะ
นอกจากการมาชมทิวทัศน์ธรรมชาติของที่นี่แล้ว ภูเขาโคยะยังมีไฮไลต์อีกอย่างหนึ่งก็คือสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 800 ปีที่แล้ว

วัดคงโกบุจิ / ที่มา (Reference) : beibaoke / Shutterstock
หากเราเดินทางมาถึงภูเขาโคยะแล้ว วัดแรกที่เราจะเจอคือ “วัดคงโกบุจิ” (Kongobuji Temple) เป็นวัดประจำภูเขาโคยะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาวัดทั้งหมดบนภูเขาลูกนี้ค่ะ

วัดดันโจการัน
ถัดไปจะเป็น “วัดดันโจการัน” (Danjo Garan Temple) เป็นวัดพุทธที่มีโครงสร้างอาคารเป็นเอกลักษณ์ โดยสร้างให้เป็นรูปทรงเจดีย์และทาสีแดงชาดให้ดูโดดเด่นเป็นสง่า ส่วนด้านในของวัดจะมีพระพุทธรูปทองคำประดิษฐานอยู่ และมีภาพวาดทางพุทธศาสนาอีกมากมาย
หมายเหตุ : เนื่องจากตัวอาคารของวัดเดิมเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา จึงมีการสร้างวัดขึ้นใหม่อีกครั้งในปี 1937 โดยยังคงสถาปัตยกรรมรูปแบบเดิมเอาไว้ ยกเว้นสีของอาคาร

Okunoin Cemetery / ที่มา (Reference) : Phuong D. Nguyen / Shutterstock.com
อย่างไรก็ตาม บนภูเขาโคยะยังมีสถานที่ท่องเที่ยวกระจายอยู่อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวัดโอคุโนะอิน พิพิธภัณฑ์โคยะซัง เรโฮคัง ศาลเจ้าเซ็นเนียวริวโอ เป็นต้น
หากใครชื่นชอบการท่องเที่ยวธรรมชาติและสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ภูเขาโคยะเป็นหนึ่งในสถานท่องเที่ยวที่จะทำให้ทริปคันไซของทุกคนสนุกสนานมากขึ้นแน่นอนค่ะ
- อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> โคยะซัง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่รวบรวมประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธไว้มากกว่า 1,200 ปี
ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาโคยะ
การเดินทาง
กรณีที่เริ่มต้นการเดินทางจากโอซาก้า
- นั่งรถไฟด่วนพิเศษ Koya Express No.3 จากสถานี Nankai Namba Station แล้วไปลงที่สถานี Gokurakubashi Station จากนั้นให้นั่งกระเช้าต่อเพื่อขึ้นไปยังภูเขาโคยะ
- หมายเหตุ
- ตั๋วรถไฟด่วนพิเศษ Koya (เที่ยวเดียว) + Koyasan-World Heritage บัตรเดินทางที่ใช้โดยสารยานพาหนะภายในพื้นที่ภูเขาโคยะได้แบบไม่จำกัด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> Koyasan-World Heritage Ticket
- การเดินทางขากลับไปยังโอซาก้าจำเป็นต้องซื้อตั๋วเพิ่ม
ค่าเข้าชม
- ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
เว็บไซต์
แผนที่
10. ศาลเจ้าคุมาโนะนาชิ (Kumano Nachi Taisha) จังหวัดวาคายามะ
หากใครชื่นชอบประเทศญี่ปุ่น เราเชื่อว่าหลายๆคนก็คงเคยเห็นภาพนี้ผ่านตากันมาบ้าง เจดีย์สีแดงที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติโดยมีน้ำตกไหลเป็นแนวยาวอยู่ด้านหลังนั้น เป็นทัศนียภาพอันงดงามที่หาชมได้ ณ จังหวัดวาคายามะค่ะ
เจดีย์สีแดงเป็นส่วนหนึ่งของ วัดเซกันโทจิ (Seiganto-ji Temple) ในสมัยก่อนเจดีย์แห่งนี้เคยเป็นหอคอยที่ใช้จัดการประชุมของเหล่านักพรตศาสนาชินโตและศาสนาพุทธ ด้วยเหตุนี้ตัวอาคารของเจดีย์จึงได้รับการออกแบบให้มีความกลมกลืนกันระหว่างทั้งสองศาสนาค่ะ

ที่มา (Reference) : beeboys / Shutterstock
ต่อไปจะเป็น “น้ำตกนาชิ” (Nachi Falls) น้ำตกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งมีความสูงถึง 133 เมตรเลยทีเดียวค่ะ โดยทางวัดจะมีการสร้างระเบียงให้ยื่นออกไปเพื่อให้เราได้ชมความงามของน้ำตกกันแบบใกล้ๆด้วยค่ะ

ที่มา (Reference) : cowardlion / Shutterstock
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเดินเข้าไปชมน้ำตกนาชินั้นเราจะต้องเดินผ่าน “ศาลเจ้าคุมาโนะนาชิ” (Kumano Nachi Taisha) ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ โดยศาลเจ้าคุมาโนะนาชิจะตั้งอยู่เหนือวัดเซกันโทจิ อันเป็นจุดชมวิวของภาพเจดีย์สีแดงที่มีน้ำตกไหลรินเป็นฉากหลังนั่นเองค่ะ

ที่มา (Reference) : cowardlion / Shutterstock.com
นอกจากนี้ศาลเจ้าคุมาโนะนาชิยังรับจัดพิธีสำคัญทางศาสนาอีกมากมาย เช่น พิธีแต่งงานแบบชินโต
หากทุกคนมาเที่ยวที่นี่ก็อาจจะได้ชมพิธีแต่งงานแบบดั้งเดิมของคนญี่ปุ่นก็เป็นได้นะคะ
ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าคุมาโนะนาชิ
ที่อยู่
- 1 Nachisan, Nachikatsuura, Higashimuro District, Wakayama 649-5301, Japan
การเดินทาง
- นั่งรถไฟ JR สาย Kisei Line ไปลงที่สถานี Kii-Katsuura Station จากนั้นนั่งรถบัส Kumano Gobo Bus ไปลงที่ป้าย Nishiyama (那智山) โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นนั่งแท็กซี่ต่ออีกประมาณ 20 นาทีก็จะถึงศาลเจ้า
- อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Kumano Gobo Bus >> https://kumanogobobus.nankai-nanki.jp/en/
- ศาลเจ้ามีลานจอดรถที่สามารถจอดได้ 30 คัน มีค่าบริการ 800 เยน
ค่าเข้าชม
- ค่าเข้าชมหอสมบัติศาลเจ้าคุมาโนะนาชิ : 300 เยน
- ค่าขึ้นเจดีย์วัดเซกันโทจิ : ผู้ใหญ่ : 300 เยน / เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี : 200 เยน / เด็กก่อนวัยเรียน : เข้าชมฟรี
เว็บไซต์
แผนที่
11. วัดชิคุริน-อิน (Former Chikurin-in Temple) จังหวัดชิกะ
เมืองโอสึ (Otsu) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดชิกะ ทุกคนสามารถเดินทางได้ด้วยการนั่งรถไฟจากสถานีเกียวโต โดยใช้เวลาเพียง 10 นาทีก็จะถึงโอสึค่ะ
เมืองโอสึนั้นตั้งอยู่ในทำเลที่มีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ดี ที่นี่จึงไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติมากนัก ด้วยเหตุนี้เมืองโอสึจึงมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์หลงเหลือให้ชมอยู่หลายแห่งเลยค่ะ
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวอย่าง “ทะเลสาบบิวะ” ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นแล้วนั้น จังหวัดชิกะยังมีสถานที่ท่องเที่ยวแห่งอื่นๆที่น่าสนใจอีกมากมายซึ่งหลายๆคนอาจยังไม่เคยรู้จักมาก่อน เช่น “วัดชิคุริน-อิน” (Former Chikurin-in Temple) วัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนภูเขาฮิเอ
ในสมัยก่อนวัดชิคุริน-อินถูกใช้เป็นกุฏิสำหรับพระสงฆ์ในวัดเอ็นเรียคุจิ ปัจจุบันวัดแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นด้วยค่ะ
นอกจากตัวอาคารที่งดงามจนได้รับการยกย่องแล้วนั้น บริเวณรอบๆวัดชิคุริน-อินยังมีสวนสไตล์ญี่ปุ่นให้เราได้ชมกันตลอดทั้ง 4 ฤดูอีกด้วย ทั้งนี้ในพื้นที่ใกล้ๆกับวัดชิคุริน-อินยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวัดเอ็นเรียคุจิ (Enryaku-ji Temple) หรือศาลเจ้าฮิโยชิไทฉะ (Hiyoshi Taisha Shrine) เป็นต้น
- อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> ชมดอกซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีแสนงดงามที่ “เมืองโอสึ” แหล่งท่องเที่ยวใกล้เกียวโตที่เราอยากแนะนำ
ข้อมูลเกี่ยวกับวัดชิคุริน–อิน
ที่อยู่
- 5 Chome-2-13 Sakamoto, Otsu, Shiga 520-0113, Japan
การเดินทาง
กรณีเริ่มต้นการเดินทางจากโอซาก้าหรือเกียวโต
- นั่งรถไฟ JR สาย Kosei Line ไปลงที่สถานี Keihan-Otsukyo Station โดยใช้เวลาประมาณ 14 นาที จากนั้นเปลี่ยนไปนั่งรถไฟ Keihan สาย Ishiyama Sakamoto Line (ต้องซื้อตั๋วเพิ่ม) แล้วลงที่สถานี Sakamoto-hieizanguchi Station โดยใช้เวลาประมาณ 11 นาที จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 6 นาทีก็จะถึงวัดชิคุริน-อิน
วันและเวลาทำการ
- เปิดทำการตั้งแต่เวลา 9:00 – 17:00 น.
- ปิดทุกวันจันทร์
ค่าเข้าชม
- อายุ 13 ปีขึ้นไป : 330 เยน
- อายุต่ำกว่า 12 ปี : 150 เยน
- ผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) : 220 เยน
เว็บไซต์
แผนที่
12. วัดอิชิยามะเดระ (Ishiyama-dera Temple) จังหวัดชิกะ

ที่มา (Reference) : AndyLai / Shutterstock
วัดอิชิยามะเดระ (Ishiyama-dera Temple) เป็นวัดหลักของศาสนาพุทธนิกายชินงอนที่สร้างขึ้นในช่วงยุคสมัยนารา วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบบิวะและทางใต้ของเมืองโอสึ จังหวัดชิกะ

ที่มา (Reference) : AndyLai / Shutterstock
ภายในวัดอิชิยามะเดระนั้นมีห้องโถงหลักที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่น นอกจากนี้ในสมัยก่อนวัดแห่งนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นจุดรับพลังศักดิ์สิทธิ์ (Power Spot) เรื่องการขอพรให้คลอดบุตรปลอดภัย เรื่องโชคลาภ และเรื่องการปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ในปัจจุบันจึงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยเดินทางมาที่วัดแห่งนี้เพื่อสักการะขอพรตามความเชื่อค่ะ
นอกจากนี้วัดอิชิยามะเดระยังเป็นจุดที่ชมดอกไม้ตามฤดูกาลได้ตลอดทั้งปี รวมถึงเป็นจุดชมใบเมเปิลเปลี่ยนสีอันงดงาม เนื่องจากบริเวณรอบๆวัดมีต้นเมเปิลจำนวนมากถึง 2,000 ต้น
และในเดือนพฤศจิกายนของทุกปีจะมีการจัดงานเทศกาลไฟประดับ โดยตกแต่งดวงไฟรอบๆต้นเมเปิลและบริเวณจุดต่างๆของวัด ไม่ว่าจะเป็นห้องโถงหลัก เจดีย์สองชั้น หรือตามทางเดิน
แสงสว่างของเทศกาลไฟประดับเหล่านี้ทำให้วัดอิชิยามะเดระในยามกลางคืนสว่างไสวสวยงาม จนที่นี่ได้รับเลือกให้เป็นมรดกทิวทัศน์ยามค่ำคืนของญี่ปุ่นค่ะ
ข้อมูลเกี่ยวกับวัดอิชิยามะเดระ
ที่อยู่
- 1 Chome-1-1 Ishiyamadera, Otsu, Shiga 520-0861, Japan
การเดินทาง
กรณีเริ่มต้นการเดินทางจากโอซาก้าหรือเกียวโต
- นั่งรถไฟ JR ไปลงที่สถานี Ishiyama Station แล้วเดินไปยังสถานี Keihan-Ishiyama Station เพื่อเปลี่ยนสายรถไฟ (ใช้เวลาเดินระหว่างสถานีทั้งสองแห่งประมาณ 5 นาที) จากนั้นให้นั่งรถไฟ Keihan สาย Ishiyama-Sakamoto Line ไปลงที่สถานี Ishiyamadera Station โดยใช้เวลาประมาณ 4 นาที และเดินต่ออีกประมาณ 10 นาทีก็จะถึงวัดอิชิยามะเดระ
- หากเลือกนั่งรถบัสของ Keihan Bus จากด้านหน้าสถานี Keihan-Ishiyama Station ไปลงที่ป้าย Ishiyama Dera Sammon-mae โดยใช้เวลาประมาณ 4 นาที ก็จะถึงวัดอิชิยามะเดระทันที
วันและเวลาทำการ
- เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8:00 – 16:30 น. (รอบเข้าชมวัดรอบสุดท้าย : 16:00 น.)
ค่าเข้าชม
- อายุ 16 ปีขึ้นไป : 600 เยน
- อายุ 6 – 15 ปี : 220 เยน
- อายุต่ำกว่า 6 ปี : เข้าชมฟรี
เว็บไซต์
แผนที่
แนะนำที่เที่ยวอื่นๆในภูมิภาคคันไซ
- พลาดไม่ได้กับการชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ “ภูเขาโยชิโนะ” จุดชมธรรมชาติชื่อดังไม่ไกลจากโอซาก้า (คลิกที่รูปได้เลย)
- โคยะซัง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่รวบรวมประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธไว้มากกว่า 1,200 ปี (คลิกที่รูปได้เลย)
- ชมดอกซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีแสนงดงามที่ “เมืองโอสึ” แหล่งท่องเที่ยวใกล้เกียวโตที่เราอยากแนะนำ
มากดไลค์เพจ fromJapan กันเถอะ!
รู้หรือเปล่าว่าพวกเรามี official fanpage ด้วยนะ!
ถ้าไม่อยากพลาดเทรนด์ ข่าวสาร หรือกิจกรรมสนุกๆ ก็ต้องกดไลค์เพจเราแล้วล่ะ
แท็กยอดนิยม
แชร์บทความนี้
Klook.com
บทความแนะนำจังหวัดใน
ภูมิภาค
คันไซ

จังหวัด โอซาก้า

จังหวัด เกียวโต

จังหวัด เฮียวโกะ

จังหวัด นารา

จังหวัด มิเอะ

จังหวัด ชิกะ

จังหวัด วาคายามะ